Tuesday 26 August 2008

สัปดาห์ที่สุดแสนสำคัญของสเปอร์ส


หากจะเปรียบความรักของสเปอร์สที่มีต่อดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟในตอนนี้ก็คงต้องบอกว่าอยู่ในช่วง อึมครึมสุดขีดและพร้อมจะหย่าร้างกันอย่างเป็นทางกันอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ รอก็เพียงแค่ให้ ‘มือที่สาม’ อย่างแมนฯยูไนเต็ดเอาเงินค่าเสียหายจำนวนประมาณ 25-30 ล้านปอนด์ ฝาดหัวสามีเก่าอย่างสเปอร์สแบกรับมันเอาไว้แบบไม่เต็มใจ พร้อมยืนดูแฟนใหม่จูงมือคนรักเก่า นามว่า ‘วันทอง’เชื้อสายบัลแกเรียน หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามกันไปอยู่เท่านั้นเอง

เห็นแล้วเจ็บจี๊ดแทนไก่เดือยทอง สเปอร์สไปถึงขั้วหัวใจครับ เพราะเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ อุตสาห์เปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้สร้างชื่อในเวทีพรีเมียร์ฯ แต่สุดท้ายกลับได้แค่ตัวของเบอร์บา แต่ไม่อาจได้ใจของนักเตะ และหากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือหักมุม ดีลที่กำลังจะจบลง ‘ตอกย้ำ’ ให้เห็นกันอีกครั้งว่าสุดท้ายแล้ว ยุคโมเดิร์นฟุตบอล หลังปี 2000 เป็นต้นมา นักเตะมีอำนาจต่อรองมากจนน่ากลัวเหลือเกินว่า ต่อจากนี้ลายน้ำหมึกที่เซ็นลงไปในการทำสัญญามันจะเป็นเพียงแค่กระดาษทิชชู่ห่วยๆที่พร้อมแปรสภาพเป็นกระดาษเช็ดก้นในทันตา หากว่านักเตะเกิดอาการ ‘หมดใจ’ กับสโมสรอู่ข้าวอู่น้ำของตนเอง

นิยายรักสามเส้าที่ยืดเยื้อคาราคาซังในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมามีตัวอย่างให้เห็นเยอะครับ เช่นกรณีพิพาทของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ แกเรธ แบร์รี่ หรือ ร็อบบี้ คีน โดยสองรายแรกไม่ได้ย้ายทีมสมความปรารถนาเพราะมีปัจจัยต่างๆเข้ามามีส่วนทำให้สโมสรต้นสังกัดรอดพ้นการเสียนักเตะหลักของตัวเองไปหวุดหวิด
จะมีก็แต่รายหลัง ซึ่งในที่นี้ก็คือร็อบบี้ คีน ที่ตัวและหัวใจของหอกไอริชจอมตีลังกานั้นฝากไว้กับทีมหงส์แดงลิเวอร์พูลมานานตั้งแต่เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก และรับใช้สเปอร์สมาอย่างยาวนาน ซื่อสัตย์ และทุ่มเทเกินร้อยเสมอยามที่ลงสนาม การที่เจ้าตัวขอเคลียร์กับฆวนเด้ รามอสดีๆ + ให้สัมภาษณ์ร่ำลาแฟนบอลทีมตราไก่ตอนเปิดตัวที่แอนฟิลด์ มันเป็นการลาจากที่สวยงามและน่าจดจำทั้งในส่วนของคีนเอง แฟนบอลสเปอร์ส และสโมสร...

กลับกันในเคสของเบอร์บาตอฟ นักเตะอยากย้ายไปเติมเต็มความฝันในการลงเล่นแชมป์เปี้ยนส์ลีกมานานก่อนดีลของร็อบบี้ คีนจะเริ่มด้วยซ้ำ แต่แมนฯยูไนเต็ดดันไม่ใจป้ำพอที่จะยื่นเม็ดเงิน 30 ล้านปอนด์ตามที่ดาเนี่ยล เลวี่ ต้องการทำให้ ดีลนี้ยืดยาวออกไปจนฟุตบอลเปิดฤดูกาล และผลกระทบนี้ก็ไม่ได้ตกที่เบอร์บา หรือ ทีมปีศาจแดงของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยตรงครับ แต่เป็นฝั่งสเปอร์สที่เสียหายเต็มๆ เนื่องจากฆวนเด้ รามอสต้องพบกับความยากลำบากในการจัดแผนและรูปแบบการเล่น

