Monday 26 May 2008

Up & Coming: แอนโดรส ทาวน์เซ่นด์


เกิด : 16 กรกฏาคม 1991, Walthamstow
ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ฝั่งซ้าย
ชื่อเล่น: ‘ดรอส’ หรือ ‘แอนดี้’

จุดแข็ง: เจอกับกองหลังตัวตัว, วิ่งไปกับบอล และความเร็ว
จุดอ่อน: ลูกโหม่งและการเล่นเกมรับ

ฮีโร่ในวัยเด็ก: แต่ก่อนเป็นโรนัลโด้ (ของเอซี มิลาน) แต่ปัจจุบันเป็นคริสเตียนโน่ โรนัลโด้และลีโอเนล เมสซี่ ‘เค้าทั้งคู่เป็นแรงบัลดาลใจของผม’

ตอนเด็กๆเชียร์ทีม : สเปอร์สเท่านั้น! คุณพ่อของผม ทรอย (Troy) เป็นแฟนสเปอร์สตั้งแต่เด็ก ผมโตขึ้นมาก็เลยเชียร์ตามพ่อ ! พูดให้สวยก็คือเราเชียร์สเปอร์สกันทั้งครอบครัวครับ !!

คุณเล่นเหมือนกับใคร : ไรอั้น กิ๊กส์ตอนหนุ่มๆเพราะว่าเค้าชอบที่จะวิ่งไปกับลูกบอลเหมือนกับผม

ใครมีอิทธิพลมากกับคุณที่สุด : แม่ของผม นิน่า และคุณพ่อทรอยที่มักจะติดตามผมลงเล่นอยู่เสมอ ส่วนคุณแม่ก็จะทำหน้าที่รับ-ส่งผมถึงสนามอยู่ตลอด

การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง: ผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ในการสอบ GCSEs แต่ตอนนี้ผมก็เรียนทุนของสเปอร์สอยู่และหวังว่าจะทำได้ดีทั้งในส่วนของการเรียนและการฝึกซ้อมในช่วง18เดือนต่อจากนี้

เรื่องน่าอับอายที่สุด : ตอนผมเล่นให้ทีม ยู-12 พบลูตันทาวน์ ผมทำเข้าประตูตัวเอง! บอลถูกเปิดมาจากด้านข้างผมพยายามจะควบคุมบอลแต่ดันจับไม่อยู่ ลูกนี้คล้ายๆกับที่ฌิมี่ ตราโอเร่ ทำในแมตช์ลิเวอร์พูล-เบิร์นลี่ย์นั้นแหละ มันเป็นตราบาปของผมจนถึงวันนี้เลยน่ะ!
เพลงที่ชื่นชอบ : ทุกแนวโดยเฉพาะ R&B

รายการทีวีสุดโปรด: Fresh Prince of Bel Air, My wife and Kids และรายการที่เกี่ยวกับฟุตบอล

รถยนต์ : ผมชอบบูกัตติ ความเร็วสูสีกับผมดี!!

สิ่งที่ชอบที่สุดของการเป็นนักเตะเยาวชนของสเปอร์ส : ไม่ได้ต้องนั่งทำงานในออฟฟิต และได้ทำในสิ่งที่ผมรักทุกวัน

นักเตะดาวรุ่งคนไหนที่คุณอยากให้จับตามองอีก: เดวิด ฮัตตัน เทคนิคใช้ได้ เล่นได้สองเท้า เยร์เซอร์ คาร์ซิมก็ทักษะเยี่ยมและความมุ่งมั่นสูงมาก

ถ้าคุณไม่ได้เป็นนักฟุตบอล: ผมก็คงเป็นกระทงหลงทาง !

Sunday 25 May 2008

10 คำถามกับเจอร์เมน จีนัส


นักเตะพ่อลูกอ่อน คนใหม่ในเล้าไก่ วันนี้เรามาดูกันว่าเจ้าตัวพูดอย่างไรถึงการได้เป็นพ่อคน รวมถึงกีฬาสุดโปรดของเค้านอกเหนือจากฟุตบอล

Q: เจอร์เมน ดีใจด้วยที่คุณได้พ่อคน รู้สึกอย่างไรบ้างและชีวิตเปลี่ยนไปแค่ไหน
JJ: แทงค์กิ้วหลายๆ! ครับชีวิตของผมเปลี่ยนไปมากทีเดียว นอกเหนือจากชีวิตการเป็นฟุตบอลแล้ว ก็มีลูกน้อยของนี้แหละครับเป็นยาใจชูกำลัง ก่อนหน้านี้เมื่อไรก็ตามที่ผมมีเกมแย่ๆ ทุกอย่างเหมือนว่ามันจะดูเลวร้ายไปซะหมด แต่ตอนนี้อย่างน้อยที่สุดเมื่อถึงบ้านผมก็มีลูกน้อยที่รอผมอยู่ และทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอีกเยอะทีเดียว

Q: ใครคือคู่ต่อกรในแดนกลางที่หินที่สุดสำหรับคุณ
JJ: ผมสนุกกับการได้แข่งกับฟาเบรกาส คาร์ริค และสโคลส์ แต่ถ้าต้องเลือกมาสักคนผมขอเป็น สโคลส์ซี่ ในเกมเอฟเอคัพปีนี้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ตอนเราเหลือผู้เล่นเพียงแค่สิบคน พอเค้าลงสนามมาเท่านั้นแหละงานของผมยากขึ้นเป็นเท่าตัวเลย เซนต์บอลรวมทั้งการอ่านเกมของเค้าไม่เป็นรองใครเลยล่ะในพรีเมียร์ชิพ

Q: เกมที่ดีที่สุดของคุณ
JJ: แน่นอนว่าคาร์ลิ่งคัพนัดชิง! เกมอื่นๆอย่างแมตช์ชนะอาร์เซนอลรอบเซมิ-ไฟนอล,แมตช์เจอกับเรดดิ้งที่เราชนะ6-4 หรือ เกมเสมอเชลซี 4-4 ก็ถือว่าสุดยอดน่ะ แต่บอลถ้วยนัดชิงที่เวมบลีย์มันสุดยอดของสุดยอดจริงๆ

Q: ใครสำอางค์ที่สุดในทีม
JJ: ง่ายมากเลย ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ

Q: พวกเพื่อนๆในทีมชอบฟังเพลงแบบไหนกัน แล้วมีชอบเหมือนกันบ้างมั้ย และใครมีรสนิยมเรื่องเพลงแย่ที่สุดในความคิดคุณ
JJ: เราแชร์เพลงฮิบฮอพกันบ้างนะในไอ-พอด แต่บางคนก็มีแนวที่ชอบเป็นของตัวเอง ถ้าจะหาสักคนที่ฟังเพลงแหวกแนวมากๆ ผมคงต้องบอกว่า เตมู (เตนิโอ) เพลงเค้าโคตรจะ ร็อคแอนด์โรล เลย !

