Thursday 26 June 2008

ดูบอลยูโรที่เบลเยี่ยม (ตอน2)


ต่อจากเมื่อวานนี้นะครับ ที่ผมเล่าค้างไว้ถึงตอนที่มาถึงจัตุรัสกรองด์พลาส (Grand Place) ในใจกลางกรุงบรัสเซลล์เพื่อชมรูปปั้นแมนเนคินน ปิส หรือ’เด็กเยี่ยว’
สำหรับประวัติความเป็นมาของรูปปั้นแมนเนคินน ปิส (Manneken Pis) ที่แท้จริงเป็นอย่างไรนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัดครับ เพราะตำนานของเด็กชายผู้ได้รับการยกย่องเป็นราษฎรอาวุโสที่สุดของเมืองนั้นมีอยู่หลายเรื่องเหลือเกิน...
อย่างไรก็ดีผมเก็บประวัติคร่าวๆมาฝากกัน : )

เริ่มกันที่เรื่องที่เก่าแก่ที่สุดเลยแล้วกันนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ 8 เล่ากันว่าภรรยาของขุนนางผู้ครองแคว้นได้ให้กำเนิดบุตรชาย และขณะที่กำลังประกอบพิธีสวดขอบคุณพระเจ้าอยู่ เด็กน้อยได้ปัสสาวะพุ่งขึ้นจนเปียกเคราของบาทหลวง จึงได้รับการตั้งชื่อว่าแมนเนคิน ปิส ต่อมาขุนนางบิดาของแมนเนคิน ปิส ได้ทำให้นักบุญหญิงผู้หนึ่งโกรธจึงสาปให้แมนเนคิน ปิส เป็นเด็กอยู่เช่นนั้นและปัสสาวะไม่หยุดตลอดไป
ตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า แมนเนคิน ปิส เป็นเด็กชายซึ่งได้สร้างวีรกรรมในระหว่างสงคราม โดยการปัสสาวะรดต้นเพลิงที่ข้าศึกจุดขึ้นเผาบ้านเมืองจนไฟดับ ทำให้สามารถรักษา เมืองบรัสเซลส์มาได้จนถึงทุกวันนี้ หรือจะเป็นเรื่องที่ว่าเจ้าหนูแมนเนคินน ปิส เป็นเพียงบุตรชายคหบดีคนหนึ่งซึ่งเกิดพลัดหลงกับบิดาในระหว่างงานรื่นเริงของเมือง หลายวันต่อมาคหบดีจึงตามพบบุตรชายขณะกำลังยืนปัสสาวะอยู่ จึงได้สร้างรูปปั้นไว้ตรงจุดที่พบไว้เป็นอนุสรณ์ และอีกหลายต่อหลายตำนานที่ผู้คนที่นี้กล่าวขานกัน ฯลฯ

จะอย่างไรก็ตามครับ ไม่ว่าเรื่องเล่าทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นเรื่องจริงหรือแค่อิงนิยายไอ้เด็กเยี่ยวคนนี้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์อยู่คู่เมืองบรัสเซลส์มานานนมและเรียกรายได้จากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ไม่น้อยเลย

เสร็จจากการเดินทอดน่องตามไกด์อีกสักพักต่อมหูฟังของผมภาษาอังกฤษของผมก็ปิดสวิตช์ไปดื้อๆครับ ไกด์บรรยายข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับจตุรัสกรองด์พลาสต่อ แต่หูไม่รับแล้วจริงๆ เนื่องจากกระเพราะอาหารมันส่งสัญญาณแล้วว่าให้เจ้าของร่างกายหยุดพักสักนิดแล้วให้หาอะไรกระแทกท้องเถอะ ^_^

ผมไม่รอช้าครับ ปลีกตัวออกมาเนียนๆพร้อมกับขวัญและจีจี้ ปรึกษากันสักพักว่าเราควรจะหาอะไรรองท้องกันสักนิดดีมั้ย ดูแล้วทั้งคู่ก็คงไม่ต่างจากผมเท่าไร สังเกตได้จากสีหน้าที่อิดโรยและท่าทีที่อ่อนล้า
หันซ้ายแลขวาหาของกินเพียงแวบเดียวเท่านั้นครับ ขวัญเพื่อนรักเธอไวมาก She กลับมาพร้อมวาฟเฟิล 3 ชิ้น 3 รส มีหน้าแยม หน้าช็อคโกแลต และสตรอเบอรี่ สนนราคาตกชิ้นละ 2 ยูโรเห็นจะได้ (1ยูโร = 52บาท โดยประมาณ) ผมลังเลเอื้อมมือไปหยิบหน้าสตรอเบอรี่ของโปรดมาเป็นกรรมสิทธิ์ทันที (ไม่ถามคนซื้อสักคำว่าอันไหนของผม ฮ่า)

วาฟเฟิล หรือขนมรังผึ้งที่หลายคนเบลเยี่ยมนิยมทานเป็นอาหารเช้าเป็นของที่กินได้ทุกเวลาครับ โดยเคล็ดลับที่พอทราบมาก็คือเวลาทำ ต้องเปิดเตาเหล็กพิมพ์ทิ้งไว้ให้ร้อนประมาณ10 นาทีเพื่อให้ได้ขนมวาฟเฟิลที่กรอบนอกนุ่มใน เจ้าขนมที่ว่านี้ขายทุกหัวมุมถนนในตัวเมืองทีเด็ดที่สุดก็เห็นจะเป็นมีสูตร ซูเฟล่ หรือวาฟเฟิลโปะวิปครีมและสตรอเบอรี่สด ที่ผมซัดไปนั่นเอง

เดินไปกินไปรอบตัวเมืองอีกสักพัก ทีมไกด์และคณะทัวร์เริ่มจะหิวกันแล้วครับเพราะตั้งแต่ลงจากรถไฟยูโรสตาร์มาเราก็ยังไม่ได้พักกันเลย ทุกคนเลยลงมติกันว่าจะแวะพักเป็นเวลา 45 นาทีเพื่อให้ทุกคนได้ไปแวะพักท้องตามร้านอาหารที่แต่ละคนชอบแล้วจะกลับมาเจอกันที่จุดนัดหมาย

