Wednesday 28 January 2009

ประสบการณ์ช่วยได้!?

ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมาต้องบอกว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจครับทั้งการซัดประตูชัยในการประเดิมสนามของเอมิล เฮสกีย์พร้อมพาแอสตัน วิลล่าทะยานขึ้นสู่อันดับ3มี47คะแนนเท่าลิเวอร์พูลประกาศศักดาการเป็น ‘ม้ามืด’ ในการชิงแชมป์แบบเต็มตัว, ผลงานอลังการของแมนฯยูไนเต็ดที่ไล่ถล่มเวสต์บรอมฯไป5-0พร้อมสถิติไม่เสียประตูของเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ซาร์, ทีมที่แข็งแกร่งขึ้นของสเปอร์สหลังการช้อปกระหน่ำของแฮร์รี่ เรดแนปป์ฯลฯ...

ขอเริ่มที่แอสตัน วิลล่าก่อนเพราะอึ้งครับไม่คิดว่าขุนพลของมาร์ติน โอนีลจะทำผลงานได้ดีขนาดนี้ เพราะชื่อชั้นนักเตะบางคนในทีมก็ไม่ได้ดีไปกว่าทีมอย่างเอฟเวอร์ตัน, แมนฯซิตี้หรือสเปอร์ส ทว่าผลงานเรื่อยๆมาเรียงๆของพวกเค้านั้นแข็งแกร่งเกินห้ามใจและการได้เฮสกีย์มาผนึกกำลังกับกาเบรียล อักบอนลาฮอร์ในแดนหน้าถือเป็น ‘อาวุธ’ ที่น่าสะพรึงกลัวเหลือเกินสำหรับกองหลังคู่แข่ง

3.5ล้านปอนด์ที่เสียไปผมเชื่อว่าถูกเหมือนได้ฟรีเพราะคุณภาพและประโยชน์ของเฮสกีย์ก็อย่างที่รู้ว่าเป็นสาเหตุสำคัญเลยละที่ทำให้วีแกนมีผลงานแล่นชิวบหัวตารางอย่างทุกวันนี้จากนี้ไปอยู่ที่ว่านักเตะสิงห์ผงาดจะคงเส้นคงวาในช่วงที่เหลือได้มากน้อยขนาดไหนและสามารถทนแรงเสียดทานในกลุ่มบิ๊กโฟร์ได้ตลอดรอดฝั่งรึเปล่า?

ขณะที่ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งบุกไปยิงเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนไส้แตกคาสนาม ‘เดอะ ฮอว์ธอร์น’ แนวรุกยังสำแดงผลงานโหดเหี้ยมอำมหิตได้อีกแม้จะขาดเวยน์ รูนี่ย์, นานี่และแอนเดอร์สันไปแต่พวกที่ยังอยู่เช่นเบอร์บาตอฟ เตเบซ โรนัลโด้ กิ๊กส์ คาร์ริค ก็กำลังเล่นได้เข้าฟอร์ม+เข้าขากันมากโดยเฉพาะอดีตเด็กตราไก่อย่างคาร์ริค-เบอร์บามองตาก็รู้ใจคนนึง ‘ชง’คนนึง ‘ยิง’ มาสองเกมติดแล้ว

นอกจากนี้หลังจบเกมแนวรับของพวกเค้ายังได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาด้วยการไม่เสียประตูในพรีเมียร์ชิพมาเป็นเกมที่11ติดต่อกัน โดยประตูสุดท้ายที่เสียต้องย้อนไปวันที่8พฤษจิกายนปีที่แล้วโน้นเลยในเกมที่ผีแดงปราชัยต่ออาร์เซนอลที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมไป1-2

งานนี้คนที่ได้รับเครดิตไปเต็มๆคือ ‘น้าเอ็ด’ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ซาร์ผู้รักษาประตูวัย38ปีชาวฮอลแลนด์ที่ทำลายสถิติไม่เสียประตูนานสุดของปีเตอร์ เช็กนายทวารเชลซีลงด้วยเวลา1,032 นาทีหรือ17ชั่วโมงเศษๆ !
แน่นอนครับหากพวกเค้ายังเดินหน้ารักษาคลีนชีตได้ต่อไปแบบนี้เรื่อยๆผมมองไม่เห็นทางเลยที่ลิเวอร์พูลหรือเชลซีจะทำคะแนนปาดหน้าแซงพวกเค้าไปได้ ช่องว่าง3แต้มอาจดูว่าน้อยแต่ผลงานเล่น ‘ดุ’ ได้ขนาดนี้ทีมตามมีหวังไม่สะดุดขาตัวเองไปก่อนก็คงแอบถอดใจกันไปเองบ้างแหละ

สุดท้ายทีมตราไก่สเปอร์สของ‘ลุงจ่า’ แฮร์รี่ เรดแนปป์ที่เปิดตลาดรอบนี้เดินหน้าช้อปนักเตะแหลกไม่น้อยหน้าแมนฯซิตี้เพราะกว้านซื้อมาแล้วทั้งเจอร์เมน เดโฟ, ปาสกัล ชิมบงด้าและคาร์โล คูดิชินี่

นัดที่ผ่านมาเอาชนะสโต๊ค ซิตี้ได้แบบไม่ยากเย็น 3-1 รูปเกมโดยรวมต้องบอกว่าการได้คูดิชินี่และเดโฟมามี ‘อิมแพค’ ต่อทีมทันที รายแรกเป็นประตูมือดี + ประสบการณ์สูงแถมคุ้นเคยกับบอลพรีเมียร์ฯมายาวยาวนาน การได้ ‘ไอ้แมงมุม’ เข้ามาเชื่อว่าจะทำให้การขับเคี่ยวตำแหน่งตัวจริงกับฮูเรลโญ่ โกเสมได้อย่างสนุก
ขณะที่เดโฟเป็นตัวจบสกอร์โดยธรรมชาติและยืนหาตำแหน่งยิงประตูได้ดี การจับคู่กันระหว่างเค้าและโรมัน พาฟลิวเชนโก้น่าจะทำให้ทีมตราไก่มีผลงานที่ดีขึ้นประกอบกับการเริ่มคืนฟอร์มอย่างช้าๆของเดวิด เบนท์ลีย์ปีกขวาเท้าชั่งทองที่โดนเรดแนปป์ติงเรื่องฟอร์มปุ๊บก็เล่นดีปั๊บ...

ครับ เราจะเห็นได้ว่าทีมอย่างแมนฯยูฯ, วิลล่าและสเปอร์สแม้จะออกสตาร์ตได้ไม่แรงอย่างที่แฟนบอลหวังเอาไว้ (โดยเฉพาะทีมผีแดงและไก่เดือยทอง) แต่การที่พวกเค้ามีกุนซือ ‘ชั่วโมงบินสูง’ จึงรู้วิธีเอาตัวรอดในยามที่ทีมเจอช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานได้เสมอ ดังที่เรากำลังจะได้เห็นกันว่าสุดท้ายผีแดงจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพในปีนี้และทีมตราไก่จะจบซีซั่นด้วยอันดับที่สูงกว่าอันดับ10แน่นอน คอนเฟิร์ม!

Wednesday 21 January 2009

ส่วนเกิน

อ่านคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของแกรี่ คุ๊ก ซีอีโอแมนฯซิตี้ถึงกรณีที่โรบินโญ่ ‘ชิ่ง’ ออกจากค่ายฝึกซ้อมของทีมว่าจะไม่มีนักเตะคนใหญ่ไปกว่าสโมสรและพร้อมลงโทษซูเปอร์สตาร์ค่าตัวสูงสุดเป็นสถิติบนเกาะอังกฤษหากว่าทำผิดจริงแล้วรู้สึกถึง ‘กลิ่น’ ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีระหว่างความสัมพันธ์ของนักเตะและสโมสรครับ

รายงานว่าโรบินโญ่ทำแบบนี้เพื่อเป็นเกมหวังจะสร้าง ‘รอยร้าว’ ระหว่างเค้าและกุนซือของมาร์ค ฮิวจ์ซึ่งรู้กันดีว่าเข้มงวดกวดขันขนาดไหนเรื่องวินัยและความเป็นมืออาชีพของลูกทีม

นี้ไม่ใช่ครั้งแรกครับที่เจ้า ‘เปเล่น้อย’ ทำในสิ่งที่แสดงถึงการไม่ให้เกียรต์สโมสรและเพื่อนร่วมทีมเพราะก่อนหน้านี้ก็ได้ตั้งแง่ว่าทีมเรือใบสีฟ้า‘Lack of winning mentality’ หรือ ไม่มีจิตใจของนักสู้ผู้กระหายชัยชนะเอาเสียเลยไม่เหมือนอย่างเรอัล มาดริดทีมเก่าของเค้า

ปัญหาเยอะขนาดนี้ทั้งเพิ่งที่ย้ายมาอยู่ได้ไม่เท่าไร...ขอฟันธงล่วงหน้าก่อนใครเลยครับว่าโรบินโญ่อยู่แมนฯซิตี้ไม่ยืดแน่! (นี่แหละน๋ามีเงินซื้อได้แค่ ‘ตัว’ หาใช่ ‘หัวใจ’ ของนักเตะ)

นอกเหนือจากเคสของโรบินโญ่ที่ทำท่าว่าจะเป็นมะเร็งเนื้อร้ายบ่อนทำลายสปิริตในทีมตัวเองแล้ว ยังมีนักเตะอีกสองสามรายครับที่ตอนนี้กำลังจะเป็น ‘ส่วนเกิน’ ของทีมหากว่ายังไม่รีบรีดฟอร์มเก่งของตัวเองคืนมา

เจอร์เมน จีนัส, ดาร์เรน เบนท์และเดวิด เบนทลีย์คือสามหน่อที่ผมอยากจะพูดในวันนี้...