Q: แฟนบอลที่คุณเจอตามท้องถนนได้ถามเกี่ยวกับนัดชิงคาร์ลิ่งบ้างมั้ย
JJ: เยอะเลยแหละ หลายคนอยากจะแชร์ประสบการณ์ความรู้สึก ผมก็พยายามถ่ายทอดมันให้พวกเค้าน่ะ และหวังว่าพวกเค้าจะชอบมัน

Q: ได้ดูรีเพลย์นัดนี้บ่อยมั้ย
JJ: ครั้งเดียวเอง แต่ผมจะดูมันบ่อยขึ้นแน่เมื่อผมแขวนรองเท้าไปแล้ว เพราะมันเป็นวันที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย

Q: กีฬาโปรดนอกเหนือจากฟุตบอล
JJ: กอล์ฟครับ ผมเริ่มเล่นมันครั้งแรกตอนอายุ16 สนุกดีน่ะ

Q: มิดฟิลด์ตัวกลางที่คุณคิดว่าเยี่ยมที่สุด ณ เวลานี้
JJ: มีหลายคนน่ะที่ผมชื่นชอบ มันยากที่จะบอกว่าคุณไม่ปลื้ม สตีวี่ จี ผู้ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางให้ทีมบ้านเกิดแต่ผมว่าเค้าต้องพาทีมเป็นแชมป์ในลีกให้ได้ก่อนที่จะยกระดับไปอีกขึ้น เค้ายังพัฒนาได้อีกผมเชื่อ ความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเค้าเป็นคีย์สำคัญเลยที่จะทำให้เค้าก้าวไปเป็นสุดยอดจอมทัพ สำหรับในยุโรปผมชอบปิลโล่ของเอซี มิลาน และ อิเนสต้าของบาร์เซโลน่า ทั้งคู่เป็นนักเตะชั้นยอดในสายตาผม

Q: ใครเจ๋งที่สุดในแดนซ์ฟรอ และใครเห่ยที่สุด
JJ: ผมและปรินซ์ (เควิน ปรินซ์ บัวเต็ง)แจ๋วที่สุดแล้ว ส่วนแย่ที่สุดน่ะหรอ อืมม..ใครดี อลัน ฮัตตันล่ะกัน แต่คุณอย่าบอกเค้าน่ะว่าผมบอก !!

Friday 16 May 2008

The comeback – โจนาธาน วู้ดเกต


ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่ง เลยแปลบทสัมภาษณ์ของโจนาธานวู้ด เกต จากสเปอร์สแม็กกาซีน ฉบับเดือนพฤษภาคม มาให้อ่านกันครับ :)

ก่อนที่เค้าผู้นี้จะยิงประตูชัยในฟุตบอลคาร์ลิ่ง คัพนัดชิงชนะเลิศ ปีที่ผ่านมา โจนาธาน วู้ดเกต ต้องประสบ พบเจอกับช่วงเวลาที่ดี และไม่ดีในชีวิตการค้าแข้ง อาการบาดเจ็บที่คอยรุมเร้าสมัยที่ยังค้าแข้งกับรีล มาดริด เรื่องราวต่างๆมากมายที่ต้องฝ่าฟันมา ก่อนที่ ‘คัมแบ็ค’กลับมาอย่างยิ่งใหญ่และสถาปะนาตัวเองกลายหนึ่งในตำนานของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

ฮวนเด้ รามอส ได้สร้างจุดสนใจให้วู้ดเกตมานานเลยทีเดียว ก่อนที่กองหลังร่างใหญ่รายนี้จะจรดปากกาเซ็นสัญญาย้ายเข้าสู่ ‘เดอะ เลน’

ในศึกยู่ฟ่าคัพนัดชิงชนะเลิศฤดูกาล 2005-2006 ในเกมนั้นเซบีญ่าไล่ถล่มมิดเดิลสโบรช์ไป 4-0 กองหลังรายนี้จำมันได้อย่างแม่นยำ และก็ยอมรับด้วยว่าผลงานที่สุดยอดของรามอสที่เซบีญ่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เค้ายอมมาร่วมหัวจมท้ายกับ กุนซือสแปนนิชที่สเปอร์ส อย่างไรก็ดีมันเป็นอารมณ์ที่หวานขม สิ้นดีสำหรับวู้ดเกต

‘ผมเป็นแฟนพวกโบโร่มาตั้งแต่เด็ก ตามเชียร์ผู้เล่นอย่าง แกรี่ พัลลิสเตอร์ และ เบอร์นี่ สลาเวนที่ Ayresome Park ดังนั้นผลการแข่งขันในวันนั้นสร้างความเจ็บปวดให้ผมไม่น้อยเลย’ วู้ดเกตรำลึก

‘แต่ถ้าจะมองให้เป็นกลาง มันก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้ผมมากมาย เพราะตลอดทั้งฤดูกาลนั้น มิสเตอร์รามอสทำได้ผลงานำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ เค้าพาเซบีญ่าท้าทายทีมอย่าง รีล มาดริดและบาร์เซโลน่าได้เลยน่ะ ทุกครั้งที่เราต้องเล่นเผชิญหน้ากับพวกเค้า (สมัยนั้นวู้ดดี้ค้าแข้งอยู่กับรีล มาดริด) เซบีญ่ากล้าเปิดเกมบุกและ ไม่ได้กลัวทีมใหญ่อย่างเราเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามของพวกเค้า’

‘นอกจากนี้พวกเค้ายังเล่นกันได้เป็นระบบระเบียบและอันตรายกับการเล่นโต้กลับ เมื่อบวกกับคุณภาพนักเตะที่มีอยู่ เซบีญ่าชุดนั้นลงตัวเอามากๆเลยล่ะ ดังนั้นแชมป์ในปีนั้นเหนือโบโร่ และปีต่อมาก็ทำดับเบิ้ล แขมป์ได้อีก อีกทั้งยังยกระดับขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงบัลลังค์ ลาลีกาได้ ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นกระบอกเสียงชั้นดี ที่พูดแทนความเก่งกาจของผู้จัดการได้น่ะ และผมก็บอกตรงๆ ว่าไม่แปลกใจด้วยว่าทำไมท็อตแน่มถึงเลือกเค้า’

ปรัชญาแห่งความสำเร็จของรามอสในสเปน ไม่ได้ถูกพับเก็บไว้เป็นความหลังอันหวานชื่น กุนซือผู้นี้ได้นำฟุตบอลที่เน้นในเรื่องทักษะ เกมรุกที่เปรียบเสมือนเครื่องหมายการค้า และแท็กติกส์ที่ยืดหยุ่น พร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด 90นาที แต่ก็ยังไม่ลืมระเบียบวินัยในเกมรัม รวมไปถึงการเน้นเรื่องความฟิต นำมาใช้ที่อังกฤษด้วย

‘ฟุตบอลที่สเปน เรื่องของเทคนิค และ แท็กติกส์จะมีมากกว่าที่นี้ครับ มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่ทีมจะเปลี่ยนระบบการเล่น สอง สาม หรือ สี่ครั้งภายในหนึ่งเกม คู่แข่งจะโจมตีจุดอ่อนเราหลังจากช่วงพักครึ่ง ดังนั้นคุณต้องพร้อมที่จะรับมือกับแทกติกส์ใหม่ที่ผู้จัดการทีมจะสั่ง และปรับให้เข้ากับสถานการณ์’ วู้ดเกตซึ่งใช้ชีวิตที่สเปนสองฤดูกาลกับรีล มาดริดกล่าว