ผม ขวัญ จีจี้และพี่บุปผาตัดสินใจตรงดิ่งไปร้านอาหารเบลเยี่ยมครับ โดยผมเองท้องยังแน่นๆจากวาฟเฟิลอยู่จึงไม่ได้สั่งอาหาร แต่ก็ไม่นั่งเฉยนะครับจัดการสั่งเบียร์ท้องถิ่นมาลองของหน่อยเพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเบียร์ที่นี้นั่นดังกระฉ่อนไม่แพ้ต้นตำรับอย่างเยอรมันเนื่องจากเบลเยี่ยมมีเบียร์ให้เลือกสรรกว่า 300-400 แบรนด์!
Simply the best ครับ ผมเลือกเบียร์ท้องถิ่นที่เบสิกที่สุดยี่ห้อ BEL PILS มาและก็ไม่ผิดหวังจริงๆ รสชาตินุ่มกลมกล่อมมาก ขณะที่ขวัญเล่นยากหน่อยสั่งเบียร์ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้ แต่ราคาแพงกว่าหน่อย (เบียร์ 1 ไพน์ตกประมาณ 1.7-2.5 ยูโร) แต่เธอและผมเห็นตรงกันว่าของผมอร่อยกว่าเยอะ อิอิ

กินกันเสร็จสรรพ เราออกมาเจอสตีฟและไกด์สาวอีกสองคนชื่อ นามิต้า และ วิคตอเรีย แจ้งว่าโปรแกรมวันนี้เหลือพาไปชม Edmond park en-paleis แค่นั้นหลังจากนั้นใครประสงค์เดินเล่นต่อในตัวเมืองก็ต้องจับรถไฟกลับที่พักเอง หรือถ้าเหนื่อยก็จะกลับโรมแรม Husa Hotel พร้อมไกด์ก็ได้
ลูกทัวร์บางส่วนเลือกที่จะกลับครับเพราะเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แต่ก็มีผมและบางส่วนที่ทาน Lunch เสร็จแล้วมีเรี่ยวแรงอยากเดินต่อจึงตัดสินใจเดินเล่นรอบๆเมืองอีกหน่อยเพราะโปรแกรมพรุ่งนี้ค่อนข้างแน่น ไหนจะหาซื้อของฝากอีก + อยากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดกับเงินที่เสีย ฯลณ

หารู้ไม่ว่ากำลังจะตกระกำลำบาก เพราะแผนที่รถไฟที่บรัสเซลส์เป็นอะไรที่งงมากมาย
ป้ายหรือสัญญาณบอกทาง และผู้คนส่วนใหญ่ก็พูดแค่สามภาษาหลักๆ คือ ดัตช์ ฝรั่งเศส เยอรมัน (ภาษาราชการที่นี้) เราหลงขึ้นรถไฟกลับไปกลับมากันอยู่ร่วมๆ 40 นาทีเห็นจะได้ครับ กว่าจะคลำทางหาทางกลับที่พักถูก

อันนี้ต้องขอบคุณขวัญที่พอจะพูดภาษาฝรั่งเศษได้บ้าง ไม่อย่างนั้นนึกไม่ออกจริงๆครับว่าผมกับลูกทัวร์ที่เหลือจะกลับโรงแรมกันยังไง ^^
ระหว่างทางกลับผมได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ในทริปชื่อ เออเดม (Erdem) จากตุรกีด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกันเราจึงคุยกันค่อนข้างถูกของครับโดยเฉพาะการที่เราสองคนมีฟุตบอลอยู่ในเส้นเลือดเหมือนๆกัน

เออเดมมาจากอิสตันบูลครับ ผมจึงถามแย็บๆไปครับว่ารู้สึกพอใจมั้ยกับผลงานของทีมชาติตุรกีในยูโรครั้งนี้ และคิดยังไงกับเกมที่จะต้องพบกับเยอรมัน

หนุ่มร่างใหญ่คนนี้ ยิ้มและบอกครับว่าสำหรับชาวตุรกีการได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมก็ถือว่าทำผลงานได้ตามเป้าแล้ว แต่การที่ขุนพลเติรก์ คัมแบ็คได้สามแมตช์ซ้อน (เกมกับสวิส เช็ค และ โครแอตโดนนำก่อนแต่กลับมาชนะ) ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอดยิ่งกว่า ดังนั้นการพบกับอินทรีเหล็กเยอรมันนี ที่ตุรกีนั้นติดโทษแบน + เจ็บกันกระจายนั้น จะแพ้ชนะ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมาก ขอแค่เล่นให้ประทับใจเหมือนที่ผ่านมา นักเตะตุรกีทุกคนก็ถือเป็นฮีโร่ในใจของคนทั้งประเทศแล้ว

ผมฟังแล้วคิดถึงทีมชาติไทยขึ้นมาตงิดๆครับ เพราะบอกตามตรงถึงแม้จะเลิกฝันมานานแล้วว่าเมื่อไรเราจะได้ไปบอลโลก แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราเล่นได้ประทับใจคนดูมากกว่านี้ คนไทยทุกคนก็คงจะรู้สึกดีมากกว่านี้อีกเยอะทีเดียว...

เรามาถึงโรงแรมกันประมาณ 5 โมงกว่าครับ จริงๆผมมีนัดกับ เออเดม เวลา สองทุ่มสี่สิบห้าที่รีเซฟชั่นโรงแรม แต่ทว่าด้วยความเหนื่อยอ่อนทำให้เผลอหลับยาวไป มารู้ตัวอีกทีตอนที่จีจี้ปลุกมาดูคู่ฮอลแลนด์-รัสเซีย ซึ่งเกมนี้บอกตามตรงครับว่าฮอลแลนด์แพ้ที่แท็คติกส์ของกุนซืออย่างแท้จริง
งานนี้ขอซูฮกความอัจฉริยะของ กุส ฮิดดิ้งค์ที่แม้นักเตะจะเป็นรองขุนพลฟลายอิ้งดัตช์แมน ในเรื่องของศักยภาพตัวผู้เล่นที่มีขีดจำกัดมากกว่า แต่กลับเล่นสอนบอลและหยุดความมหัศจรรย์ทีมกังหันได้อย่างช็อคแฟนบอลทั่วโลก
ผมมั่นใจครับว่าเกมกับสเปนในค่ำคืนนี้ทีมหมีขาวจะสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีแน่นอน...

