Friday 21 November 2008

อังกฤษกับตำแหน่งแชมป์โลก...ฝันที่ไม่ไกลเกินจริง

ปิดฉากเกมทีมชาตินัดสุดท้ายของปีนี้ได้ สวยสดงดงามเหลือเกินครับสำหรับการทำหน้าที่ของฟาบิโอ คาเปลโล่กุนซือชาวอิตาเลียน ที่พาอังกฤษบุกไปเอาชนะทีมสุดเขี้ยว อย่างเยอรมันได้ถึงกรุงเบอร์ลิน 2-1 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปีเลยทีเดียวที่ทีมอินทรีเหล็กแพ้คาบ้านตัวเองแบบนี้ ทีมสุดท้ายที่บุกมายัดเหยียดความปราชัย ให้พวกเค้าได้คือสุดยอดทีมอย่างบราซิลในปี 1973...

จริงอยู่แม้แมตช์นี้จะไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมาก เนื่องจากเป็นแค่เกมกระชับมิตรธรรมดาแต่ในแง่ของ "ศักดิ์ศรี" ของเกมคู่นี้ที่เตะกันทีไรก็อย่างที่ผมได้เรียนไปใน คอลัมน์เมื่อวันพุธแล้วนะครับว่า อังกฤษและเยอรมันเป็นคู่รักคู่แค้นกันมานานเหลือเกิน ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีรายงานหลังเกมหรอกว่าแฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 70,000 คนใน โอลิมเปีย สตาดิโอนถึงกับโห่ไล่โยอัคคิม เลิฟและนักเตะตัวเองเสียอย่างนั้น

เข้าใจหัวอกแฟนบอลเยอรมันอ่ะนะครับที่ทีมรักตัวเอง เป็นถึงรองแชมป์ยูโรปีที่ผ่านมาแต่ต้องแพ้ให้กับคู่ปรับบ้านใกล้เรือน เคียงซึ่งไม่มีโอกาสไปเตะรอบสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ

อารมณ์มันก็คงมีนอยๆบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ : )

เกมนี้ 11 คนแรกที่คาเปลโล่ส่งลงสนามมาตามโผแล้วถือว่า ไม่ได้พลิกความคาดหมายจากที่ผมคาดการณ์ไว้สักเท่าไร ยกเว้นตำแหน่งคู่หูในแดนหน้า ที่เกมนี้ส่งกองหน้าจี๊ดคู่อย่างกาเบรียล อักบอนลาฮอร์และเจอร์เมน เดโฟลงพร้อมกัน ซึ่งถือว่าผิดวิสัยเล็กน้อยเนื่องจากปกติคาเปลโล่จะจัดกองหน้าตัวใหญ่คน ตัวเล็กคนลงสนาม

รายแรกจากค่ายวิลล่าที่โดนผมสบประมาทไว้ว่าคงชั้นไม่ถึง ในระดับทีมชาติถึงตรงนี้ผมคง ต้องรีบถอนคำพูดแล้วละครับเนื่องจากเจ้าแก็บบี้เล่นได้เด่นมาก ในเกมกับเยอรมัน โดยแม้จะยิงประตูเองไม่ได้แต่การมีส่วนร่วมกับเกมโดยตลอด รวมถึงคอยใช้ความเร็วปั่นป่วนกองหลังเยอรมันได้เป็นระยะนั้น น่าจะทำให้อนาคตของไมเคิล โอเว่นที่ผมยังอยากให้ติดทีมชาติอยู่คงต้องร้องเพลง"รอ"ต่อไป

ผมนั่งชมเกมคู่นี้ที่บ้านครับซึ่งตรงกับเวลาหัวค่ำที่อังกฤษ (1 ทุ่ม 45 = ตี 2.45 เมืองไทย) ก่อนหน้านั้นออกไปกินพิซซ่าบุฟเฟต์มาหัวละ 5.99 ปอนด์กินได้ไม่อั้นจึงสอยไป 6 ชิ้นเนียนๆ

ดูไปก็ง่วงก็ง่วงไปครับเนื่องช่วงออกสตาร์ตของเกมนี้บอริ่งสุด ๆ ต่างฝ่ายต่างดูเชิงไม่กล้าผลีผลามเปิดเกมเข้าแลกเมื่อรวมกับความรู้สึก ผมที่มีต่อเกมกระชับมิตรทีมชาตินั้นค่อนข้าง "ไร้แรงจูงใจ" อยู่แล้วจึงเผลอหลับไปหลังอังกฤษขึ้นนำ 1-0 แบบโชคช่วยนิดๆจากแมตธิว อัพสัน

มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนน้องที่บ้านขำกันเสียงลั่นกับประตูตีเสมอของเยอรมันในนาทีที่ 63 ซึ่งผมตื่นมาดูภาพช้าทัน ปรากฏว่าเป็นความผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยของสกอตต์ คาร์สัน ซึ่งจอห์น เทอร์รี่อุตสาห์ยืนขวางกองหน้าเยอรมันไว้ให้ตั้งนานสองนานแต่นายทวาร จากเวสต์บรอมวิชก็มัวแต่เคี้ยวเอื้องโอ้เอ้อยู่ จึงโดนพาทริก เฮลเมสฉกบอลและปาดเข้าไปง่ายๆ