‘มิสเตอร์รามอสมีสไตล์การทำทีมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเค้า และมันก็ดูจะเวิอร์คกับทุกทีมที่เค้าคุม และผมก็ดีใจมากจริงๆที่เค้านำเอาสไตล์นี้มาใช้ที่อังกฤษ และที่สำคัญนำมาใช้กับสเปอร์สเรา คุณคงได้เห็นกันแล้วน่ะ ในเกมนัดชิงกับเชลซี ผู้จัดการถอดชิมบงด้าออก และใส่ทอม ฮัดเดิ้ลสโตนลงมา โดยจับมิดฟิลด์ทางซ้ายในเกมนั้นอย่าง เตนิโอไปยืนแบ็คซ้ายแทน

มันเยี่ยมจริงๆที่เห็นการเปลี่ยนแท็กติกส์ในลักษณะนี้ และยิ่งถ้ามีนักเตะชั้นยอดอย่างที่ทีมเรามี มันก็ไม่ใช่ปัญหาเลย’

‘ผู้คนในประเทศนี้มักจะพูดกันเกี่ยวกับการเข้ามาของนักเตะ และกุนซือต่างชาติมักจะทำให้แข้งพรสวรรค์หรือกุนซือ หน้าใหม่สายเลือดอังกฤษโดนจำกัดโอกาส แต่ผมเองกลับมองว่าสิ่งนี้สามารถยกระดับฟุตบอลที่นี้ได้ ถ้าคุณได้คุยกับนักเตะ สเปอร์สที่นี้ พวกเค้าจะบอกคุณเลยว่าผู้จัดการนำสิ่งใหม่ๆอะไรมาสอนพวกเราบ้าง’

นอกจากนี้วู้ดเกตยังได้พูดถึงช่วงเวลาสองฤดูกาลของเค้ากับรีลมาดริด ที่แม้จะต้องประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บต้นขาที่คอยรุมเร้าหลังจากย้ายมาจากนิวคาสเซิ่ลด้วยค่าตัว 13.4 ล้านปอนด์ทำให้ขวบปีแรกของวู้ดดี้ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการรักษาบนเตียงหมอซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีหลังจากฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาได้ เค้าก็เติบโตขึ้นมากทีเดียวในฐานะ นักฟุตบอล

‘ไม่เยอะนักหรอกที่นักเตะอังกฤษจะออกไปเล่นต่างแดน แต่ผมกลับอยากที่จะลองน่ะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีประสบการณ์ค้าแข้งนอกประเทศดูบ้าง การได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ให้ชีวิตของคุณ และการที่ผมเจอปัญหาอาการบาดเจ็บบ้าๆที่นั้น มันก็ช่วยให้เติบโตขึ้นทั้งในแง่ของนักฟุตบอล และการได้เป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว’

‘ที่อังกฤษ ส่วนใหญ่จะเล่นบอลโยน และถ้าคุณแข็งแกร่งนิด เร็วอีกหน่อย หรือมีเทคนิคที่พอเอาตัวรอดได้ คุณก็เล่นได้แล้วในพรีเมียร์ชิพ แต่ที่สเปนมันต่างกันโดยสิ้นเชิงน่ะ เพราะเป็นเรื่องจำเป็นมากที่คุณต้องมีเทคนิคที่ดี ดังนั้นผมจึงได้ต้องเรียนรู้ การเก็บบอลไว้กับตัว ฝึกเทคนิคให้มากขึ้น การฝึกซ้อมในรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในแต่ล่ะวัน นอกจากนี้ผมยังได้พัฒนาตัวเองในเรื่องของการฝังรากการเป็นผู้ชนะในหัว (Winning Mentality) เพราะมาดริดเป็นทีมที่ใหญ่มากๆ และความคาดหวังจากผู้คนที่นั้นก็สูงปรี๊ด ในแต่ละเกมเราจึงต้องลงสนามและพยายามชนะให้ได้ในทุกๆเกมที่ลงเล่น’

‘ตอนที่ผมอยู่สเปน หลายครั้งทีเดียวที่ผมพบว่ามันไม่ง่ายเลย แม้ว่าโดยรวมแล้วผมมีช่วงเวลาที่ดีที่นั้น แต่โชคไม่ดีการบาดเจ็บทำให้แฟนๆและบอร์ดบริหารไม่ได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุดของผม ซึ่งนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ผมก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้วล่ะ’

วู้ดเกตประเดิมการลงสนามให้รีล มาดริดได้ไม่สวยอย่างที่เจ้าตัวและแฟนๆต้องการ เมื่อทำเข้าประตูตัวเอง อีกทั้งยังโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมกับแอธเลติก บิลเบา อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นเค้าก็ค่อยๆเอาชนะใจ ราม่อน โลเปซ กาโร่ ได้ทีละน้อย โดยเป็น ฟรานซิสโก้ ปาบอน อีบัน เอลเกร่า และ เซร์คิโอ รามอสต่างต้องแย่งชิงตำแหน่งกันเผื่อลงสนามจับคู่กับวู้ดเกตในแนวรับ

และแล้วจุดสูงสุดของเค้าก็มาถึงในศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกเดือนตุลาตมปี 2005 เมื่อเป็นคนยิงเบิกร่องในชัยชนะ 4-1 เหนือโรเซนบอร์ก โดยผลงานในวันนั้นทำให้เค้าได้รับคำชมเชยอย่างมากมาย ซึ่งนี่ก็เรื่องที่พิสูจน์ได้ว่าวู้ดเกตนั้นสามารถเล่นเคียงข้างกับซูเปอร์สตาร์ อย่าง โรเบอร์โต้ คาร์ลอส ซีเนอดีน ซีดาน เดวิด เบ็คแฮม หรือ ราอูล กอนซาเลซ ได้อย่างไร้ข้อกังขาและเค้าก็สถาปานะตัวเองเป็นหนึ่งในกลุ่ม‘กาลาติกอส’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
- - - (วันนี้เท่านี้ก่อน ไว้จะแปลต่อให้น่ะครับ) - - -
‘เมื่อผมมองย้อนกลับไปมันถือเป็นเรื่องสุดพิเศษสำหรับผมที่ได้เล่นให้ทีมใหญ่อย่างมาดริดและหลายครั้งที่เดียวที่ผมคิดว่าผมน่าจะอยู่ที่นั้นต่อเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริง’วู้ดเกตสารภาพ