ปล. พรุ่งนี้ Day 2 in Brussels จะพาไปชม Atomium, มินิยุโรป พิพิทธภัณฑ์การ์ตูนพร้อมต้นกำเนิดตัวการ์ตูนสีฟ้านามว่า สเมิร์ฟกันครับ




Monday 23 June 2008

ดูบอลยูโรที่เบลเยี่ยม (ตอน1)


หายหน้าหายตาไปหลายวันครับสำหรับคอลัมน์ Euro from UK ของผมเนื่องจากไปทริปสองวันหนึ่งคืนที่ประเทศ เบลเยี่ยมกับเพื่อนๆมาในช่วงสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ใจจริงแล้วอยากจะหอบหิ้วโน๊ตบุ๊คคู่ใจไว้เก็บเรื่องราวบรรยากาศดูบอลยูโร ที่นี้มาให้อ่าน + ชมภาพประกอบกัน แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างอาทิเช่นเรื่องของเวลาที่ในแต่ละวันที่โปรแกรมนั้นค่อนข้างรัดตัว สัมภาระที่หิ้วไปในทริปนี้นั้นค่อนข้างหนักเอาเรื่อง กลัวว่าโรงแรมที่พักจะไม่ปลอดภัยแล้วโน๊ตบุ๊คหาย ฯลฯ
ข้ออ้างทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้คงจะพอฟังขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ แฮะๆ ^^

สำหรับทริปเบลเยี่ยมนี้ถือเป็นการโผล่หัวออกนอกอังกฤษครั้งแรกตั้งแต่ผมได้มาปักหลักศึกษา หาประสบการณ์ชีวิตในช่วงระยะเวลาเกือบๆจะสองปีเห็นจะได้ ซึ่งสาเหตุที่ไม่เคยได้กระดิกไปเที่ยวไหนเลยก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เรื่องของ ‘มันนี่’ล้วนๆที่มันค้ำคออยู่

ทริปนี้ผมมีเพื่อนคนไทยอีกสามคนเป็นเพื่อนร่วมทริปครับ จีจี้ ขวัญ และพี่บุปผา โดยงานนี้เราสามคนได้แพ็คเกจราคาพอรับได้จากโรงเรียนภาษาที่ขวัญเรียนอยู่สนนราคารวมค่ารถไฟยูโรสตาร์ โรงแรม 4ดาว ไกด์พาเที่ยวรอบเมือง บรัสเซลส์ ก็130ปอนด์ ซึ่งถือว่าไม่แพงมากสำหรับการไปเที่ยวประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

อย่างไรก็ดี ไอ้ค่าขอเชงเก้นวีซ่าที่สถานทูตเบลเยี่ยมเนี่ยสิครับ แพงหูฉี่ ! ล่อเข้าไป 70ปอนด์ ราคาครึ่งนึงของแพ็คเกจทัวร์เลย ซึ่งตรงนี้ไม่มีทางเลือกครับสำหรับคนไทยที่ไม่ได้อภิสิทธิ์เหมือนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีหรือญี่ปุ่นที่ไม่ต้องขอวีซ่าในการเข้าประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป

วันแรกของการเดินทางผมและเพื่อนร่วมทางอีกสามคนเรียก Cab หรือที่บ้านเราก็คือรถแท็กซี่ แต่ที่อังกฤษนี้จะต่างออกไปเพราะรถแท็กซี่ทุกคนที่นี้จะเป็นสีดำ อีกทั้งความปลอดภัยก็หายห่วงเพราะภายในตัวรถจะมีกระจกกั้นระหว่างผู้ขับกับคนนั่ง
เราเรียกแคปมารับที่บ้านพี่บุปผาตั้งแต่ตีห้าแล้วไปที่ ST.Pancras International Train Station ด้วยกันเพราจะได้ประหยัดงบ ^^ ส่วนสาเหตุที่ไปตั้งแต่ไก่โห่นั่นก็เพราะรถไฟยูโรสตาร์จะออกเวลา 7 โมงตรง

ทริปนี้ไกด์นำทัวร์ของเราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าของขวัญและจีจี้แต่อย่างใดครับ เพราะแกเป็นอาจารย์สอนภาษาที่โรงเรียนของทั้งคู่นั่นเอง หนุ่มร่างใหญ่ กลิ่นตัวแรง ตุ้งติ้งคล้ายแต๋วคนนี้มีชื่อว่านาย สตีฟครับ (จริงๆน่าจะเรียกว่านางสตีฟมากกว่า เพราะอาการแต๋วหลุดแกออกเยอะมาก)

ไอ้ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าแกเป็น อีแอบ แต่หลังจากที่เข้าไปคุยทักทายตามมารยาทแล้วดูจากการพูดคุย สายตาจิกๆ และอาการอ้อนแอ้น อรชรผิดจากชายแท้ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกเสียวๆข้างหลังขึ้นมาจึงไม่กล้าไปคุยอะไรกะแกมากกลัวจะเป็นยอดชาย 555

ทริปนี้สตีฟและทีมงานอีกสามคนจะพาพวกผมและลูกทัวร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนโรงเรียนภาษาที่นี้อีก 21 คนเดินทางไปบรัสเซลส์ โดยเท่าที่ทราบมาไกด์ของเราก็พอไว้ใจได้ครับเพราะนี้เป็นครั้งที่สี่แล้วที่พาลูกทัวร์ไปเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องช็อคโกเเลต เบียร์และสัญลักษณ์เด็กยืนเยี่ยว!

สองอย่างแรกนั้นขึ้นชื่อมานานและผมพอจะทราบอยู่บ้างแล้ว แต่ไอ้อันหลังสุดนี่ทำให้ผมไม่เข้าใจตุ้ม และอยากรู้มากจริงๆว่าทำไมผู้คนมากมายถึงได้ยอมเสียเงินเสียทองไปดูรูปปั้นเด็กยืนฉี่...

Day 1 ของผมนั้นสนุกตั้งแต่ด่าน Immigration จากอังกฤษไปเบลเยี่ยมครับ เนื่องจากว่าหนึ่งอาทิตย์หลังถ่ายรูปทำวีซ่าเสร็จดันนึกสนุกอยากเป็นหนุ่มเกาหลี ควักกระเป๋ายอมเสียเงิน 60ปอนด์ไปดัดผมที่ร้านบาร์เบอร์กิมจิแถวๆบ้าน แต่ปรากฏว่าทรงที่ออกมาดันเป็นหยิกหยอยกว่าที่คิด และหลายๆคนบอกว่าหน้าเปลี่ยนไปพอสมควรกับทรงผมคุณป้า (หลายคนว่าอย่างนั้น เสียเซลฟ์+เซ็งมากกก)
คุณพี่ Immigraionคนนี้มองรูปใน Passport และหน้าผมอยู่ร่วมๆนาที จึงลุกออกมาจากเคาท์เตอร์พร้อมค้นตรวจผมราวกับว่าผมเป็นผู้ต้องสงสัยยังไงยังงั้น รื้อหมดครับ กระป่งประเป๋า และค้นตัวยังกะผมเป็นพวกค้ายา โชคดีที่ว่าผมไม่มีอะไรที่ผิดกฏหมาย แกก็ยังไม่วายครับขอเช็คตั๋วขากลับ (Return Ticket) ผมจึงต้องตะโกนเรียกขวัญให้เรียกอีนางสตีฟมายืนยันนอนยันว่าผมเป็นหนึ่งใน กรุ๊ปทัวร์แกและจะกลับมาอังกฤษแน่นอนภายในสองวัน