นัดแรกที่สเปอร์สพ่ายให้แก่มิดเดิลสโบรห์ หากยังจำกันได้คงเห็นนะครับว่าสีหน้าของหัวหอกอารมณ์ติสต์นั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากระจิตกระใจไม่พร้อมที่จะเล่นให้สเปอร์สอีกต่อไปแล้ว ซึ่งถึงตรงนั้นผมคาดว่าหลายคนที่ได้ชมเกมนี้คงคิดไม่ต่างจากผมว่าเวลาของเบอร์บาตอฟกับสเปอร์สนั้นกำลังจะจบลงแล้ว

ถัดมาอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังก็เป็นจริงตามคาดครับ ความสัมพันธ์ของเบอร์บาและรามอสมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อก่อนเกมที่สเปอร์สมีคิวต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของซันเดอร์แลนด์ และนักเตะเข้าไปพบเฮดโค้ชชาวสเปนและแจ้งให้ทราบถึง ความกระสันส่วนตัวอย่างออกหน้าออกตา ประมาณว่าอยากสวมเครื่องแบบผีแดงเต็มแก่ และจิตใจไม่พร้อมที่จะเล่นในเกมระดับนี้หากยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

ประเด็นของเบอร์บาตอฟในครั้งนี้ ผมคิดว่าองค์ใหญ่อย่างฟีฟ่าก็ดี หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรองลงมาอย่าง ‘เอฟเอ’ น่าจะเก็บไว้เป็นกรณีศึกษาในเรื่องของ ‘อำนาจต่อรองของนักเตะ’ ว่าต้นสังกัดจะมีมาตรการใดในการปกป้องและมีกรรมสิทธิ์ในตัวนักเตะมากกว่านี้
หาใช่ต้นสังกัดจ่ายค่าเหนื่อยรายสัปดาห์แพงระยับ แต่นักเตะดันอิดออดที่จะลงสนาม !!
สเปอร์สตอนนี้นั้นทำได้แค่เพียงปรับเงิน บักตอฟ 45,000 ปอนด์ ซึ่งจุ๋มจิ๋มสิ้นดี สำหรับนักเตะที่ทำตัวไร้ความเป็นมืออาชีพเยี่ยงนี้ ส่วนตัวผมแล้วยืนยัน นอนยันเลยว่าองค์กรที่รับผิดชอบควรมีมาตรการใดๆก็ตามที่ทำให้นักเตะหลาบจำ และจะไม่ทำตัวอย่างเบอร์บาตอฟ หรือ หนูโด้ ที่กระจอง งอแง หากไม่ได้ย้ายทีม ทั้งๆที่สัญญาก็ยังเหลืออีกบานตะไทกับต้นสังกัดเดิม

อย่างไรก็ดี ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่ากฎและระเบียบต่างๆควรย้อนยุคกลับใช้ ‘สัญญาทาส’ หรือให้สิทธิ์และอำนาจเด็ดขาดแก่ต้นสังกัดเหมือนอย่างเคย แต่ผมอยากเห็นดีลที่แฟร์กับสโมสรอู่ข้าวอู่น้ำของนักเตะมากกว่านี้ก็เท่านั้นเองครับ