‘ผมมั่นใจว่าผมดีพอและก็รู้ด้วยว่าผมได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อทีมแฟนๆที่นั้นคงได้เห็นกันและพวกเค้าก็ภูมิใจมากที่ผมเรียนรู้ขวนขวายที่จะเรียนรู้ภาษาสเปนคุณเชื่อมั้ยว่าบางครั้งผมให้สัมภาษณ์กับสื่อเป็นภาษาสเปนด้วยน่ะ ! ในฤดูกาลที่สองของผม สภาพร่างกายผมดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาสลงเล่นเท่าที่ควร และสิ่งนี้ก็ทำให้คุณเริ่มคิดถึงอนาคตการค้าแข้งของตัวเองบ้างแล้ว เพราะหลังจากสลัดอาการบาดเจ็บลงได้ ผมก็อยากที่จะให้ทุกอย่างกลับสู่เส้นทางที่มันควรจะเป็น’

การเข้ามาของฟาบิโอ คาเปลโล่ในฐานะกุนซือคนใหม่ชาวอิตาเลี่ยน พร้อมกับลูกทีมเพื่อนร่วมชาตินามว่า ฟาบิโอ คานาวาโร่ ได้ทำให้เวลาจองวู้ดเกตกับทีมกาลาติกอสมาถึงทางตัน และเมื่อมิดเดิลสโบรช์ยื่นข้อเสนอขอยืมตัวเข้ามาในช่วงที่พอเหมาะพอดี ทำให้วู้ดดี้แทบที่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย

‘ตลอดชีวิตการค้าแข้งของผมที่อังกฤษ ผมรู้ดีว่าแฟนบอลตั้งความหวังไว้ค่อนข้างสูง และผมก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร’ วู้ดเกตเล่าถึงเกมแรกที่ประเดิมสนามให้ทีมในการพบกับอาร์เซนอล ที่จบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1

‘อย่างไรก็ดี มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ทุกคนคิดเพราะผมดันทะลึ่งล้มและเป็นตะคริวตั้งแต่นาทีที่35เนื่องจากไม่มีแมตช์ให้ลงเตะอย่างเป็นทางการมานานโคตร ๆ!แต่สุดท้ายผมก็ยืนครบ90นาทีในวันนั้นและผมก็ดีใจมากที่ได้กลับมาลงเล่นอีกครั้ง ยิ่งเป็นทีมโปรดที่ผมตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก มันเหมือนเป็นโบนัสก้อนโตเลยล่ะ เพราะผมฝันมาเสมอกับการที่ได้ลงเล่นให้ทีมบ้านเกิดและสวมปลอกแขนกัปตันทีม ถึงตอนนี้แม้ผมจะจากทีมมาแล้ว แต่ผมก็ยังติดตามผลการแข่งขันของพวกเค้าเรื่อยๆ และเหนือสิ่งอันใดต้องขอบคุณมิดเดิลสโบรช์ที่ทำให้ฝันของผมเป็นจริง’

นอกเหนือจากการเป็นตะคริวในเกมแรกที่ลงสนาม ในวันนั้นยังเป็นแค่เกมที่ 52ในรอบ 18 เดือนของเจ้าตัวและตัวเลขที่น้อยนิดน่าตกใจนี่เอง ทำให้สะท้อนถึงการเป็นนักเตะกระดูกเปราะที่วันๆต้องอยู่แต่บนเตียงรักษาพยาบาลมากกว่าจะลงไปวาดลวดลายในสนามอย่างคนอื่นเค้า โดยวู้ตเกตกล่าวว่า

‘ผมรู้ว่าพวกคนมักจะพูดถึงการบาดเจ็บที่บ่อยครั้งของผม พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ เหมือนเป็นการทำร้ายผมทางอ้อม แต่ผมก็พยายามไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แม้หลายครั้งในช่วงระหว่างการฟื้นฟูร่างกายผมจะอดคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้ก็เถอะ’

‘สิ่งที่จำเป็นที่สุดหลังจากการบาดเจ็บ ก็คือลงเล่นให้มากที่สุดเท่าที่จากได้เพื่อเรียกความรู้สึกเดิมๆกลับมา และสุดท้ายมันก็เกิดขึ้น และผมได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วที่มิดเดิลสโบรช์ ทีมงานฟิตเนสที่นั้นสุดยอดและดีมากเหลือเกินกับผม และโชคดีที่ผมเป็นพวกบ้าพลังอยู่แล้วด้วย ดังนั้นถ้าผมบาดเจ็บ มันก็ใช้เวลาไม่นานหรอกในการเรียกความฟิตให้ถึงขีด และอีกเรื่องก็คือผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวขึ้นง่ายอย่างนักเตะ คนอื่นๆ ‘

‘ถึงตอนนี้ ผมไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว เพราะจำนวนเกมที่ผมลงเล่นในช่วงหลัง เป็นคำตอบในตัวของมันเองเกี่ยวกับข้อสงสัยเรื่องสภาพร่างกายของผม’
---(ต่อพรุ่งนี้ครับ)---
ความผูกพันของวู้ดเกตกับสโมสรจากย่านไทน์ไซต์นั้นดูแน่นแฟ้นจนดูเหมือนว่าตัวเค้าน่าจะฝากอนาคตระยะยาวไว้กับทีม แต่แล้ววู้ดเกตก็ช็อคแฟนบอลด้วยการชีพจรลงเท้าอีกครั้งหนึ่งเมื่อตัดสินใจย้ายไปซบสเปอร์สท่ามกลางข่าวบางกระแสที่ว่าเจ้าตัวได้วิจารณ์ความทะเยอทะยานของสโมสรรวมถึงผู้จัดการทีม แกเรธ เซาธ์เกต อย่างไรก็ดีวู้ดดี้ยืนยันว่าเค้าจากสโมสรที่เค้ารักมาแต่ความทรงจำที่ดี

‘โบโร่เป็นสโมสรที่ดีและผมก็เคารพทุกๆคนที่นั้นมาก ผู้จัดการ เพื่อนนักเตะ และบรรดาสต๊าฟโค้ช แต่ผมต้องตัดสินใจในเวลานั้นว่า จะอยู่ที่นั้นต่อพร้อมกับชีวิตที่เรียบง่ายไปจนแขวนรองเท้า หรือ ย้ายทีมเพื่อความท้าทายดี ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ยากอย่างที่คิดเพราะแรงดึงดูดของสเปอร์สนั้นมีมากเหลือเกิน เนื่องจากมีผู้เล่นพรสวรรค์อายุยังน้อยอยู่หลายคน บรรยากาศในห้องแต่งตัวที่สุดยอด รวมไปถึงโค้ชที่ผมรู้ความสามารถของเค้าดี ว่าจะพาสโมสรไปในทิศทางที่ถูกต้องได้’

‘ความรู้สึกของผมกับสเปอร์ส นั้นมีหลายอย่างคล้ายคลึงกับสมัยที่ผมยังเล่นอยู่กับลีดส์ ยูไนเต็ด มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะ แต่ผมมีเซนท์บางอย่างที่บอกว่าเราจะประสบความสำเร็จได้ และจะดีกว่าลีดส์ชุดรวมดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนั้นด้วยซ้ำ’