รายแรกนักเตะหน้าอินโดฯอดีต ‘ไข่ข้างขวา’ ผู้เป็นจอมทัพที่ขาดไม่ได้ถ้าฟิตเต็มถังเป็นต้องลงสนามทุกนัดในยุคของมาร์ติน โยลและฆวนเด้ รามอส ผลงานของจีนัสคงไม่ต้องสาธยายกันให้มากความสำหรับแฟนๆไก่เดือยทองเพราะว่าไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนเมืองไทยหรืออังกฤษผมจะรับรู้ได้ถึงปฏิกริยา ‘ยี๊’ หรือไม่ชอบใจกองกลางก้านยาวผู้ชอบเท้าสะเอวยืนดูเพื่อนเล่นเป็นชีวิตจิตใจ

อดีตเคยเป็นถึงรองกัปตันทีมของสเปอร์สรองจากเลดลีย์ คิงแต่หลังจากการเข้ามาของแฮร์รี่ เรดแนปป์หมอนี่นอกจากจะโดนยึดปลอกแขนไปให้โจนาธาน วู้ดเกตหรือไมเคิ่ล ดอร์สันในบางโอกาสแล้ว ตำแหน่งตัวจริงที่เคยได้รับอภิสิทธ์ลงสนามมาตลอดก็ถูกจำกัดโอกาสไปโดยปริยาย...การเข้ามาของวิลสัน พาลาซิออสกองกลางพลังม้าเจ้าของฉายา‘นิวพอล อินซ์’ (สตีฟ บรู๊ซตั้งให้) ด้วยค่าตัวแพงบรรลัยกว่า12ล้านปอนด์ว่ากันว่าถือเป็นบทอวสานในถิ่นไวท์ ฮาร์ทเลนของเจอร์เมน จีนัสอย่างแท้จริง

รายต่อมา ‘สากพันล้าน’ ดาร์เรน เบนท์ที่สเปอร์สอุตสาห์ไปคว้ามาจากชารล์ตันด้วยค่าตัว16.5ล้านปอนด์เมื่อ18เดือนก่อนผลงานแม้ถึงตอนนี้จะเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม (12ประตู) ทว่าหากใครได้ชมเกมคู่สเปอร์สVSปอร์ทสมัธเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาหากได้เห็นลีลาการโหม่งโล่งๆแล้วหลุดกรอบต้องบอกว่านี่มันร่างทรง ‘แอนดี้ โคล’ ชัดๆ!

อนาคตในเล่าไก่ของหมอนี้ผมดูแล้วมืดมนเสียเหลือเกินเพราะกุนซือของทีมถึงขั้นปรี๊ดแตกโวยวายหลังเกมว่า‘ลูกนั้นถ้าเป็นเมียผมยังยิงเข้าเลย’ นอกจากนี้หลังจากที่ทีมตราไก่คว้าตัวเดโฟมาได้ ‘ลุงจ่า’ ก็ดูเหมือนว่ายังไม่พอใจกับขุมกำลังในแดนหน้าตกเป็นข่าวกับอาเดรียโน่และเคนเวย์น โจนส์ไม่หยุดหย่อน

คนสุดท้ายเดวิด เบนท์ลีย์รายนี้ฝีเท้าไม่ธรรมดาสื่ออังกฤษ ‘เคย’ยกให้เป็นตัวตายตัวแทนของเดวิด เบ็คแฮมในทีมชาติอังกฤษทั้งในเรื่องของฝีเท้าและหน้าตาทว่านับตั้งแต่ย้ายมาสเปอร์สด้วยค่าตัว15ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์ นอกจากประตูมหัศจรรย์ในเกมเสมออาร์เซนอลไปอย่างสุดมัน4-4แล้ว เจ้าตัวก็ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเดิมๆเหมือนสมัยที่เล่นให้แบล็คเบิร์นกลับมาได้เลยในสีเสื้อทีมตราไก่

ล่าสุดโดนแฮร์รี่ เรดแนปป์ออกมาวิจารณ์เรื่อง ‘ความทุ่มเท’ และ ‘อีโก้’ ที่สูงเกินตัวตอกย้ำชัดเจนว่าหากยังไม่แก้ไขมีสิทธิ์หมดอนาคตกับทีมได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าปีกขวาสุดหล่ออดีตเด็กสร้างของอาร์เซนอลมีฝีเท้าดีพอที่จะเอาชนะใจกุนซือหน้าง่วงแน่นอนอยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนแปลง ‘ทัศนคติ’ ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้รึเปล่าเท่านั้นเอง

เริ่มแล้วครับสำหรับปฏิบัติการล้างเล้าไก่ของ ‘ลุงจ่า’ ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องดองเค็มนักเตะหากว่าไม่พอใจใครขึ้นมา (เบน ซาฮาร์ + เดวิด นูเจนท์เคยโดนมาแล้ว) ใครคือ ‘ส่วนเกิน’ ในทีมชุดนี้รายต่อไปโปรดติดตามอย่าได้กระพริบตา!

เอฟเฟกต์จาก "กาก้า" ถึงแมนฯซิตี้

ในที่สุด "เงิน" วัตถุที่สามารถ "ซื้อ" ได้แทบทุกสิ่งอย่างไม่ว่า จะเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดัง, นาฬิกาแบรนด์เนมหรือตุ๊กตา หน้ารถขาวสวยหมวยอึ๋ม (แต่ไร้สมอง) ก็ต้องแพ้ภัยคนที่ไม่ได้ตก เป็นทาสของมัน...

ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์หน้าหยก ของเอซี มิลานคือคนคนนั้น ที่ปฏิเสธเงินค่าเหนื่อยกว่า 5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ที่แมนฯซิตี้ของท่านชีคมันซัวร์ประเคนมอบให้อย่างไม่ไยดี

งานนี้แฟนมิลานเฮกันสนั่น แต่แฟน เรือใบคงเฉาเพราะ ถูกหัก หน้า อย่างแรงที่เศษเงินของ บอร์ดอาบูดาบีไม่สามารถ ทำหน้าที่ของมันได้อย่าง มีประสิทธิภาพเหมือน ครั้งก่อนที่ใช้ "จูงจมูก" โรบินโญ่ ซูเปอร์สตาร์จากเรอัล มาดริดมายืน หัวโด่ในถิ่นซิตี้ ออฟแมนเชสเตอร์ได้ อย่างภาคภูมิใจ

กรณีของกาก้าผมเชื่อเหลือเกินว่าสามารถบันทึกเป็น "ตำนาน" อีกบทนึงในวงการฟุตบอลได้เลยเพราะหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับมนุษย์ปุถุชนที่จะเมินหน้าหนีเงินก้อนโตขนาด นั้นแม้ความจริงที่ว่าแมนฯซิตี้เป็นแค่ทีมไม้ประดับ ในลีกยากจะประสบ ความสำเร็จซักแค่ไหนแต่เสน่ห์ของเงินตรามันหอมหวนยั่วยวนเกินห้ามใจ ฟันธงเลยว่าเป็นนักเตะรายอื่นที่หน้าเงินหน่อยรับรอง "ดีล" นี้ไม่มียืดเยื้อเพราะ "ปีศาจแดงดำ" ต้นสังกัดของนักเตะเปิดไฟเขียวปูพรมแดงแทบจะอัญเชิญรอให้กาก้าย้ายทีมอยู่นานสองนานแล้ว

ส่วนกรณีการทำตัว "ล่องหน" ของโรบินโญ่ด้วย การหนีออกจากแคมป์ฝึกซ้อมของทีมซึ่งกำลัง เก็บตัวอยู่ที่เมืองเตเนริเฟ่ ประเทศสเปน โดยอ้างว่ามีเหตุผลเรื่องครอบครัวเข้ามาเกี่ยว ดูแล้วไม่น่าจะใช่เหตุผลที่แท้จริงของเจ้าตัวหากแต่เกี่ยวข้องกับ ดีลที่ล่มของกาก้ามากกว่า

ออกแนวติสต์แตกเพื่อนรัก ไม่ย้ายมา แสดงอาการไม่มั่นใจในศักยภาพ พลังเงินของสโมสร...อีกหน่อยคาดว่าคง มี "เล่นแง่" หาเรื่องงอแงย้ายทีมอีกตามเคยเพราะโอกาส จะประสบความสำเร็จอย่างที่หวังถึงตอนนี้เจ้าตัวคงรู้อยู่แก่ใจ ว่าแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ นักเตะใหม่ที่ย้ายมาหรือ กำลังตกเป็นข่าวดูๆ แล้วเต็มที่คงเป็นได้แค่สินค้าเกรด B ซึ่งราคาแพงโอเวอร์เกิน ความจำเป็นเหมือนในรายของเวย์น บริดจ์ 12 ล้านปอนด์, เคร็ก เบลลามี่ 14 ล้านปอนด์ และไนเจล เดอ ยอง 18 ล้านปอนด์

การได้ 3 คนข้างต้นมา ใช่ว่าจะทำให้แมนฯซิตี้ กลายสภาพเป็น ทีมเทพติดปีก พร้อมท้าชิง ความยิ่งใหญ่จาก "บิ๊กโฟร์" หรือ ทีมอย่างแอสตัน วิลล่า, เอฟเวอร์ตันได้ง่ายๆซะเมื่อไร และเท่าที่ดูมาร์ค ฮิวจ์ส ก็ยังไม่ใช่กุนซือที่ชื่อชั้นสามารถ "ดึงดูด" นักเตะเวิลด์คลาสมาร่วมโปรเจกต์ยักษ์ ของ กลุ่มนายทุนแขกขาวแน่ๆ

ฉะนั้นการหายตัวไปในครั้งนี้ของโรบินโญ่น่าจะสะท้อนอะไร บางอย่างให้บอร์ดบริหารแมนฯซิตี้เห็น "ทางออก" กันคร่าวๆนะครับว่าการจะเริ่มสังคายนาทีมชุดนี้ให้กลายเป็น สุดยอดของสุดยอดทีม อย่างที่พวกเค้าหวังคงไม่ใช่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลง "โละ" นักเตะทั้งกระบิและแทนด้วย ซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่างที่พยายามทำกันอยู่

หากแต่ว่าโปรเจกต์นี้จะ Smooth หรือราบรื่น ได้ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือให้เหมาะกับ "บิ๊ก" โปรเจกต์นี้มากกว่าครับ!

Friday 16 January 2009

เที่ยวพระราชวังวินด์เซอร์

วันศุกร์สบายๆแบบนี้ขอหลีกหนีจากเรื่องฟุตบอลซึ่งการซื้อ-ขาย ในตลาดนักเตะยังไม่ลงตัว เท่าไรมาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในประเทศอังกฤษกันดีกว่าครับ

วันนี้ผมขออนุญาตพาท่านผู้อ่านชะแวบออกนอกกรุงลอนดอน นั่งรถไฟจากสถานีWaterlooไปประมาณ30-40นาทีก็จะถึงเมือง Surrey เพื่อเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งนึงอย่างพระราชวังวินด์เซอร์ (Windsor Castle)

พระราชวังแห่งนี้อาจไม่ใช่สถานที่คุ้นหูในมุมมองของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาติอื่นที่มาเยือนเมืองผู้ดีครับเนื่องจากส่วนใหญ่ มักนึกถึงพระราชวังบักกิงแฮมก่อนเพราะเป็นสถานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์มาตั้งแต่ปี1937 และง่ายต่อการไปเยือนมากกว่าเพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางกรุงลอนดอน

อย่างไรก็ดีสถานที่แห่งนี้แหละเป็นสถานที่สุดโปรดของควีน อลิซาเบธองค์ปัจจุบันและใช้เป็นที่พักผ่อนสุดสัปดาห์ของราชวงศ์มาอย่างยาวนานไม่แพ้กัน ถูกสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิตในศตวรรษที่11ค่าเข้าชมนั้นถือว่าถือว่าไม่แพงเลย สำหรับคนที่ชอบศึกษาเรื่องราวและประวัติศาสตร์ในอดีต13.50ปอนด์สำหรับผู้ใหญ่ (ถ้าเป็นนักเรียนได้ลดอีก 1.50) ส่วนเด็กที่อายุต่ำกว่า17ปีจ่ายแค่7.50ปอนด์และต่ำกว่า5ปีเข้าฟรีจ้า: )

หลังจากจ่ายเงินค่าเข้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาจะเห็นมุม Audio Tour Guide เพื่อบริการหูฟังที่อัดเสียงคำบรรยายในแต่ละSection ของวังเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องเดินอ่านให้เมื่อยสายตา ก้มๆเงยๆให้ปวดหลังอีกต่อไป

ลืมบอก...บริการนี้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มครับรวมอยู่ในค่าเข้าแล้ว นอกจากนี้ยังมีให้เลือกฟังถึง5ภาษาคืออังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่นเสียดายไม่มีภาษาไทยแต่ที่ผมถามมาหากนักท่องเที่ยวจากเมืองไทย ไปใช้บริการกันเยอะๆเค้าก็มีโครงการอัดเสียงไว้เป็นภาษาไทยเหมือนกัน (เมือง Bath ซึ่งโด่งดังในเรื่องอ่างอาบน้ำของชาวโรมันสมัยก่อน ในส่วนของ Audio Guide แม้จะยังไม่มีหูฟังอัดเสียงไทยแต่ก็มี คำบรรยายไทยแจกเป็นกระดาษแล้วนะครับ)

ภายในเขตของพระราชวัง "ทีเด็ด" มีเพียบครับทั้งห้องบรรทมที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ประเมินค่ามิได้ อาทิเช่น เตียงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พรมถักโกเบอร์แรง, รูปสีน้ำมันโดยรูเบน แวนด์ไดค์, ห้องบัลลังก์ ห้องวอเตอร์ลู ที่เก็บอาวุธ ดาบ เสื้อเกราะ โล่ หอกยุคอัศวิน

เดินถัดมาอีกหน่อยก็จะเป็นส่วนของ Queen Mary's Dolls' House ซึ่งผมมั่นใจมากว่าสาวๆอาจมีกรี๊ดเพราะตุ๊กตาเยอะตระกานตาและน่ารักเอามากๆ เอาเป็นว่าเล่ากันพอให้เห็นภาพนะครับว่าส่วนนี้จะประกอบไปด้วยห้องนอน&ห้องสมุดย่อส่วน ซึ่งเป็นที่เก็บหนังสือขนาดเล็กที่สุดในโลก นอกจากนี้ส่วนที่เหลือของพระราชวังก็จะมีห้องสะสมรูปวาดของศิลปินในยุคเรอเนสซอง อย่างลีโอนาโด ดาวินซี ไมเคิล แองเจลโลและราฟาเอล, โรงเก็บราชรถเทียมม้าซึ่งใช้ในพิธีการสำคัญ, โบสถ์เซนต์จอร์จ โบสถ์ประจำพระราชวังวินด์เซอร์ ฯลฯ

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ค่าเงินปอนด์กำลังตกหนักด้วย... หากมีโอกาสก็แนะนำให้มาเที่ยวอังกฤษช่วงนี้นะครับรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน: )

Thursday 15 January 2009

กาก้าไม่...อาเดรียโน่ใช่ !?

โอ้แม่เจ้า! เห็นข่าวแมนฯซิตี้ฯประกาศทุ่มไม่อั้นพร้อมสอย "กาก้า" ยอดมิดฟิลด์ของเอซี มิลานด้วยค่าตัวกว่า 100ล้านปอนด์+ค่าเหนื่อย5แสนปอนด์ต่ออาทิตย์แล้วอึ้งครับไม่คิดว่าจะใจกล้าได้ขนาดนี้

สื่อเมืองผู้ดียืนยันตรงกันหมดครับว่าเจ้าหน้าที่ของทีมเรือใบสีฟ้าซึ่งนำทีมโดยแกรี่ คุ้กได้เข้าพบกับอาเดรียโน่ กัลเลียนี่ตัวแทนของเอซี มิลานเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมาและดูเหมือนว่า ข้อเสนอสุดยั่วยวนใจนี้ทำให้บอร์ดบริหาร ของปิศาจแดงดำถึงกับคิดหนักและอาจตัดสินใจรับข้อเสนอที่ว่านี้ก็เป็นได้

รายงานล่าสุดถึงตอนนี้ (คืนวันพุธเวลาไทย) มิลานยังไม่คอนเฟิร์มว่าตอบรับข้อเสนอแล้วหรือยังแต่บางส่วนก็คาดการณ์กันไปแล้วว่าซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ประธานสโมสรแห่งถิ่นซาน ซิโร่จะยอมเปิดทางให้ซิตี้ฯเข้าเจรจากับตัวนักเตะในไม่ช้า... อยู่ที่ว่าสุดท้ายแล้วอดีตนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่าและ เจ้าของรางวัลบัลลองดอร์ปี2007จะเลือกอยู่ทีมยักษ์ใหญ่เช่นมิลานต่อไปหรือตัดสินใจ เสี่ยงร่วมหัวจมท้ายกับแมนฯซิตี้ที่ฟอร์มในลีกยังหัวซุกหัวซุนในโซนท้าย ตารางแต่รับทรัพย์อิ่มเปรมแบบที่ว่ากินอีกกี่ชาติก็ไม่หมดดี?

โดยส่วนตัวผมไม่คิดนะครับว่า "ดีล" นี้จะประสบความสำเร็จง่ายๆอย่างที่ท่านชีค มันซัวร์หวังเอาไว้ว่าจะสร้างแบรนด์ซิตี้ฯให้กระหึ่มไปทั่วโลกเหมือนอย่างแมนฯยูไนเต็ดหรือเรอัล มาดริดเพราะสองทีมที่ว่านี้ใช้เวลาสั่งสม "ชื่อเสียง" และ เดินหน้าโกย "ความสำเร็จ" มาเป็นเวลาหลายสิบปีกว่าจะโด่งดังซื้อใจแฟนบอลได้ขนาดนี้

มากไปกว่านั้นกรณีของกาก้าเอเยนต์ของนักเตะก็เพิ่งออกมาพูดเปรยๆ ว่านักเตะในความดูแลของเค้าไม่ใช่ประเภทเอาเงินมาฟาดหัว แล้วก็ยอมศิโรราบเหมือนในเคสของโรบินโญ่เพื่อนร่วมชาติชาวบราซิล ที่ช็อกโลกด้วยการย้ายมาเล่นในถิ่นซิตี้ออฟ แมนเชสเตอร์ด้วยค่าตัวและค่าเหนื่อยมหาศาลแน่เนื่องมาจากนักเตะหน้ามนเจ้าของเสื้อยืด "I belong to Jesus" อยากจะเล่นให้ทีมใหญ่ซึ่งมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าหากต้องย้ายทีมขึ้นมาจริงๆ

ตรงนี้แหละครับที่ต่อให้เงินมหาศาลแค่ไหนก็ไม่สามารถ "ง้าง" ประตูหัวใจของนักเตะได้ อย่างไรก็ดีหากเจ้าตัวย้ายทีมขึ้นมาจริงๆกาก้าจะเป็นนักเตะที่แพง ที่สุดในโลกในโลกไปโดยปริยายแพงกว่าเจ้าของสถิติเดิมอย่าง "ซิซู" ซีเนดีน ซีดานถึงเท่าตัวเลยทีเดียว

แต่ที่ตกเป็นข่าวขึ้นมาวันเดียวกันและดูแนวโน้มว่า "ดีล" นี้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าก็คือเคสของ อาเดรียโน่กับสเปอร์สครับหลังลุงจ่าแฮร์รี่ เรดแนปป์เดินทางไปชมเกมอินเตอร์พบเจนัวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเพื่อซุ่มดูฟอร์มของหัวหอก เจ้าปัญหาชาวแซมบ้าที่ทำท่าว่าจะกลายเป็นส่วนเกินในถิ่นซานซิโร่เพราะโจเซ่ มูรินโญ่ไม่ปลื้มในพฤติกรรมนอกสนามนั่นเอง

สัญญายืมตัว6เดือนแถมแกเร็ธ เบลวิงแบ็กฝั่งซ้ายให้ "น้ามู" ไว้ใช้งานคือข้อเสนอที่ทางสเปอร์สเตรียมยื่นให้อินเตอร์ มิลานรับไว้พิจารณาถือว่าแฟร์ดีเพราะอินเตอร์ก็กำลังต้องการ กำลังเสริมผู้เล่นในตำแหน่งนี้ขณะที่ทางไก่เดือยทอง ซึ่งกำลังดิ้นรนหนีตายอยู่ในโซนตกชั้นอยากได้หัวหอกตัวใหญ่ๆอีกสักคนมาจับคู่ผลิตสกอร์กับเจอร์เมน เดโฟหลังโรมัน พาฟลูเชนโก้และดาร์เรน เบนท์ "ชั้น" ยังไม่ถึงในสายตาของเรดแนปป์

ครับ นี่คือภาพรวมล่าสุดที่เกิดขึ้นในตลาดนักเตะซึ่งแนวโน้มและ โอกาสของสองดีลที่ผมหยิบขึ้นมาเขียนนั้นโอกาสยัง 50-50 อยู่ทั้งคู่แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปถึงปัจจัยประกอบหลายๆด้านผมว่า "ดีล" ของกาก้าโอกาสนั้นริบหรี่เหลือเกิน

10 อันดับสถิติค่าตัวย้ายทีม

1. 47 ล้านปอนด์ ซีเนอดีน ซีดาน (ยูเวนตุส-เรอัล มาดริด)
2. 37 ล้านปอนด์ หลุยส์ ฟิโก้ (บาร์เซโลน่า-เรอัล มาดริด)
3. 34 ล้านปอนด์ เฮอร์นัน เครสโป ( ปาร์ม่า-ลาซิโอ)
4. 32.6 ล้านปอนด์ จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน (ปาร์ม่า-ยูเวนตุส)
5. 32.5 ล้านปอนด์ โรบินโญ่ (เรอัล มาดริด-แมนฯซิตี้)
6. 31 ล้านปอนด์ คริสเตียน วิเอรี่ (ลาซิโอ-อินเตอร์ มิลาน)
7. 30.75 ล้านปอนด์ ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ ( สเปอร์ส-แมนฯยูฯ)
8. 30 ล้านปอนด์ อังเดร เชฟเชนโก้ (เอซี มิลาน-เชลซี)
9. 29.1 ล้านปอนด์ ริโอ เฟอร์ดินานด์(ลีดส์-แมนฯยูฯ)
10. 29 ล้านปอนด์ กาอิซก้า เมนดิเอต้า (บาเลนเซีย-ลาซิโอ)

Wednesday 14 January 2009

โอกาสของเชลซีหลังความพ่ายแพ้ต่อผีแดง

ถามว่ายังพอมีสิทธิ์เป็นแชมป์อยู่บ้างมั้ยสำหรับ เชลซีภายใต้การคุมบังเหียนของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ หลังพาทีมออกไปโดนแมนฯยูไนเต็ดยิง ระบายซะไม่เหลือฟอร์มคู่ปรับตัวฉกาจ 3-0 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา?

หากดูในแง่ของ ตัวผู้เล่นและ ศักยภาพของนักเตะ แบบเรียงตัวแล้ว เชื่อเถอะว่าใครหน้าไหนก็คงไม่กล้า พอที่จะกาชื่อพวกเค้าออกจากสารบบ การลุ้นแชมป์เป็นแน่แท้แม้ว่าฟอร์ม การเล่นสองเดือน หลังสุดของพวกเค้าจะ "ย่ำแย่" พอๆกับนิสัยของดาราชายท่านนึง ที่เมาสุราแล้ว ไปรังแกคนแก่คราวพ่อของตัวเองก็ตาม...

11 ผู้เล่นที่ "บิ๊กฟิล" ส่งลงสนามในเกมล่าสุดถือเป็นชุดที่แทบ จะสมบูรณ์ที่สุดในรอบหลายนัด ที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ (ขาดแค่มิคาเอล เอสเซียง) ดูเผินๆหากเทียบกับฝั่งแมนฯยูฯอาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำไป แผงหลังที่มีปีเตอร์ เช็ก โจเซ่ โบซิงวาจอห์น เทอร์รี่ ริคกี้ คาร์วัลโญ่และแอชลี่ย์ โคลยืนตระหง่านเป็นแบ็กโฟร์อยู่ดูแล้วน่าจะเป็นแนวรับในฝันของกุนซือ ทุกคนหากว่าพร้อมใจกันท็อปฟอร์ม เหมือนใน ช่วงต้นฤดูกาลเพราะเหนียวแน่นหนึบไม่ค่อยเสียประตูให้คู่แข่งง่ายๆ

มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากความปราชัยคาถิ่น ในเกมพรีเมียร์ชิพ ต่อลิเวอร์พูลเมื่อปลายเดือน ตุลาคมปีที่แล้ว?
โอเคสภาพจิตใจที่อาจถูกบั่น ทอนลงไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการเสียสถิติอันน่าเกรงขามในบ้านตัวเองกว่า 4 ปีถือว่าน่าผิดหวังและเสียดายอยู่ไม่น้อยทว่ามันก็ไม่น่า จะส่งผลร้ายแรงและลากยาวมาจนถึงขนาดนี้

บางทีอาจจะเป็นตัวนักเตะเชลซีเองนั้นแหละ ที่เริ่มสูญเสียจิตวิญญาณของนักสู้และทีมสปิริต ที่เคยฝังรากลึกแน่นในยุค ของโจเซ่ มูริญโญ่และเป็น "จุดเด่น" ของทีมชุดนี้มาตลอด นอกจากนี้นักเตะตัวหลักในทีมหลายคนอาทิเช่นจอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือนิโกล่าส์ อเนลก้า ที่ล่าสุดข่าวปูดออกมาแล้วว่ามีปัญหากระทบกระทั่งกันก่อนเกมสำคัญที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดก็น่าจะเป็นอีกเรื่องนึงที่ยืนยันได้ว่าอดีตกุนซือทีมชาติบราซิล ซึ่งพื้นฐานภาษาอังกฤษโดยรวมก็ถือว่ายังไม่แข็งแรง น่าจะสูญเสีย "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" จากนักเตะตัวเองไปแล้วจริงๆ

ขณะที่ปัญหาแท็กติกส์ในสนามอย่างที่ผมเคยเรียน ไปหลายครั้งว่า กองกลางชุดนี้อายุแตะหลักเลข 3 กันหลายต่อหลายคน จึงเป็นเหตุให้เร่งเครื่องกันไม่ค่อยขึ้นในช่วงท้ายเกม มากไปกว่านั้นการขาดปีกแท้ๆ สไตล์อาร์เยน ร็อบเบนหรือเดเมี่ยน ดัฟฟ์เอาไว้พากองหลังทัวร์ เพื่อเปิดช่องให้กองหน้าได้มีพื้นที่เล่นมากกว่านี้ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าคิดเหลือเกินว่า "บิ๊กฟิล" จะแก้ปัญหาที่ว่านี้ยังไง เนื่องจากตัวที่มีอยู่เป็นนักเตะประเภทกองกลาง คอยปั้นเกมและ เน้นผ่านบอลซะมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราคงจะเห็นได้ชัดว่าแข้งสิงห์บลูต่อบอลกันเนียนๆ เยอะ(โดยเฉพาะช่วงครึ่งชั่วโมงแรก) แต่พอถึงจังหวะเข้าทำกลับดูไม่อันตรายอย่างที่ควรจะเป็นเพราะเป็น "เกมรุกมิติเดียว" ซึ่งง่ายเหลือเกินที่กุนซือชั้นครูอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันจะจับทางได้

ก็ถือว่าน่าเห็นใจสโคลารี่ในช่วงนี้ไม่น้อยครับเพราะ เข้ามารับตำแหน่งในยามที่เชลซีกลายสภาพเป็น "สิงห์โลโซ" ไม่มีเงินให้ช็อปนักเตะเหมือนสมัยอู่ฟู่เสียแล้ว (เดโก้เป็นรายเดียวครับที่ซื้อเข้ามาในยุคสโคลารี่) โดยเปิดตลาดนักเตะรอบนี้ปีเตอร์ เคนย่อน ซีอีโอหัวเหม่งก็ได้ประกาศดังๆ เป็นครั้งที่ร้อยแทน "อากู๋" โรมัน อับราโมวิชเจ้าของทีมไปแล้วว่าจะเลิกทุ่มแบบบ้าเลือดและ จะยืนหยัดยืนยงด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเอง
ทั้งๆที่ "เป้าหมาย" ในปีนี้ของทีมนั้น ชัดเจนมากว่าต้องการสักแชมป์มา ประดับตู้โชว์ของสโมสรให้จงได้หลังปีก่อนเป็นได้แค่ "พระรอง" ทั้งในพรีเมียร์ชิพ, แชมเปี้ยนส์ลีกและคาร์ลิ่ง คัพ

หนทางเดียวที่ "บิ๊กฟิล" จะผ่าวิกฤติตรงนี้ไปได้ก็คือ เรียกความสมัครสมานจากนักเตะกลับคืนมา ให้ได้เร็วที่สุด พร้อมทั้งทำผลงานให้ดีกว่าที่เป็นอยู่โดยเกมเอฟเอ นัดรีเพลย์คืนนี้กับเซาธ์เอนด์จะเป็น บททดสอบ ด่านแรกหลังจากความผิดหวังครั้งใหญ่ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด...

Sunday 11 January 2009

ปืนเปลี่ยนไป?

หนาวเข้ากระดูกสุดๆไปเลยสำหรับสภาพอากาศที่เมืองผู้ดีเวลานี้เพราะตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาในลอนดอนนอกจากจะมีหิมะร่วงแล้ว (ซึ่งปกติไม่ค่อยมีให้เห็น) อุณหภูมิยังทำลายสถิติ2ปีที่ผ่านมาด้วยการไปเตะหลัก -7 องศา!!

สนามหญ้าสีขาวโพลนสภาพรถราบ้านช่องที่ถูกเกาะเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ มาอยู่อังกฤษได้2ปีก็มีคราวนี้แหละครับที่รู้สึกว่าตัวเองทรมานและอยากกลับไปตากแดดเรียน ร.ด.ที่ไทยอีกจังเลย 555

ฟุตบอลอังกฤษสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เลยมีเลื่อนกันไปตามระเบียบหลายต่อหลายคู่โดยศึกพรีเมียร์ชิพวันเสาร์หรรษามีอันต้องถูกเลื่อนไป2คู่ปอร์ทสมัธ-แมนฯซิตี้และฟูแล่ม-แบล็คเบิร์นที่ ‘นาฬิกาทราย’ บ่นเซ็งเป็ดเพราะไปถึงสนามคราเวน ค็อทเทจแล้วแต่ดันยกเลิกก่อนเกมเพียงไม่กี่ชั่วโมงน่าเห็นใจจริงๆอุตสาห์นั่งรถไฟมาจากไบร์ทตัน

ส่วนผม...พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้งเพราะเกมที่เอมิเรตส์ สตเดี้ยมระหว่างอาร์เซนอลVSโบลตันไม่ได้ถูกยกเลิกตามไปแม้ว่าระหว่างทางที่ผมเดินไปสนามจะเย็นยะเยือกจนปากและมือสั่นเทา + ชาจนท้าให้ใครแถวนั้นมาตบก็ได้เชื่อเถอะว่าเอกพลหน้าด้านหน้าชา ไม่มีรู้สึก! (ฮา)

หลังจากรับประทานอาหารเลิศรส + ไอศครีม ‘ลุงเบนแอนด์เจอร์รี่’ตามสูตรที่ Arsenal Press Lounge ผมก็ได้รับ Team Sheet (รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีมก่อนเกมเริ่ม 30นาที) ปรากฏว่าทางฝั่งโบลตันทีมเยือนวันนี้มาแบบอนาถาได้อีกเพราะส่งรายชื่อตัวสำรองมาเพียงแค่4หน่อ (จากโควต้าทั้งหมด7คน) มาเช็คข่าวและทราบที่หลังว่าทีมของแกรี่ เม็กสันกำลังมีปัญหาขาดแคลนทรัพยากรเรื่องตัวผู้เล่นไว้ให้เลือกใช้งานอย่างหนักแบ็คขวาต้องเข็นดาวรุ่งโนเนมอย่าง คริส บาสแช่มหมายเลข30ลงสนาม
ส่วนอาร์เซนอลของอาร์แซร์ วุ่นกี้ เอ๊ย !อาร์เซน เวนเกอร์แม้ว่าตัวเจ็บจะยาวเป็นหางว่าวเช่นกัน (ขาดทั้งฟาเบกัส, กัลลาสและซิลแวสต์ร + ตัวเจ็บยาวก่อนหน้านี้) แต่โดยรวมก็ยังถือว่าดูดีและได้เปรียบ ‘เดอะทร็อตเตอร์ส’ อยู่หลายช่วงตัวนัก

หากแต่ว่าผลงานในสนามของทีมปืนโตชุดนี้เป็นอีกทีที่ ‘ตอกย้ำ’ ความจริงที่ว่าพวกเค้ายังห่างไกลกับตำแหน่ง ‘แชมป์เปี้ยน’ อยู่พอสมควรเลยทีเดียว...