สองนาทีผ่านมา คุณเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ยอมปล่อยผมให้ขึ้นรถไฟแต่โดยดีครับ โดยขวัญ จีจี้ และพี่บุปผา ยืนมองผมด้วยความเป็นห่วง ปนรอยยิ้มแอบขำเล็กน้อย

ยังไงฝากไว้นะครับว่าอย่าไปทะลึ่งเปลี่ยนทรงผมก่อนออกนอกประเทศ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็ขอให้เปลี่ยนที่ไม่ต่างจากทรงเดิมของคุณมาก ถ้าไม่อยากเจอปัญหาอย่างผม ^_^

เราใช้เวลาในการเดินทางหนึ่งชั่วโมงเศษๆครับจากลอนดอนสู่บรัสเซลส์ และทันทีที่ลงจากรถไฟไกด์ก็พาผมและคณะลูกทัวร์ไปวางกระเป๋าที่โรงแรม Husa Hotel โรงแรมระดับ 4 ดาว ที่แม้จะออกจากตัวเมืองไปสักเล็กน้อย แต่ขอบอกว่าโรงแรมดีกว่าที่ผมคาดหวังเอาไว้เยอะทีเดียว

เราไม่รอช้าครับ จัดการข้าวของสัมภาระและออกเดินทางมุ่งสู่ใจกลางเมืองเพื่อชม จัตุรัสกรองด์พลาส (Grand Place) สถานที่ตั้งของศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์อันเลื่องชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่สวยงามมากที่สุดในยุโรป

ที่แห่งนี้เองผมได้พบรูปปั้นเด็กชายตัวน้อยๆ ที่กำลังยืนฉี่พร้อมกับรอยยิ้มอันไร้เดียงสาซึ่งรู้จักกันในนาม ‘แมนเนคิน ปิส’ ราษฎรผู้อาวุโสที่สุดของเมืองบรัสเซลส์ (Manneken Pis, The Oldest Citizen of Brussels) ซึ่งถือเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด
ผู้คนมากมายครับยืนรอ ต่อคิวกันถ่ายรูปปั้น ‘เด็กเยี่ยว’ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขณะเดียวกันไกด์ของเราก็เริ่มทำงานโดยเริ่มบรรยายที่มาที่ไปของรูปปั้นแมนเนคินน ปิส...

ปล.วันนี้เนื้อที่มีน้อย ขอติดค้างไว้ฉบับพรุ่งนี้นะครับ ผมจะพาไปรู้จักที่มาที่ไปของไอ้เด็กเยี่ยวที่ว่า พร้อมทั้งเรื่องราวการได้พบเพื่อนใหม่ในทริปชาวตุรกี และความเห็นของเค้าที่มีต่อทีมชาติตุรกีในทัวร์นาเมนต์ยูโร2008 ส่วนวันนี้ฝากรูปที่ถ่ายมาเล่าเรื่องต่อแทนแล้วกันครับ

Monday 16 June 2008

กลุ่ม A นัดสุดท้าย: ฝอยทองโชว์ห่วย แอนด์ ไก่งวงดวงเฮง


รอบแรกนัดสุดท้ายของยูโร กลุ่มเอ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมต้องจำนน ยอมพำนักพักกาย ดูบอลคู่ สวิส-โปรตุเกส ตุรกี-เช็ก ที่บ้านครับ หาใช่ที่ผับเหมือนอย่างเคย เนื่องจากข้อเท้าพลิก บวมปูดอย่างแรงจากการเตะฟุตบอลที่พาร์คแถวบ้าน ทำให้พลาด+เสียรายได้ จากการไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารไทยในคืนวันเสาร์ และอดซ่าออกจากบ้านในวันอาทิตย์ ถือเป็นช่วง ราหูเข้า อย่างแท้จริงสำหรับหนุ่มวัยย่างเจ้าเบญเพศในปีนี้อย่างผม T.T

อย่างไรก็ดีครับ ข้อดีประการนึงจากการออกไปไหนไม่ได้ครั้งนี้ก็คือ ผมสามารถชมฟุตบอลทั้งสองคู่นี้ได้พร้อมๆกัน โดยจอนึงจากทีวีในห้องรับแขกที่บ้าน อีกจอนึงจากแล็ปท็อปตัวเก่งของผมเอง
คู่หลักที่ผมเลือกดูนั้น คือคู่ ตุรกี-เช็กครับ เนื่องจากทั้งสองทีมต้องแย่งกันเป็นที่สองของกลุ่ม หลังโปรตุเกสตีตั๋วจองรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปก่อนใครเพื่อน

ฟุตบอลคู่นี้ ผมยกให้เป็น แมตช์ออฟเดอะทัวร์นาเมนต์ ไปเรียบร้อย แม้การแข่งขันจะยังอยู่ในรอบแรกก็ตาม เนื่องจากส่วนตัว ไม่เชื่อครับว่าจะมีคู่ไหน ‘หักมุม’ ได้เท่านี้อีกแล้ว...

นี้เป็นครั้งที่สองในรอบ 4 วันแล้วครับที่ลูกทีมของ ฟาติห์ เตริมโดนออกนำไปก่อน แต่สามารถ คัมแบ็ก กลับมาชนะคู่แข่งได้ โดยก่อนหน้านั้นก็โดนสวิตเซอร์แลนด์เจ้าภาพที่เล่นได้ประทับใจแฟนบอลทุกนัด ออกนำไปก่อน 1-0 และจวนเจียนๆจะยิงลูก สอง สาม สี่ แต่ทำไม่ได้ จนในที่สุดแข้งพลังเติรก์ ก็โชว์จิตใจที่แข็งแกร่งกลับมายิงสองประตูรวดเอาชนะเจ้าถิ่นไปได้อย่างเจ็บแสบ

เกมนี้ ก็เช่นเดียวกัน ในการพบกับเช็กของ คาเรล บรูคเนอร์ ซึ่งวางหมากมาได้ดีเหลือเกินโดยเฉพาะช่วง 60นาทีแรกของเกม โดยครั้งนี้กลับมาใช้ จุดแข็งที่สุดของตัวเองอย่างเคยด้วยการให้ ไอ้ยักษ์ ปลักถึก อย่าง แยน โคลเลอร์ มาเป็นหอคอยเดี่ยวสูงตระง่าน ใช้ความสูงใหญ่ กดดันหลังตุรกี และแผนแรกของ ขรัวเฒ่าชาวเช็กก็ออกหมัดทำคะแนนได้ก่อนเมื่อ โคลเลอร์เข็กลูกถนัดเข้าไป 1-0