‘เพื่อนของผมที่เคยเล่นอยู่ด้วยกันที่ลีดส์อย่าง คีนโน่ (ร็อบบี้ คีน) เล่าให้ผมฟังในช่วงที่กำลังดูรายละเอียดสัญญาที่ทางสเปอร์สยื่นมาให้ว่า สโมสรแห่งนี้สุดยอดยังไง และมีนักเตะยังบลัดที่ศักยภาพนั้นสูงมากบางทีผมว่าเค้าน่าจะเป็นหัวหน้าแมวมองให้สเปอร์สควบไปอีกหนึ่งตำแหน่งเลยก็ดีเหมือนกันน่ะ!แต่สุดท้ายสิ่งที่คีโน่สาธะยายมามันถูกหมดเลยเพราะศักยภาพของบรรดาดาวรุ่งที่นี้ ไร้ขีดจำกัดจริงๆ และยิ่งไล่ดูอายุของแต่ละคน แล้วผมเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอายุค่อนข้างเยอะในทีมชุดนี้เนี่ย มันทำให้ผมตกใจเลย’

การเติบโตเป็นนักเตะซีเนียร์อย่างเต็มตัวของวู้ดเกตได้พิสูจน์ให้เห็นเพียงในเกมแรกที่ลงประเดิมสนามในเกมกับเอฟเวอร์ตัน เมื่อเค้าต้องจับคู่ยืนกับกองหลังจำเป็นอย่าง ทอม ฮัดเดิลสโตน และทั้งคู่ก็หยุดสถิติไม่แพ้ใครมาห้าเกมติดของทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงินลงได้ในวันนั้น
โชคชะตาของวู้ดดี้กับการถ้วยคาร์ลิ่งคัพนั้นพอเหมาะพอเจาะเอามากๆ เพราะโบโร่ที่ขาดวู้ดเกตจากอาการบาดเจ็บเล็กน้อยโดนสเปอร์สถีบตกรอบในเดือนกันยายน ทำให้เจ้าตัวที่ยังไมได้เล่นในถ้วยนี้ไม่ติดคัพไท และมีสิทธิ์ลงสนามในเกมนัดชิงชนะเลิศกับเชลซี ถือเป็นโบนัสที่ไม่คาดฝันของนักเตะ เพราะพึ่งจะย้ายมาร่วมทีมได้ไม่นาน และนี้ถือเป็นจุดเริ่มของการเป็นตำนานของวู้ดเกตกับสเปอร์ส’

‘ผมโชคดีมากที่ไม่ติดคัพไท และได้รับโอกาสลงเล่นที่นิว เวมบลีย์ในเกมที่ห้าของตัวเองเท่านั้น ผมคงขออะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว’วู้ดเกตยอมรับ

‘พวกเราทำได้เยี่ยมมากในเกมที่เอาชนะอาร์เซนอลในรอบเซมิ-ไฟนอล และสิ่งนี้เองทำให้เรามีความเชื่อว่าเราจะได้อีกในเกมกับเชลซี มันเป็นแรงผลักดันชั้นดีเลย’

‘อาทิตย์กว่าๆก่อนที่เกมนัดชิงที่ นิว เวมบลีย์จะมีขึ้น ผมคิดว่าในลอนดอนผู้คนส่วนใหญ่เป็นแฟนเชลซีมากกว่าท็อตแน่มน่ะ แต่พอผมได้พบแฟนบอลตามท้องถนน ความจริงอีกข้อที่ว่าแฟนบอลทีมอื่นอยากเห็นเราชนะเชลซีก็มีไม่น้อยเหมือนกัน บางทีอาจเป็นเพราะพวกเค้าดูเหนือกว่าเรามาก ผู้คนเลยอยากเห็นเราโค่นพวกเชลซีในนัดชิง และพอถึงวันแข่งเสียงเชียร์ทีมเราดังมากอย่างไม่น้อยเชื่อ ซึ่งนี้เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้พวกเราฮึกเหิมตอนที่เดินลงสู่สนาม มันสุดยอดจริงๆ’วู้ดเกตร่ายยาวถึงความรู้สึกในวันนั้น

ณ วันแข่ง กิจวัตรของวู้ดเกตรวมถึงนักเตะในทีมจะถูกปลุกและเรียกมารวมพลที่ข้างล่างล็อบบี้ โรงแรมประมาณ 11 โมงเช้า ทานอาหารเบาๆตอนเที่ยงและเริ่มออกจากโรงแรมมุ่งสู่สนามเวมบลีย์ก่อนบ่ายโมงครึ่ง กระบวนการทุกอย่างทำเหมือนแมตช์ปกติทั่วไป ต่างกันก็แต่ความหมายของเกมที่สำคัญมากเหลือเกินสำหรับทีมที่ไม่ได้แชมป์รายการใดๆติดมือมานานถึง 9ปี สำหรับวู้ดเกต เจ้าตัวบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะควบคุมอารมณ์ ความตึงเครียดให้เป็นปกติ หาไม่อย่างนั้นแล้วอาจสติแตกในสนามได้

‘ผมมักจะกังวลอยู่เสมอก่อนลงเตะ ดังนั้นผมจึงพยายามทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตื่นเต้นไปมากกว่านี้ ด้วยการทำทุกอย่างให้เป็นปกติและเรียบง่ายที่สุด’

‘ผมจำภาพตอนเป็นเด็กของตัวเองได้แม่น ตอนเห็นนักเตะเดินลงมารถโค้ชและมุ่งหน้าสู่ห้องแต่งตัว ผมจำได้ว่าตัวเองตื่นเต้นไม่แพ้พวกนักเตะเลย แต่คราวนี้ถึงตาตัวเองมั้ง ผมแทบจำเหตุการณ์ตอนถึงสนามไม่ได้เลย มีเรื่องราวมากมายในหัวให้ต้องคิด ลืมไปด้วยซ้ำว่าแฟนๆมาดักรอกันเพียบ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว !’

‘ความรู้สึกตื่นเต้นของผมยังคงอยู่ ตอนที่เดินลงไปวอร์มอัพก่อนเกมและเห็นแฟนๆอยู่เต็มสนาม แต่หลังจากผมจูนสติตัวเองสักพักผมก็เครื่องร้อนและอยากจะให้กรรมการเป่าเริ่มมันเดี๋ยวนั้นเลย’

ครึ่งแรกกับเชลซีถือว่าสเปอร์สออกสตาร์สได้ไม่สวยนัก เพราะแม้ว่าจะเป็นฝ่ายครอบครองเกมได้ดีกว่า พลาดโอกาสเจ๋งๆไปหลายครั้ง แต่โดนเชลซีปล่อยหมัดฮุก ออกนำไปก่อนจากลูกฟรีคิกของดิดิเยร์ ดร็อกบา

การตามหลังทีมอย่างเชลซี 1-0 ในนัดชิงขนะเลิศถือเป็นเรื่องสาหัสมาก อย่างไรก็ดีวู้ดเกต กลับเชื่อว่าสเปอร์สยังมีโอกาสกลับมาได้

‘เมื่อพวกเดินกลับห้องพักนักเตะหลังจบครึ่งแรก ผมรู้ว่าว่าเราจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้’วู้ดดี้ย้อนถึงแมตช์ประวัติศาตร์นี้ด้วยรอยยิ้ม