11ผู้เล่นที่อาร์เซนอลส่งลงสนามในเกมนี้ผมว่าเวนเกอร์พยายามเลือกรักษาบาลานซ์ในเกมรับมากจนเกินไปเพราะส่งขุนพลซึ่งถนัดในการตั้งรับมาเป็นกระตักในแผงมิดฟิลด์ทั้ง เอบูอ้า (ปีกขวา) เดนิลสัน และดิยาบี้ (คู่กลาง) โดยซาเมียร์ นาสรี่ปีกซ้ายพลิ้วไหวเหนือสายน้ำเป็นคนเดียวที่ช่ำชองและมี ‘ทัศนะคติต่อเกมรุก’ โดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมทีมรายอื่นๆ

ด้านโบลตันหากใครได้ดูถ่ายทอดสดในเกมนี้และรู้ถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของพวกเค้าคงจะเสียดายอย่างแรงครับที่แผนMen behind ball หรืออุดแหลกในแดนตัวเองต้องมาพังลงในช่วงก่อนหมดเวลาการแข่งขันเพียงแค่ 6นาทีเท่านั้น

โอเค อาร์เซนอลอาจแสดงให้เห็นนะครับว่านักเตะพยายามเหลือเกินที่จะนวดผู้มาเยือนทั้งทางริมเส้น, เจาะตรงกลางหรือสบโอกาสหาจังหวะยิงไกลในหลายๆจังหวะทว่า ‘คุณภาพ’ ในการขึ้นเกมรุกของขุนพลชุดนี้นั้นบอกตามตรงครับว่าไร้ประสิทธิภาพสิ้นดีโดยเฉพาะเอ็มมานูเอล เอบูเอ้ซึ่งขงเบ้งเลือดน้ำหอมยังดื้อทำหูหนวก ตาบอดมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วว่านักเตะทีมชาติไอวอรี่โคสต์รายนี้สามารถเล่นในตำแหน่งปีกขวาให้ทีมที่เน้นเกมรุกแบบอาร์เซนอลได้ !?

นักเตะอย่างแอรอน แรมซีย์หรือแจ๊ค วิลเชียร์สองเด็กแสบคุณภาพคับแก้วซึ่งได้โชว์ศักยภาพให้ชาวโลกได้เห็นไปแล้วในเกม ‘ยังกันส์’ ไล่โขยกเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด6-0 และสอนบอลผู้ใหญ่อย่างวีแกนไป 3-0ในศึกคาร์ลิ่ง คัพเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา ไหงไม่ยักได้ลงสนามเป็นตัวจริงเพื่อมาป่วนคู่แข่งในเกมที่เวนเกอร์ก็รู้เต็มอกว่าต้องเจอบอลอุดเยี่ยงนี้?

ก็มึนๆและแคลงใจครับว่าทำไมทีมที่เคยบ้าเล่นเกมรุก+เอนเตอร์เทนแฟนบอลเป็นชีวิตจิตใจเพื่อลบภาพ ‘บอริ่งอาร์เซนอล’ในยุคของจอร์จ เกรแฮมถึงได้กลับมาเล่นดูแล้วชวนหลับเหลือเกินในเกมนี้ (โดยเฉพาะครึ่งแรก) ปัญหาหนักอกของทีมปืนใหญ่อาร์เซนอลในเวลานี้เลยกลายเป็นเรื่อง ‘เกมรุก’ ไปเสียฉิบทั้งที่ก่อนหน้านี้ในช่วงที่คิงอองรี , ‘พี่เป้า’ โรแบร์ ปิแรส ยังอยู่พวกเค้าดาหน้ายิงคู่แข่งไส้แตก4-5ลูกต่อเกมเป็นเรื่องธรรมดามาก
Lack of Creative Player หรือการขาดนักเตะประเภทจินตนาการสร้างสรรค์เกมสูงๆคือสิ่งที่ผมกำลังเป็นห่วงทีมคุณภาพชุดนี้ของเวนเกอร์ครับ ลำพังนาสรี่คนเดียวในช่วงนี้ดูแล้วหนักอึ้งเกินไป + ไม่เพียงพอในการโจมตีคู่แข่งแน่นอน...

ไอ้ครั้นจะรอให้โรบิน ฟาน เพอร์ซี่แสดงอภินิหารอย่างในนัดก่อนที่สอยพลีมัธไป3-1ซึ่งเจ้าตัวสอยไป2ตุงก็คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆทุกครั้งอย่างที่ใจหวัง เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ฟอร์มก็ดูดรอปลงไปเป็นที่พึ่งพาไม่ได้เหมือนซีซั่นที่แล้ว

ที่ร่ายมาซะยาวนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับคือต้องการเห็นอาร์เซนอลรีบปิดเคสในตลาดนักเตะและเปิดตัว ‘อาวุธใหม่’เพื่อมาช่วยทีมคว้าอันดับ4ซิวโควต้าไปแชมเปี้ยนส์ลีกหน่อยเพราะขืนแนวรุกยังดูฝืดๆแบบนี้โอกาสโดนแอสตัน วิลล่าทีมฟอร์มแรงปาดหน้าแย่งโควต้าไปมีสูงเหลือเกิน


Friday 9 January 2009

ดีลวัดใจ

หน้ามืดใหญ่แล้วสำหรับเศรษฐีน้องใหม่อย่างแมนฯซิตี้ หลังกระชากเวย์น บริดจ์มากจากอ้อมอกเชลซีได้ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนนี้พยายาม เหลือเกินที่จะปิดเคสของโรเก้ ซานตา ครูซให้ได้ตามคอนเซปต์ "เงินคือพระเจ้าและสามารถบัลดาลทุกสิ่ง" ข่าวล่าสุดที่ออกมาเห็นว่าแบล็คเบิร์นของแซม อัลลาร์ไดซ์ปฏิเสธข้อเสนอ 16 ล้านปอนด์ที่ทีมเรือใบยื่นให้เป็นที่เรียบร้อย โรงเรียนกุหลาบไฟแต่มาร์ค ฮิวจ์สกุนซือ Dead Man Walking ยืนกรานว่ายังไงก็ไม่ท้อและจะเดินหน้า Bid ข้อเสนอเพิ่มเพื่อคว้าอดีตกองหน้าคู่ใจมาร่วมงานกันอีกครั้ง

ท่าจะบ้าไปกันใหญ่ทั้งบอร์ดเรือใบและ กุนซือของทีมเนื่องราคาขนาดนี้พวกเค้าสามารถไปถอยลูคัส โพดอลสกี้หัวหอกส่วนเกินของบาเยิร์น มิวนิคซึ่งสนนราคาไม่น่าเกิน 12 ล้านปอนด์มาใช้งานได้สบาย ๆ ไม่รู้ว่าจะติดใจอะไรนักหนาสำหรับกองหน้า ปารากวัยฝีเท้าพอไปวัดไปวาไม่ถึงกับเวิลด์คลาสแบบซานตา ครูซนี่!?
ส่วนสาเหตุที่ทีมเรือใบโดนโก่งค่าตัวซะอ่วมอรทัย ขนาดนี้อย่างนึงก็เป็นเพราะพวกเค้าเองนั่นแหละ ที่แสดงทีท่าความกระหายอยากได้นักเตะซะขนาด ไม่มีวางฟอร์มหรือเม้มไว้ให้อีกฝ่ายเล่นเกม "วัดใจ" ใช้เป็นเครื่องต่อรองราคาให้ถูกลงเอาเสียเลยตรงนี้ถือเป็นข้อผิดพลาด อย่างร้ายแรงเพราะต้องจ่ายแพงเกินกว่าเหตุเหมือนอย่างที่ครั้งนึง "สิงห์ไฮโซ" เชลซีเคยโดนมาก่อนซื้อนักเตะแต่ละทีจ่ายเงิน 15 ล้านปอนด์อัพมาตลอด
แล้วสุดท้ายเป็นไง อากู๋ โรมัน อบราโมวิชเริ่มถังแตกจัดอันดับบุคคล ร่ำรวยที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษครั้งล่าสุด ตกกระป๋องร่วงมาอยู่เป็นอันดับ 3 สิงห์ไฮโซเลยกลายเป็นสิงห์โลโซไม่มีเงินช็อปนักเตะอย่างที่เห็น

ไม่เฉพาะในดีลของซานตา ครูซหรอกนะครับที่ทีมเรือใบโดน ดึงเชงโก่งค่าตัวเพราะในกรณีของเคร็ก เบลลามี่, สก็อต ปาร์คเกอร์ หรือเชย์ กิฟเว่น พวกเค้าก็กำลังจะเสียเปรียบต้องจ่ายแพงเกินกว่าเหตุและเป็น "ผู้แพ้" ในดีลตามความเห็นของผม...