ถึงนาทีนี้ สิ่งที่ฆวนเด้ รามอส และ ดาเนี่ยล เลวี่ ต้องรีบทำเป็นการด่วนเลยก็คือสรุปให้ชัดไปเลยว่าจะขายไม่ขาย เพราะหากปล่อยยืดเยื้อ หรือเลยเดดไลน์ไปแล้ว พวกเค้าก็จะอดได้เงินก้อน มาซื้อกองหน้าเสริมทัพ หรือหากว่าตัดสินใจขายแต่ดันขายช้าก่อนตลาดปิดไม่กี่วัน การที่จะหาตัวแทนที่มีประสิทธิภาพ หรือ ใกล้เคียงเบอร์บาตอฟในตลาดนั้นบอกได้คำเดียวครับว่าเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ดีลกับอังเดร อาร์ชาวิน นั้นดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพกลับมาเมื่อเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กยอมลดราคามาใน วงเงินที่สเปอร์สยอมรับได้ แต่ในแง่ของแท็คติกส์แล้ว อย่างที่ทุกคนทราบนะครับว่า อาร์ชาวินเป็นนักเตะที่ดีก็จริง แต่หมอนี่ไม่ได้เล่นเซ็นเตอร์ฟอร์เวิดร์ และยิงไปแค่ 3 เม็ดเท่านั้นจาก19 หลังสุด ขณะที่พวกครีเอทีฟ มิดฟิลด์ สเปอร์สนั้นก็แทบจะทับกันตายอยู่แล้วในสนาม ทั้ง ลูก้า โมดริช โจวานนี่ ดอส ซานโต๊ส หรือ เดวิด เบนท์ลีย์ ซึ่งนัดที่ผ่านมาโดนจับไปยืนหน้าต่ำแทนที่จะเป็นปีกขวาตำแหน่งที่ดีที่สุดของเจ้าตัว

ดังนั้นชื่อของ โรมัน พาฟลูเชนโก้, ราดาเมล ฟัลเกา (ของริเวอร์ เพลท) หรือ คลาส แยน ฮุนเตลาร์ น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่าสำหรับสเปอร์สในยามนี้ที่ขาดแคลนกองหน้าประเภทโป้งเดียวหาย เนื่องจากดาร์เรน เบนท์นั้นยิ่งดูก็ยิ่งอดสู และค่อนข้างแน่ว่าเป็นทิ้งพึ่งพาของทีมไม่ได้เลยหากดูผลงานเฮียแกจากสองนัดที่ผ่านมา

สรุปเลยนะครับ ว่าสเปอร์สควรต้องรีบปล่อยเบอร์บาตอฟให้ผีแดงภายในวันสองวันต่อจากนี้ และรีบหาตัวแทนในตำแหน่งกองหน้าให้เร็วที่สุด หากหวังจะเก็บ1 คะแนนออกมาจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในการออกไปเยือนเชลซีวันอาทิตย์นี้

หากเก็บได้สักคะแนนผมเชื่อนะครับว่า ขวัญและกำลังใจของทีมตราไก่คงจะดีขึ้นเป็นอักโขเลย แต่หากไม่เป็นอย่างนั้นการพ่ายแพ้สามนัดรวดจะเป็นการออกสตาร์สที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 29 ปีของสโมสร และเก้าอี้ของฆวนเด้ รามอสอาจสั่นคลอนก่อนถึงเวลาอันควรก็เป็นได้ครับ

Wednesday 13 August 2008

เอฟเฟกต์จากทักษิณถึงแมนฯซิตี้


สวัสดีวันแม่ย้อนหลังกันไปหนึ่งวันนะครับ ไม่ทราบว่า คุณผู้อ่าน ได้ทำอะไรให้แก่ผู้หญิง ที่คลอดเราออกมาใน วันสุดพิเศษ ที่ผ่านมาหรือเปล่าเอ่ย? ถ้ายังหรือไม่มีเวลา ที่จะเจอหน้าท่าน แค่การโทร. บอกรักท่าน หรือทำดีกับ ท่านในทุก ๆ วัน ไม่จำเป็นเฉพาะวันแม่ ก็น่าจะทำให้ท่าน ชื่นใจไม่น้อยครับ ผมเองหลังจากห่างครอบครัวไปนาน และเพิ่งถึงประเทศไทยได้สองวัน ก็ได้โอกาสพาคุณแม่ไป ทานอาหารทะเลกับพ่อ และน้องสาวแถว ๆ มหาชัย การกลับมาบ้านใน รอบสองปีครั้งนี้ รู้สึก และรู้ซึ้งเลย ว่าไม่มีชาติใดในโลกที่จะ มีอาหารเลิศรสไปกว่าประเทศ ของเราอีกแล้ว อีกทั้งน้ำใจไมตรี และความเป็นมิตรที่พร้อมมีรอยยิ้มให้กัน+ช่วยเหลือเกื้อกูล แม้จะไม่ได้รู้จักมักจี่ก็เป็นสิ่งนึง ที่ผมคิดถึงเสมอเนื่องจากคนอังกฤษนั้นหากไม่ใช่ญาติก็ยากหน่อยล่ะครับที่จะเห็นสิ่งดี ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น เพราะต่างคนต่างก็สนใจแต่เรื่องของชีวิตตัวเอง...
ไม่ใช่ว่าคนอังกฤษไม่ดีนะครับ คนดี ๆ มีน้ำใจก็พอจะมีให้เห็น แต่ทว่ามหานครที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างลอนดอน ชีวิตประจำวันเดิน ไปเร็วมากเหลือเกิน เร็วจนคนที่ถือคติช้าแต่ชัวร์อย่างผม หลาย ๆ ครั้งรู้สึกเหนื่อยมากกับการใช้ชีวิตที่นั่น แม้ว่าจะชื่นชอบ ชื่นชมในเรื่องระเบียบวินัยของพลเมือง, ระบบขนส่งมวลชน ไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย อีกทั้งอากาศก็ไม่ร้อนตับแตกเหมือนไทย แต่เชื่อผมเถอะครับ ไม่มีที่ไหน ‘สุขใจ’ ได้เท่าผืนแผ่นดินแห่งนี้อีกแล้ว : )