‘ใช่ผมรู้ว่ามันง่ายที่มาพูดถึงเรื่องนี้ หลังเกมจบไปแล้ว แต่ผมคิดจริงๆน่ะว่าเราจะกลับมาชนะเชลซี เราเล่นได้ดีมากๆในครึ่งแรก และเราก็รู้อยู่เต็มอกว่าเชลซีเป็นทีมที่เสียประตูยากมากถ้าพวกเค้าได้ออกนำใครไปแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องการก็คือสักประตูมาเป็นจุดเปลี่ยนในครึ่งหลัง เพราะถ้าเราทำได้ ผมโคตรมั่นใจเลยว่าเราจะยิงเม็ดที่สองต่อได้’

สิ่งที่วู้ดเกตคิด ได้เกิดขึ้นจริงหลังเจอร์เมน จีนัสโยนบอลสุดสวยให้เค้าโขกประตูชัย หลังทีมตีเสมอได้ แต่ก่อนหน้านั้นวู้ดดี้ได้พูดถึงประตูตีเสมอว่า

‘ผมรู้ว่าเบอร์บา จะไม่พลาดลูกจุดโทษนั้น เพราะจิตใจเค้าเยือกเย็นยังกะน้ำแข็ง และก็ดูนิ่งมากๆก่อนยิง’

‘มันคือประตูที่เราต้องการมาตลอด เพื่อมาเปลี่ยนเกม และมาได้ในนาทีที่ 70 ก็ถือว่ามาได้ถูกเวลามากๆ เรามีความกระหายมากยิ่งขึ้นหลังจากนั้น มากกว่าเชลซีด้วยซ้ำ!’

---บทหน้าตอนจบน่ะค้าบ--
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ผลของการเน้นฝึกซ้อมเรื่องฟิตเนสของฮวนเด้ รามอส ได้แสดงให้ทุกคนประจักษ์เมื่อนักเตะสเปอร์สทุกคนในสนามยังคงวิ่งได้ไม่มีหมดและเพียงแค่สามนาทีหลังจากนั้ ผู้ตัดสินมาร์ค ฮัลซี่ย์เป่าฟาล์วให้สเปอร์สได้ลูกฟรีคิกในแดนของเชลซีเจอร์เมน จีนัส โยนบอลจากฝั่งซ้ายของสนาม วู้ดเกตวิ่งมากจากไหนไม่มีนักเตะคนไหนของเชลซีทันสังเกต รู้ตัวอีกทีกันก็เมื่อกองหลังมาดเซอร์โหม่งเช็ดบอลบางๆไปตรงปีเตอร์ เช็ก ประตูร่างยักษ์ที่ออกมาไวแต่กลับชกบอลไปไม่พ้น บอลเด้งไปโดนวู้ดดี้เข้าประตูทีมสิงห์บลู ได้เวลาปาร์ตี้ !!

‘ยิงประตูได้ที่เวมบลีย์ เป็นอะไรที่ผมฝันถึงมาตลอดสมัยที่ยังเป็นเด็กกะโปโลเตะบอลข้างถนน ดังนั้นการที่ผมทำมันได้จริงๆเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม รวมทั้งครอบครัวของผมด้วย’วู้ดเกตเล่ารำลึก

‘ผมรู้ว่าเจเจจะโยนบอลไปทางไหนเพราะเราฝึกซ้อมกันมาตลอดกับลูกเซตพีช ผมแค่พยายามจ้องไปที่ลูกบอลแต่เหลือบไปเห็นผู้รักษาประตูวิ่งออกมา ทันใดนั้นขณะที่ผมโขกบอลออกไปเช็กก็ชกบอลกลับมาที่หน้าของผมและบอลก็กระดอนเข้าตาข่ายไป พอผมเห็นลูกบอลข้ามเส้นประตูผมคิดในใจว่าโอ้พระเจ้าฉันได้ลงสนามและยิงประตู ทำอะไรต่อดีว่ะเนี่ย ! ผมนึกอะไรไม่ออกจึงพยายามออกตัววิ่งออกโดยหวังว่าจะมีใครสักคนมาจับผม ผมวิ่งไปทางแฟนบอลของเรา เป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากๆครับ ผมกลับดูรีเพลย์ของตัวเองในจังหวะนั้นผมวิ่งได้บ้าระห่ำมากเลย’

‘ในจังหวะนี้ผมต้องบอกว่าเจเจสมควรได้รับเครดิตไปเต็มๆเพราะทั้งน้ำหนักและทิศทางที่โยนมา มันเหมาะเจาะมากและผมก็ไม่สมควรพลาดมันด้วยประการทั้งปวง’ นอกจากนี้เจ้าตัวยังเสริมว่านี้คือเกมที่ดีที่สุดตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอลมาเลยทีเดียว

จากประตูชัยรวมถึงผลงานระดับมาสเตอร์พีชที่โชว์มาตลอดทั้งเกม ทำให้วู้ดเกตได้รับเลือกให้เป็น นัดเตะยอดเยี่ยมประจำเกมและได้รับการยกย่องจากทั้งสื่อมวลชนและอดีตตำนานนักเตะของสเปอร์สอย่างสตีฟ เซต์จเลย์ว่า

‘ในฐานะที่เคยเล่นในตำแหน่งกองหลังมาก่อนผมไม่เคยสงสัยในคุณภาพของเค้าเลย แต่อาการบาดเจ็บต่างหากที่ทำให้สโมสรที่เค้าเคยค้าแข้งอยู่ รวมไปถึงทีมชาติอังกฤษต้องขาดหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในประเทศไป ถ้าเราสามารถทำให้ เลดลีย์ คิงกลับมาฟิตเต็มถัง ยืนเคียงข้างวู้ดเกตได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสเปอร์สจะมีคู่กองหลังที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ชิพ’

แฟนสเปอร์สหลายคนน่าจะเห็นด้วยกับคำพูดชองเซต์จเลย์ แต่วู้ดเกตตระหนักดีว่าทั้ง ไมเคิล ดอร์สันและยูเนส คาบูลต่างก็ต้องการตำแหน่งในทีมตัวจริงเช่นกัน โดยวู้ดดี้ได้กล่าวว่า

‘ผมรู้จักกับเลดลีย์ก่อนที่จะย้ายมาสเปอร์สเพราะเราสองคนได้พบกันบ้างในการเก็บตัวของทีมชาติอังกฤษ ผมมั่นใจว่าการจับคู่ของเราในแผงหลังจะพัฒนามากขึ้นกว่านี้อีก แต่ผมคิดว่าคุณไม่ควรมองแค่ผมกับเลดลีย์หรอกน่ะ’

‘ดอร์ส และยูเนส...ใช่เรามีขุมกำลังที่ดีในตำแหน่งอีกและใครก็ตามที่ได้รับเลือกให้ลงเล่นต้องพยายามโชว์ฟอร์มให้ดี นี้เป็นส่วนนึงที่ทำให้ผมและกองกลังรายอื่นๆต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นในการฝึกซ้อม นอกจากนี้มันเป็นเรื่องสำคัญมากไม่ว่าคุณจะจับคู่กับใครเพราะเราต้องประสานงานกันให้ดี รวมไปถึงเข้าขากับเพื่อนในตำแหน่งอื่นๆด้วยเพราะฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีทีมเวอร์กที่ดีเป็นรากฐาน’

จากความสำเร็จในการเป็นแชมป์คาร์ลิ่งคัพในซีซั่น 2007-2008ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ทีมจะไม่ถูกคาดหวังมากขึ้น

‘การได้โควต้าเป็นเล่นแชมป์เปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลเป็นเรื่องที่ไม่เกินความจริงสำหรับเรา สิ่งๆนี้ไม่ใช่ว่าจะทำได้เพียงการฝึกซ้อมอย่างหนักแค่ข้ามคืน แต่เราต้องเริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้ไปจนตลอดถึงซีซั่นหน้า ถ้าเรายังพัฒนาได้ต่อไปเรื่อยๆอีกละก็มันจะเกิดขึ้นแน่นอน’วู้ดเกตยืนยันหนักแน่น

‘อย่างที่ผมได้พูดไปก่อนหน้านี้ บางครั้งเราก็มีเซนส์และรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น พวกเราทุกคนเชื่ออย่างนั้น ตอนนี้เราต้องก้มหน้าทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นเพียงแค่ความคิดในห้วงอากาศ’

นอกจากนี้เจ้าตัวยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับโอกาสในการติดทีมชาติมากขึ้นหลังจากทีมสิงโตคำรามได้เปลี่ยนนายใหญ่มาเป็น ฟาบิโอ คาเปลโล่ โดยกองหลังเจ้าของหมวกทีมชาติ 6ใบได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

‘ถ้าผมเล่นได้ดีอย่างสม่ำเสมอผมมั่นใจว่าผมจะได้รับเลือกให้ติดทีม’ โดยกองหลังผู้ซึ่งติดทีมชาตินัดสุดท้ายในเกมกับสเปนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี2007ได้พูดต่อว่า

‘แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเสมอเมื่อได้รับเลือกให้ติดทีม ตลอด7ปีที่ผ่านมาภายใต้ สเวนและต่อด้วยสตีฟ แม็คคลาเรนแนวทางการทำทีมอาจจะต่างกันบ้างแต่ก็ไม่เยอะ (บิ๊กแม็คเป็นผู้ช่วยของอีริคส์สันมาก่อนได้รับการดันให้เป็นกุนซือทีมชาติอังกฤษ) แต่สำหรับแนวทางของมิสเตอร์คาเปลโล่มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างของนักเตะและโค้ช การฝึกซ้อม รวมไปถึงแท็กติกส์ อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับพวกเราทุกคนที่จะได้ร่วมงานกับหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลก’

‘เรามีเซ็นเตอร์ฮาร์ฟระดับท็อปมากมายในประเทศ ณ เวลานี้แต่ผมรู้ดีว่าถ้าผมได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอและทำผลงานได้ดี ผมก็มีโอกาสเท่าๆกันกับคนอื่น’

ความกระหายที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหมด ถือเป็นข่าวดีอย่างแท้จริงของทีมชาติอังกฤษรวมไปถึงสโมสรอู่ข้าวอู่น้ำอย่างสเปอร์ส....
จบบริบูรณ์ ^^'

Wednesday 7 May 2008

สเวน, แกรนต์ สองกุนซือสุดอาภัพแห่งปี













ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพฤดูกาล 2007-2008 ที่กำลังจะรูดม่าน ปิดฉากลง ในสุดสัปดาห์ ที่จะถึงนี้หากจะหาบุคคล ที่น่าสงสารที่สุดหากไม่ใช่ เอดูอาร์โด้ ดาซิลวา ที่โดนหวดขาหักเป็นสองท่อน, แฟรงค์ แลมพาร์ดที่เพิ่งสูญเสียคุณแม่ "แพท แลมพาร์ด" ไปในช่วงที่ทีมเชลซีกำลัง อยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม หรือยอห์น อาร์เน่ ริเซ่ ที่นอกจากชีวิตการค้าแข้ง ในปีนี้กับหงส์แดงจะไม่ค่อยรุ่งแล้ว ยังมีตราบาปที่ลืมไม่ลงอย่างการทะเล่อทะล่าทำ Owngoal จนเป็นหนึ่งในหลายๆ สาเหตุที่ ทำให้ลิเวอร์พูล ต้องอกเดาะอดตีตั๋วไปมอสโก ฯลฯ

อย่างไรก็ดี สามรายข้างต้นนั้นจัดอยู่ในกลุ่ม ของนักเตะ...ที่นี้หากเรา จะมองหากุนซือ ที่อาภัพที่สุดกันบ้างหลังจากที่กวาดสายตา มองดูรายชื่อ กุนซือของพรีเมียร์ชิพในปีนั้น ผมขอให้ตำแหน่งนี้กับ สเวน โกรัน เอริคส์สัน และอัฟรัม แกรนต์ ครับ

อย่างที่ทราบกันน่ะครับ กระแสข่าวเรื่องการ จะปลด สเวน นั้นอยู่ในขั้นรุนแรงมาก และข่าวลือการจะดึง "บิ๊ก ฟิล" หลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ มาแทน "บิ๊กเถิก" นั้นก็เริ่มส่อเค้าจะเป็นจริงขึ้นมาทุกที

จริงอยู่ที่แม้ แมนฯซิตี้ฯ ในช่วงหลังๆ จะมีฟอร์มการเล่นที่ออกทะเลไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง ครึ่งฤดูกาลหลัง และผมก็เข้าใจหัวอกคนลงทุนอย่างคุณทักษิณด้วยเช่นกันว่า ต้องการเห็นทีมประสบความสำเร็จ หลังจากเซ็นเช็คให้งบ สเวนนี่ ช็อปนักเตะไปไม่น้อยในฤดูกาลนี้ (38 ล้านปอนด์)

แต่หากมองโลกด้วยความเป็นจริงที่ปัจจุบันรั้งอันดับ 9 ในลีก และผลงานโดยรวมที่ซิตี้ก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้าย มากมาย นักหากเทียบกับฤดูกาลก่อนที่มี สจ๊วร์ต เพียร์ซ คุมบังเหียนอยู่ ทีมจากย่านอีสต์แลนด์ "หมู" กว่านี้แยะครับ

อีกอย่างก็คือ นี่เป็นเพียงแค่ฤดูกาลแรกของสเวนนี่ กับพรีเมียร์ชิพ และนักเตะต่างชาติหลายต่อหลายราย ก็ถือว่าใหม่มากกับลีกที่เขี้ยวลากดินแบบนี้ ดังนั้นมันจึงไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดครับหากอดีต กุนซือทีมชาติอังกฤษรายนี้จะโดนเขี่ยพ้นทีมในช่วงซัมเมอร์นี้
เพราะนอกจากทีมจะขาดความต่อเนื่องแล้ว การจ้าง "บิ๊กฟิล" มาก็ไม่ได้การันตีอะไรเลยครับว่า เรือใบสีฟ้าลำนี้ จะผงาดเป็นทีมชั้นนำเพียงแค่ช่วงข้ามคืน