แต่ที่กำลังเจรจาต่อรองมันถึงพริกถึงขิง + สมกับที่จบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์มาต้องคนนี้เลยอาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือมาดนิ่มที่ขึ้นชื่อลือชาเหลือเกินเรื่อง "ความเค็ม" ยิ่งมาอยู่กับสโมสรที่มีการวางแผนใช้จ่ายซื้อนักเตะ แต่ละครั้งค่อนข้างรอบคอบ แล้วด้วยยิ่งทำให้ทีมปืนโตไม่ค่อยเสียเหลี่ยมหรือเสียดุลใครง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ชื่อของมิเกล อาร์เตต้า และสตีเฟ่น ไอร์แลนด์สองมิดฟิลด์ฟอร์มแรงเคยตกเป็นข่าวกับทีมปืนโตหลังจากเชสก์ ฟาเบรกัสได้รับบาดเจ็บต้องพักยาว 4 เดือนและอาร์เซนอลต้องหาครีเอทีฟมิดฟิลด์มาปั้นเกมแทน

สุดท้ายเป็นอังเดร อาร์ชาวินเพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์สูงชาวรัสเซียที่ดูแนวโน้มแล้ว เวนเกอร์อยากจะได้มาร่วมทีมมากที่สุดติดอยู่ที่ว่าป้ายราคา 20 ล้านปอนด์ที่เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กแปะไว้ดูจะห่างไกลกับราคาที่อาร์เซนอลพร้อมจ่ายเหลือเกิน
"เดอะ การ์เดี้ยน" สื่อเชื่อถือได้เมืองผู้ดีอ้างว่าเวนเกอร์และ บอร์ดบริหารพร้อมจะจ่ายสูงสุดตัวเลขอยู่ที่ 13 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่พวกเค้าเคยซื้อซิลแวง วิลตอร์และโฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยสมาเป็นสถิติของสโมสร

7 ล้านปอนด์ถือว่าเยอะพอดูสำหรับ Gap ความห่างระหว่างดีมานด์และซัพพลายของทั้งสองทีม... เซนิตฯมองว่าคุณภาพของอาร์ชาวินนั้นไม่ควรได้น้อยกว่านี้
อีกอย่างพวกเค้าเพิ่งไปซื้อแดนนี่กองกลางโปรตุเกสเมื่อช่วงซัมเมอร์ถึง 24 ล้านปอนด์กำลังต้องการเงินมาหมุนเวียนเข้าคลังสโมสร ส่วนอาร์เซนอลและเวนเกอร์มองว่าอาร์ชาวินอาจจะพิสูจน์ตัวเองไปในเวที ระดับชาติอย่างยูโรฯครั้งที่ผ่านมาก็จริง แต่กับฟุตบอลพรีเมียร์ชิพซึ่งต้องใช้พละกำลังเยอะเหลือเกินพวกเค้า ไม่แน่ใจว่าอาร์ชาวินจะมีสภาพร่างกายที่ดีพอหรือเปล่า

นอกจากนี้หากทีมปืนโตได้มิดฟิลด์หมีขาวรายนี้มาร่วมจริงพวกเค้าจะ หมดสิทธิ์ใช้งานอาร์ชาวินในถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเนื่องจากตัวนักเตะเคยลงเล่นให้เซนิตฯมาแล้วในรอบที่ผ่านมา

ราคาถึงตอนนี้จึงยังสรุปและหาจุดลงตัวไม่ได้แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว ผมมองว่าทั้งสองสโมสรน่าจะตกลงกันได้ในราคาที่ Win-Win หรือเป็นที่น่าพอใจสำหรับทั้งสองคู่โดยที่ทีมปืนโตไม่น่าจะต้องจ่ายถึง 20 ล้านปอนด์ตามที่เป็นข่าวครับ

Thursday 8 January 2009

คู่ชิงคาร์ลิ่งปีนี้หนีไม่พ้น...ผี-ไก่

เท้าแตะเวมบลีย์ไปข้างนึงแล้วสำหรับ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส หลังยำใหญ่เบิร์นลีย์ไป 4-1 ในศึกคาร์ลิ่ง คัพเลกแรกที่ไวท์ ฮาร์ท เลนเมื่อกลางดึกวันอังคารที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศ "คืนสู่เหย้า" ขวัญใจคนเดิมอย่างเจอร์เมน เดโฟสุดอบอุ่นหลังหอกเล็กพริกขี้หนูเซ็นสัญญาร่วมทีมเป็นครั้งที่สองด้วยค่าตัวประมาณ 15 ล้านปอนด์

ถือเป็นสกอร์ไลน์ที่ต้อนรับน้องใหม่หน้าเก่าอย่างเดโฟได้สมบูรณ์แบบ แม้ว่าผลงานในช่วงครึ่งเวลาแรกของสเปอร์สจะห่วยบรมเลยก็ตาม...

แผงกองกลางในเกมนี้อย่างแอรอน เลนน่อน, ลูก้า โมดริช, ดิดิเย่ร์ โซโกร่า และเดวิด เบนท์ลี่ย์ ดูตามชื่อชั้นของแต่ละรายแล้วน่าจะเล่นด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหาทว่าพอเอาเข้าจริงกลับต่อกันไม่ติด โดยเฉพาะเดวิด เบนท์ลีย์ปีกขวาหน้าหล่อที่ย้ายมาจากแบล็คเบิร์นในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาด้วยค่าตัวมหาศาล 15 ล้านปอนด์แต่ฟอร์มการเล่นนับจนถึงตอนนี้เรียกได้ว่า "สอบตก" ไม่ต่างกับเคสร็อบบี้ คีนที่ย้ายไปหงส์แดง

ส่วนตัวหากไม่รวมลูกยิงไกลสุดสวยในเกมสเปอร์สบุกไปยันเสมออาร์เซนอลได้ถึงเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 4-4 เมื่อช่วงต้นฤดูกาล ผมยังไม่เห็นว่าเบนท์ลี่ย์จะแสดงความเทพอย่างที่สื่ออังกฤษยกเค้าให้เป็น "ร่างทรง" ของเดวิด เบ็คแฮมเลยสักนิดยกเว้นเรื่องขี้เก๊กและลุกส์เจ้าสำอางค์ ผิดกับตอนที่อยู่แบล็คเบิร์นหมอนี่เล่นได้แจ่มมากโดยเฉพาะลูกครอสที่หวัง ผลได้ตลอดซึ่งตรงนี้น่าสนใจครับว่าแฮร์รี่ เรดแนปป์ที่เก่งในเรื่องจิตวิทยาจะเรียกฟอร์มเดิมๆของเจ้าตัวกลับมา ได้มั้ยหลังเกมล่าสุดก็ถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งแรก

ส่วนผู้ที่ลงไปแทนในเกมนี้อย่างเจมี่ โอฮาร่านั้น เรดแนปป์จับให้ยืนริมเส้นฝั่งซ้ายลงมาปุ๊บเกมของสเปอร์สก็ลื่นไหลและดูลงตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยดาวรุ่งจอมขยันรายนี้ดูพัฒนาขึ้นเยอะทีเดียวในซีซั่นนี้เพราะแอสซิสต์ให้เพื่อนยิง 1 และเบิกให้สกอร์ให้ทีมขึ้นนำ2-1ถือเป็น "ซูเปอร์ซับ" ในเกมนี้อย่างแท้จริง

ขณะที่การเข้ามาของเจอร์เมน เดโฟ คาดว่าน่าจะทำให้กองหน้าอีกสามคนในทีมอย่างโรมัน พาฟลูเชนโก้, ดาร์เรน เบนท์และเฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ต้องพยายามเรียกฟอร์มเก่งผลิตสกอร์ให้สม่ำเสมอกว่าที่เป็นอยู่ เพราะที่ว่างในตำแหน่งกองหน้าเหลือโควตาอีกเพียงที่เดียวเนื่อง จากตำแหน่งตัวจริงอีกหนึ่งนั้นค่อนข้างชัวร์ว่าเจอร์เมน เดโฟจะเป็น "เฟิร์สชอยส์" ของแฮร์รี่ เรดแนปป์ในระบบ 4-4-2

เดโฟนั้นไม่ติดคัพไทเนื่องจากยังไม่ได้ลงเล่นบอลถ้วยภายในประเทศให้ปอร์ทสมัธเลยในฤดูกาลนี้ ซึ่งนั้นหมายความว่าเจ้าตัวมีสิทธิ์ลงเล่นในคาร์ลิ่ง คัพรองรองฯเลกสองกับเบิร์นลีย์ และเอฟเอ คัพรอบ 4 กับแมนฯยูไนเต็ดได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งตรงนี้ทำให้แฟนบอล ตราไก่มีหวังลุ้นแชมป์บอลถ้วยและคว้าสิทธิ์ไปเล่นบอลยูฟ่า คัพอีกปีดูสดใสขึ้นมาอีกเยอะเลยทีเดียว

ส่วนความน่าจะเป็นของนัดชิง "คาร์ลิ่ง คัพ" ในปีนี้ไม่ได้เป็นการดูถูกหรือไม่ให้เกียรติเบิร์นลีย์และดาร์บี้ ที่อุตส่าห์ฝ่าฝันอุปสรรคมาจนถึงรอบรองชนะเลิศนะครับ หากแต่ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่านัดชิงปีนี้จะไม่พลิกโผไปจากการเข้าชิงกันเองของทีมจากพรีเมียร์ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสเปอร์สเล่นเลกแรกแล้วตุนสกอร์ไว้บานขนาดนี้ ส่วนดาร์บี้ VS แมนฯยูฯซึ่งขณะที่เขียนคู่นี้ยังไม่เริ่มเตะแต่คาดว่าไม่น่าจะมีพลิกโผแต่อย่างใด

แหม...แค่คิดก็มันแล้วละครับถ้าผีแดงเจอไก่เดือยทองจริง เพราะจะเป็นเกมระดับ 5 ดาวไม่แพ้คู่ชิงปีก่อนแน่นอน คอนเฟิร์ม!

Wednesday 7 January 2009

ความซื่อสัตย์

ว่ากันว่าคุณค่าของการเป็นมนุษย์ชั้นประเสริฐ อย่างนึงนั้นคือการเป็นคนรู้จัก "บุญคุณ" คน และตอบแทนข้าวแดงแกงร้อนของผู้มีพระคุณ

บุตรอาจตอบแทนบิดา มารดาที่ช่วยดูแลประคบ ประหงมกันมาตั้งแต่แบเบาะ ส่งเสียเล่าเรียน จนเติบใหญ่ทำงานเข้าสังคมด้วยการดูแลเอาใจใส่ ให้ความรักเมื่อท่านแก่ตัวลง, พนักงาน/ลูกจ้างทั้งหลาย แหล่ก็เช่นกันเมื่อเจอนายจ้างดีๆ ก็ควรทำงานกับให้สมกับ "ค่าแรง" ที่ตนเองได้รับและ ซื่อสัตย์สุจริตต่อองค์กรทั้งต่อหน้าและลับหลัง

"นักฟุตบอล" และ "สโมสร" ก็เป็นอีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่ผมอยากจะพูดถึงในวันนี้...

มกราคมปี 2007 เจอร์เมน เดโฟกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเป็นตัวเลือกอันดับที่ 3 ในตำแหน่งสไตรเกอร์ของสเปอร์สรองจากดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟและร็อบบี้ คีน ซึ่งจับคู่ถล่มประตูกันเป็นล่ำเป็น สันจนไม่มีที่ว่างให้หนึ่งในตัวจบสกอร์ที่ดีที่สุด ของวงการฟุตบอลอังกฤษลงสนามพิสูจน์ฝีเท้า

ทุกครั้งที่ได้โอกาสแม้หัวหอกซาไกจะทำผลงานได้ไม่ขี้เหร่ แถมยิงประตูสำคัญให้ทีมของฆวนเด้ รามอสได้อยู่เรื่อยๆ แต่นั้นก็ไม่ดีพอ ที่จะทำให้เค้าเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดคนแรกของสเปอร์สในช่วงนั้น จนกระทั่งปอร์ทสมัธภายใต้การกุมบังเหียนของแฮร์รี่ "ฮูดินี่" เรดแนปป์เล็งเห็นว่า เดโฟอดีตศิษย์โปรดที่เวสต์แฮม ไม่มีความสุข กับชีวิตค้าแข้งในถิ่นไวท์ฮาร์ทเลนเอาเสียเลย พ่อแท้ๆ ของเจมี่ เรดแนปป์ (อดีตดาวเตะลิเวอร์พูลและ สเปอร์สปัจจุบันเป็นผู้วิเคราะห์เกมทางช่อง Sky Sport) จึงตัดสินใจยื่นมือเค้ามาช่วยชุบชีวิตนักฟุตบอล ไซซ์เล็กพริกขี้หนูเชื้อ สายเซนต์ลูเซีย&โดมินิกัน แต่เกิดที่ลอนดอนรายนี้ไปร่วมกันอีก ครั้งที่ปอร์ทสมัธทีมขนาด กลางซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศอังกฤษ

ให้เห็น 8 ประตูจาก 7 เกมแรกภายใต้ชายคาแฟรตตัน ปาร์คทำให้ชื่อของเจอร์เมน เดโฟฮอตฮิตติดลมบนกลาย เป็นขวัญใจของแฟนๆ เดอะปอมปีย์แทบจะทันที และซัมเมอร์ที่ผ่านมาเรดแนปป์โชว์บารมีโค้ช ผู้คร่ำหวอดและ ได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือมาก ที่สุดคนนึงในวงการฟุตบอลอังกฤษด้วย การกระชากปีเตอร์ เคราช์ "ส่วนเกิน" ในทีมหงส์แดงมาประสานงาน จับคู่กับเดโฟผลัดกันยิงประตูกรุยทาง สู่แคมป์ทีมชาติอังกฤษเติมเต็ม "ความฝัน" ที่ขาดหายไปนานของทั้งคู่อีกครั้ง

การกลับมาเฉิดฉายในเส้นทางค้าแข้งอีกครั้ง ของเดโฟแน่นอน ว่าส่วนนึงต้องให้เครดิตแฮร์รี่ เรดแนปป์ผู้ทำให้ "ดีล" นี้เกิดขึ้น... อย่างไรก็ดีก็ต้องขอบคุณปอร์ทสมัธและปีเตอร์ สตอร์รี่ CEO ของทีมเช่นกันที่ไฟเขียวอนุมัติให้เรื่องผ่านพ้นไปด้วยดี

ชั่วโมงนี้เรดแนปป์สลับขั้วมานั่งแท่นเป็น กุนซือสเปอร์สและ กำลังจะเปิดตัวเจอร์เมน เดโฟขวัญใจคนใหม่แต่หน้าเดิม ในถิ่นไวท์ฮาร์ท เลนในช่วงบ่ายวันอังคาร (เวลาอังกฤษ) หากไม่มีอะไรผิดพลาด ในการตรวจร่างกายช่วงเช้า

ถามว่าเรื่อง "บุญคุณ" และ "ความซื่อสัตย์" ที่นักฟุตบอลเคยมีมากล้น มหาศาลเหลือเกิน ต่อสโมสรต้นสังกัดในอดีตได้สูญสิ้น ไปหมดแล้วใช่มั้ย? นักเตะสักคนที่สามารถอยู่โยงกับสโมสร ได้ตลอดชีวิตเหมือนที่ไรอัน กิ๊กส์, แกรี่ เนวิลล์, พอล สโคลส์ หรือยุคเก่าหน่อยอย่างแมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ยังจะมีให้เห็นอยู่อีกรึเปล่า ?

เคสนี้เราสามารถ โยงได้กับกรณีของสจ๊วร์ต ดาวนิ่งที่ร่ำๆ อยากย้ายออกจาก มิดเดิลสโบรห์ทั้ง ที่เพิ่งต่อสัญญายาวกันออกไปเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา, โรบินโญ่เคยร้องห่มร้องไห้ขอย้ายออกจากเรอัล มาดริด หรือคริสติอาโน่ โรนัลโด้ที่หวังใช้ทีมปีศาจแดงเพื่อเป็นบันไดเพื่อต่อยอด ความฝันตัวเองในการค้าแข้งกับทีมราชันชุดขาว ฯลฯ (ไม่ขอนับปัญหาล่าสุดระหว่างคาร์ลอส เตเบซกับแมนฯยูฯนะครับ เพราะผมมองว่าเป็น ทีมผีแดงเองมากกว่าที่ "เล่นแง่" และต้องการเฉดหัวหอก อาร์เจนไตน์พ้นทีม)

อย่างไรก็ดีแม้ผมจะเข้าใจดีว่าการโยกย้ายตัวของ นักเตะเพื่อเติมเต็มความฝันส่วนตัวเป็น กฎเกณฑ์และวัฏจักรของ "การเปลี่ยนแปลง" ซึ่งไม่อาจหลีกพ้นในวงการฟุตบอลยุคอะไรๆ ก็บิสิเนสแบบนี้ ทว่าก็อดใจหายไม่ได้จริงๆที่ต่อไปสโมสรจะเป็นเพียงแค่ "ทางผ่าน" ของใครบางคน...