เช้านี้ผมได้เห็นหัวพาดหัวข่าวจาก ‘เดอะ ซัน’ และสื่ออีกหลายรายจากอังกฤษประโคมข่าวเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับการลี้ภัยทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบกับเรือใบสีฟ้า แมนฯซิตี้ ในซีซั่นใหม่ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นเร็ว ๆ นี้

ใจนึงก็สงสาร และเห็นใจอดีตผู้นำไทยนะครับ หากว่าเจ้าตัว จะไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตที่เหลือที่ประเทศบ้านเกิดอีก... อย่างไรก็ดีวันนี้เรื่องของการเมืองผมไม่อยากจะไปพูดถึง หรือพาดพิงใคร แต่ที่น่าเป็นห่วงแทนก็คือ ผลกระทบที่มีต่อแมนฯซิตี้ ทีมที่ คุณทักษิณได้ซื้อมาไว้ครอบครองเมื่อประมาณ 14 เดือนก่อน
ผลกระทบนั้นมีแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์อยู่แล้วครับ อยู่ที่ว่าจะ ส่งผลกับเรือใบลำนี้ ช้าหรือเร็ว มาก หรือน้อย เท่านั้นเอง เนื่องจากเมื่อเจ้าของทีม ‘งานเข้า’ เจอคดีมากมายรุมเร้าแบบนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากมากครับ ที่ แฟรงค์ ซินาตรา จะมีเวลามา ปรึกษาหารือกับทีมงานเกี่ยวกับทิศทาง และความเป็นไป ของสโมสรจากย่านอีสต์แลนด์
เรื่อง Budget หรืองบประมาณที่เคยให้คำมั่นสัญญากับ ‘สปาร์กี้’ มาร์ค ฮิวจ์สเอาไว้ ถึงตอนนี้ ซิตี้สอยมาแค่ โจ หัวหอกเลือด แซมบ้าค่าตัว 19 ล้านปอนด์ (ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์) กับ ทาล เบน ฮาอิม เท่านั้น ขณะที่ก็ฮิวจ์สก็ยัง ‘อ้ำอึ้ง’ และไม่ชัดเจนเท่าไรถึงกรณีที่ทีมจะขาย เวดราน ชอร์ลูก้า ให้สเปอร์ส และสตีเฟน ไอร์แลนด์ ที่มีข่าวกับซันเดอร์แลนด์

เคสของสองตัวหลัก ที่อาจจะโดน ‘บีบ’ ให้ย้ายออกไปโดยบอร์ดนี้แหละครับ อาจจะส่งผลโดยตรงถึงการ ตัดสินใจของฮิวจ์สได้เลยว่าจะ Commit หรือทุ่มเทตนให้อู่ข้าว อู่น้ำใหม่ของเค้าต่อ ตามแบบฉบับของมืออาชีพที่พึงกระทำ หรือจะเลือก "หักดิบ" ตัดช่องน้อยแต่พอตัวลาออกไปเพื่อ ความสบายใจของตัวเอง
จากการให้สัมภาษณ์ช่วงหลัง ๆ ของกุนซือฮาร์ดคอร์รายนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีครับว่าเจ้าตัว ‘อึดอัด’ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสโมสรแมนฯ ซิตี้ พอสมควร เพราะหลาย ๆ อย่าง ตัวเค้าซึ่งน่าจะเป็นคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องการซื้อ / ขายผู้เล่นมากที่สุดกลับโดนมองข้ามหัวและ ได้แต่ทำหน้าที่คุมทีม+ วางแท็กติกส์ รอความหวัง และคำมั่นสัญญาเรื่องงบประมาณ ใช้จ่ายซื้อตัวผู้เล่นมาเสริมทีม ไปวัน ๆ อย่างนั้นหรือ

ผมไม่เชื่อนะครับว่าคนที่เด็ดขาด และมีความชัดเจนใน การทำงานพอสมควรอย่างฮิวจ์สคง ต้องขอเคลียร์กับ บอร์ดบริหารก่อนฤดูกาลจะเริ่มขึ้นอย่างแน่นอน และจากนี้น่าสนใจมากครับว่า ความสัมพันธ์ของผู้จัดการทีมเลือดเวลส์ และอดีตนายกฯชาวไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป
อีกเรื่องที่ผมสนใจเป็นพิเศษก็คือประเด็นที่ พรีเมียร์ลีกนำโดย CEO ริชาร์ด สคูดามอร์ อาจทบทวนความเหมาะสมของ “ทักษิณ” ในฐานะเจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกครั้งนึง เพราะตามกฎของพรีเมียร์นั้นบอกไว้ชัดเจนว่า หากคุณทักษิณโดนพิสูจน์ + ตัดสินว่ามีความผิด ทางกฎหมายอาญาจริง ‘คุณสมบัติ’ การครอบครองสโมสรแมนฯซิตี้ ก็อาจจะหมดลง และหากไม่ยอมลงจากเก้าอี้ พรีเมียร์มีสิทธิ์ที่จะ ถอดถอนสโมสร ออกจากการแข่งขัน ตามกฎ D10

เคสโดนถอน ออกจากการแข่งขัน คือ สมมติฐานที่อาจเกิด ขึ้นอย่างเลวร้ายที่สุดนะครับ และก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป เพราะว่าหากเรื่องบาน ปลายไปถึงขั้นนั้นจริง ๆ ผมเชื่อว่าคุณทักษิณน่าจะหานายทุน รายใหม่มารับช่วงต่อได้แน่ เพราะซิตี้ก็เป็นทีมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แฟนบอลในเมืองแมนเชสเตอร์ ก็มากกว่าแมนฯยูไนเต็ดด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ทรัพยากร และศักยภาพของทีมเรือใบก็ไม่ได้ขี้เหล่เลย

ส่วนตัวเชื่อนะครับว่าถ้าซิตี้ ได้เม็ดเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย + ท่านประธานออกมาชี้ให้ชัดถึงเป้าหมาย และทิศทางที่แน่นอน กุนซือฝีมือดีอย่าง มาร์ค ฮิวจ์ส น่าจะพาเรือใบแล่นฉิวได้ไม่ยาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ว่า เมื่อถึงเวลาแฟนบอลแมนฯซิตี้ ยังจะเชื่อมั่นในตัวประธานสโมสรอยู่หรือเปล่า เพราะกระแสต่อต้าน หลังจากด่วนปลด สเวน โกรัน เอริคส์สัน ก็เริ่มมีให้เห็น เมื่อรวมเรื่องความเหมาะสม ที่ถูกตั้งคำถามขึ้นมาอีก อันนี้คงยังไม่มีใครสามารถตอบได้ และ ‘เวลา’ เท่านั้นครับที่เป็นบทเฉลยนิยายเรื่องนี้...

Wednesday 6 August 2008

คู่หน้าใครคมกว่า จะพาทีมเถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีก

รอบอาทิตย์ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่ชีวิต ของผมใน ประเทศอังกฤษยุ่งเหยิง พอสมควรครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สอบที่มหาวิทยาลัย จัดของแพ็คกระเป๋าเตรียมตัว ไปฮอลิเดย์เมืองไทยตามด้วยต่อ License ของ ‘คิกออฟ’ กับ ‘เอฟเอ’ เพื่อที่จะได้มาซึ่ง League Photo ID Cards (บัตรนักข่าวของซีซั่นนี้) + ต่ออายุ Journalist Insurance (ประกันภัยผู้สื่อข่าว) ที่หมดลงไป และมาเร่งทำสองอาทิตย์สุดท้ายก่อนกลับ
ถึงตอนนี้คิด ว่าทุกอย่างน่าจะ จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เพราะประกันภัยก็ต่อไปแล้ว สอบ และรายงาน กองโตก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เหลือก็แต่รอบัตร Press card เนี่ยแหละครับ ไม่รู้ว่าจะทันได้รับก่อน จะกลับไทยวันเสาร์นี้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และท้าทายดีสำหรับผมครับโดยเฉพาะ เรื่องการต่อไลเซนต์กับ Football DataCo Ltd หนึ่งในองค์กรย่อยของเอฟเอ พรีเมียร์ลีกซึ่งทำหน้าตรวจเช็ครายละเอียดข้อมูล และ ‘มอบอำนาจ’ ให้ Third party หรือ ’สื่อ’ (ซึ่งในที่นี้ก็คือ “คิกออฟ”) มีสิทธิ์ได้เข้าไปชมฟุตบอลลีกของ ที่นี่โดยกฎเกณฑ์หลัก ๆ นั้นก็เหมือนเช่นเคยครับที่ นักข่าวต้องแฟกซ์ หรืออีเมล์ยื่น ความจำนงไปว่าอยากจะเข้าชมเกมไหนเป็นครั้ง ๆ ไป ไม่มีการจองล่วงหน้า หลังจากนั้นวันสองวันก่อน ‘แมตช์เดย์’ ก็จะได้ ‘คำตอบ’
จากสโมสรที่เราติดต่อไปว่าจะได้ ‘ที่นั่ง’ ในเกมนั้น ๆ หรือไม่
จากประสบการณ์ในซีซั่นที่แล้ว หากเป็นเกมใหญ่ ๆ อย่างคู่ แมนฯยูฯ-ลิเวอร์พูล หรืออาร์เซนอล-สเปอร์ส โอกาสที่จะได้ตั๋วสำหรับสื่อเอเชียหัวดำก็อาจจะน้อยลงไป ตามกฎเกณฑ์ที่พอจะเข้าใจได้ว่า ต้องให้พื้นที่สื่อเจ้าถิ่นก่อน อย่างไรก็ดีครับ ไม่ใช่ว่าคู่ใหญ่ ๆ จะไม่มีโอกาสได้เอาซะเลย เพราะปลายซีซั่นที่แล้วอย่างคู่ อาร์เซนอล-ลิเวอร์พูล ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ผมก็ ‘ฟลุ๊ค’ ได้ที่นั่งมาเหมือนกันนะ : )
ก่อนหน้านี้ยอมรับตามตรงว่าเกือบทุกอย่างนั้นมี ‘ใหม่ โมบาย’ หรือเฮียใหม่ ที่ตอนนี้ผ่านการ อบรบโค้ชฟุตบอลทั้งที่ David Beckham Academy และล่าสุดก็เพิ่งไปสอยใบ ประกาศจากบราซิลมาอีกใบ เป็นคนดูแล และช่วยเหลือเรื่องการติดต่อ ประสานพวกนี้ให้ตลอด ในช่วงที่ผมอยู่ในช่วง ‘เริ่มหัดเดิน’ จากนี้ไปก็คงถึงเวลาที่ต้องยืนด้วยลำแข้ง ตัวเองเสียทีครับหลังจากทำตัวเป็นภาระให้แกมานาน
จำได้แม่นว่าช่วงที่มาอังกฤษใหม่ ๆ จะหาบ้าน ย้ายบ้าน หรือแค่อยากรู้ว่าร้านอาหาร ไหนดีไม่ดีก็ได้เฮีย แกนี่แหละครับช่วยไว้ จริง ๆ ก็เกรงใจนะครับ ที่ต้องรบกวนแกบ่อย แต่เพราะ ผมถือคติที่ว่าแกอยู่มานาน น่าจะช่วยผมได้ ฮ่า ๆ (แย่เนอะ...ว่ามั๊ย?)
ส่วนเรื่องของฟุตบอลอังกฤษ ณ.นาทีนี้ ผมยังคงติดตาม ‘ดีล’ ของคริสติอาโน่ โรนัลโด้ อย่างใกล้ชิดเหมือนเช่นเคยครับ สาเหตุหลักก็เพราะส่วนตัวเชื่อว่า ดีลนี้จะมี เอฟเฟกส์ โดยตรง กับทิศทางของสเปอร์สทีมในดวงใจว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะถ้าหนูโด้ซึ่งกำลังจะ กลับไปพบหน้าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่แคมป์ผีแดง เคลียร์ปัญหาหัวใจกันได้ แล้วตัดสินใจอยู่ค้าแข้งกับทีมต่อก็จะหมายความว่าโอกาสที่เบอร์บาตอฟจะ อยู่ล่าตาข่ายในเล้าไก่ต่อไปจะมีโอกาสเป็นไปได้สูง
ในทางกลับกัน หากปีกเทพเลือด ฝอยทองยังจะดื้อดึง ยืนยัน นอนยันว่ายังไงหนูก็จะไปค้าแข้งที่สเปนกับรีลมาดริด เชื่อได้ว่าจอมคนเลือดสกอตอย่างเฟอร์กูสัน ก็คงไม่ง้ออีกแล้ว และจะยอมหั่นสะบั้นความสัมพันธ์ฉันพ่อลูก และยอมปล่อยออกไปพร้อมกับเงิน ก้อนโตไม่ต่ำกว่า 60 ล้านปอนด์อย่างแน่นอนซึ่งนั่นก็จะหมายความว่าเรา จะได้เห็นเบอร์บาตอฟในชุดแดงเพลิงเช่นกัน
ซึ่งถ้าหวยออกมาแบบนั้น สเปอร์สของฆวนเด้ รามอสก็จะได้ Budget ราว ๆ 30 ล้านปอนด์ออกช็อปปิ้งอีกคำรบพร้อมถอยโปรเจค ‘สอยบีญ่า ล่าฝันบิ๊กโฟร์’ มายืนเป็นหอกคู่ ดาร์เรน เบนท์ สากเลี่ยม ทองค่าตัวแพงระยับที่ไม่รู้กินยาอะไรผิดในช่วงฟุตบอลปิดเทอม ยิงเหมือนเก็บกด อะไรไว้ไม่ทราบ พ่อสอยไปซะ 10 โกล์ จากการลงเล่น 5 นัดในช่วงที่ผ่านมา
ยิงแบบนี้ผมก็ได้แต่จุดธูป สวดมนต์ปนภาวนา ให้พ่อเบนท์เป็นหอก นิลกาฬที่ยิงได้แบบนี้เรื่อย ๆ นะ...สาธุ ไหน ๆ ก็พูดถึงผู้เล่นในตำแหน่ง กองหน้าแล้ว ผมเชื่อ + ขออนุญาติฟันธงล่วงหน้าเช่นเคยนะครับว่าปีนี้ ทีมไหนที่กองหน้าเล่นได้แบบมองตาก็รู้ใจคู่ขามากที่สุด ทีมนั้นจะ มีโอกาสสอยพรีเมียร์ชิพโทรฟี่มาครอบครอง...โดยสมมุติฐานนี้ ผมขอเลือกมาจากแค่ 4 ทีมจากบิ๊กโฟร์เท่านั้นนะครับ
พาร์ทเนอร์คู่แรกที่อยากพูดถึงในวันนี้ คิดว่าน่าจะเป็นคู่หน้าที่หลายคนนั่งนับวันให้พรีเมียร์เปิดเร็ว ๆ เพราะอยากดูการประสานงานกัน มากน่าจะเป็นคู่ คีน-ตอร์เรส นะครับ เพราะดูจากสไตล์ของทั้งคู่ บวกสถิติส่วนตัวของแต่ละคนที่สะสมมา ทั้งคู่น่าจะการันตีอย่างน้อย ๆ 40 ประตูให้หงส์แดง ลิเวอร์พูล แน่นอน
อย่างไรก็ดีครับผมเชื่อว่า สุดท้ายแล้วแม้คีนจะปรับตัวได้เร็วในรั้วแอนฟิลด์ แต่สุดท้ายผมยังเชื่อว่าแนวรับ และ ปรัชญาการทำทีมของราฟา เบนิเตซ ยังไม่เหมาะกับแชมป์ที่ต้องลุ้นกันไปยาวๆอย่างพรีเมียร์ชิพครับ
คู่ที่สอง ทีมผีแดงส่งเข้าประกวดคือคู่ รูนี่ย์-เตเบซ สองคนนี้ดูจากสรีสะ และสไตล์การเล่นดูเหมือนจะไปกันไม่ได้ แต่ก็อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ประจักษ์สายตากันไปแล้วว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แม้ว่าในปีที่ผ่านมาสองคนนี้จะโดนจับยืนตำแหน่งด้านข้างซะเยอะ แต่ซีซั่นใหม่ที่จะถึงนี้ หากหนูโด้มีอันต้องโบกมือลาทีมไปจริง ๆ ผมเชื่อครับว่า สองหน่อร่างตันนี้จะไม่ทำให้แฟนผีแดงร้องไห้ คร่ำครวญคิดถึงปีกสุดหล่อนานนัก เพราะไหนจะมีเทพ เบอร์บาตอฟเข้ามาเสริมอีก ดังนั้นผีแดงยังไงก็เป็น ‘เต็งหนึ่ง’ ในใจผม
ถัดมาเป็นคู่หอกสองสี สองสไตล์ ที่เจ๊เวนเกอร์ส่งเข้าประกวดครับ โรบิน ฟานเพอร์ซี่ และเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ที่คนนึงก็เซนส์บอลดี บวกเท้าซ้ายที่แม่นราวกับจับวางหากว่า On form มานี่หาตัวจับได้ยากมาก (มีข้อแม้ว่าต้องฟิตนะ) ขณะที่อีกคนก็เป็นกองหน้าในฝันของกุนซือทุกคน เพราะมีความใหญ่ ไว คม และเทคนิคดี แม้หากดูจากสภาพทีมโดยรวม เดอะ กันเนอร์สจะเสียตัวหลัก ๆไปพอสมควร แต่เท่าที่ได้เห็นฟอร์มแบบคร่าว ๆ ในเอมิเรตส์ คัพ แล้ว “ยังบลัด” ที่เวนเกอร์เตรียมดันขึ้นมานั้นขอบอกเลยครับว่าไม่ธรรมดา และเจเนอเรชั่นชุดนี้จะพาอาร์เซนอลให้ได้ลุ้นไปยาว ๆ แน่นอนในพรีเมียร์ชิพปีนี้
คู่สุดท้ายเป็นสิงห์ไฮโซ ส่งเข้าประกวดครับ เป็นหอกดำทะมึน แต่ท็อปคลาสด้วยกันทั้งคู่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันให้เสียเวลานะครับ เพราะว่ามีคุณสมบัติกองหน้าที่ดีครบทุกอย่างเหมือนกับอเดบาบอร์ ขณะที่พาร์ทเนอร์ของเค้าถึงตอนนี้น่าจะเป็น นิโคลาส์ อเนลก้า ที่แม้จะดับไม่เป็นท่ากับซีซั่นแรก ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ เพราะโดนจับไปเล่นปีกมั่ง กองหน้ามั่ง แต่ฟอร์ม ณ ปัจจุบันของหอกอารมณ์ติสด์ ชาวฝรั่งเศษรายนี้นั้นยิงกระจายโดยเฉพาะเกมล่าสุดที่สอยไปสี่ตุง ในเกมกับมิลานนั้นทำให้ผมเชื่อมั่นครับว่า อเนลก้าจะกลับมาเล่นได้ดีขึ้นแน่นอนในฤดูกาลหน้า
ยิ่งถ้าสิงห์บลูได้โรบินโญ่มาเสริมแนวรุกจริง ๆ อย่างที่เป็นข่าว เชลซีนี่แหละครับคือผู้ท้าทายตำแหน่ง แชมป์ในปีนี้กับแมนฯยูไนเต็ด อย่างแท้จริงครับ..