ชอตนี้แม้หลังเกมจอห์น เทอร์รี่จะออกมาโชว์แมนยืดอกขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวแต่ผมกลับมองว่า ความผิดครั้งนี้ต้องรับผิดชอบร่วมกันระหว่าง กองหลังและผู้รักษาประตูแบบ 50:50 ครับ อืม...ผมคิดว่าอนาคตในทีมชาติของนายทวาร ชื่อเหมือนถุงเท้ารายนี้จะดับลงและ คงไม่ได้เป็นตัวหลักอีกแน่นอนคอมเฟิร์ม !!! (ประโยคนี้ขออนุญาตฟันธงเลียนแบบหมอดูปากกล้าท่านนึงหน่อยนะครับ อิอิอิ)

ครับนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่คาร์สันทำ Big blunder หรือพลาดแบบสะเหล่อ ๆในนามทีมชาติอังกฤษเพราะเมื่อปีก่อนก็พลาดในลักษณะ "หมูหก"แบบนี้ในเกมกับโครเอเชียจนเป็นเหตุ ให้ทีมต้องกระเด็นตกรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโรมาแล้ว

การลงเล่นในระดับชาติแบบนี้ ไม่สมควรด้วยประการทั้งปวงครับที่จะผิดพลาดแบบนี้ยามได้รับโอกาสลงเล่นสนาม อย่าลืมว่าปกติแล้วคาร์สันก็เป็นมือสองต่อจากเดวิด เจมส์ซึ่งโอกาสมันน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาทำพลาดแบบนี้บอกได้คำเดียวครับว่า จบเห่ !!

ไหนๆก็พูดถึงข้อผิดพลาดแล้ว ดาร์เรน เบนท์สากพันล้านที่ทีมตราไก่ของผมส่งเข้าประกวดก็พลาดทำ "หมูหก" เช่นกันเลี้ยงหลบทิม วีเซ่ผู้รักษาประตูเยอรมันที่เปลี่ยนลง มาในครึ่งหลังไปแล้วแต่กลับยิงหลุดกรอบ ออกไปแบบน่าเขกกะโหลกเป็นที่สุด แหม... ทำเป็นคุยว่าถ้าได้ลงแล้วจะทำผลงาน ให้ดีปากเก่งเหมือนแอนดี้ โคล รุ่นพี่ในแก๊งสากกระเบือค่าตัวแพงจริงๆครับ ฮิฮิ

แม้ผู้เล่นบางรายจะมีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ให้เห็นกันบ้าง แต่โดยรวมผมถือว่าอังกฤษชุดนี้ที่ขาดตัวหลักไป เพียบทำผลงานได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานกันเกือบทุกคน (ไม่นับสองรายข้างต้น) โดยเฉพาะปีกทั้งสองข้างอย่างสจ๊วร์ต ดาวนิ่งและฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ที่อันตรายมากกับจังหวะพาบอลทำเกมรุก รายแรกนั้นช่วงหลังเริ่มคืนฟอร์มกับ ต้นสังกัดอย่างโบโร่และเท้าซ้ายที่เตะแม่น ได้อีกราวกับจับวางก็ผ่านบอลสวยๆให้เพื่อนได้หลายครั้ง และมีส่วนกับทั้งสองประตูของอังกฤษจากลูกเซตพีช

ส่วนเจ้าสั้นจากค่ายแมนฯซิตี้ก็ใช้ความเร็วฉีกทางฝั่งซ้ายของเยอรมันขาดเป็นริ้วๆ และสร้างโอกาสทำประตูให้ตัวเองได้ค่อนข้างดี เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่วางเท้ายิงบอลได้ดีมากและเกือบพังประตูให้ทีมได้ด้วยหาก บอลไม่พุ่งไปชนเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย

ขณะที่ตัวหลักในทีมชุดนี้อย่างจอห์น เทอร์รี่ ก็ยังเป็นบุคคลที่คาเปลโล่และอังกฤษจะขาดไม่ได้เลยเนื่องจาก เป็นศูนย์รวมจิตใจของเพื่อนร่วมทีมอย่างแท้จริงอีกทั้งยังเป็น "แมตช์วินเนอร์" ตัวจริงเสียงจริง ขึ้นมาพังประตูสำคัญๆให้ทีมได้เสมอ

ประตูชัยที่อังกฤษยิงได้ก็เหมือนกันครับ ผมจัดว่าเป็นลูกพุ่งโหม่ง ที่ดีที่สุดในรอบหลายปีของวงการฟุตบอลเลยทีเดียว (นักพากษ์ที่อังกฤษเองก็ชมเจ้า "เจที"ไม่ขาดปากเลยเช่นกันในจังหวะนี้)

เกือบจะครบปีแล้วนะครับที่คาเปลโล่เข้ามาคุมทีมชาติอังกฤษ ผลงานชนะ 8 จาก10นัดเสมอ 1แพ้ไปแค่ 1 พร้อมทำให้อังกฤษเป็นทีมที่แพ้ยากไปซะแล้ว

ความฝันแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้อยู่ไม่ใกล้เกินเอื้อมแน่นอนครับหากยังเล่นได้แบบนี้

No comments: