Friday 3 July 2009

ใครว่า ปาฏิหารย์ไม่มีจริง..

ไมเคิล โอเว่นที่ว่าอนาคตดับสนิทไปแล้ว ยังอุตสาห์ได้เซ็นสัญญากับยอดทีมอย่างแมนฯยูไนเต็ด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำท่าว่าจะไม่มีทีมไหนเหลียว
ลงทุนกับทีมงานแจกโบชัวร์ร่อน เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่ง จากนักเตะเนื้อหอมที่ทุกทีมบนโลก อยากมีไว้ครอบครอง เหลือเพียงแค่ 'ความทรงจำดีๆ'

แต่ความพยายามนี้ก็ไม่สูญเปล่า...
ชีวิตคนเรา ขอแค่อย่าท้อแท้ เชื่อเถอะว่ายังมีแสงสว่างที่ปลายทางเสมอ
แม้กายจะบอบช้ำ เหนื่อยล้า แต่ใจยังสู้ต่อ

-Nothing is Impossible- สู้ต่อไปนะโอเว่น

Friday 26 June 2009

ผิดหวังกับชุดเหย้าใหม่สเปอร์ส

เมื่อวานเป็นวันแรก (25 มิถุนายน) ที่ทางสเปอร์สเปิดตัวและนำชุดเหย้า/เยือน ของซีซั่นใหม่มาวางขาย คาดว่าแฟนไก่เดือยในอังกฤษจำนวนไม่น้อยเลยละแห่กันไปที่สโมสร

แต่ดูๆเหมือนแฟนบอลบางส่วนจะออกแนวไม่ค่อยประทับใจกับชุดแข่งใหม่ซักเท่าไร โดยเฉพาะชุดเหย้าสีขาวที่แทบไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ นอกจากแถบตัว V สีเหลืองอ๋อยมาขัดลูกตาเปล่าๆ

ผมเองก็เป็นอีกคนที่เห็นแล้ว 'ไม่ปลื้ม' เลย....เฮ้อ เซ็ง !

ปล. ถึงเสื้อไม่สวย แต่ขอจบฤดูกาลด้วยอันดับสวยๆละกันเนอะ

Sunday 21 June 2009

ดู ดู๊ ดู ดู เธอทำ

บังเอิญเข้าไปอ่านข่าวบอลในเว็บ Daily mail ปรากฏว่าช็อคตาตั้งกับภาพทอม ฮัลเดิลสตันยืนพุ่งโย้ยังกะคนท้อง 5 เดือน ในมือถือถุงแม็คโดนัลล์

ตอนแรกนึกว่าของจริง อ่านไปอ่านมาปรากฏว่าแฟนบอลตัวแสบใช้โปรแกรมตัดต่อภาพ

แหมถ้ามันโย้แบบนี้จริง ก็คงไม่แปลกว่าทำไมลุงจ่าถึงไม่ค่อยปลื้มทอมมี่เรา ฮ่า
ปล.พุงกับถุงบิ๊กแม็คนั่นตัดต่อ แต่กางเกงลิงสีชมพูเป็นของทอมจริงๆ มันกล้าเนอะว่ามะ?
โรนัลโด้ถึงกับอายเลยทีเดียว อิอิ

Thursday 18 June 2009

GOAL 3 : หนังฟุตบอลที่่ไม่ค่อยเกี่ยวกับฟุตบอล

Goal ภาคแรกถือเป็นหนังที่เกี่ยวกับฟุตบอลเรื่องนึงที่ผมชื่นชมไม่แพ้เรื่อง Green Street และ หนังเตะเสี้ยวลิ่มยี่ที่ฮาโดนใจผมสุดๆ

ขณะที่ภาค2ของGoal แม้จะดังเปรี้ยงเท่าภาคแรกแต่ผมเชื่อว่าคอบอลไม่มากก็น้อยยังอยากจะรู้ว่าภาคต่อมาจะเป็นเช่นไร...

เมื่อคืนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ดู Goal ภาคล่าสุดที่ว่ากันว่าจะลงโรงต้นปี 53 ต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ผ่านเว็บ http://quicksilverscreen.com/watch?video=67764

ภาคนี้ตัวเอกจากสองภาคแรกอย่างซานติเอโก้ มูเนซแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย โดยทางผู้สร้างเน้นไปที่ตัวละครอื่นที่แสดงเป็นเพื่อนมูเนซซึ่งติดทีมชาติอังกฤษไปฟุตบอลโลก ขณะที่ตัวเอกของเรื่องดันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บชวดเล่นให้ทีมชาติเม็กซิโก (ชาติเกิดของพ่อ) ยืนดูเพื่อนเล่นตลอดเรื่อง

เรื่องนี้ดูไปดูมาเป็นหนัง Drama ซะอย่างนั้น คนที่คาดหวังจะเห็นเรื่องราวในสนามนั้นคงผิดหวังไม่น้อย ขณะที่คนที่ชอบแนวดราม่าหน่อยๆก็คงจะซึ้งกับเรื่องราวของสายใย ความรัก และความผูกพันของตัวละคร ที่ดึงมาโยงกันได้อย่างแนบเนียน

อีกจุดนึงที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดีก็คือฉากต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลก และ ความน่ารักของแฟนบอลที่ตามไปเชียร์ทีมที่ตัวเองรัก อ๋อ..เพลงประกอบหนังก็เพราะดีครับ

โดยรวมแล้วถือว่า Goal 3 เป็นหนังฟุตบอลที่เกี่ยวกับฟุตบอลน้อยมั่กๆ ก็ได้หวังละครับว่าภาคหน้า (ถ้าหากมี) ผู้กำกับท่านนี้จะเน้นไปที่เรื่องราวของชีวิต ซานติอาร์โก้ มูเนซให้มากกว่านี้หน่อย เพราะภาคนี้ได้เกริ่นไว้ครับว่า มูเนซ เซ็นสัญญา 2 ปี เตรียมเล่นให้ สเปอร์ส หลังจบฟุตบอลโลก
ปล. หากอยากโหลดหนังมาเก็บไว้ก็เว็บนี้เลยครับ : )

Monday 15 June 2009

รุด-โทนี่ ใครกันที่เหมาะกับสเปอร์ส?

ปิดฤดูกาลทีไรก็ตกเป็นข่าวว่าจะจีบคนนั้นที แอบเหล่คนนี้ทีเป็นประจำสำหรับ 'ไก่เจ้าชู้' ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส เพราะล่าสุดหลังวืดตัวแกเรธ แบร์รี่ที่ไปรับทรัยพ์พร้อมค่าเหนื่อยก้อนโตที่แมนฯซิตี้ ลุงจ่าเราก็เริ่มทำการบ้านภาคฤดูร้อนด้วยการตกเป็นข่าวว่าสนใจสองกองหน้าวัยดึกอย่างรุด ฟาน นิสเตลรอย และ ลูก้า โทนี่ เพื่อมาเป็นตัวแทนของโรมัน พาฟลิวเชนโก้ ที่ทำท่าว่าจะโดนอับเปหิจะเล้าไก่ค่อนข้างชัวร์
รายแรก น้ารุด - อดีตหัวหอกฝีตีนดีที่เคยยิงระเบิดกับแมนฯยูไนเต็ด แต่ภายหลังย้ายมาค้าแข้งในซานติเอโก้ เบอร์นาบิวกับเรอัล มาดริดแล้วเหมือนจะเข้าโรงหมอมากกว่าลงเล่น แถมความรวดเร็วก็ลดไปเยอะ แว่วๆว่าค่าตัว ล้านกว่าปอนด์เท่านั้นเอง ค่าเหนื่อยเท่าไรไม่รู้แต่ด้วยประสบการณ์และความนิ่งหน้าปากประตูของ 'รุด' น่าจะทำให้แนวรุกของเราดีขึ้นไม่มากก็น้อย
ทัศนะส่วนตัว - ได้มาจะดีมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าเบนท์และพาฟ ที่หมูหกหน้าประตูบ่อยๆ

รายต่อมา - ลูก้า โทนี่ หอกวัยดึกอีกคนของบาเยิร์น มิวนิค ผลงาน2ฤดูกาลที่ผ่านมาในสโมสรถือว่าใช้ได้เลยยิงไปทั้งสิ้น 61 ประตู ค่าตัว 4 ล้านปอนด์ + ค่าเหนื่อยก้อนโต ประมาณ 5.5 ล้านยูโร ต่อปี ถือว่าสูงลิบเลยละกับกองหน้าวัยขนาดนี้

ทัศนะส่วนตัว - พอดีว่าพึ่งดูฟุตบอลคอนเฟดเดอเรชั่น คู่ระหว่างอิตาลี-อเมริกา จบ (อิตาลีชนะ3-1) ผมว่าฟอร์มโทนี่เกมนี้ ต่ำกว่ามาตรฐานมาก โอเคแม้จะเก็บบอลได้ หากแต่ว่าดูการเคลื่อนที่ช้าลงไปมาก แถมพลาดการทำประตูลูกจ่อๆไปเสียฉิบ เกรงเหลือเกินครับว่ามาเจอบอลเร็วๆหนักๆในอังกฤษแล้วคุณน้าแกจะสอบตกไม่เป็นท่าเหมือนนักเตะจากลีกกัลโช่คนอื่นๆ
สรุปแล้วในใจลึกๆหากลุงจ่าแฮร์รี่ต้องการกองหน้าชั่วโมงบินสูงมาเสริมทีมจริงๆ ผมขอยกมือเชียร์ 'รุด ฟาน' เพราะเคยเล่นในพรีเมียร์น่าจะคุ้นเคยกับระบบการเล่นที่นี้

คุณผู้อ่านละครับ อยากได้ใครมาเสริมกองหน้าให้ไก่เดือยทองของเรา ฟาน นิสเตลรอย หรือ โทนี่?
ปล. จริงๆผมว่าซานตาครูซ ยอน คาริว หรือ คาร์ลตัน โคลก็เป็นชอยส์ที่ไม่เลวนะ : )

Sunday 10 May 2009

Onside With...Jermain Defoe : คุยสบายๆกับนายเดโฟ

Life
Q: เมื่อไรก็ตามที่มีเวลาให้ตัวเอง
JD: ถ้าวันไหนอยากอยู่คนเดียวก็จะหาเพลงมานั่งฟัง ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะออกไปหาเพื่อนๆ ผมชอบที่จะอยู่กับผู้คน อย่างไรก็ตามมีหลายครั้งเหมือนกันที่ผมอยากอยู่ชิวๆคนเดียว
Q: เมื่อคุณรู้สึกแย่มากๆ
JD: กลับบ้านไปหาคุณแม่ของผม ซานดร้า ผมเจอท่านบ่อยๆเพราะว่าเธอเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสำหรับผมมากเหลือเกิน เธอเข้าใจผมเสมอและในช่วงที่ฟอร์มตกก็ได้แม่นี้แหละคอยให้กำลังใจ นอกจากนี้เธอยังทำอาหารได้สุดยอดมากๆ นี้แหละคืออีกสาเหตุว่าทำไมผมถึงกลับไปหาแม่บ่อย ! (หัวเราะ)

Q: อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมั้ย?
JD: ผมแฮปปี้กับสิ่งที่ผมเป็นนะ
Q: สิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดที่พ่อแม่สอนมา
JD: การวางตัวในสังคมและการเคารพผู้อาวุโสกว่า บางคนอาจจะเข้าใจว่าพวกนักฟุตบอลคงเป็นพวกเย่อหยิ่งทะนงตัวแม้กระทั่งกับผู้หลักผู้ใหญ่ แต่สำหรับผมแล้วผิดถนัดเลย ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น

Q: บทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
JD: ทำอย่างไง ได้อย่างนั้น สิ่งๆนี้สอนให้ผมตั้งใจฝึกซ้อมให้หนักขึ้นเพื่อเป็นนักฟุตบอลที่ดีกว่าเดิม
Q: ข้อเสียของคุณ
JD: ต้องตัดผมทุกอาทิตย์...ให้ตายเถอะแต่ผมไม่สามารถปล่อยให้มันยาวได้ ข้อแก้ตัวของผมก็คือ ทรงผมแหล่มแล้วฟอร์มจะแหล่มตาม !

Q: วันสำคัญที่สุดในชีวิต
JD: ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับเวสต์แฮม อย่างไรก็ดีมีอีกหลายๆครั้งที่ผมได้เจอช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม อย่างเช่นการได้เปิดซิงลูกแรกในนัดที่ลงเล่นให้เวสต์แฮมในเกมพบวอลซอล์ (ตอนอายุ17) และลงเล่นทีมชาตินัดแรกก็ยิงประตูได้เลย
Q: เพลงติดปากช่วงนี้
JD: Joe อัลบั้ม New Man
Q: คนที่ทำให้คุณมีเสียงหัวเราะเสมอ
JD: สเตฟาน ญาติสนิทของผม หมอนี้ไม่เคยหยุดปล่อยมุกแม้ว่าบางครั้งมันออกจะฝืดๆก็ตาม

Taste- รสนิยม
Q: ตึกที่ชอบ
JD: จริงๆแล้วไม่มีนะ แต่ถ้าเป็นภูเขาละก็คงเป็นที่ Pitons ณ เซนต์ลูเซีย (St. Lucia)

Q: ภาพวาด
JD: ภาพเสก็ตของบ็อบ มาร์เล่ย์ที่ผมแขวนไว้ที่บันได้บ้าน ดูแล้วรู้สึกดีเสมอ

Q: การเดินทาง
JD: St.Lucia บ้านหลังที่สองของผม (บรรพบุรุษของเดโฟมาจากที่นั้น)

Q: สถานที่สุดโปรดในอังกฤษ
JD:ฮาร์ดฟอร์ด เชียร์ (Hertfordshire) บ้านเกิดของผมเอง ทุ่งหญ้าและวิวทิวทัศน์สวยอย่าบอกใคร

Q: ของติดตัวที่ขาดไม่ได้
JD: ไอพอต เพราะว่าผมรักเสียงเพลง

As a boy
Q: หนังสือที่ชอบ
JD: ไม่มีครับ แม่ผมพูดอยู่เสมอว่าผมไม่เคยนั่งนิ่งๆได้เกิน2นาทีเลยสมัยเป็นเด็ก

Q: ตัวการ์ตูนที่ชอบ
JD: นินจาเต่าฮับ!
Q: รายการทีวีสุดโปรด
JD: ทอมแอนด์เจอร์รี่ (Tom&Jerry) ผมชอบอะไรที่เคลื่อนไหวเร็วๆ

On Spurs
Q: วันแรกที่สเปอร์สเป็นอย่างไรบ้าง
JD: ผมจำมันได้แม่น พอถึงสนามปุ๊บบอกตามตรงตกหลุมรักทันที นอกจากนี้ผมสนิทกับพวกเลดส์ลี่ย์ (คิง) และ แอนโทนี่ การ์ดเนอร์เป็นส่วนตัวอยู่แล้ว การปรับตัวจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่

Q: บุคคนแรกที่คุณเจอที่สโมสร
JD: เดวิด พลีท ผู้จัดการทีมชั่วคราวในเวลานั้น ผมชอบการฝึกซ้อมของเค้าน่ะ สนุกดี

Q: เพื่อนที่ดีที่สุดที่สเปอร์ส
JD: เลดเดอร์ (ชื่อเล่นเลดส์ลีย์ คิง) สุดยอดสุดแล้ว เพราะเป็นเพื่อนที่จริงใจและเฮฮาได้อีก

Q: ความผิดหวังครั้งร้ายแรง
JD: ผมพยายามที่จะไม่จำมัน เพราะเชื่อว่าอะไรที่มันผิดพลาดไปไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้ ผมจึงพยายามทำงานให้หนักเพื่อลบความทรงจำเหล่านั้นออกไป

Q: คู่ต่อสู้ที่คุณให้ความยอมรับมากที่สุด
JD: เพื่อนรักของผม ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ เนื่องจากเป็นนักเตะที่ฝึกซ้อมหนักมากแถมยังตัวเล็กกว่าอีก!
Q: ประตูที่อยู่ในความทรงจำ
JD: เกิดขึ้นในเดือนพฤษจิกายนปี2004 เกมพบกับอาร์เซนอล ผมลากบอลผ่านผู้เล่นสาม สี่คนก่อนซัดโครมเข้ามุมอย่างสุดสวย เยนส์ เลห์มันไม่ได้ขยับ
Q: กิจวัตรก่อนลงแข่ง
JD: ตื่น 9โมงเช้า หาอะไรเบาๆทาน ก่อนออกเดินยาวๆเป็นการวอร์มอัพร่างกาย ฟังเพลงเรียกความฮึกเหิมเล็กน้อยก่อนอาบน้ำอาบท่าเดินทางไปสนาม

Q: สนามในพรีเมียร์ชิพที่ทำให้คุณประทับใจ
JD: โอลด์ แทรฟฟอร์ด สมัยยังเด็กผมฝันมาเสมอว่าจะได้ลงเล่นที่สนามแห่งนี้ เนื่องจากเป็นสนามที่ใหญ่ ผู้ชมแน่น และบรรยากาศสุดยอด ในฐานะนักเตะการได้ลงเล่นกับยอดทีมอย่างแมนฯยูฯแล้วเอาชนะพวกเค้าได้ในบ้านเป็นอะไรที่พิเศษอยู่แล้ว
Q: สิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดที่สเปอร์สละ
JD: แฟนบอลที่สุดยอดคอยหนุนหลังเราอยู่ตลอดเวลาไงล่ะ ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใดคุณจะพบแฟนสเปอร์สเสมอ ผมรู้ซึ้งดีตอนที่ย้ายออกไปว่าคิดถึงสโมสรแห่งนี้ขนาดไหน...
Jermain Defoe Career timeline
1982: ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1982, Beckton London

1997: ขณะที่อายุ14 หนุ่มน้อยซาไกถูกค้นพบโดยแมวมองทีมชารล์ตัน และเล่นให้ทีมเยาวชนของ ‘ดาบอัศวิน’ ก่อนโดนเวสต์แฮมฉกไปเซ็นสัญญาในเวลาต่อมา

2000: หลังจากได้แชมป์ถ้วยเยาวชนกับเวสต์แฮม เดโฟถูกดันขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในเกมลีกคัพพบวอลซอร์แถมทำประตูชัยในเกมนั้นได้อีกด้วย

2001: ถูกยืมตัวไปเล่นให้บอร์นมัธทั้งฤดูกาล ก่อนประกาศศัดาความเป็นยอดดาวยิงด้วยการยิงประตู10นัดติดต่อกันทำลายสถิติของจอห์น อัลดริดจ์

2004: เดือนมกราคมปี2004 หลังยิงเป็นว่าเล่นกับเวสต์แฮม (105นัด 41ประตู) เดโฟตัดสินใจย้ายมาสเปอร์สสลับฝากกับบ็อบบี้ ซาโมร่าที่สอบตกในถิ่นไวท์ ฮาร์ทเลน โดยนัดแรกที่เล่นให้ทีมตราไก่ก็ยิงประตูเปิดซิงให้ตัวเองได้เลย และทำแฮตทริกในเกมพบเซาธ์แธมตันได้ด้วยในปีนั้น

2008: หลังจากเล่นให้ทีมมา4ปี เดโฟไม่พอใจกับบทบาทข้างสนาม จึงย้ายมารับใช้แฮร์รี่ เรดแนปป์ผู้ปลุกปั้นในวัยเด็กที่ปอร์ทสมัธ ยิงไป15ประตูจากการลงเล่น31นัด

2009: ย้ายตามกุนซือหน้าง่วงกลับมาถิ่นไวท์ ฮาร์ทเลนอีกครั้ง และเพียงแค่เกมที่สองก็ยิงทีมเก่าอย่างปอมปีย์ได้เลย

Credit : สเปอร์สแม็กกาซีนฉบับเดือนเมษายน2009

Saturday 9 May 2009

บิ๊กโฟร์ ยากเกินจะแทรก...

วันนี้ไปดูบอลคู่ฟูแล่ม-แอสตัน วิลล่ามา กะเต็มเหนี่ยวว่าทีมเจ้าสัวคงไม่ชนะลูกทีมของมาร์ติน โอนีลได้ง่ายๆแน่

3-1!! สาม ประตู ต่อ หนึ่ง เจ้าบ้านต้อนซะงั้น!?

กองแช่งอย่างเราซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ตราไก่ ออกอาการเซ็งอย่างแรง

อุตสาห์ไต่อันดับจากท้ายตาราง ขึ้นมาสูดอากาศกับพวกท็อปเทนได้ หลังการเข้ามาร่ายมนต์ของพ่อมดแฮร์รี่ เรดแนปป์
ก้อเลยแอบหวังว่าจะได้ไปเตะยูโรป้า อย่างใครเค้าบ้าง...(เข้าตำราได้คืบจะเอาศอก)
ถือว่าต้องลุ้นเหนื่อยเลยทีเดียวละ หากจะหวังให้สเปอร์สได้สิทธิ์ไปเตะบอลยุโรปฤดูกาลหน้า..
เอาน่า ดีกว่าตกชั้น จิงมั้ย?

พูดถึงฟูแล่มแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่าฟอร์มในบ้านของพวกเค้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ขนาดแมนฯยูฯที่ว่าแน่ๆก็โดนฝังหลงหลุมมาแล้ว 2-0 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องชมรอย ฮอดจ์สันกุนซือมากล้นประสบการณ์ที่พาทีมจะตกชั้นแหล่ ไม่ตกชั้นแหล่อย่างฟูแล่มเขย่งก้าวกระโดดมาได้ไกลถึงเพียงนี้

ตัวผู้เล่นของฮอดจ์สันใช่ว่าจะดีเด่ อะไร นักเตะหลายคนเคยป็นแค่ส่วนเกินในทีมตราไก่ด้วยซ้ำ >.<

ด้านสิงห์ผงาด แอสตัน วิลล่าฟอร์มและความมั่นใจหายไปมาก ความน่ากลัวลดลงไปเยอะเทียบกับช่วงต้นฤดูกาลที่ทำท่าจะ 'เซอร์ไพรส์' แทรกตัวเองเป็นยืนทัดเทียมกับพวกสี่อรหันต์ บิ๋กโฟร์

ถึงนาทีนี้ คงต้องยอมรับสภาพกันแต่โดยดีว่า 'ช่องว่าง' ระหว่างทีมอย่าง แมนฯยูฯ เชลซี ลิเวอร์พูล และอาร์เซนอล เทียบกับทีมอื่นในลีกแล้ว ยัง ห่างไกลกันเยอะ

คงอีกหลายปีเลย กว่าทีมอย่าง สเปอร์ส วิลล่า เอฟเวอร์ตัน หรือ แมนฯซิตี้ จะตามทีมพวกนี้ทัน...

Monday 13 April 2009

ใครฆ่าประชาชน

'อำนาจ' และ 'เงินตรา' เป็นแค่ ของนอกกาย

แต่คนเราทุกวันนี้ยึดติด ลุ่มหลง อยู่กับมัน

เมื่อไหร่จะ ตาสว่างกันเสียที...

พอเถอะ หยุดเถอะ แค่นี้ยังไม่สาสมหรืออย่างไร กับศ.ก.ที่ซบเซาเหงียบเหงาราวกับป่าช้า
ต่างชาติ วันๆเค้าเตรียมช่วยกันระดมความคิดหานโยบายมาแก้วิกฤตศ.ก. กัน

คนไทยทำอะไรกันอยู่
เข่นฆ่ากันเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้าย...


สีแดง สีเหลือง หรือสีขาว สุดท้าย ก็เจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น...

---------------------------------------------------------------------------

<ใครฆ่าประชาชน : คาราบาว>

๐เราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม ใครฆ่าประชาชน

แม่ที่ลูกไม่กลับบ้าน...และหลานๆที่อาได้หายไปลูกที่พ่อไปหนใด..จะมีใครหยั่งรู้ถึงจิตใจฝนที่หล่นเป็นตะกั่ว..คือความหวาดกลัวของหัวใจใครฝันใดเท่ากับฝันร้าย..ในการจากไปของคนที่ตนรัก

เราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม ใครฆ่าประชาชน

คืนนี้ดาวได้ร่วงหล่น..ในร่างคนที่ตนเคยหนุนตักรักของใครต้องพลัดพราก..จากกันไปชั่วนิจนิรันดรเธอเป็นผู้เสียสละ..แต่ภาระนั้นใครจะไถ่ถอนเสียงแม่กล่อมลูกน้อยนอน..กับบทกลอนพ่อเป็นวีรชน

เราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม ใครฆ่าประชาชนเราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม ใครฆ่าประชาชน

๐ ๐ ๐

พ่อจ๋า พ่อจ๋า พ่อจ๋า พ่อหนูไปอยู่ไหน อยู่ไหนเล่าแม่จ๋าเมื่อไรพ่อหนูจะกลับมา..ซื้อตุ๊กตา ซื้อขนมมาฝากคนไหนใครเล่าคลุ้มคลั่ง..ไม่ยอมฟังเสียงเพลงประชาชนสั่งกลบด้วยเสียงปืนกล..ใบไม้หล่นถนนนั้นแดงฉานวิญญาณแห่งเสรีชน..คือผู้คนคู่ควรกล่าวขานเกียรติประวัตินั้นยืนนาน..แห่งการสืบสานประชาธิปไตย

เราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม..ใครฆ่าประชาชนเราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม..ใครฆ่าประชาชนเราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม..ใคร..ฆ่า..ประชาชนเราเป็นประชาชน..รักประชาธิปไตยเข่นฆ่าเราทำไม..ใครฆ่าประชาชน

------------------------------------------------------------------------------------------------

Thursday 9 April 2009

นับถอยหลัง

จองตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยแล้ว...ใจหายอย่างบอกไม่ถูก

คงคิดถึงอากาศบ้าบอของที่นี้ สวนสาธารณะไฮด์พาร์ค และฟุตบอลอังกฤษน่าดู

นั่งรถเมล์ทีก็พยายามเก็บภาพความทรงจำต่างๆเท่าที่เมโมรี่จะรับได้ ซึมซับบรรยากาศให้ได้มากที่สุด

ผู้คนที่เร่งรีบบนท้องถนนในเมืองหลวง, นักท่องเที่ยวที่เดินกันให้เพียบในตัวเมือง, อาหารจีนใน china town, สนามท็อตแน่ม, ฯลฯ >...<

I Love London

Thursday 19 March 2009

Onside With...Ledley King

หลายเรื่องราวที่เราไม่เคยได้ยินจากปาก ‘อดีต’ กัปตันทีมคนนี้...
Life
Q: เมื่อไรก็ตามที่มีเวลาให้ตัวเอง
LK: ผมมักหาเวลาไปพบเพื่อนๆและครอบครัว เพราะว่านอกเหนือจากฟุตบอลแล้วผมก็ไม่ได้มีกิจกรรมยามว่างที่โปรดปรานเป็นพิเศษเหมือนคนอื่นเค้า
Q: เมื่อคุณรู้สึกแย่มากๆ
LK: ไม่ค่อยมีนะ ผมเป็นคนสบายๆไม่ค่อยคิดอะไรมาก อย่างไรก็ดีบางครั้งอาจจะมีคิดเรื่องฟุตบอลบ้างแต่พอผมกลับบ้านไปพบหน้าลูกชาย (โคบี้) ผมก็รู้ได้เลยว่าอย่างน้อยก็มีเจ้าตัวเล็กนี้แหละทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้
Q: อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมั้ย?
LK: Nobody Perfect นะ และผมก็ไม่กลับไปแก้ไขอะไรหรอก ผมพอใจกับสิ่งที่ผมเป็น
Q: สิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดที่พ่อแม่สอนมา
LK: การวางตัวและมารยาทในการออกสังคม ท่านมักจะสอนผมเสมอว่าให้เคารพผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นอุปนิสัยของผมไปแล้ว
Q: บทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
LK: ช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมสูญเสียเพื่อนและญาติบางคนไปจึงได้ตระหนักว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทุกวันนี้ผมตื่นเช้ามาและบอกตัวเองเสมอว่าจะใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและสนุกกับมันให้มากที่สุด
Q: ข้อเสียของคุณ
LK: ผมชอบกินของหวานๆนะซิ! แต่ชีวิตนักฟุตบอลทำให้ผมต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ตามใจปาก น่าเศร้าเนอะว่ามั้ย?
Q: วันสำคัญที่สุดในชีวิต
LK: ปี2004 วันที่ลูกชายผมลืมตาขึ้นมาดูโลก อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้การคลอดของภรรยาผมดูติดขัดบ้างจนผมต้องรีบบินกลับบ้านจากทัวร์นาเมนต์ยูโร2004ที่โปรตุเกส แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี...เป็นวันนึงที่ผมภูมิใจที่สุดในชีวิตกับการได้เป็นพ่อคน
Q: เพลงติดปากช่วงนี้
LK: Use somebody และ Sex on Fire ของ Kings of Leon และ Mad ของ Ne-Yo
Q: คนที่ทำให้คุณมีเสียงหัวเราะเสมอ
LK: เพื่อนสนิทในวัยเด็กของผม เรารู้จักกันมานานมากและมีช่วงเวลาสนุกร่วมกันมาเยอะสมัยเรียน เมื่อไรก็ตามที่เราได้เจอกัน เมาธ์แตก ฮากระจายขอบอก
Taste- รสนิยม
Q: ตึกที่ชอบ
LK: จริงแล้วผมไม่ใช่ประเภทชอบเดินดูตึกและยืนชื่นชมเหมือนศิลปินบางคนหรอก แต่ก็มีที่คิดว่าดูดี อย่างเช่นตึกเอมไพร์ สเตจ ที่นิวยอร์คและโบสถ์ที่บาร์เซโลน่า
Q: ภาพวาด
LK: รูปผมกำลังเตะฟุตบอลที่ลูกชายวาดที่โรงเรียน
Q: การเดินทาง
LK: ผมรู้สึกดีทุกครั้งเวลาที่ได้จับเครื่องบินไปไหนไกลๆกับครอบครัวช่วงปิดซีซั่น
Q: สถานที่สุดโปรดในอังกฤษ
LK: ผมเกิดและโตในลอนดอน จึงรู้สึกว่าตัวเองชอบเมืองนี้เพราะเป็นแหล่งรวมอารยธรรมและผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าคุณอยากทำอะไร คุณสามารถทำได้หมดที่นี้ ร้านอาหารก็มีครบเกือบทุกชาติไม่ว่าคุณจะมาจากส่วนไหนของโลก
Q: ของติดตัวที่ขาดไม่ได้
LK: โทรสับมือถือและไอพอต
As a boy
Q: หนังสือที่ชอบ
LK: สมัยเด็กผมชอบอ่าน ‘Napper Goes for Goal’ พอโตขึ้นมาอีกหน่อยก็เป็นเรื่อง ‘ The Twits’
Q: ตัวการ์ตูนที่ชอบ
LK: ขอโทษนะแต่ผมไม่อ่านการ์ตูน
Q: รายการทีวีสุดโปรด
LK: พอกลับจากโรงเรียนมาที่บ้านผมมักจะเปิดช่อง ITV ไว้ให้ดูเสมอ
On Spurs
Q: วันแรกที่สเปอร์สเป็นอย่างไรบ้าง
LK: ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนไปด้วย มาซ้อมบอลอินดอร์กับสเปอร์สทุกคืนวันอังคารและพฤหัสบดี จำได้ว่ามากับเพื่อนอีกสองคนทำให้พวกเราไม่รู้สึกประหม่าจะเกินไป ความรู้สึกในตอนนั้นนะเหรอ? สุดยอดดดมาก (ลากเสียงยาว) ผมตื่นเต้นสุดๆกับสิ่งอำนวยความสะดวกของสโมสร เพราะก่อนหน้านั้นผมเคยไปซ้อมกับสโมสรเลย์ตัน มาซึ่งต่างกันราวฟ้ากับเหว!
Q: บุคคนแรกที่คุณเจอที่สโมสร
LK: ตอนนั้นน่าจะเป็นโค้ชพาร์ทไทม์ของสโมสรนะ แต่พวกเค้าก็ดีกับเด็กๆอย่างพวกผมมากเลยละ
Q: เพื่อนที่ดีที่สุดที่สเปอร์ส
LK: ผมไม่อยากเจาะจงใครเป็นพิเศษเพราะว่าผมเข้ากันได้ดีกับทุกคน แต่ร็อบบี้ คีนซึ่งอยู่กับทีมมานานย้ายกลับมาอีกครั้งทำให้ผมรู้สึกดีนะ
Q: ความผิดหวังครั้งร้ายแรง
LK: ผมได้เล่นนัดชิงชนะเลิศสามครั้งในชีวิต (แพ้แบล็คเบิร์น, แมนฯยูไนเต็ดแต่ชนะเชลซี) มันคงจะดีหากผมสามารถเป็นผู้ชนะได้ทั้งหมด
Q: คู่ต่อสู้ที่คุณให้ความยอมรับมากที่สุด
LK: ผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยพบมาคือเธียรี่ อองรีช่วงพีคๆสมัยที่เล่นให้อาร์เซนอล อีกคนนึงคือซีเนอดีน ซีดานตอนที่ผมเล่นให้ทีมชาติอังกฤษพบฝรั่งเศษซึ่งเค้าโดดเด่นมากๆในเกมนั้น นอกจากนี้ผมยังจำไม่ลืมตอนที่ต้องเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับให้อังกฤษแล้วต้องตามประกบฮวน โรมัน ริเกลเม่ซึ่งวันนั้นแทบเข้าไม่ถึงตัวเค้าเลยมันทำให้เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองในการประกบตัวให้มากขึ้น
Q: ประตูที่อยู่ในความทรงจำ
LK: เป็นประตูที่พบอาร์เซนอลซึ่งเราแพ้ไป5-4ปี2005 หลังจากนั้นอีกปีนึงผมโหม่งให้ทีมขึ้นนำก่อนที่เราจะถูกตีเสมอตอนหลัง อย่างไรก็ดีมันจะเป็นประตูที่อยู่ในความทรงจำผมเสมอเพราะบรรยากาศในสนามมันสุดยอดจริงๆ
ส่วนประตูที่ผมชื่นชอบส่วนตัวเป็นลูกวอลเล่ย์ของมาร์โก แวนบาสเท่นในศึกฟุตบอลโลกปี1986
Q: กิจวัตรก่อนลงแข่ง
LK: ตื่นแต่เช้าหาอะไรกินเบาๆ อาบน้ำแต่งตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางไปสนาม พอไปถึงก็กินเพิ่มอีกหน่อยและเพ่งสมาธิให้พร้อมสำหรับเกมที่จะเตะ
Q: สนามในพรีเมียร์ชิพที่ทำให้คุณประทับใจ
LK: น่าตะเป็นแอนฟิลด์เพราะว่าเป็นสนามที่ผมได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก เมื่อไรก็ตามที่ได้กลับไปที่นั้นผมรู้สึกดีเสมอ
Q: สิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดที่สเปอร์สละ
LK: ความจงรักภักดีของแฟนบอลที่ไม่เคยเสื่อมคลายและประวัติศาสตร์อันยาวนานของสโมสร

Ledley King Career timeline
1980- เลดลีย์ เบรน์ตัน คิง ถือกำเนิดในปี1980 วันที่12ตุลาคมในย่านโบว์ (Bow), ลอนดอน
1997- ร่วมทีมสเปอร์สในฐานะเด็กฝึกหัดของสโมสร
1998- เซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับสเปอร์ส
1999- ประเดิมสนามให้ตัวเองนัดแรกในเกมที่พ่ายลิเวอร์พูลไป3-2ที่แอนฟิลด์
2000- ได้ลงเล่นสองเกมสุดท้ายก่อนปิดฤดูกาล1999-2000 ขณะที่อีกหนึ่งปีให้หลังได้ลงเล่นบ่อยขึ้นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ก่อนที่จะทำสถิติยิงประตูเร็วที่สุดในลีกด้วยการใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาทีเท่านั้นในเกมที่เสมอกับแบลดฟอร์ตไป3-3 (ปี1999)
2001- เปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาฟและทำให้แนวรับของทีมดูดีขึ้นทันตา
2002- ติดทีมชาติอังกฤษนัดแรกในเกมที่พ่ายอิตาลีไป2-1คาบ้านตัวเอง, พาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพ
2004- ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้อังกฤษและยิงประตูในนามทีมชาติได้ในเกมที่พบออสเตเรีย ก่อนที่จะติดทีมไปเล่นยูโร2004และมีส่วนร่วมในเกมกับฝรั่งเศษและโครเอเชีย
2006- เป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของคิงเมื่อสามารถพาสเปอร์สจบฤดูกาลด้วยอันดับที่5
2007- แทบไม่ได้ลงช่วยทีมเลยเพราะปัญหาอาการบาดเจ็บอย่างร้ายแรงที่หัวเข่า
2008- พาสเปอร์สเป็นแชมป์ลีกคัพด้วยการเอาชนะเชลซีในนัดชิงชนะเลิศได้แบบเซอร์ไพรส์แฟนบอลสุดๆ
2009- ลงเล่นให้ทีมครบ200นัดในวันที่26ตุลาคม, พาทีมเข้าชิงลีกคัพอีกครั้งแต่โชคร้ายพ่ายจุดโทษต่อแมนฯยูไนเต็ดไปอย่างน่าเจ็บใจ

Credit : สเปอร์สแม็กกาซีนฉบับเดือนมีนาคม2009

Tuesday 3 March 2009

ปีหน้าค่อยว่ากัน

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยครับสำหรับศึกฟุตบอลคาร์ลิ่ง คัพนัดชิงชนะเลิศครั้งที่49ที่สนามเวมบลีย์ โดยครั้งนี้ไม่มีพลิกโผแต่อย่างใดเมื่อ 'ปีศาจแดง' แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เบน ฟอสเตอร์มือกาววัย25ปี เซฟกระจายทั้งในเกมและช่วงจุดโทษพาทีมเป็นแชมป์อย่างยิ่งใหญ่...
ส่วนแฟนสเปอร์ส(อย่างเราๆท่านๆ)ก็ต้องทำใจและยอมรับผลการแข่งขันแต่โดยดีว่าปีนี้ไม่ใช่ปีทองของเราจริงๆ เพราะนอกจากผลงานในลีกจะออกสตาร์ตได้ย่ำแย่ถึงขั้น 'ห่วยเป็นประวัติศาสตร์' ของสโมสร นัดชิงที่หวังเอาไว้ว่าจะพาทีมไปเล่นบอลยุโรปในฤดูกาลหน้าก็มีอันต้องพังทลายไปต่อหน้าต่อตาอีก T.T
ก็ถือว่าน่าเสียดายอย่างแรงครับเพราะพวกที่เซ็นเข้ามาใหม่ในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคมที่ผ่านมาอย่างพาลาซิออส,ชิมบงด้า,คีนและคูดิชินี่ติดคัพไทร์หมดสิทธิ์ลงสนามช่วยทีม แถมฮีโร่ในปีที่แล้วอย่างโจนาธาน วู้ดเกตและเจอร์เมน เดโฟซึ่งลงเล่นในถ้วยนี้ได้ก็ดันเจ็บซะ ไม่อย่างนั้นเราคงได้ลุ้นมากกว่าที่เห็นแน่ๆ
ถึงตอนนี้ก็ต้องเอาใจช่วยทีมเราให้หนีตกชั้นสำเร็จเป็นอันดับแรกครับ หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ในปีหน้าฟ้าใหม่ว่าจะดีขึ้นหรือเลวร้ายลงกว่าเดิม หรือไม่ อย่างไร!?


Friday 27 February 2009

สัญญาณดีๆ

ไปดูฟุตบอลยูฟ่าคัพระหว่างสเปอร์ส-ชัคเตอร์ โดเน็ตส์ค ‘ทีมแกร่ง’ จากยูเครนมาเมื่อคืนครับ บรรยากาศที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลนยังคงเนืองแน่นไปด้วยแฟนบอลของทีมที่เข้ามาให้กำลังใจ ‘ยังบลัด’ ลงทำศึกเหมือนเช่นเคย

แม้ว่าสุดท้ายทีมเราต้องมีอันกระเด็นตกรอบไปอย่างน่าเสียดายก็ตาม...
การออกนำไปก่อน 1-0 จากลูกยิงผีจับยัดของจิโอวานี่ในนาทีที่55 ทำให้สเปอร์สดูมีความหวังขึ้นมาไม่น้อย เสียงแฟนบอลส่งเสียดังกระหึ่มเล้าไก่ของเรา สุดท้ายกลายเป็น ‘ดาบสองคม’ กดดันเด็กๆของเราเองอย่างช่วยไม่ได้ (ผมเชื่ออย่างนั้น)
เกมนี้โดยรวมถือว่านักเตะชุดบีของเราทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอดครับโดยเฉพาะในรายของเจมี่ โอฮาร่าซึ่งทำหน้าที่จอมทัพรักษาบาลานซ์ของทีมได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับทอมมี่ ฮัดเดิลสตัน ‘กัปตันทีม’ ที่เกมนี้ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาฟแต่ก็วางบอลยาว ‘คิลเลอร์พาส’ สวยๆได้หลายครั้ง

ผมกล้าฟันธงแบบไม่กลัวหน้าแหกนะครับว่าฮัดเดิลสตันจะติดทีมชาติอังกฤษในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอนเพราะมีคุณสมบัติที่ทีมสิงโตคำรามกำลังต้องการ แม้ว่าเจ้าต้องเพิ่มความรวดเร็วและคล่องตัวให้มากกว่านี้ก็ตาม

อีกคนที่ไม่ชมไม่ได้เลยก็คือเจ้าหนูโจนาธาน โอบิก้า ไอ้เด็กโข่งร่างใหญ่ซึ่งทำผลงานยิงกระฉูดในทีมสำรอง ( ลงสนาม21นัดซัดไป14ประตู) เกมนี้ออกสตาร์ตตัวจริงเป็นครั้งแรกในทีมชุดใหญ่แล้วทำผลงานได้ดีเกินคาด ทั้งพักบอล เชื่อมเกมได้อย่างยอดเยี่ยมเกินอายุแค่18ปีเท่านั้น อนาคตหากโรมัน พาฟลิวเชนโก้ได้รับบาดเจ็บหรือเล่นไม่ออกจริงๆผมว่าเราก็มีตัวแทนที่ไม่น่าเกลียดเกินไปนัก
ครับ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเกมนี้ขุนพลตราไก่ชุดผสมจะโดนตีเสมอในช่วงท้ายเกมเพราะวิ่งจนหมดแรงแต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็น ‘สัญญาณดีๆ’ อย่างเช่น เรื่องทีมสปิริตที่เริ่มกลับมามีให้เห็นอีกครั้ง

วันอาทิตย์นี้ที่เจอแมนฯยูไนเต็ดในนัดชิงคาร์ลิ่ง คัพ หวังเหลือเกินครับว่าผู้เล่นชุดใหญ่ของเราจะวิ่งสู้ฟัดแบบนี้....
ปล. ซื้อสเปอร์สแม็กกาซีนฉบับเดือนมีนาคมมาแล้ว เดี๋ยวจะรีบลงให้อ่านกันนะครับ : )

Friday 20 February 2009

เตรียมตัว เตรียมใจ

ดีใจมากมาย วันนี้พรีเมียร์ฯอีเมลมาบอกว่าได้สิทธิ์ไปดูนัดชิงคาร์ลิ่งคัพระหว่างแมนฯยู VS สเปอร์ส (ทีมสุดเลิฟ อิอิ)ที่สนาม'นิวเวมบลีย์' !!

มาอยู่อังกฤษกำลังจะเข้าปีที่สามแหละ บอกตามตรงเคยไปเหยียบสนามฟุตบอลแห่งชาติของอังกฤษแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแถมคราวก่อนเป็นการโดนน้องที่บ้านบังคับฝืนใจไปเป็นเพื่อนเพื่อดูมันแข่งเกมโปร์ อีโวลูชั่น (วินนิ่ง)ชิงแชมป์เมืองผู้ดีเมื่อปีที่แล้ว
ประสบการณ์ก็น่าจดจำมากมาย เจ้าแมทธิว (เด็กที่ว่า) โดนพวกปีศาจวินนิ่งตัวจริง เสียงจริงอัดน้ำกระจาย !!! แพ้มัน3เกมรวด โดนยิงไม่ต่ำกว่า3-4เม็ดต่อเกม (ทั้งๆที่ผมเห็นมันซ้อมที่บ้านก็ว่าเทพแล้วนะ)

สต๊าฟสาวผมบลอนด์หุ่นขาวอวบหนึ่งในคณะกรรมการผู้ทำหน้าที่จดสกอร์เดินยิ้มเข้ามาหาผมซึ่งมาในฐานะ Guess ของแมทธิว ในใจแอบคิดนั่นแน่จะมาขอเบอร์ตรูป่าววะ (ฮาๆ)
'ไม่ทราบว่าเพื่อนคุณโดนไปกี่ดอกแล้วค่ะ??'.....

'อีนี้ มึงก็ถ่างตาดูเอาซิวะ' ผมแอบด่าในใจด้วยความอาย พลางชี้ไปที่ทีวีซัมซุงจอมหึมา

'แปดประตูต่อศูนย์' ไอ้แมทธิวน้องรักยืนจ๋อยแดกจับจอยเกมหน้าตาเหมือนเมาหมัดคู่แข่ง...

จำได้ว่ามีเด็กฝรั่งอายุไม่น่าเกิน10ขวบสะกิดถาม 'พี่มาจากประเทศไหนฮับ?'

ผมตอบไปว่า 'ไอ แอม คัม ฟรอม มาเลย์เซีย' (ไม่กล้าบอกบ้านเกิดอายเด็กมัน เดี๋ยวจะหาว่าฝีไม้ลายมือวินนิ่งเด็กไทยเราอ่อนหัด)

ครั้งนั้นผมจำได้ว่าทนดูน้องรักแข่งต่อจนจบทัวร์นาเมนต์ไม่ได้เพราะอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เจ้าแมทธิวอายุอานามมันก็แค่16 ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่าโดน 'ยำเละ' ขนาดนี้ยังจะกล้าเล่นต่อ เกสอย่างผมเห็นแล้วอายแทนรีบอาศัยจังหวะชุลมุนฝ่าวงล้อมพวกปีศาจวินนิ่งทั้งหลายนั่งรถไฟกลับบ้าน แล้วเอสเอ็มเอสไปหาว่าพี่มีธุระด่วนต้องรีบกลับ

เปิดประตูบ้านไป แม่เจ้าแมทธิวถาม 'อ้าว เอกเป็นไง แมทธิวแข่งเป็นไงบ้าง?'

'ผมว่าพี่ถามเจ้าตัวดูเองดีกว่านะครับ พอดีว่าคนเยอะมากผมเห็นสกอร์ไม่ถนัด' ผมทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเดินจั๋มเข้าห้องไป
ผมหวังเหลือเกินครับว่าการไปเวมบลีย์ หนนี้ผมจะไม่ต้องเอาปี๊บคลุมหัวกลับบ้านอย่างเดิมอีก...
แอบหวังเล็กๆว่าสเปอร์สจะหักปากกาเซียนได้อีกครั้งด้วยการหยุดไอ้ผีร้ายสุดเฮี้ยนให้อยู่หมัดเหมือนอย่างที่ปีก่อนก็ทำได้ในการเชือดเชลซีแบบช็อคซินีม่า
แต่ถึงจะแพ้ ผมก็ทำใจไว้ก่อนล่วงหน้าแต่เนิ่นๆแล้วละครับว่าจะเดินออกจากสนามนิวเวมบลีย์ครั้งนี้ด้วยความภาคภูมิใจ...สู้โว้ยยยย !!!!!