ลูกบอมบ์จากด้านข้างของเช็กเกมนี้ดูจะมีการตระเตรียมกันมาเป็นอย่างดีครับ และทิ้งช่วงห่างเป็น 2-0 เหมือนเป็นการเบิกทางสู่รอบ เซมิ-ไฟนอล กลายๆได้อีกด้วย หลัง โรสลาฟ พลาซิล ดาวเด่นจากยูโรครั้งที่แล้วถีบบอลเข้าไป

บรูคเนอร์รวมถึงนักเตะเช็กชะล่าใจเกินไป + คงหลงคิดว่าพวกเติรก์คงถึงคราวสิ้นน้ำยาก็คราวนี้ หารู้ไม่ว่า ‘ทีมสปิริต’ และ จิตวิญญาณนักสู้ของนักเตะตุรกีชุดนี้นั้น แข็งแกร่งเอามากๆ

ผมเองก็ยอมรับครับว่าตอนสกอร์ 2-0 นั้นตัวเองได้กาชื่อตุรกีออกจากรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เพราะก่อนหน้านั้นแนวรับของเช็กที่นำโดยผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกอย่างปีเตอร์ เช็กคุ้มกันอยู่ แนวรับคงปลอดภัยไร้กังวล บวกคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ อย่าง โทมัส อูฟาลูซี่ กัปตันทีม และ เดวิด โรเซห์นัล ก็เล่นได้ไม่ผิดพลาด และดูเหนียวแน่นดีในช่วงก่อนจะโดนตีไข่แตก

อีกอย่าง ใครจะไปเชื่อละครับว่าตุรกีจะกลับมายิงสองประตูรวดได้ ในช่วง 5นาทีสุดท้าย?

เป็นอะไรที่ โคตรจะหักมุมครับ สำหรับตอนจบของเทพนิยายทีมเช็กที่ครั้งนึงเคยเป็นทีมที่เขี้ยวสุดๆทั้งเรื่องของแนวรุกที่ดุดัน และจิตใจที่แข็งแกร่งของนักเตะ โดยเฉพาะในยุดที่มี พาเวล เนดเวดเป็นจอมทัพ แยน โคลเลอร์ และ มิลาน บารอส ยังไม่เลยจุดพีค ในชีวิตค้าแข้ง

มาวันนี้ คงพูดได้เต็มปากแล้วว่าเช็กคงหมดยุคเรืองรองแล้วจริงๆ ...

แนวรับเช็กที่เล่นกันมาดีๆ แต่พอเสียประตูแรกไปเท่านั้น ไม่ทราบว่า ขวัญกำลังใจทำไมมันถึงได้หดหายได้อย่างน่าเหลือเชื่อผิดกับทางฝั่งตุรกีที่โดนนำไปสองลูกก่อนแท้ๆ กลับไม่มีถอดใจให้เห็น

งานนี้ต้องชมทั้งฟาติห์ เตริมและขุนพลนักเตะเติรก์ทุกคน โดยเฉพาะ นิฮัต คาห์เวชี่ ดาวซัลโวสูงสุดจากทีมบีญาร์เรอัล (18 ประตูในซีซั่นที่ผ่านมา) ที่โชว์บุคลิกความเป็นผู้นำด้วยการเล่นอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทตลอดทั้งเกม

ทั้งสองประตูของหัวหอกร่างเล็กในเกมนี้ แสดงคลาสของเจ้าตัวอย่างแท้จริงครับ ลูกแรกนั้นโชว์สัญชาตญาณ เสือปืนไว ทันทีที่ปีเตอร์ เช็ก ทำบอลหลุด ไม่ถึงเสี้ยววินาที นิฮัตก็โฉบเข้ามาถึงบอลแทบจะทันที ขณะที่ลูกสอง ประตูชัยก็ยิงได้คมกริบ + นิ่งมาก และเป็นตัวทีเด็ดของทีมอย่างแท้จริง
ข้อเสียเดียวของตุรกีในเกมนี้ก็คือ การที่ โวลคาน เดมิเรลประตูของทีม ทำอะไรสิ้นคิดด้วยการไปผลักแยน โคลเลอร์จนหงายท้อง และจะโดนแบนสองแมตช์นั้น ถือเป็นความหายนะของทีมก็ว่าได้ครับ เนื่องจากว่า นายเดมิเรลนี่ เหนียวแน่น และโชว์ฟอร์มได้ดีทีเดียวในทัวร์นาเมนต์นี้

สรุปแล้วคู่นี้ เช็กต้องตกรอบไปคงต้องบอกว่าเป็นเพราะความประมาท + เสียสมาธิในช่วงท้ายเกมของพวกเค้าเอง ขณะที่ตุรกีนั้นดวงดีมาแล้วสองเกมติด เกมต่อไปจะต้องพบกับโครเอเชีย ‘ม้ามืด’ ตัวจริงปีนี้ ในรอบเซมิ-ไฟนอล ผมว่าปาฏิหารย์จะไม่เกิดครั้งที่สามแน่นอนครับ

ส่วนโปรตุเกส ที่บิ๊กฟิลจัดทัพแบบสมยอมให้เจ้าภาพสวิสได้มีรอยยิ้มเล็กๆในนัดสุดท้ายนั้น เท่าที่ดูเกมนี้แบบลวกๆ ผมว่าตัวสำรองทีมฝอยทอง ยังไม่เด็ดสะระตี่เท่า ฟลายอิ้งดัตช์แมน ทีมที่ผมขอเลือกฟันธงว่าอย่างน้อยที่สุดจะได้เข้าชิงในปีนี้

ลูกทีมของบิ๊กฟิลนั้น ปัญหาเดียวที่จะทำให้ทีมไปไม่ถึงฝัน อย่างที่เรียนมาตลอดก็คือตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าเพราะทั้ง นูโน่ โกเมส กัปตันทีมหรือ เฮลเดอร์ ปอสติก้า ที่ได้ลงมาสัมผัสเกม โปรตุเกส-สวิส นั้นยังชั้นไม่ถึงและปัญหานี้จะส่งผลแน่นอนกับผลงานในรอบต่อไปของพวกเค้า

สำหรับค่ำคืนนี้ มีเตะสองคู่ ฝรั่งเศษ-อิตาลี และฮอลแลนด์-โรมาเนีย คู่แรกนั้นกระเสือกกระสน ดิ้นรนหาสามแต้มด้วยการทั้งคู่ แต่จากผลงานสองนัดที่ผ่านมา ผมมองแล้วอิตาลีดูดีกว่าเล็กน้อย จึงน่าจะเก็บ 3 คะแนนกู้หน้าแชมป์โลกครั้งล่าสุดได้เสียที

ขณะที่คู่ฮอลแลนด์- โรมาเนีย น่าสนใจว่าลูกทีมของ ฟาน บาสเท่น จะเต็มที่กับเกมนี้ขนาดไหน แต่ลึกๆผมเชื่อว่าพวกเค้าจะเป็นมืออาชีพพอ และจะสยบทีมผีดิบให้กลับไปลงหลุมได้ไม่ยากครับ

Friday 13 June 2008

กลุ่ม A นัดที่สอง: เจ้าภาพไปแล้วหนึ่ง !


ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนฝอยทองครับสำหรับโปรตุเกสหลังจะเอาชนะเช็กไปแบบไม่อยากเย็นสักเท่าไร 3-1

แม้ผมจะทายถูกว่าโปรตุเกสจะชนะทว่า ผิดจากที่ผมคาดการณ์ไว้เล็กน้อยครับหลังหลงไปคิดว่าลูกทีมของ คาเรล บรูคเนอร์น่าจะทำได้ดีกว่านี้และสกอร์ไม่น่าจะขาดเกินหนึ่งลูก

เกมนี้ ก่อนอื่นเลยคงต้องบอกว่าสองนัดที่ผ่านมาแนวรุกโปรตุเกสทำงานได้อย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะ 3จตุรเทพอย่าง เดโก้ โรนัลโด้ และซิเมา

สองรายแรกนั้นยิงไปคนละหนึ่ง และ แอตซิสต์ให้เพื่อนยิงอีกหนึ่ง ขณะที่ ซิเมานั้นก็วูบวาบและเป็นตัวป่วนชั้นดีให้ทีมคู่แข่งสับสน งงงวยว่าจะเลือกประกบคนไหนดี เนื่องจากว่าหากไปรุมหนูโด้สองคน มิดฟิลด์ตัวรุกคนอื่นๆก็จะว่างและมีพื้นที่ในการเข้าทำ

ข่าวดีที่สุดของโปรตุเกสในเกมนี้ก็คือ คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ เริ่มเข้าฝักและเบิกสกอร์แรกได้แล้ว จากนี้ขอให้จับตาชมหนูโด้ให้ดีครับ ผมว่าหมอยอดขมองอิ่มขวัญใจสาวเล็กสาวใหญ่คนนี้แหละ คือผู้ตัดสินชะตาของทีมอย่างแท้จริง หากฟอร์มแกยังแรงไม่มีตก โปรตุเกสน่าจะได้เข้าชิงอีกครั้งในปีนี้....

อย่างไรก็ดีเกมนี้ หลายๆจังหวะคู่เช็นเตอร์ฮาร์ฟ ที่ผมเขียนชมไปคราวที่แล้วอย่างเปเป้ และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ เริ่มออกอาการแกว่งให้เห็น โดยเฉพาะลูกโด่ง และเซตพีช ที่ดูแล้วน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากทั้งคู่เป็นกองหลังที่เชิงดี แต่ไม่เด่นในลูกกลางอากาศ

อีกประเด็นนึงที่น่าจับตามองไม่แพ้ ฟอร์มของหนูโด้และจุดอ่อนในลูกโด่งของทีมก็คือ ข่าวการเช็นสัญญารับตำแหน่งบอสใหญ่ สิงไฮโซ เชลซี ของหลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ที่จะมีผลตั้งแต่1 กรกฏาคมเป็นต้นไป
น่าสนใจมากครับว่า บิ๊กฟิล จะฝากผลงานในระดับนานาชาติทิ้งทวนได้สวยหรูหรือมั้ย หลังเคยพาทีมแซมบ้า บราซิลเถลิงบรรลังค์แชมป์โลกมาแล้วในปี 2002 รวมไปถึงพาโปรตุเกสเข้าชิงแต่พ่ายให้กรีซ ในยูโร 2004 และได้อันดับที่สี่ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด

ขณะที่เช็ก คู่ต่อกรของทีมแดนฝอยทองในเกมนี้ คงต้องยอมรับสภาพแต่โดยดีว่าพวกเค้าไม่ได้น่ากลัวเหมือนในสมัยที่มี พาเวล เนดเวด เป็นกัปตันทีมอีกแล้ว และอย่างที่เรียนไปครับ การขาดโทมัส โรซิคกี้นั้นส่งผลกระทบเต็มๆกับทัวร์นาเมนต์ของทีม

แยน โคลเลอร์ และ มิลาน บารอส ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งพายามยาก ก็เหมือนจะผ่านจุดพีคของตัวเองไปแล้ว ขณะที่วาชลาฟ สเวอร์คอฟ ‘ไพ่ลับของทีม’ ที่ผมอุตสาห์ไปค้นประวัติมา ก็หายหัวไปไหนไม่รู้ในเกมนี้ และไม่เข้าใจตุ้มจริงๆครับว่าทำไม บรูคเนอร์ ไม่ส่งหมอนี้ลงมา ฮ้วย !

กระโดดข้ามมาที่คู่ สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกา ที่พบกับ ทีมไก่งวงดวงดี เลยแล้วกันนะฮะ : )

เกมนี้ ผมพยากรณ์ไว้ว่า สวิส จะไม่ชนะตุรกี ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดครับ เนื่องจากแนวรุกที่ อเล็กซานเดอร์ ฟราย ไปก็เหมือน ทีมขาดหอกตัวเป้าเข้าทำไปเลย

ครึ่งแรกที่เตะกันกลางสายฝนที่ชุ่มช่ำ และเปียกปอน หวนให้นึกความหลังสมัยที่เตะบอลกับ ‘ใหม่ โมบาย’ เมื่อครั้งที่พี่เค้ายังอยู่ที่อังกฤษครับ เพราะนักเตะทีมไทยยูเค ที่แกคุมอยู่ เตะบอลได้ทุกฤดูกาล และ ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะหนาวเหน็บ เข้ากระดูกสักเท่าไร หรือ ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง น้ำท่วมขังสนาม เต็มไปด้วยดินโคลน เตะทีนี่ ทั้งน้ำและดิน กระเด็นเปรอะเปื้อน เราก็เล่นกันมาแล้ว!

ผมได้แต่ยืนอมยิ้มและเก็บความทรงจำดีๆนี้ไว้ในลิ้นชัก พร้อมหยิบปากกามาจดจังหวะสำคัญๆของเกมนี้ต่อ...