ดูทีมอย่าง ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส หรือนิวคาสเซิล ที่เงินอัดฉีดจากบอร์ดนั้นให้มาในแต่ละปีใช่ว่าน้อยที่ไหน ความสำเร็จบางครั้งในเกมฟุตบอลมันไม่เหมือนธุรกิจทั่วไปนะครับ ที่จะใช้เงินบันดาลสำเร็จได้แบบแบเบอร์เสมอไป

ฟุตบอลมันเป็นศาสตร์ และศิลป์ที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นครับ ไหนจะเป็นโครงสร้างทีมที่ผู้จัดการใหม่แต่ละคน ต้องมายกเครื่องกันใหม่เมื่อเข้ามาทำทีม ความเข้าใจ เข้าขากันของนักเตะใหม่ในทีมรวมไปถึงแท็กติกส์การเล่น และที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ "เวลา" ครับ
ลองดูบรมกุนซืออย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, อาร์ แซน เวนเกอร์ หรือโจเซ่ มูรินโญ่ กว่าที่พวกเค้าจะพาทีมผสมผสานทีม ให้ลงตัวได้ต่างก็ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะความสำเร็จนะครับ ขณะที่เรื่องเงิน แม้จะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ใน "โมเดิร์นฟุตบอล" แต่ก็จัดว่าเป็นแค่เรื่องที่รองลงมา
ขณะที่กุนซืออีกรายที่ถือว่า อาภัพ ไม่แพ้ สเวนนี่ หากมีอันต้องโดนปลดออกไปจริงๆ ก็คือ อัฟรัม แกรนต์ หรือ "มิสเตอร์คางคก" ที่เข้ามารับ งานต่อจากโจเซ่ มูรินโญ่ ในเดือนกันยายนปีที่แล้วหลังจากเชลซี ออกสตาร์ตได้ไม่สวยในช่วงต้นฤดูกาลครับ

ผมเองยอมรับครับว่าช่วงแรกๆ นั้น ไม่ค่อยจะเชื่อในฝีมือของกุนซือเลือดยิวนี้สักเท่าไร แต่หลังจากวันนั้นถึงวันนี้เวลาก็ปาเข้าไป 8 เดือนกว่าๆ แล้ว และแกรนต์ก็ถือว่าทำผลงานได้เหนือความคาด หมายของหลายๆ คนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการพาทีมผ่านวิกฤติในช่วงที่นักเตะ เจ็บกันระนาว + ตัวหลักหลายรายกลับไปเล่นแอฟริกัน เนชั่นคัพ อีกทั้งโดน "ดิส เครดิต" ไปไม่น้อยในแมตช์พ่ายสเปอร์สในคาร์ลิ่งคัพ นัดชิงชนะเลิศ 1-2 ต่อด้วยโดนเจ้าตูบ บาร์นส์ลีย์ถีบตกรอบ เอฟเอ คัพ 0-1 อีกไม่กี่อาทิตย์ให้หลัง

แต่กระนั้นก็ดี จากที่รับบทเป็น "ตาอยู่" รั้งอันดับสาม ในศึกพรีเมียร์ชิพอยู่นานสองนาน ในที่สุดความพยายามของเชลซีภายใต้การทำทีมของแกรนต์ก็สามารถมีลุ้นจน ถึงนัดสุดท้ายในฤดูกาลได้หลังจากที่ล่าสุดพวกเค้ายัง รักษาความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่นด้วยการบุก ไปเชือดนิวคาสเซิล ที่ฟอร์มดีขึ้นมามากในช่วงหลังได้ถึงรัง เซนต์ เจมส์ พาร์ค 2-0 จากการทำประตูของกัปตันทีมชาติ เยอรมัน มิชาเอล บัลลัค และฟลอรองต์ มาลูด้า

นอกจากนี้ยังสามารถพาทีมปราบลิเวอร์พูล ของราฟาเอล เบนิเตซ "เจ้าพ่อบอลถ้วย" ได้ด้วยในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และทะลุเข้าชิงชนะเลิศกับแมนฯยูฯในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย

อย่างไรก็ดีถึงตอนนี้สถานะของแกรนต์ยังเป็น Dead Man Walking เนื่องจากยังไม่รู้อนาคตตัวเองเลยว่าจะได้อยู่ ทำทีมในซีซั่นหน้าหรือไม่ แม้ว่าโดยรวมแล้วผลงานของเค้า ถือว่าสอบผ่านสบายๆ หากเชลซีไม่ได้มีเจ้าของที่ชื่อโรมัน อบราโมวิช!!
อย่างที่เคยเรียนไปในคอลัมน์ก่อนหน้านี้ครับว่าอดีต ผอ.ปอร์ทสมัธนั้นมีชอยส์ให้เลือก ไม่มากนักหากคิดที่จะนั่งแท่นเป็นกุนซือให้ "สิงห์ไฮโซ" ต่อไปในปีหน้า

ชอยส์แรก คือ เป็นแชมป์ และชอยส์ที่สองก็คือเป็นแชมป์!! หากไม่อย่างนั้นแล้วเชลซีก็คงจะยกข้ออ้างร้อยแปด ประการมาปลดแกรนต์อย่างไม่ต้องสืบให้เสียเวลาเลย เพราะเสี่ยหมีนั้นลงทุนไปมากเหลือเกิน และคงไม่ไช่เรื่องที่ดีแน่หากปีนี้พวกเค้าต้อง "แห้ว" ทุกถ้วยในปีนี้ สองก็คือสไตล์บอลของแกรนต์นั้นยังไม่ค่อยเข้าตา และน่าตื่นตาตื่นใจเท่าทีมอย่างแมนฯยูฯ และ อาร์เซนอล

ในลีกนั้นต้องยอมรับครับว่าโอกาสของ เชลซีที่จะเป็นแชมป์ยังพอมีหวังอยู่เล็กๆ แต่ก็ถือว่าค่อนข้างยากอยู่ที่จะลุ้นให้แมนฯยูไนเต็ด ที่ "ท็อปฟอร์ม" มากๆ ในตอนนี้ พลาดท่าแพ้ให้กับวีแกนในนัดสุดท้าย แม้จะต้องออกไปเยือนที่ เจเจบี สเตเดี้ยม ก็ตาม ขณะที่พวกเค้าเองก็ห้ามพลาดเช่นกันกับการเปิดบ้านรับการมาเยือนของโบลตัน

แต่กับถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่จะเตะแบบนัดเดียวรู้ผล ผมมองว่าไม่มีใครเหนือกว่าแน่นอนครับ และลึกๆ ผมก็อยากจะรู้จริงๆ ว่า หากแกรนต์จับพลัดจับผลูได้มาสักแชมป์เนี่ย ท่านประธานที่เอาใจลำบากอย่าง เสี่ยหมีเนี่ย ยังจะกล้า ปลดแกรนต์มั้ย ??!!