Thursday 19 February 2009

แมนฯซิตี้ มะเร็งลูกหนัง!?

ในทุกๆสังคมไม่ว่าจะไทย จีน แขกหรือฝรั่งมังค่า...ความอิจฉาริษยามีให้เห็นเหมือนกันหมดครับไม่เว้นแม้กระทั่งวงการฟุตบอล

เห็นคนโน้นคนนี้ได้ดีหรือเหนือกว่าเป็นไม่ได้ ต้องหาเรื่องซุบซิบนินทาว่าร้ายบ้างก็พยายามวางแผนคิดจะหยุดยั้ง 'ความยิ่งใหญ่'!?
การออกมาพูดจาเสียดสีในเชิงไม่สร้างสรรค์ของสตาเล่ โซลบัคเค่นโค้ชเอฟซี โคเปนเฮเก้นว่าแมนฯซิตี้เป็น 'มะเร็ง' ของวงการฟุตบอลเพราะจับจ่ายใช้สอยอย่างมือเติบนับตั้งแต่ได้'ชีคมานซูร์' มาเป็นเจ้าของ ทำให้ตลาดนักเตะปันป่วนและสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาอย่างหนักทั้งในยุโรปและอเมริกา

ประเด็นนี้บอกตามตรงเป็นเรื่องของ Mind Game หรือสงครามจิตวิทยาเพียวๆไม่มีอย่างอื่นมาผสม เพราะโคเปนเฮเก้นกำลังจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีเรือใบสีฟ้าค่ำคืนนี่ในศึกยูฟ่าคัพรอบ3นัดแรก !

การออกมาวิพากษ์วิจารณ์คู่แข่งแบบนี้จึงถูกตีตกและไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะบั่นทอนกำลังใจของนักเตะเรือใบและกุนซือผมสีดอกเลาอย่างมาร์ค ฮิวจ์แน่นอน

อย่างไรก็ดี มีบุคคลสำคัญของวงการฟุตบอลยุโรปอีกท่านนึงอย่างมิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่าวัย 53ปีกำลังอิจฉาตาร้อนความร่ำรวยของแมนฯซิตี้อย่างออกหน้าออกตาเกินไปหน่อย

ล่าสุดออกมาประกาศจะออกกฏ 'Salary Cap' หรือการควบคุมเพดานค่าเหนื่อยให้ได้หลังจากก่อนหน้านี้ ทำไม่สำเร็จเสียทีเพราะไปขัดกับกฏหมายแรงงานของสหภาพยุโรป(อียู)ที่ไม่มีข้อกำหนดควบคุมเรื่อง'ค่าแรง' ของลูกจ้างแต่อย่างใด...

ประเด็นนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการฟุตบอลครับ มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าควรมีการควบคุมเรื่องค่าใช้จ่าย(Expenditure)ของสโมสรฟุตบอลหรือไม่?

หายังจำกันได้ลีดส์ ยูไนเต็ดยุคนึงก็เคย 'ช้อป' จน 'ถังแตก' ไม่มีปัญหาหาเงินมาจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะตัวเองเพราะทีมร่วงตกชั้นในปี2004

ครั้งนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษออกมาประกาศกันปาวๆให้ทีมอื่นระวังให้ดี หากใช้จ่ายเกินรายรับแล้วจะมีอนาคตดับอนาถเหมือนทีมยูงทอง
เชลซี 'อดีต'พ่อบุญทุ่มในพรีเมียร์ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำท่าจะแพ้ภัยตัวเองในเร็ววันนี้ โรมัน อับราโมวิชขาดทุนจากการประกอบธุรกิจส่วนตัวยับเยิน 'สิงโตน้ำเงินคราม' ไม่มีเงินทุ่มซื้อนักเตะเหมือยอย่างเคย แถมผลประกอบการล่าสุดก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเลขแดงแจ๋แบบนี้ ต่อไปคงต้องขายนักเตะกินแน่นอน

กลับมาที่แมนฯซิตี้ การที่พวกเค้าทำตัวเปรี้ยวยื่นเงินกว่า 100ล้านปอนด์ขอซื้อริคาร์โด้ กาก้าจากเอซี มิลานสร้างความแตกตื่นและถูก'สปอร์ตไลท์'ส่องให้โดดเด่นจากคนรอบข้างอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

การเป็นทีมที่รวยกว่ามีเงินทุนเยอะกว่า บางครั้งการจะย่างก้าวแต่ละทีก็เหมือนมีอุปสรรคขวากหนามตามรังขวาน (ครั้งนึงผู้คนก็เคยประนามเชลซีว่าทำลายเสน่ห์ของฟุตบอลเพราะอยากซื้อใครก็ได้และคว้าแชมป์ลีกมาได้ก็เพราะ 'เงิน')

มุมมองผมแล้วในเมื่อพรีเมียร์ฯเป็นองค์กรที่รู้เห็นทุกอย่างดีกว่าใครและยอมให้ชีคมันเซียร์เข้ามาเทคโอเวอร์ต่อจากคุณทักษิณเอง องค์กรฟุตบอลรวมทั้งยูฟ่าก็น่าจะต้องยอมรับให้ได้ว่าพวกเค้าต้องเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว

ไม่ใช่เห็นใครมีแนวโน้มดีหน่อย ก็คิดจะสกัดดาวรุ่งกันง่ายๆแบบนี้!?
แมนฯซิตี้เองถึงตอนนี้ต้องรีบพิสูจน์ตัวเองให้ได้ครับว่าไม่ใช่'มะเร็งลูกหนัง'อย่างที่ใครเค้ากล่าวหา....ระบบปั้นเยาวชนและส่งแมวมองไปตามพื้นที่ต่างๆทั่วโลกต้องพรีเซนต์ออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง
ส่วนจะซื้อใคร จ่ายค่าเหนื่อยเท่าไรมันก็เรื่องของเค้า ไม่ได้ไปหนัก(หัวกบาล)หรือเบียดเบียนใครสักหน่อย!!?

Tuesday 17 February 2009

จิ๊กซอร์ที่หายไป

หัวค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา ตัดสินใจออกไปดูฟุตบอลอีกครั้งครับหลังจากที่ 'คิกออฟ' นสพ.ที่ผมเขียนอยู่มีอันต้องปิดฉากลงไปแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวสักเท่าไร...

อารมณ์ทันทีที่ทราบข่าวจากเมืองไทย บอกตรงๆครับว่า'ช็อค'พอสมควรไม่คิดว่าอาชีพคอลัมนิสต์ฟุตบอลของผมจะสั้นขนาดนี้ มาเขียนแบบฟูลไทม์จริงๆก็ฤดูกาลนี้เอง !

ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมจึงไม่ได้ติดตามข่าวฟุตบอลที่ตัวเองเคยต้องนั่งปั่นทุกเช้าแต่อย่างใด ความรู้สึกมันประมาณเหมือน 'อกหัก' รับไม่ได้กับสิ่งที่ฝันอยากทำมาตลอดต้องมาพังทลายไปต่อหน้าแบบทำอะไรไม่ได้ นอกจาก 'ทำใจ'
แต่ด้วยเหตุผลและสิ่งดลใจหลายอย่างครับทำให้ผมเลิกนอยชีวิต ตัดสินใจกลับมาอัพบล็อคเขียนสิ่งที่ผมชอบเพื่อ 'เติมเต็ม' สิ่งที่มันขาดหายไปอีกครั้ง
การหันมองเพื่อนร่วมอาชีพด้วยกันซึ่งอายุงานเยอะกว่าผมหลายปีต้องตกอยู่ในสถานะ 'Unemploy' เหมือนกันหรือเห็นคนที่ลำบากหรือมีปัญหามากกว่าผมเยอะ พวกเค้าเหล่านี้ยังสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมี 'ความหวัง' ซึ่งเป็นสิ่งนึงที่ยึดเหนี่ยวให้มนุษย์อย่างเราๆที่ไม่ได้รวยล้นฟ้าพอจะยิ้มสู้ + รับมือกับโลกเพี้ยนๆเบี้ยวๆใบนี้ได้
บรรทัดนี้ก็ขอบคุณทุกคนที่มีแวะเข้าอ่านทั้งขาประจำอย่างคุณธาน,คุณเป้า,คุณTummyหรือคุณ Tim duncan จากบอร์ดสเปอร์สและอีกหลายท่านที่มาจากลิ้งค์ http://www.thaicentre.co.uk/directory/ ซึ่ง 'จ็อบ' เพื่อนที่น่ารักของผมอีกคนที่นี้ช่วยโปรโมตให้ (อยากบอกว่าซึ้งและเป็นสาเหตุสำคัญเลยล่ะที่ทำให้ผมกลับมา! ^^)
ก็เกริ่นเรื่องตัวเองซะเยอะครับ จริงๆจะบอกว่าไปดูเกมอาร์เซนอล VS คาร์ดิฟฟ์ ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมในเกมเอฟเอ คัพรอบ5มา ความน่าสนใจของเกมนี้สำหรับผมแล้วมีอยู่อย่างเดียวครับคือต้องการไปยลฟอร์มของเอดูอาร์โด้ ดาซิลวาหัวหอกโครแอตเชื้อสายบราซิลให้เห็นกับตาสักครั้งว่าเจ็บหนักถึงขั้นแข้งหักเป็น2ท่อนแล้วยังจะเล่นได้เหมือนเอดูดาร์โด้คนเดิมที่เคยยิง 'กระฉูด' เหมือนสมัยยังเล่นให้ดินาโม ซาเกร็บที่กดไป 73ประตูจาก 111 หรือไม่!?

อย่างที่คงทราบผลการแข่งขันไปแล้วอ่านะครับ เกมนี้เจ้า 'ดูดู้' กดไป2ตุงฉลองการคัมแบ็คกลับมาลงสนามอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเกมที่อาร์เซนอลต้อนคาร์ดิฟฟ์ไปสบายเท้า 4-0

ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีชจริงๆสำหรับคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สยดสยองอะไรแบบนั้นมา...ภาพเหตุการณ์วันที่หมอนี่โดนมาร์ติน เทยเลอร์ของเบอร์มิงแฮมยันเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว หากเป็นนักฟุตบอลราบอื่นที่ใจตุ๊ดหน่อย เชื่อได้เลยครับว่าคงใช้เวลานานเลยละตัดสินใจว่าจะเอาไงกับชีวิตค้าแข้งดี เล่นต่อหรือแขวนเกือกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดี

แต่นี้กลับมาได้เร็วเกินคาดแถมยิงประตูได้ด้วย คงหาอะไรมาบรรยายการคัมแบ็คครั้งนี้ของ 'ดูดู้' ไม่ได้แล้วละครับนอกจากคำว่า 'The Perfect comback' หรือการกลับมาที่สมบูรณ์แบบที่สุดครั้งนึงในเกมฟุตบอลเลย
อาร์เซนอลถึงตอนนี้ผมเรตพวกเค้าไว้สูงมากนะครับ โอกาสคว้าแชมป์ลีกแม้แทบจะหมดลุ้นไปแล้วแต่โควต้าไปแชมเปี้ยนส์ลีก (อันดับ1-4)หากเล่นได้แบบนี้รับรองไม่หนีหายไปไหน วิลล่าที่ว่าแรงๆก็เถอะ โอกาส 'ปิ๋ว' เยอะมากขอบอก อย่าลืมพวกตอนนี้พวกเค้า 'จิ๊กซอร์เก่า' ที่ขาดหายไปอย่างเอดูอาร์โด้ กลับมาและ'จิ๊กซอร์ใหม่'ขั้นเทพนำเข้าจากรัสเซียนามว่า อังเดร อาร์ชาวิน !!

Friday 13 February 2009

I'll be back

มรสุมชีวิตเข้า...หยุดเขียนขอเวลาทำใจสักพัก แล้วจะกลับมาครับ สัญญา : )

Wednesday 28 January 2009

ประสบการณ์ช่วยได้!?

ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมาต้องบอกว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจครับทั้งการซัดประตูชัยในการประเดิมสนามของเอมิล เฮสกีย์พร้อมพาแอสตัน วิลล่าทะยานขึ้นสู่อันดับ3มี47คะแนนเท่าลิเวอร์พูลประกาศศักดาการเป็น ‘ม้ามืด’ ในการชิงแชมป์แบบเต็มตัว, ผลงานอลังการของแมนฯยูไนเต็ดที่ไล่ถล่มเวสต์บรอมฯไป5-0พร้อมสถิติไม่เสียประตูของเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ซาร์, ทีมที่แข็งแกร่งขึ้นของสเปอร์สหลังการช้อปกระหน่ำของแฮร์รี่ เรดแนปป์ฯลฯ...

ขอเริ่มที่แอสตัน วิลล่าก่อนเพราะอึ้งครับไม่คิดว่าขุนพลของมาร์ติน โอนีลจะทำผลงานได้ดีขนาดนี้ เพราะชื่อชั้นนักเตะบางคนในทีมก็ไม่ได้ดีไปกว่าทีมอย่างเอฟเวอร์ตัน, แมนฯซิตี้หรือสเปอร์ส ทว่าผลงานเรื่อยๆมาเรียงๆของพวกเค้านั้นแข็งแกร่งเกินห้ามใจและการได้เฮสกีย์มาผนึกกำลังกับกาเบรียล อักบอนลาฮอร์ในแดนหน้าถือเป็น ‘อาวุธ’ ที่น่าสะพรึงกลัวเหลือเกินสำหรับกองหลังคู่แข่ง

3.5ล้านปอนด์ที่เสียไปผมเชื่อว่าถูกเหมือนได้ฟรีเพราะคุณภาพและประโยชน์ของเฮสกีย์ก็อย่างที่รู้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญเลยละที่ทำให้วีแกนมีผลงานแล่นชิวบหัวตารางอย่างทุกวันนี้จากนี้ไปอยู่ที่ว่านักเตะสิงห์ผงาดจะคงเส้นคงวาในช่วงที่เหลือได้มากน้อยขนาดไหนและสามารถทนแรงเสียดทานในกลุ่มบิ๊กโฟร์ได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่า?

ขณะที่ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งบุกไปยิงเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนไส้แตกคาสนาม ‘เดอะ ฮอว์ธอร์น’ แนวรุกยังสำแดงผลงานโหดเหี้ยมอำมหิตได้อีกแม้จะขาดเวยน์ รูนี่ย์, นานี่และแอนเดอร์สันไปแต่พวกที่ยังอยู่เช่นเบอร์บาตอฟ เตเบซ โรนัลโด้ กิ๊กส์ คาร์ริค ก็กำลังเล่นได้เข้าฟอร์ม+เข้าขากันมากโดยเฉพาะอดีตเด็กตราไก่อย่างคาร์ริค-เบอร์บามองตาก็รู้ใจคนนึง ‘ชง’คนนึง ‘ยิง’ มาสองเกมติดแล้ว

นอกจากนี้หลังจบเกมแนวรับของพวกเค้ายังได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาด้วยการไม่เสียประตูในพรีเมียร์ชิพมาเป็นเกมที่11ติดต่อกัน โดยประตูสุดท้ายที่เสียต้องย้อนไปวันที่8พฤษจิกายนปีที่แล้วโน้นเลยในเกมที่ผีแดงปราชัยต่ออาร์เซนอลที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมไป1-2

งานนี้คนที่ได้รับเครดิตไปเต็มๆคือ ‘น้าเอ็ด’ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ซาร์ผู้รักษาประตูวัย38ปีชาวฮอลแลนด์ที่ทำลายสถิติไม่เสียประตูนานสุดของปีเตอร์ เช็กนายทวารเชลซีลงด้วยเวลา1,032 นาทีหรือ17ชั่วโมงเศษๆ !
แน่นอนครับหากพวกเค้ายังเดินหน้ารักษาคลีนชีตได้ต่อไปแบบนี้เรื่อยๆผมมองไม่เห็นทางเลยที่ลิเวอร์พูลหรือเชลซีจะทำคะแนนปาดหน้าแซงพวกเค้าไปได้ ช่องว่าง3แต้มอาจดูว่าน้อยแต่ผลงานเล่น ‘ดุ’ ได้ขนาดนี้ทีมตามมีหวังไม่สะดุดขาตัวเองไปก่อนก็คงแอบถอดใจกันไปเองบ้างแหละ

สุดท้ายทีมตราไก่สเปอร์สของ‘ลุงจ่า’ แฮร์รี่ เรดแนปป์ที่เปิดตลาดรอบนี้เดินหน้าช้อปนักเตะแหลกไม่น้อยหน้าแมนฯซิตี้เพราะกว้านซื้อมาแล้วทั้งเจอร์เมน เดโฟ, ปาสกัล ชิมบงด้าและคาร์โล คูดิชินี่

นัดที่ผ่านมาเอาชนะสโต๊ค ซิตี้ได้แบบไม่ยากเย็น 3-1 รูปเกมโดยรวมต้องบอกว่าการได้คูดิชินี่และเดโฟมามี ‘อิมแพค’ ต่อทีมทันที รายแรกเป็นประตูมือดี + ประสบการณ์สูงแถมคุ้นเคยกับบอลพรีเมียร์ฯมายาวยาวนาน การได้ ‘ไอ้แมงมุม’ เข้ามาเชื่อว่าจะทำให้การขับเคี่ยวตำแหน่งตัวจริงกับฮูเรลโญ่ โกเสมได้อย่างสนุก
ขณะที่เดโฟเป็นตัวจบสกอร์โดยธรรมชาติและยืนหาตำแหน่งยิงประตูได้ดี การจับคู่กันระหว่างเค้าและโรมัน พาฟลิวเชนโก้น่าจะทำให้ทีมตราไก่มีผลงานที่ดีขึ้นประกอบกับการเริ่มคืนฟอร์มอย่างช้าๆของเดวิด เบนท์ลีย์ปีกขวาเท้าชั่งทองที่โดนเรดแนปป์ติงเรื่องฟอร์มปุ๊บก็เล่นดีปั๊บ...

ครับ เราจะเห็นได้ว่าทีมอย่างแมนฯยูฯ, วิลล่าและสเปอร์สแม้จะออกสตาร์ตได้ไม่แรงอย่างที่แฟนบอลหวังเอาไว้ (โดยเฉพาะทีมผีแดงและไก่เดือยทอง) แต่การที่พวกเค้ามีกุนซือ ‘ชั่วโมงบินสูง’ จึงรู้วิธีเอาตัวรอดในยามที่ทีมเจอช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานได้เสมอ ดังที่เรากำลังจะได้เห็นกันว่าสุดท้ายผีแดงจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพในปีนี้และทีมตราไก่จะจบซีซั่นด้วยอันดับที่สูงกว่าอันดับ10แน่นอน คอนเฟิร์ม!

Wednesday 21 January 2009

ส่วนเกิน

อ่านคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของแกรี่ คุ๊ก ซีอีโอแมนฯซิตี้ถึงกรณีที่โรบินโญ่ ‘ชิ่ง’ ออกจากค่ายฝึกซ้อมของทีมว่าจะไม่มีนักเตะคนใหญ่ไปกว่าสโมสรและพร้อมลงโทษซูเปอร์สตาร์ค่าตัวสูงสุดเป็นสถิติบนเกาะอังกฤษหากว่าทำผิดจริงแล้วรู้สึกถึง ‘กลิ่น’ ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีระหว่างความสัมพันธ์ของนักเตะและสโมสรครับ

รายงานว่าโรบินโญ่ทำแบบนี้เพื่อเป็นเกมหวังจะสร้าง ‘รอยร้าว’ ระหว่างเค้าและกุนซือของมาร์ค ฮิวจ์ซึ่งรู้กันดีว่าเข้มงวดกวดขันขนาดไหนเรื่องวินัยและความเป็นมืออาชีพของลูกทีม

นี้ไม่ใช่ครั้งแรกครับที่เจ้า ‘เปเล่น้อย’ ทำในสิ่งที่แสดงถึงการไม่ให้เกียรต์สโมสรและเพื่อนร่วมทีมเพราะก่อนหน้านี้ก็ได้ตั้งแง่ว่าทีมเรือใบสีฟ้า‘Lack of winning mentality’ หรือ ไม่มีจิตใจของนักสู้ผู้กระหายชัยชนะเอาเสียเลยไม่เหมือนอย่างเรอัล มาดริดทีมเก่าของเค้า

ปัญหาเยอะขนาดนี้ทั้งเพิ่งที่ย้ายมาอยู่ได้ไม่เท่าไร...ขอฟันธงล่วงหน้าก่อนใครเลยครับว่าโรบินโญ่อยู่แมนฯซิตี้ไม่ยืดแน่! (นี่แหละน๋ามีเงินซื้อได้แค่ ‘ตัว’ หาใช่ ‘หัวใจ’ ของนักเตะ)

นอกเหนือจากเคสของโรบินโญ่ที่ทำท่าว่าจะเป็นมะเร็งเนื้อร้ายบ่อนทำลายสปิริตในทีมตัวเองแล้ว ยังมีนักเตะอีกสองสามรายครับที่ตอนนี้กำลังจะเป็น ‘ส่วนเกิน’ ของทีมหากว่ายังไม่รีบรีดฟอร์มเก่งของตัวเองคืนมา

เจอร์เมน จีนัส, ดาร์เรน เบนท์และเดวิด เบนทลีย์คือสามหน่อที่ผมอยากจะพูดในวันนี้...

รายแรกนักเตะหน้าอินโดฯอดีต ‘ไข่ข้างขวา’ ผู้เป็นจอมทัพที่ขาดไม่ได้ถ้าฟิตเต็มถังเป็นต้องลงสนามทุกนัดในยุคของมาร์ติน โยลและฆวนเด้ รามอส ผลงานของจีนัสคงไม่ต้องสาธยายกันให้มากความสำหรับแฟนๆไก่เดือยทองเพราะว่าไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนเมืองไทยหรืออังกฤษผมจะรับรู้ได้ถึงปฏิกริยา ‘ยี๊’ หรือไม่ชอบใจกองกลางก้านยาวผู้ชอบเท้าสะเอวยืนดูเพื่อนเล่นเป็นชีวิตจิตใจ

อดีตเคยเป็นถึงรองกัปตันทีมของสเปอร์สรองจากเลดลีย์ คิงแต่หลังจากการเข้ามาของแฮร์รี่ เรดแนปป์หมอนี่นอกจากจะโดนยึดปลอกแขนไปให้โจนาธาน วู้ดเกตหรือไมเคิ่ล ดอร์สันในบางโอกาสแล้ว ตำแหน่งตัวจริงที่เคยได้รับอภิสิทธ์ลงสนามมาตลอดก็ถูกจำกัดโอกาสไปโดยปริยาย...การเข้ามาของวิลสัน พาลาซิออสกองกลางพลังม้าเจ้าของฉายา‘นิวพอล อินซ์’ (สตีฟ บรู๊ซตั้งให้) ด้วยค่าตัวแพงบรรลัยกว่า12ล้านปอนด์ว่ากันว่าถือเป็นบทอวสานในถิ่นไวท์ ฮาร์ทเลนของเจอร์เมน จีนัสอย่างแท้จริง

รายต่อมา ‘สากพันล้าน’ ดาร์เรน เบนท์ที่สเปอร์สอุตสาห์ไปคว้ามาจากชารล์ตันด้วยค่าตัว16.5ล้านปอนด์เมื่อ18เดือนก่อนผลงานแม้ถึงตอนนี้จะเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม (12ประตู) ทว่าหากใครได้ชมเกมคู่สเปอร์สVSปอร์ทสมัธเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาหากได้เห็นลีลาการโหม่งโล่งๆแล้วหลุดกรอบต้องบอกว่านี่มันร่างทรง ‘แอนดี้ โคล’ ชัดๆ!

อนาคตในเล่าไก่ของหมอนี้ผมดูแล้วมืดมนเสียเหลือเกินเพราะกุนซือของทีมถึงขั้นปรี๊ดแตกโวยวายหลังเกมว่า‘ลูกนั้นถ้าเป็นเมียผมยังยิงเข้าเลย’ นอกจากนี้หลังจากที่ทีมตราไก่คว้าตัวเดโฟมาได้ ‘ลุงจ่า’ ก็ดูเหมือนว่ายังไม่พอใจกับขุมกำลังในแดนหน้าตกเป็นข่าวกับอาเดรียโน่และเคนเวย์น โจนส์ไม่หยุดหย่อน

คนสุดท้ายเดวิด เบนท์ลีย์รายนี้ฝีเท้าไม่ธรรมดาสื่ออังกฤษ ‘เคย’ยกให้เป็นตัวตายตัวแทนของเดวิด เบ็คแฮมในทีมชาติอังกฤษทั้งในเรื่องของฝีเท้าและหน้าตาทว่านับตั้งแต่ย้ายมาสเปอร์สด้วยค่าตัว15ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์ นอกจากประตูมหัศจรรย์ในเกมเสมออาร์เซนอลไปอย่างสุดมัน4-4แล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเดิมๆเหมือนสมัยที่เล่นให้แบล็คเบิร์นกลับมาได้เลยในสีเสื้อทีมตราไก่

ล่าสุดโดนแฮร์รี่ เรดแนปป์ออกมาวิจารณ์เรื่อง ‘ความทุ่มเท’ และ ‘อีโก้’ ที่สูงเกินตัวตอกย้ำชัดเจนว่าหากยังไม่แก้ไขมีสิทธิ์หมดอนาคตกับทีมได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าปีกขวาสุดหล่ออดีตเด็กสร้างของอาร์เซนอลมีฝีเท้าดีพอที่จะเอาชนะใจกุนซือหน้าง่วงแน่นอนอยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนแปลง ‘ทัศนคติ’ ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้รึเปล่าเท่านั้นเอง

เริ่มแล้วครับสำหรับปฏิบัติการล้างเล้าไก่ของ ‘ลุงจ่า’ ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องดองเค็มนักเตะหากว่าไม่พอใจใครขึ้นมา (เบน ซาฮาร์ + เดวิด นูเจนท์เคยโดนมาแล้ว) ใครคือ ‘ส่วนเกิน’ ในทีมชุดนี้รายต่อไปโปรดติดตามอย่าได้กระพริบตา!

เอฟเฟกต์จาก "กาก้า" ถึงแมนฯซิตี้

ในที่สุด "เงิน" วัตถุที่สามารถ "ซื้อ" ได้แทบทุกสิ่งอย่างไม่ว่า จะเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดัง, นาฬิกาแบรนด์เนมหรือตุ๊กตา หน้ารถขาวสวยหมวยอึ๋ม (แต่ไร้สมอง) ก็ต้องแพ้ภัยคนที่ไม่ได้ตก เป็นทาสของมัน...

ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์หน้าหยก ของเอซี มิลานคือคนคนนั้น ที่ปฏิเสธเงินค่าเหนื่อยกว่า 5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ที่แมนฯซิตี้ของท่านชีคมันซัวร์ประเคนมอบให้อย่างไม่ไยดี

งานนี้แฟนมิลานเฮกันสนั่น แต่แฟน เรือใบคงเฉาเพราะ ถูกหัก หน้า อย่างแรงที่เศษเงินของ บอร์ดอาบูดาบีไม่สามารถ ทำหน้าที่ของมันได้อย่าง มีประสิทธิภาพเหมือน ครั้งก่อนที่ใช้ "จูงจมูก" โรบินโญ่ ซูเปอร์สตาร์จากเรอัล มาดริดมายืน หัวโด่ในถิ่นซิตี้ ออฟแมนเชสเตอร์ได้ อย่างภาคภูมิใจ

กรณีของกาก้าผมเชื่อเหลือเกินว่าสามารถบันทึกเป็น "ตำนาน" อีกบทนึงในวงการฟุตบอลได้เลยเพราะหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับมนุษย์ปุถุชนที่จะเมินหน้าหนีเงินก้อนโตขนาด นั้นแม้ความจริงที่ว่าแมนฯซิตี้เป็นแค่ทีมไม้ประดับ ในลีกยากจะประสบ ความสำเร็จซักแค่ไหนแต่เสน่ห์ของเงินตรามันหอมหวนยั่วยวนเกินห้ามใจ ฟันธงเลยว่าเป็นนักเตะรายอื่นที่หน้าเงินหน่อยรับรอง "ดีล" นี้ไม่มียืดเยื้อเพราะ "ปีศาจแดงดำ" ต้นสังกัดของนักเตะเปิดไฟเขียวปูพรมแดงแทบจะอัญเชิญรอให้กาก้าย้ายทีมอยู่นานสองนานแล้ว

ส่วนกรณีการทำตัว "ล่องหน" ของโรบินโญ่ด้วย การหนีออกจากแคมป์ฝึกซ้อมของทีมซึ่งกำลัง เก็บตัวอยู่ที่เมืองเตเนริเฟ่ ประเทศสเปน โดยอ้างว่ามีเหตุผลเรื่องครอบครัวเข้ามาเกี่ยว ดูแล้วไม่น่าจะใช่เหตุผลที่แท้จริงของเจ้าตัวหากแต่เกี่ยวข้องกับ ดีลที่ล่มของกาก้ามากกว่า

ออกแนวติสต์แตกเพื่อนรัก ไม่ย้ายมา แสดงอาการไม่มั่นใจในศักยภาพ พลังเงินของสโมสร...อีกหน่อยคาดว่าคง มี "เล่นแง่" หาเรื่องงอแงย้ายทีมอีกตามเคยเพราะโอกาส จะประสบความสำเร็จอย่างที่หวังถึงตอนนี้เจ้าตัวคงรู้อยู่แก่ใจ ว่าแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ นักเตะใหม่ที่ย้ายมาหรือ กำลังตกเป็นข่าวดูๆ แล้วเต็มที่คงเป็นได้แค่สินค้าเกรด B ซึ่งราคาแพงโอเวอร์เกิน ความจำเป็นเหมือนในรายของเวย์น บริดจ์ 12 ล้านปอนด์, เคร็ก เบลลามี่ 14 ล้านปอนด์ และไนเจล เดอ ยอง 18 ล้านปอนด์

การได้ 3 คนข้างต้นมา ใช่ว่าจะทำให้แมนฯซิตี้ กลายสภาพเป็น ทีมเทพติดปีก พร้อมท้าชิง ความยิ่งใหญ่จาก "บิ๊กโฟร์" หรือ ทีมอย่างแอสตัน วิลล่า, เอฟเวอร์ตันได้ง่ายๆซะเมื่อไร และเท่าที่ดูมาร์ค ฮิวจ์ส ก็ยังไม่ใช่กุนซือที่ชื่อชั้นสามารถ "ดึงดูด" นักเตะเวิลด์คลาสมาร่วมโปรเจกต์ยักษ์ ของ กลุ่มนายทุนแขกขาวแน่ๆ

ฉะนั้นการหายตัวไปในครั้งนี้ของโรบินโญ่น่าจะสะท้อนอะไร บางอย่างให้บอร์ดบริหารแมนฯซิตี้เห็น "ทางออก" กันคร่าวๆนะครับว่าการจะเริ่มสังคายนาทีมชุดนี้ให้กลายเป็น สุดยอดของสุดยอดทีม อย่างที่พวกเค้าหวังคงไม่ใช่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลง "โละ" นักเตะทั้งกระบิและแทนด้วย ซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่างที่พยายามทำกันอยู่

หากแต่ว่าโปรเจกต์นี้จะ Smooth หรือราบรื่น ได้ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือให้เหมาะกับ "บิ๊ก" โปรเจกต์นี้มากกว่าครับ!

Friday 16 January 2009

เที่ยวพระราชวังวินด์เซอร์

วันศุกร์สบายๆแบบนี้ขอหลีกหนีจากเรื่องฟุตบอลซึ่งการซื้อ-ขาย ในตลาดนักเตะยังไม่ลงตัว เท่าไรมาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในประเทศอังกฤษกันดีกว่าครับ

วันนี้ผมขออนุญาตพาท่านผู้อ่านชะแวบออกนอกกรุงลอนดอน นั่งรถไฟจากสถานีWaterlooไปประมาณ30-40นาทีก็จะถึงเมือง Surrey เพื่อเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งนึงอย่างพระราชวังวินด์เซอร์ (Windsor Castle)

พระราชวังแห่งนี้อาจไม่ใช่สถานที่คุ้นหูในมุมมองของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาติอื่นที่มาเยือนเมืองผู้ดีครับเนื่องจากส่วนใหญ่ มักนึกถึงพระราชวังบักกิงแฮมก่อนเพราะเป็นสถานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์มาตั้งแต่ปี1937 และง่ายต่อการไปเยือนมากกว่าเพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางกรุงลอนดอน

อย่างไรก็ดีสถานที่แห่งนี้แหละเป็นสถานที่สุดโปรดของควีน อลิซาเบธองค์ปัจจุบันและใช้เป็นที่พักผ่อนสุดสัปดาห์ของราชวงศ์มาอย่างยาวนานไม่แพ้กัน ถูกสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิตในศตวรรษที่11ค่าเข้าชมนั้นถือว่าถือว่าไม่แพงเลย สำหรับคนที่ชอบศึกษาเรื่องราวและประวัติศาสตร์ในอดีต13.50ปอนด์สำหรับผู้ใหญ่ (ถ้าเป็นนักเรียนได้ลดอีก 1.50) ส่วนเด็กที่อายุต่ำกว่า17ปีจ่ายแค่7.50ปอนด์และต่ำกว่า5ปีเข้าฟรีจ้า: )

หลังจากจ่ายเงินค่าเข้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาจะเห็นมุม Audio Tour Guide เพื่อบริการหูฟังที่อัดเสียงคำบรรยายในแต่ละSection ของวังเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเดินอ่านให้เมื่อยสายตา ก้มๆเงยๆให้ปวดหลังอีกต่อไป

ลืมบอก...บริการนี้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มครับรวมอยู่ในค่าเข้าแล้ว นอกจากนี้ยังมีให้เลือกฟังถึง5ภาษาคืออังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่นเสียดายไม่มีภาษาไทยแต่ที่ผมถามมาหากนักท่องเที่ยวจากเมืองไทย ไปใช้บริการกันเยอะๆเค้าก็มีโครงการอัดเสียงไว้เป็นภาษาไทยเหมือนกัน (เมือง Bath ซึ่งโด่งดังในเรื่องอ่างอาบน้ำของชาวโรมันสมัยก่อน ในส่วนของ Audio Guide แม้จะยังไม่มีหูฟังอัดเสียงไทยแต่ก็มี คำบรรยายไทยแจกเป็นกระดาษแล้วนะครับ)

ภายในเขตของพระราชวัง "ทีเด็ด" มีเพียบครับทั้งห้องบรรทมที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ประเมินค่ามิได้ อาทิเช่น เตียงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พรมถักโกเบอร์แรง, รูปสีน้ำมันโดยรูเบน แวนด์ไดค์, ห้องบัลลังก์ ห้องวอเตอร์ลู ที่เก็บอาวุธ ดาบ เสื้อเกราะ โล่ หอกยุคอัศวิน

เดินถัดมาอีกหน่อยก็จะเป็นส่วนของ Queen Mary's Dolls' House ซึ่งผมมั่นใจมากว่าสาวๆอาจมีกรี๊ดเพราะตุ๊กตาเยอะตระกานตาและน่ารักเอามากๆ เอาเป็นว่าเล่ากันพอให้เห็นภาพนะครับว่าส่วนนี้จะประกอบไปด้วยห้องนอน&ห้องสมุดย่อส่วน ซึ่งเป็นที่เก็บหนังสือขนาดเล็กที่สุดในโลก นอกจากนี้ส่วนที่เหลือของพระราชวังก็จะมีห้องสะสมรูปวาดของศิลปินในยุคเรอเนสซอง อย่างลีโอนาโด ดาวินซี ไมเคิล แองเจลโลและราฟาเอล, โรงเก็บราชรถเทียมม้าซึ่งใช้ในพิธีการสำคัญ, โบสถ์เซนต์จอร์จ โบสถ์ประจำพระราชวังวินด์เซอร์ ฯลฯ

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ค่าเงินปอนด์กำลังตกหนักด้วย... หากมีโอกาสก็แนะนำให้มาเที่ยวอังกฤษช่วงนี้นะครับรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน: )

Thursday 15 January 2009

กาก้าไม่...อาเดรียโน่ใช่ !?

โอ้แม่เจ้า! เห็นข่าวแมนฯซิตี้ฯประกาศทุ่มไม่อั้นพร้อมสอย "กาก้า" ยอดมิดฟิลด์ของเอซี มิลานด้วยค่าตัวกว่า 100ล้านปอนด์+ค่าเหนื่อย5แสนปอนด์ต่ออาทิตย์แล้วอึ้งครับไม่คิดว่าจะใจกล้าได้ขนาดนี้

สื่อเมืองผู้ดียืนยันตรงกันหมดครับว่าเจ้าหน้าที่ของทีมเรือใบสีฟ้าซึ่งนำทีมโดยแกรี่ คุ้กได้เข้าพบกับอาเดรียโน่ กัลเลียนี่ตัวแทนของเอซี มิลานเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมาและดูเหมือนว่า ข้อเสนอสุดยั่วยวนใจนี้ทำให้บอร์ดบริหาร ของปิศาจแดงดำถึงกับคิดหนักและอาจตัดสินใจรับข้อเสนอที่ว่านี้ก็เป็นได้

รายงานล่าสุดถึงตอนนี้ (คืนวันพุธเวลาไทย) มิลานยังไม่คอนเฟิร์มว่าตอบรับข้อเสนอแล้วหรือยังแต่บางส่วนก็คาดการณ์กันไปแล้วว่าซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ประธานสโมสรแห่งถิ่นซาน ซิโร่จะยอมเปิดทางให้ซิตี้ฯเข้าเจรจากับตัวนักเตะในไม่ช้า... อยู่ที่ว่าสุดท้ายแล้วอดีตนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่าและ เจ้าของรางวัลบัลลองดอร์ปี2007จะเลือกอยู่ทีมยักษ์ใหญ่เช่นมิลานต่อไปหรือตัดสินใจ เสี่ยงร่วมหัวจมท้ายกับแมนฯซิตี้ที่ฟอร์มในลีกยังหัวซุกหัวซุนในโซนท้าย ตารางแต่รับทรัพย์อิ่มเปรมแบบที่ว่ากินอีกกี่ชาติก็ไม่หมดดี?

โดยส่วนตัวผมไม่คิดนะครับว่า "ดีล" นี้จะประสบความสำเร็จง่ายๆอย่างที่ท่านชีค มันซัวร์หวังเอาไว้ว่าจะสร้างแบรนด์ซิตี้ฯให้กระหึ่มไปทั่วโลกเหมือนอย่างแมนฯยูไนเต็ดหรือเรอัล มาดริดเพราะสองทีมที่ว่านี้ใช้เวลาสั่งสม "ชื่อเสียง" และ เดินหน้าโกย "ความสำเร็จ" มาเป็นเวลาหลายสิบปีกว่าจะโด่งดังซื้อใจแฟนบอลได้ขนาดนี้

มากไปกว่านั้นกรณีของกาก้าเอเยนต์ของนักเตะก็เพิ่งออกมาพูดเปรยๆ ว่านักเตะในความดูแลของเค้าไม่ใช่ประเภทเอาเงินมาฟาดหัว แล้วก็ยอมศิโรราบเหมือนในเคสของโรบินโญ่เพื่อนร่วมชาติชาวบราซิล ที่ช็อกโลกด้วยการย้ายมาเล่นในถิ่นซิตี้ออฟ แมนเชสเตอร์ด้วยค่าตัวและค่าเหนื่อยมหาศาลแน่เนื่องมาจากนักเตะหน้ามนเจ้าของเสื้อยืด "I belong to Jesus" อยากจะเล่นให้ทีมใหญ่ซึ่งมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าหากต้องย้ายทีมขึ้นมาจริงๆ

ตรงนี้แหละครับที่ต่อให้เงินมหาศาลแค่ไหนก็ไม่สามารถ "ง้าง" ประตูหัวใจของนักเตะได้ อย่างไรก็ดีหากเจ้าตัวย้ายทีมขึ้นมาจริงๆกาก้าจะเป็นนักเตะที่แพง ที่สุดในโลกในโลกไปโดยปริยายแพงกว่าเจ้าของสถิติเดิมอย่าง "ซิซู" ซีเนดีน ซีดานถึงเท่าตัวเลยทีเดียว

แต่ที่ตกเป็นข่าวขึ้นมาวันเดียวกันและดูแนวโน้มว่า "ดีล" นี้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าก็คือเคสของ อาเดรียโน่กับสเปอร์สครับหลังลุงจ่าแฮร์รี่ เรดแนปป์เดินทางไปชมเกมอินเตอร์พบเจนัวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเพื่อซุ่มดูฟอร์มของหัวหอก เจ้าปัญหาชาวแซมบ้าที่ทำท่าว่าจะกลายเป็นส่วนเกินในถิ่นซานซิโร่เพราะโจเซ่ มูรินโญ่ไม่ปลื้มในพฤติกรรมนอกสนามนั่นเอง

สัญญายืมตัว6เดือนแถมแกเร็ธ เบลวิงแบ็กฝั่งซ้ายให้ "น้ามู" ไว้ใช้งานคือข้อเสนอที่ทางสเปอร์สเตรียมยื่นให้อินเตอร์ มิลานรับไว้พิจารณาถือว่าแฟร์ดีเพราะอินเตอร์ก็กำลังต้องการ กำลังเสริมผู้เล่นในตำแหน่งนี้ขณะที่ทางไก่เดือยทอง ซึ่งกำลังดิ้นรนหนีตายอยู่ในโซนตกชั้นอยากได้หัวหอกตัวใหญ่ๆอีกสักคนมาจับคู่ผลิตสกอร์กับเจอร์เมน เดโฟหลังโรมัน พาฟลูเชนโก้และดาร์เรน เบนท์ "ชั้น" ยังไม่ถึงในสายตาของเรดแนปป์

ครับ นี่คือภาพรวมล่าสุดที่เกิดขึ้นในตลาดนักเตะซึ่งแนวโน้มและ โอกาสของสองดีลที่ผมหยิบขึ้นมาเขียนนั้นโอกาสยัง 50-50 อยู่ทั้งคู่แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปถึงปัจจัยประกอบหลายๆด้านผมว่า "ดีล" ของกาก้าโอกาสนั้นริบหรี่เหลือเกิน

10 อันดับสถิติค่าตัวย้ายทีม

1. 47 ล้านปอนด์ ซีเนอดีน ซีดาน (ยูเวนตุส-เรอัล มาดริด)
2. 37 ล้านปอนด์ หลุยส์ ฟิโก้ (บาร์เซโลน่า-เรอัล มาดริด)
3. 34 ล้านปอนด์ เฮอร์นัน เครสโป ( ปาร์ม่า-ลาซิโอ)
4. 32.6 ล้านปอนด์ จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน (ปาร์ม่า-ยูเวนตุส)
5. 32.5 ล้านปอนด์ โรบินโญ่ (เรอัล มาดริด-แมนฯซิตี้)
6. 31 ล้านปอนด์ คริสเตียน วิเอรี่ (ลาซิโอ-อินเตอร์ มิลาน)
7. 30.75 ล้านปอนด์ ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ ( สเปอร์ส-แมนฯยูฯ)
8. 30 ล้านปอนด์ อังเดร เชฟเชนโก้ (เอซี มิลาน-เชลซี)
9. 29.1 ล้านปอนด์ ริโอ เฟอร์ดินานด์(ลีดส์-แมนฯยูฯ)
10. 29 ล้านปอนด์ กาอิซก้า เมนดิเอต้า (บาเลนเซีย-ลาซิโอ)

Wednesday 14 January 2009

โอกาสของเชลซีหลังความพ่ายแพ้ต่อผีแดง

ถามว่ายังพอมีสิทธิ์เป็นแชมป์อยู่บ้างมั้ยสำหรับ เชลซีภายใต้การคุมบังเหียนของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ หลังพาทีมออกไปโดนแมนฯยูไนเต็ดยิง ระบายซะไม่เหลือฟอร์มคู่ปรับตัวฉกาจ 3-0 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา?

หากดูในแง่ของ ตัวผู้เล่นและ ศักยภาพของนักเตะ แบบเรียงตัวแล้ว เชื่อเถอะว่าใครหน้าไหนก็คงไม่กล้า พอที่จะกาชื่อพวกเค้าออกจากสารบบ การลุ้นแชมป์เป็นแน่แท้แม้ว่าฟอร์ม การเล่นสองเดือน หลังสุดของพวกเค้าจะ "ย่ำแย่" พอๆกับนิสัยของดาราชายท่านนึง ที่เมาสุราแล้ว ไปรังแกคนแก่คราวพ่อของตัวเองก็ตาม...

11 ผู้เล่นที่ "บิ๊กฟิล" ส่งลงสนามในเกมล่าสุดถือเป็นชุดที่แทบ จะสมบูรณ์ที่สุดในรอบหลายนัด ที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ (ขาดแค่มิคาเอล เอสเซียง) ดูเผินๆหากเทียบกับฝั่งแมนฯยูฯอาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำไป แผงหลังที่มีปีเตอร์ เช็ก โจเซ่ โบซิงวาจอห์น เทอร์รี่ ริคกี้ คาร์วัลโญ่และแอชลี่ย์ โคลยืนตระหง่านเป็นแบ็กโฟร์อยู่ดูแล้วน่าจะเป็นแนวรับในฝันของกุนซือ ทุกคนหากว่าพร้อมใจกันท็อปฟอร์ม เหมือนใน ช่วงต้นฤดูกาลเพราะเหนียวแน่นหนึบไม่ค่อยเสียประตูให้คู่แข่งง่ายๆ

มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากความปราชัยคาถิ่น ในเกมพรีเมียร์ชิพ ต่อลิเวอร์พูลเมื่อปลายเดือน ตุลาคมปีที่แล้ว?
โอเคสภาพจิตใจที่อาจถูกบั่น ทอนลงไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการเสียสถิติอันน่าเกรงขามในบ้านตัวเองกว่า 4 ปีถือว่าน่าผิดหวังและเสียดายอยู่ไม่น้อยทว่ามันก็ไม่น่า จะส่งผลร้ายแรงและลากยาวมาจนถึงขนาดนี้

บางทีอาจจะเป็นตัวนักเตะเชลซีเองนั้นแหละ ที่เริ่มสูญเสียจิตวิญญาณของนักสู้และทีมสปิริต ที่เคยฝังรากลึกแน่นในยุค ของโจเซ่ มูริญโญ่และเป็น "จุดเด่น" ของทีมชุดนี้มาตลอด นอกจากนี้นักเตะตัวหลักในทีมหลายคนอาทิเช่นจอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือนิโกล่าส์ อเนลก้า ที่ล่าสุดข่าวปูดออกมาแล้วว่ามีปัญหากระทบกระทั่งกันก่อนเกมสำคัญที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดก็น่าจะเป็นอีกเรื่องนึงที่ยืนยันได้ว่าอดีตกุนซือทีมชาติบราซิล ซึ่งพื้นฐานภาษาอังกฤษโดยรวมก็ถือว่ายังไม่แข็งแรง น่าจะสูญเสีย "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" จากนักเตะตัวเองไปแล้วจริงๆ