ยอมรับตามตรงครับว่าผมสงสารสวิสเหลือเกิน เนื่องจากพวกเค้าเล่นได้ดี มีลุ้นเพียบแต่ก็ไม่มีแต้มตามเคย ราวกับว่าผู้เขียนบท ตั้งใจจะให้ละครของชาวสวิส เรื่องนี้จบแบบเศร้าเคล้าน้ำตา

ออกนำไปก่อนด้วยนะครับในเกมนี้สำหรับเจ้าภาพ แต่อนิจจาพวกเค้าไม่ เหี้ยมพอที่จะฆ่าคู่แข่งให้ตาย และนำแค่หนึ่งลูกในครึ่งแรก ทั้งๆที่มีจังหวะ ‘ดับชีพ’ ตุรกี นับครั้งไม่ถ้วน

หลายต่อหลายจังหวะ ที่สวิสน่าจะยิงได้ในเกมนี้ โดยเฉพาะในครึ่งแรก มีโอกาส เจ๋งๆ 3 ทีจาก ฮาคาน ยาคิน ที่จังหวะแรกได้สับด้วยอีซ้าย บอลกำลังจะพุ่งเสียบเข้ามุมอยู่แล้ว แต่โกล์ตุรกีในทัวร์นาเมนต์นี้อย่าง โวลคาน เดมิเรล เหนียวบรรลัยพุ่งปัดได้สุดปลายมือ

จังหวะที่สอง วาลอน เบห์รามี่ เปิดเข้ามาจากด้านขวาสุดงาม บอลเลยทุกคนไปหมดแล้ว และเป็น ยาคินคนเดิมครับ แกแปโล่งออกเสาไปอย่างน่าเข็กกะโหลก ! จังหวะต่อมาที่น่าจะได้ประตูก็คือลูกฟรีคิกจาก บาร์เน็ตต้านั้นปั่นบอลโค้งจะเข้าอยู่แล้วครับ แต่เป็น นายเดมิเรล ทวารด่านสุดท้ายจาก เฟเนอร์บาห์เช่ เซฟได้อย่างเหลือเชื่อ

เมื่อกองทัพของท่านนายพล ผู้เจนจัดในสนามรบที่เชี่ยวรากอย่างฟาติห์ เตริม รอดพ้นการโดนฝัง และทัพไก่งวงของเค้ายิงประตูตีเสมอคัมแบ็กสู่เกมได้ โมเมนตั้มทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ขวัญกำลังใจของทีม แท็กติกส์การแก้เกมที่เหนือกว่า + โชคเล็กๆ กับลูกประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ฯลฯ

ทั้งหมดที่กล่าวมาในวันนื้ถือเป็นบทเรียนแสนแพงของโคบี้ คูห์นและนักเตะสวิตเซอร์เลนด์ รวมไปถึงเป็นกรณีศึกษาของทีมอื่นๆในยูโรครั้งนี้ครับ ว่าเมื่อมีโอกาสต้อง ฆ่าให้ตาย อย่าปล่อยให้คู่แข่งลอยนวล...

สำหรับค่ำคืนนี้ กลุ่ม C ‘กรุ๊ป ออฟ เดธ’ จะลงเตะนัดที่สอง คู่แรก อิตาลี-โรมาเนีย แม้ว่าลูกทีมของโรแบร์โต้ โดนาโดนี่จะแพ้เละมาจากนัดที่แล้ว แต่ผมเชื่อครับว่าด้วยศักดิ์ศรี แชมป์โลกครั้งล่าสุด +สถานการณ์ที่หลังพิงฝาแบบนี้ พวกเค้าจะคัมแบ็คกลับมาได้ 3 แต้มสำหรับอิตาลี

ส่วน คู่ที่สองฮอลแลนด์นั้นแรงเกินห้ามใจในนัดที่ผ่านมา จะชนะฝรั่งเศษที่มีตัวดีๆเยอะแต่โค้ชจัดทีมค่อนข้างปอดแหกอย่างได้อย่างสบาย ไร้กังวลครับ

Wednesday 11 June 2008

"กรุ๊ป ออฟ เดธ" นัดแรกพลิกล็อกกระจาย


ช็อกตาตั้งครับกับผลการแข่งขันของกรุ๊ป C "กลุ่มแห่งความตาย" ที่ฝรั่งเศสทำได้แค่เสมอกับโรมาเนีย และฮอลแลนด์ไล่ถลุงอิตาลีไปสบาย Teen 3-0

ก็จะซะอะไรอีกละครับ ก็เพราะผมดันทะลึ่งไปทำนายว่าขุนพลแดนตราไก่จะเฉือนผีดิบได้ และกังหันลมกินมะกะโรนีไม่ลง !

หมดข้อแก้ตัวจริงๆ สำหรับคราวนี้เพราะเหนือความคาดหมายของผม โดยเฉพาะคู่ฮอลแลนด์ที่เจ็บไป ก็หลายตัว แต่เล่นกันได้เทพมากสำหรับลูกทีมของ มาร์โค ฟาน บาสเท่น สกอร์ไลน์ 3-0 บอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าประตูแรกของ รุด ฟาน นิสเตลรอยจะเกิดจากความผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยของปีเตอร์ ฟรอจด์เฟลด์ท ผู้ตัดสินชาวสวีเดนก็ตาม...

แต่รูปเกมทั้งหมดก็อย่างที่เห็นกันนะครับว่า คนละชั้นเลย ไม่น่าเชื่อจริงๆ ครับว่าอิตาลีผู้มีศักดินาเป็นถึงแชมป์โลกครั้งล่าสุดกลับเล่นได้อ่อนปวกเปียกขนาดนี้ โดยนี่ถือเป็นการพ่ายแพ้ครั้งยับเยินที่สุดนับในรอบ 38 ปี หลังก่อนหน้านี้เคยพ่ายหมดรูปให้ แซมบ้า บราซิลไป 4-1 ในฟุตบอลโลกปี 1970

ผมพยายามนั่งคิดหาสาเหตุว่าทำไมอิตาลีถึงเละได้เยี่ยง นี้ ?