ขณะที่ปัญหาแท็กติกส์ในสนามอย่างที่ผมเคยเรียน ไปหลายครั้งว่า กองกลางชุดนี้อายุแตะหลักเลข 3 กันหลายต่อหลายคน จึงเป็นเหตุให้เร่งเครื่องกันไม่ค่อยขึ้นในช่วงท้ายเกม มากไปกว่านั้นการขาดปีกแท้ๆ สไตล์อาร์เยน ร็อบเบนหรือเดเมี่ยน ดัฟฟ์เอาไว้พากองหลังทัวร์ เพื่อเปิดช่องให้กองหน้าได้มีพื้นที่เล่นมากกว่านี้ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าคิดเหลือเกินว่า "บิ๊กฟิล" จะแก้ปัญหาที่ว่านี้ยังไง เนื่องจากตัวที่มีอยู่เป็นนักเตะประเภทกองกลาง คอยปั้นเกมและ เน้นผ่านบอลซะมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราคงจะเห็นได้ชัดว่าแข้งสิงห์บลูต่อบอลกันเนียนๆ เยอะ(โดยเฉพาะช่วงครึ่งชั่วโมงแรก) แต่พอถึงจังหวะเข้าทำกลับดูไม่อันตรายอย่างที่ควรจะเป็นเพราะเป็น "เกมรุกมิติเดียว" ซึ่งง่ายเหลือเกินที่กุนซือชั้นครูอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันจะจับทางได้

ก็ถือว่าน่าเห็นใจสโคลารี่ในช่วงนี้ไม่น้อยครับเพราะ เข้ามารับตำแหน่งในยามที่เชลซีกลายสภาพเป็น "สิงห์โลโซ" ไม่มีเงินให้ช็อปนักเตะเหมือนสมัยอู่ฟู่เสียแล้ว (เดโก้เป็นรายเดียวครับที่ซื้อเข้ามาในยุคสโคลารี่) โดยเปิดตลาดนักเตะรอบนี้ปีเตอร์ เคนย่อน ซีอีโอหัวเหม่งก็ได้ประกาศดังๆ เป็นครั้งที่ร้อยแทน "อากู๋" โรมัน อับราโมวิชเจ้าของทีมไปแล้วว่าจะเลิกทุ่มแบบบ้าเลือดและ จะยืนหยัดยืนยงด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเอง
ทั้งๆที่ "เป้าหมาย" ในปีนี้ของทีมนั้น ชัดเจนมากว่าต้องการสักแชมป์มา ประดับตู้โชว์ของสโมสรให้จงได้หลังปีก่อนเป็นได้แค่ "พระรอง" ทั้งในพรีเมียร์ชิพ, แชมเปี้ยนส์ลีกและคาร์ลิ่ง คัพ

หนทางเดียวที่ "บิ๊กฟิล" จะผ่าวิกฤติตรงนี้ไปได้ก็คือ เรียกความสมัครสมานจากนักเตะกลับคืนมา ให้ได้เร็วที่สุด พร้อมทั้งทำผลงานให้ดีกว่าที่เป็นอยู่โดยเกมเอฟเอ นัดรีเพลย์คืนนี้กับเซาธ์เอนด์จะเป็น บททดสอบ ด่านแรกหลังจากความผิดหวังครั้งใหญ่ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด...

Sunday 11 January 2009

ปืนเปลี่ยนไป?

หนาวเข้ากระดูกสุดๆไปเลยสำหรับสภาพอากาศที่เมืองผู้ดีเวลานี้เพราะตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาในลอนดอนนอกจากจะมีหิมะร่วงแล้ว (ซึ่งปกติไม่ค่อยมีให้เห็น) อุณหภูมิยังทำลายสถิติ2ปีที่ผ่านมาด้วยการไปเตะหลัก -7 องศา!!

สนามหญ้าสีขาวโพลนสภาพรถราบ้านช่องที่ถูกเกาะเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ มาอยู่อังกฤษได้2ปีก็มีคราวนี้แหละครับที่รู้สึกว่าตัวเองทรมานและอยากกลับไปตากแดดเรียน ร.ด.ที่ไทยอีกจังเลย 555

ฟุตบอลอังกฤษสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เลยมีเลื่อนกันไปตามระเบียบหลายต่อหลายคู่โดยศึกพรีเมียร์ชิพวันเสาร์หรรษามีอันต้องถูกเลื่อนไป2คู่ปอร์ทสมัธ-แมนฯซิตี้และฟูแล่ม-แบล็คเบิร์นที่ ‘นาฬิกาทราย’ บ่นเซ็งเป็ดเพราะไปถึงสนามคราเวน ค็อทเทจแล้วแต่ดันยกเลิกก่อนเกมเพียงไม่กี่ชั่วโมงน่าเห็นใจจริงๆอุตสาห์นั่งรถไฟมาจากไบร์ทตัน

ส่วนผม...พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้งเพราะเกมที่เอมิเรตส์ สตเดี้ยมระหว่างอาร์เซนอลVSโบลตันไม่ได้ถูกยกเลิกตามไปแม้ว่าระหว่างทางที่ผมเดินไปสนามจะเย็นยะเยือกจนปากและมือสั่นเทา + ชาจนท้าให้ใครแถวนั้นมาตบก็ได้เชื่อเถอะว่าเอกพลหน้าด้านหน้าชา ไม่มีรู้สึก! (ฮา)

หลังจากรับประทานอาหารเลิศรส + ไอศครีม ‘ลุงเบนแอนด์เจอร์รี่’ตามสูตรที่ Arsenal Press Lounge ผมก็ได้รับ Team Sheet (รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีมก่อนเกมเริ่ม 30นาที) ปรากฏว่าทางฝั่งโบลตันทีมเยือนวันนี้มาแบบอนาถาได้อีกเพราะส่งรายชื่อตัวสำรองมาเพียงแค่4หน่อ (จากโควต้าทั้งหมด7คน) มาเช็คข่าวและทราบที่หลังว่าทีมของแกรี่ เม็กสันกำลังมีปัญหาขาดแคลนทรัพยากรเรื่องตัวผู้เล่นไว้ให้เลือกใช้งานอย่างหนักแบ็คขวาต้องเข็นดาวรุ่งโนเนมอย่าง คริส บาสแช่มหมายเลข30ลงสนาม
ส่วนอาร์เซนอลของอาร์แซร์ วุ่นกี้ เอ๊ย !อาร์เซน เวนเกอร์แม้ว่าตัวเจ็บจะยาวเป็นหางว่าวเช่นกัน (ขาดทั้งฟาเบกัส, กัลลาสและซิลแวสต์ร + ตัวเจ็บยาวก่อนหน้านี้) แต่โดยรวมก็ยังถือว่าดูดีและได้เปรียบ ‘เดอะทร็อตเตอร์ส’ อยู่หลายช่วงตัวนัก

หากแต่ว่าผลงานในสนามของทีมปืนโตชุดนี้เป็นอีกทีที่ ‘ตอกย้ำ’ ความจริงที่ว่าพวกเค้ายังห่างไกลกับตำแหน่ง ‘แชมป์เปี้ยน’ อยู่พอสมควรเลยทีเดียว...

11ผู้เล่นที่อาร์เซนอลส่งลงสนามในเกมนี้ผมว่าเวนเกอร์พยายามเลือกรักษาบาลานซ์ในเกมรับมากจนเกินไปเพราะส่งขุนพลซึ่งถนัดในการตั้งรับมาเป็นกระตักในแผงมิดฟิลด์ทั้ง เอบูอ้า (ปีกขวา) เดนิลสัน และดิยาบี้ (คู่กลาง) โดยซาเมียร์ นาสรี่ปีกซ้ายพลิ้วไหวเหนือสายน้ำเป็นคนเดียวที่ช่ำชองและมี ‘ทัศนะคติต่อเกมรุก’ โดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมทีมรายอื่นๆ

ด้านโบลตันหากใครได้ดูถ่ายทอดสดในเกมนี้และรู้ถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของพวกเค้าคงจะเสียดายอย่างแรงครับที่แผนMen behind ball หรืออุดแหลกในแดนตัวเองต้องมาพังลงในช่วงก่อนหมดเวลาการแข่งขันเพียงแค่ 6นาทีเท่านั้น

โอเค อาร์เซนอลอาจแสดงให้เห็นนะครับว่านักเตะพยายามเหลือเกินที่จะนวดผู้มาเยือนทั้งทางริมเส้น, เจาะตรงกลางหรือสบโอกาสหาจังหวะยิงไกลในหลายๆจังหวะทว่า ‘คุณภาพ’ ในการขึ้นเกมรุกของขุนพลชุดนี้นั้นบอกตามตรงครับว่าไร้ประสิทธิภาพสิ้นดีโดยเฉพาะเอ็มมานูเอล เอบูเอ้ซึ่งขงเบ้งเลือดน้ำหอมยังดื้อทำหูหนวก ตาบอดมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วว่านักเตะทีมชาติไอวอรี่โคสต์รายนี้สามารถเล่นในตำแหน่งปีกขวาให้ทีมที่เน้นเกมรุกแบบอาร์เซนอลได้ !?

นักเตะอย่างแอรอน แรมซีย์หรือแจ๊ค วิลเชียร์สองเด็กแสบคุณภาพคับแก้วซึ่งได้โชว์ศักยภาพให้ชาวโลกได้เห็นไปแล้วในเกม ‘ยังกันส์’ ไล่โขยกเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด6-0 และสอนบอลผู้ใหญ่อย่างวีแกนไป 3-0ในศึกคาร์ลิ่ง คัพเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา ไหงไม่ยักได้ลงสนามเป็นตัวจริงเพื่อมาป่วนคู่แข่งในเกมที่เวนเกอร์ก็รู้เต็มอกว่าต้องเจอบอลอุดเยี่ยงนี้?

ก็มึนๆและแคลงใจครับว่าทำไมทีมที่เคยบ้าเล่นเกมรุก+เอนเตอร์เทนแฟนบอลเป็นชีวิตจิตใจเพื่อลบภาพ ‘บอริ่งอาร์เซนอล’ในยุคของจอร์จ เกรแฮมถึงได้กลับมาเล่นดูแล้วชวนหลับเหลือเกินในเกมนี้ (โดยเฉพาะครึ่งแรก) ปัญหาหนักอกของทีมปืนใหญ่อาร์เซนอลในเวลานี้เลยกลายเป็นเรื่อง ‘เกมรุก’ ไปเสียฉิบทั้งที่ก่อนหน้านี้ในช่วงที่คิงอองรี , ‘พี่เป้า’ โรแบร์ ปิแรส ยังอยู่พวกเค้าดาหน้ายิงคู่แข่งไส้แตก4-5ลูกต่อเกมเป็นเรื่องธรรมดามาก
Lack of Creative Player หรือการขาดนักเตะประเภทจินตนาการสร้างสรรค์เกมสูงๆคือสิ่งที่ผมกำลังเป็นห่วงทีมคุณภาพชุดนี้ของเวนเกอร์ครับ ลำพังนาสรี่คนเดียวในช่วงนี้ดูแล้วหนักอึ้งเกินไป + ไม่เพียงพอในการโจมตีคู่แข่งแน่นอน...

ไอ้ครั้นจะรอให้โรบิน ฟาน เพอร์ซี่แสดงอภินิหารอย่างในนัดก่อนที่สอยพลีมัธไป3-1ซึ่งเจ้าตัวสอยไป2ตุงก็คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆทุกครั้งอย่างที่ใจหวัง เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ฟอร์มก็ดูดรอปลงไปเป็นที่พึ่งพาไม่ได้เหมือนซีซั่นที่แล้ว

ที่ร่ายมาซะยาวนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับคือต้องการเห็นอาร์เซนอลรีบปิดเคสในตลาดนักเตะและเปิดตัว ‘อาวุธใหม่’เพื่อมาช่วยทีมคว้าอันดับ4ซิวโควต้าไปแชมเปี้ยนส์ลีกหน่อยเพราะขืนแนวรุกยังดูฝืดๆแบบนี้โอกาสโดนแอสตัน วิลล่าทีมฟอร์มแรงปาดหน้าแย่งโควต้าไปมีสูงเหลือเกิน


Friday 9 January 2009

ดีลวัดใจ

หน้ามืดใหญ่แล้วสำหรับเศรษฐีน้องใหม่อย่างแมนฯซิตี้ หลังกระชากเวย์น บริดจ์มากจากอ้อมอกเชลซีได้ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนนี้พยายาม เหลือเกินที่จะปิดเคสของโรเก้ ซานตา ครูซให้ได้ตามคอนเซปต์ "เงินคือพระเจ้าและสามารถบัลดาลทุกสิ่ง" ข่าวล่าสุดที่ออกมาเห็นว่าแบล็คเบิร์นของแซม อัลลาร์ไดซ์ปฏิเสธข้อเสนอ 16 ล้านปอนด์ที่ทีมเรือใบยื่นให้เป็นที่เรียบร้อย โรงเรียนกุหลาบไฟแต่มาร์ค ฮิวจ์สกุนซือ Dead Man Walking ยืนกรานว่ายังไงก็ไม่ท้อและจะเดินหน้า Bid ข้อเสนอเพิ่มเพื่อคว้าอดีตกองหน้าคู่ใจมาร่วมงานกันอีกครั้ง

ท่าจะบ้าไปกันใหญ่ทั้งบอร์ดเรือใบและ กุนซือของทีมเนื่องราคาขนาดนี้พวกเค้าสามารถไปถอยลูคัส โพดอลสกี้หัวหอกส่วนเกินของบาเยิร์น มิวนิคซึ่งสนนราคาไม่น่าเกิน 12 ล้านปอนด์มาใช้งานได้สบาย ๆ ไม่รู้ว่าจะติดใจอะไรนักหนาสำหรับกองหน้า ปารากวัยฝีเท้าพอไปวัดไปวาไม่ถึงกับเวิลด์คลาสแบบซานตา ครูซนี่!?
ส่วนสาเหตุที่ทีมเรือใบโดนโก่งค่าตัวซะอ่วมอรทัย ขนาดนี้อย่างนึงก็เป็นเพราะพวกเค้าเองนั่นแหละ ที่แสดงทีท่าความกระหายอยากได้นักเตะซะขนาด ไม่มีวางฟอร์มหรือเม้มไว้ให้อีกฝ่ายเล่นเกม "วัดใจ" ใช้เป็นเครื่องต่อรองราคาให้ถูกลงเอาเสียเลยตรงนี้ถือเป็นข้อผิดพลาด อย่างร้ายแรงเพราะต้องจ่ายแพงเกินกว่าเหตุเหมือนอย่างที่ครั้งนึง "สิงห์ไฮโซ" เชลซีเคยโดนมาก่อนซื้อนักเตะแต่ละทีจ่ายเงิน 15 ล้านปอนด์อัพมาตลอด
แล้วสุดท้ายเป็นไง อากู๋ โรมัน อบราโมวิชเริ่มถังแตกจัดอันดับบุคคล ร่ำรวยที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษครั้งล่าสุด ตกกระป๋องร่วงมาอยู่เป็นอันดับ 3 สิงห์ไฮโซเลยกลายเป็นสิงห์โลโซไม่มีเงินช็อปนักเตะอย่างที่เห็น

ไม่เฉพาะในดีลของซานตา ครูซหรอกนะครับที่ทีมเรือใบโดน ดึงเชงโก่งค่าตัวเพราะในกรณีของเคร็ก เบลลามี่, สก็อต ปาร์คเกอร์ หรือเชย์ กิฟเว่น พวกเค้าก็กำลังจะเสียเปรียบต้องจ่ายแพงเกินกว่าเหตุและเป็น "ผู้แพ้" ในดีลตามความเห็นของผม...

แต่ที่กำลังเจรจาต่อรองมันถึงพริกถึงขิง + สมกับที่จบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์มาต้องคนนี้เลยอาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือมาดนิ่มที่ขึ้นชื่อลือชาเหลือเกินเรื่อง "ความเค็ม" ยิ่งมาอยู่กับสโมสรที่มีการวางแผนใช้จ่ายซื้อนักเตะ แต่ละครั้งค่อนข้างรอบคอบ แล้วด้วยยิ่งทำให้ทีมปืนโตไม่ค่อยเสียเหลี่ยมหรือเสียดุลใครง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ชื่อของมิเกล อาร์เตต้า และสตีเฟ่น ไอร์แลนด์สองมิดฟิลด์ฟอร์มแรงเคยตกเป็นข่าวกับทีมปืนโตหลังจากเชสก์ ฟาเบรกัสได้รับบาดเจ็บต้องพักยาว 4 เดือนและอาร์เซนอลต้องหาครีเอทีฟมิดฟิลด์มาปั้นเกมแทน

สุดท้ายเป็นอังเดร อาร์ชาวินเพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์สูงชาวรัสเซียที่ดูแนวโน้มแล้ว เวนเกอร์อยากจะได้มาร่วมทีมมากที่สุดติดอยู่ที่ว่าป้ายราคา 20 ล้านปอนด์ที่เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กแปะไว้ดูจะห่างไกลกับราคาที่อาร์เซนอลพร้อมจ่ายเหลือเกิน
"เดอะ การ์เดี้ยน" สื่อเชื่อถือได้เมืองผู้ดีอ้างว่าเวนเกอร์และ บอร์ดบริหารพร้อมจะจ่ายสูงสุดตัวเลขอยู่ที่ 13 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่พวกเค้าเคยซื้อซิลแวง วิลตอร์และโฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยสมาเป็นสถิติของสโมสร

7 ล้านปอนด์ถือว่าเยอะพอดูสำหรับ Gap ความห่างระหว่างดีมานด์และซัพพลายของทั้งสองทีม... เซนิตฯมองว่าคุณภาพของอาร์ชาวินนั้นไม่ควรได้น้อยกว่านี้
อีกอย่างพวกเค้าเพิ่งไปซื้อแดนนี่กองกลางโปรตุเกสเมื่อช่วงซัมเมอร์ถึง 24 ล้านปอนด์กำลังต้องการเงินมาหมุนเวียนเข้าคลังสโมสร ส่วนอาร์เซนอลและเวนเกอร์มองว่าอาร์ชาวินอาจจะพิสูจน์ตัวเองไปในเวที ระดับชาติอย่างยูโรฯครั้งที่ผ่านมาก็จริง แต่กับฟุตบอลพรีเมียร์ชิพซึ่งต้องใช้พละกำลังเยอะเหลือเกินพวกเค้า ไม่แน่ใจว่าอาร์ชาวินจะมีสภาพร่างกายที่ดีพอหรือเปล่า

นอกจากนี้หากทีมปืนโตได้มิดฟิลด์หมีขาวรายนี้มาร่วมจริงพวกเค้าจะ หมดสิทธิ์ใช้งานอาร์ชาวินในถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเนื่องจากตัวนักเตะเคยลงเล่นให้เซนิตฯมาแล้วในรอบที่ผ่านมา

ราคาถึงตอนนี้จึงยังสรุปและหาจุดลงตัวไม่ได้แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว ผมมองว่าทั้งสองสโมสรน่าจะตกลงกันได้ในราคาที่ Win-Win หรือเป็นที่น่าพอใจสำหรับทั้งสองคู่โดยที่ทีมปืนโตไม่น่าจะต้องจ่ายถึง 20 ล้านปอนด์ตามที่เป็นข่าวครับ

Thursday 8 January 2009

คู่ชิงคาร์ลิ่งปีนี้หนีไม่พ้น...ผี-ไก่

เท้าแตะเวมบลีย์ไปข้างนึงแล้วสำหรับ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส หลังยำใหญ่เบิร์นลีย์ไป 4-1 ในศึกคาร์ลิ่ง คัพเลกแรกที่ไวท์ ฮาร์ท เลนเมื่อกลางดึกวันอังคารที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศ "คืนสู่เหย้า" ขวัญใจคนเดิมอย่างเจอร์เมน เดโฟสุดอบอุ่นหลังหอกเล็กพริกขี้หนูเซ็นสัญญาร่วมทีมเป็นครั้งที่สองด้วยค่าตัวประมาณ 15 ล้านปอนด์

ถือเป็นสกอร์ไลน์ที่ต้อนรับน้องใหม่หน้าเก่าอย่างเดโฟได้สมบูรณ์แบบ แม้ว่าผลงานในช่วงครึ่งเวลาแรกของสเปอร์สจะห่วยบรมเลยก็ตาม...

แผงกองกลางในเกมนี้อย่างแอรอน เลนน่อน, ลูก้า โมดริช, ดิดิเย่ร์ โซโกร่า และเดวิด เบนท์ลี่ย์ ดูตามชื่อชั้นของแต่ละรายแล้วน่าจะเล่นด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหาทว่าพอเอาเข้าจริงกลับต่อกันไม่ติด โดยเฉพาะเดวิด เบนท์ลีย์ปีกขวาหน้าหล่อที่ย้ายมาจากแบล็คเบิร์นในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาด้วยค่าตัวมหาศาล 15 ล้านปอนด์แต่ฟอร์มการเล่นนับจนถึงตอนนี้เรียกได้ว่า "สอบตก" ไม่ต่างกับเคสร็อบบี้ คีนที่ย้ายไปหงส์แดง

ส่วนตัวหากไม่รวมลูกยิงไกลสุดสวยในเกมสเปอร์สบุกไปยันเสมออาร์เซนอลได้ถึงเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 4-4 เมื่อช่วงต้นฤดูกาล ผมยังไม่เห็นว่าเบนท์ลี่ย์จะแสดงความเทพอย่างที่สื่ออังกฤษยกเค้าให้เป็น "ร่างทรง" ของเดวิด เบ็คแฮมเลยสักนิดยกเว้นเรื่องขี้เก๊กและลุกส์เจ้าสำอางค์ ผิดกับตอนที่อยู่แบล็คเบิร์นหมอนี่เล่นได้แจ่มมากโดยเฉพาะลูกครอสที่หวัง ผลได้ตลอดซึ่งตรงนี้น่าสนใจครับว่าแฮร์รี่ เรดแนปป์ที่เก่งในเรื่องจิตวิทยาจะเรียกฟอร์มเดิมๆของเจ้าตัวกลับมา ได้มั้ยหลังเกมล่าสุดก็ถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งแรก

ส่วนผู้ที่ลงไปแทนในเกมนี้อย่างเจมี่ โอฮาร่านั้น เรดแนปป์จับให้ยืนริมเส้นฝั่งซ้ายลงมาปุ๊บเกมของสเปอร์สก็ลื่นไหลและดูลงตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยดาวรุ่งจอมขยันรายนี้ดูพัฒนาขึ้นเยอะทีเดียวในซีซั่นนี้เพราะแอสซิสต์ให้เพื่อนยิง 1 และเบิกให้สกอร์ให้ทีมขึ้นนำ2-1ถือเป็น "ซูเปอร์ซับ" ในเกมนี้อย่างแท้จริง

ขณะที่การเข้ามาของเจอร์เมน เดโฟ คาดว่าน่าจะทำให้กองหน้าอีกสามคนในทีมอย่างโรมัน พาฟลูเชนโก้, ดาร์เรน เบนท์และเฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ต้องพยายามเรียกฟอร์มเก่งผลิตสกอร์ให้สม่ำเสมอกว่าที่เป็นอยู่ เพราะที่ว่างในตำแหน่งกองหน้าเหลือโควตาอีกเพียงที่เดียวเนื่อง จากตำแหน่งตัวจริงอีกหนึ่งนั้นค่อนข้างชัวร์ว่าเจอร์เมน เดโฟจะเป็น "เฟิร์สชอยส์" ของแฮร์รี่ เรดแนปป์ในระบบ 4-4-2

เดโฟนั้นไม่ติดคัพไทเนื่องจากยังไม่ได้ลงเล่นบอลถ้วยภายในประเทศให้ปอร์ทสมัธเลยในฤดูกาลนี้ ซึ่งนั้นหมายความว่าเจ้าตัวมีสิทธิ์ลงเล่นในคาร์ลิ่ง คัพรองรองฯเลกสองกับเบิร์นลีย์ และเอฟเอ คัพรอบ 4 กับแมนฯยูไนเต็ดได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งตรงนี้ทำให้แฟนบอล ตราไก่มีหวังลุ้นแชมป์บอลถ้วยและคว้าสิทธิ์ไปเล่นบอลยูฟ่า คัพอีกปีดูสดใสขึ้นมาอีกเยอะเลยทีเดียว

ส่วนความน่าจะเป็นของนัดชิง "คาร์ลิ่ง คัพ" ในปีนี้ไม่ได้เป็นการดูถูกหรือไม่ให้เกียรติเบิร์นลีย์และดาร์บี้ ที่อุตส่าห์ฝ่าฝันอุปสรรคมาจนถึงรอบรองชนะเลิศนะครับ หากแต่ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่านัดชิงปีนี้จะไม่พลิกโผไปจากการเข้าชิงกันเองของทีมจากพรีเมียร์ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเปอร์สเล่นเลกแรกแล้วตุนสกอร์ไว้บานขนาดนี้ ส่วนดาร์บี้ VS แมนฯยูฯซึ่งขณะที่เขียนคู่นี้ยังไม่เริ่มเตะแต่คาดว่าไม่น่าจะมีพลิกโผแต่อย่างใด

แหม...แค่คิดก็มันแล้วละครับถ้าผีแดงเจอไก่เดือยทองจริง เพราะจะเป็นเกมระดับ 5 ดาวไม่แพ้คู่ชิงปีก่อนแน่นอน คอนเฟิร์ม!

Wednesday 7 January 2009

ความซื่อสัตย์

ว่ากันว่าคุณค่าของการเป็นมนุษย์ชั้นประเสริฐ อย่างนึงนั้นคือการเป็นคนรู้จัก "บุญคุณ" คน และตอบแทนข้าวแดงแกงร้อนของผู้มีพระคุณ

บุตรอาจตอบแทนบิดา มารดาที่ช่วยดูแลประคบ ประหงมกันมาตั้งแต่แบเบาะ ส่งเสียเล่าเรียน จนเติบใหญ่ทำงานเข้าสังคมด้วยการดูแลเอาใจใส่ ให้ความรักเมื่อท่านแก่ตัวลง, พนักงาน/ลูกจ้างทั้งหลาย แหล่ก็เช่นกันเมื่อเจอนายจ้างดีๆ ก็ควรทำงานกับให้สมกับ "ค่าแรง" ที่ตนเองได้รับและ ซื่อสัตย์สุจริตต่อองค์กรทั้งต่อหน้าและลับหลัง

"นักฟุตบอล" และ "สโมสร" ก็เป็นอีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่ผมอยากจะพูดถึงในวันนี้...

มกราคมปี 2007 เจอร์เมน เดโฟกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเป็นตัวเลือกอันดับที่ 3 ในตำแหน่งสไตรเกอร์ของสเปอร์สรองจากดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟและร็อบบี้ คีน ซึ่งจับคู่ถล่มประตูกันเป็นล่ำเป็น สันจนไม่มีที่ว่างให้หนึ่งในตัวจบสกอร์ที่ดีที่สุด ของวงการฟุตบอลอังกฤษลงสนามพิสูจน์ฝีเท้า

ทุกครั้งที่ได้โอกาสแม้หัวหอกซาไกจะทำผลงานได้ไม่ขี้เหร่ แถมยิงประตูสำคัญให้ทีมของฆวนเด้ รามอสได้อยู่เรื่อยๆ แต่นั้นก็ไม่ดีพอ ที่จะทำให้เค้าเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดคนแรกของสเปอร์สในช่วงนั้น จนกระทั่งปอร์ทสมัธภายใต้การกุมบังเหียนของแฮร์รี่ "ฮูดินี่" เรดแนปป์เล็งเห็นว่า เดโฟอดีตศิษย์โปรดที่เวสต์แฮม ไม่มีความสุข กับชีวิตค้าแข้งในถิ่นไวท์ฮาร์ทเลนเอาเสียเลย พ่อแท้ๆ ของเจมี่ เรดแนปป์ (อดีตดาวเตะลิเวอร์พูลและ สเปอร์สปัจจุบันเป็นผู้วิเคราะห์เกมทางช่อง Sky Sport) จึงตัดสินใจยื่นมือเค้ามาช่วยชุบชีวิตนักฟุตบอล ไซซ์เล็กพริกขี้หนูเชื้อ สายเซนต์ลูเซีย&โดมินิกัน แต่เกิดที่ลอนดอนรายนี้ไปร่วมกันอีก ครั้งที่ปอร์ทสมัธทีมขนาด กลางซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศอังกฤษ

ให้เห็น 8 ประตูจาก 7 เกมแรกภายใต้ชายคาแฟรตตัน ปาร์คทำให้ชื่อของเจอร์เมน เดโฟฮอตฮิตติดลมบนกลาย เป็นขวัญใจของแฟนๆ เดอะปอมปีย์แทบจะทันที และซัมเมอร์ที่ผ่านมาเรดแนปป์โชว์บารมีโค้ช ผู้คร่ำหวอดและ ได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือมาก ที่สุดคนนึงในวงการฟุตบอลอังกฤษด้วย การกระชากปีเตอร์ เคราช์ "ส่วนเกิน" ในทีมหงส์แดงมาประสานงาน จับคู่กับเดโฟผลัดกันยิงประตูกรุยทาง สู่แคมป์ทีมชาติอังกฤษเติมเต็ม "ความฝัน" ที่ขาดหายไปนานของทั้งคู่อีกครั้ง

การกลับมาเฉิดฉายในเส้นทางค้าแข้งอีกครั้ง ของเดโฟแน่นอน ว่าส่วนนึงต้องให้เครดิตแฮร์รี่ เรดแนปป์ผู้ทำให้ "ดีล" นี้เกิดขึ้น... อย่างไรก็ดีก็ต้องขอบคุณปอร์ทสมัธและปีเตอร์ สตอร์รี่ CEO ของทีมเช่นกันที่ไฟเขียวอนุมัติให้เรื่องผ่านพ้นไปด้วยดี

ชั่วโมงนี้เรดแนปป์สลับขั้วมานั่งแท่นเป็น กุนซือสเปอร์สและ กำลังจะเปิดตัวเจอร์เมน เดโฟขวัญใจคนใหม่แต่หน้าเดิม ในถิ่นไวท์ฮาร์ท เลนในช่วงบ่ายวันอังคาร (เวลาอังกฤษ) หากไม่มีอะไรผิดพลาด ในการตรวจร่างกายช่วงเช้า

ถามว่าเรื่อง "บุญคุณ" และ "ความซื่อสัตย์" ที่นักฟุตบอลเคยมีมากล้น มหาศาลเหลือเกิน ต่อสโมสรต้นสังกัดในอดีตได้สูญสิ้น ไปหมดแล้วใช่มั้ย? นักเตะสักคนที่สามารถอยู่โยงกับสโมสร ได้ตลอดชีวิตเหมือนที่ไรอัน กิ๊กส์, แกรี่ เนวิลล์, พอล สโคลส์ หรือยุคเก่าหน่อยอย่างแมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ยังจะมีให้เห็นอยู่อีกรึเปล่า ?

เคสนี้เราสามารถ โยงได้กับกรณีของสจ๊วร์ต ดาวนิ่งที่ร่ำๆ อยากย้ายออกจาก มิดเดิลสโบรห์ทั้ง ที่เพิ่งต่อสัญญายาวกันออกไปเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา, โรบินโญ่เคยร้องห่มร้องไห้ขอย้ายออกจากเรอัล มาดริด หรือคริสติอาโน่ โรนัลโด้ที่หวังใช้ทีมปีศาจแดงเพื่อเป็นบันไดเพื่อต่อยอด ความฝันตัวเองในการค้าแข้งกับทีมราชันชุดขาว ฯลฯ (ไม่ขอนับปัญหาล่าสุดระหว่างคาร์ลอส เตเบซกับแมนฯยูฯนะครับ เพราะผมมองว่าเป็น ทีมผีแดงเองมากกว่าที่ "เล่นแง่" และต้องการเฉดหัวหอก อาร์เจนไตน์พ้นทีม)

อย่างไรก็ดีแม้ผมจะเข้าใจดีว่าการโยกย้ายตัวของ นักเตะเพื่อเติมเต็มความฝันส่วนตัวเป็น กฎเกณฑ์และวัฏจักรของ "การเปลี่ยนแปลง" ซึ่งไม่อาจหลีกพ้นในวงการฟุตบอลยุคอะไรๆ ก็บิสิเนสแบบนี้ ทว่าก็อดใจหายไม่ได้จริงๆที่ต่อไปสโมสรจะเป็นเพียงแค่ "ทางผ่าน" ของใครบางคน...