ตัวผู้เล่นก็ดี โอกาสก็ใช่ว่าจะไม่มีในเกมนี้ โอกาสสองครั้งเห็นๆจากปิลโล่ ครั้งแรกโดน ฟาน บรองค์ฮอร์สต์ เคลียร์ออกจากเส้น ส่วนครั้งที่สอง ได้ส่องฟรีคิกของโปรดแต่โดนซูเปอร์เซฟของ คุณน้าเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ที่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด และตอกย้ำคำกล่าวที่ อายุเป็นเพียงตัวเลข (อันนี้ขอยืนยันเพราะว่าตอนนี้แอบหลงรักเด็ก! อิอิ)

หรือว่าการเสีย คันนาวาโร่ไปก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ทำให้กำแพงกรุงโรมไม่แข็งแกร่งทนทานแบบเดิม ?
ส่วนนึงคงต้องบอกว่าใช่ครับ การขาด คันนา ไปเสียหายไม่น้อยในการเตรียมทีมของโรแบร์โต้ โดนาโดนีขณะที่อีกสาเหตุนึงที่พอจะคิดได้ก็คือ ฮอลแลนด์นั้นดีเกินกว่าอิตาลีจะหยุดพวกเค้าจริงๆ

นัดที่ผ่านมา เล่นแบบนี้ แถวบ้านเรียก ราศีแชมป์จับครับ

แม้ว่ากองหลังยังดูหลวมอยู่บ้างใน หลายจังหวะ แต่ไล่จากกลางถึงหน้าต้องบอกว่า โดดเด่นไฉไล ไม่แพ้แนวรุกสุดจี๊ดของโปรตุเกสเลย โดยเฉพาะแผงกองกลางอย่าง ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ต และ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ ที่ช่วยกันสร้างสรรค์และคุมจังหวะของเกม ได้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ

กองหน้าตัวเป้าอย่าง รุด ฟาน ก็เก๋าและน่ากลัวเหมือนเคยครับ สำหรับบทบาทหัวหอกเดี่ยวทะลวงฟัน แต่ไม่เดียวดายในเกมนี้ เพราะฮอลแลนด์ชุดนี้กลับมาเล่น Total Football ที่ขึ้นชื่ออีกครั้งในทัวร์นาเมนต์นี้

ผู้เล่นทุกตำแหน่งในทีม เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา และรู้จังหวะจังโคนการขึ้น-ลง อย่างเป็นระบบแบบแผน ซึ่งถูกเตรียมการไว้อย่างดีโดย เพชฌฆาตพรายกระซิบ ฟาน บาสเท่น ที่รับเครดิตจากทุกฝ่ายไปเต็มๆ

ผมก็ขอปรบมือดังๆ ให้ฮอลแลนด์ครับ ที่เล่นได้เอนเตอร์เทนคนดูได้มากเหลือเกินในเกมนี้

ผิดกับอีกคู่ในสายเดียวกันที่ จืดสนิท ดูแล้วเกือบหลับคาทีวี! ว่าจะไม่พูดถึงแล้วนะฮะ บอกตรงๆ แต่อดไม่ได้จริงๆ สำหรับฟอร์มของฝรั่งเศส ที่เล่นราวกับว่านักเตะแต่ละคนพึ่งลงซ้อมด้วยกันเป็นครั้งแรก

ความเข้าใจ เข้าขา ของนักเตะตราไก่ชุดนี้ แทบไม่มีให้เห็นครับ โดยเฉพาะคู่กองหน้าคาริม เบนเซม่า และ นิโกล่าส์ อเนลก้า ที่ต่างคนต่างเล่นประสานงานกัน แทบจะนับครั้งได้เลย

คนหลังนี่ ถือว่าน่าผิดหวังมาก สำหรับ อเนลก้าที่ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการลงสนาม เพราะเธียร์รี่ อองรี ยังฟิตไม่พอ แต่เจ้าตัวซึ่งฟอร์มรูดต่อเนื่องนับตั้งแต่มาย้ายมาเชลซี ก็น่าจะฉกฉวยโอกาสไว้แต่กลับทำไม่ได้ เชื่อได้ครับว่าหากเฮียแหนม ฟิตเมื่อไร เราคงได้เห็นอเนลก้านั่งสำรองยาวแน่ๆ

หลายท่านอาจสงสัยอองรีในวัยขึ้นเลข 3 จะกลับมาพีกได้อีกหรอในทัวร์นาเมนต์นี้?

ลึกๆแล้วผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกครับ แต่อย่างน้อย ณ สถานการณ์ตอนนี้ทีม เลส์ เบลอส์ ต้องการ Creative Forward หรือกองหน้าที่สามารถสร้างสรรค์เกมได้อย่างแรง และประการที่สอง นักเตะหลายคนดูขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะ ฟรองค์ ริเบรี่ ที่ดูจากสีหน้านั้นกดดันเหลือเกินกับ ความหวังของคนทั้งประเทศที่ฝากไว้กับหนุ่มหน้าบากคนนี้

ดังนั้นการที่จะมีอองรีเข้ามาแบ่งเบา ภาระในแนวรุก ริเบรี่ก็น่าจะมีอิสระในการเล่นมากขึ้นครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่ เรย์มงด์ โดเมอเน็คด้วยครับ ว่าจะปรับเปลี่ยนแท็กติกส์ให้ทีมกล้าบุก กว่าที่เป็นอยู่มั้ย ไม่ใช่ว่าสั่งให้ลูกน้องในทีมที่มีพรสวรรค์หลายราย เล่นแบบค่อนข้างจำกัดบทบาท และไม่ได้ดึงศักยภาพที่ดีที่สุดของแต่ละคนออกมา...

ข้ามมาพูดถึงโรมาเนียคู่ต่อกรของฝรั่งเศส ในเกมนี้บ้างดีกว่า ซึ่งนัดนี้ลูกทีมของวิคเตอร์ ปิตูร์ก้าเล่นได้แบบ ไร้แรงกดดัน เนื่องจากถูกมองว่า อ่อนสุดในสาย ดังนั้นเกมนี้พวกเค้าจึงเล่นได้แบบ ไม่มีอะไรต้องเสีย และก็ทำได้ดีเสียด้วยสิครับ โดยเฉพาะในแง่ของ ทีมเวิร์กที่ทำเอาฝรั่งเศส รองแชมป์โลกคงอายม้วน

ไม่แน่เหมือนกันนะครับ ในเกมถัดไป หากอิตาลียังกู่ไม่กลับ โอกาสที่ผีดิบ โรมาเนียจะเข้าไป หลอกหลอน ทีมอื่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายก็ยังพอมีเหมือนกันหลังเก็บ 1 คะแนนมาตุนในกระเป๋าได้ในเกมแรก ขวัญและกำลังใจจึงน่าจะฮึกเหิมพอดู

สรุปสถานการณ์ กรุ๊ป ออฟ เดธ ในวันแรก ฮอลแลนด์นั้นฟอร์มแบบนี้ ได้ลุ้นเข้ารอบไปยาวๆเลยครับ ส่วนอีกสามที่เหลือนั้นคงได้แค่ลุ้นเป็นที่สอง

สำหรับคืนนี้ กลุ่ม A จะลงเตะเกมที่สอง คู่แรก เช็ก-โปรตุเกส ผมยังเชื่อใจโปรตุเกสครับแม้ว่า โอกาสเสมอจะสูง ขณะที่อีกคู่ ตุรกีแพ้มาในเกมแรก เจอเจ้าภาพสวิส ที่แพ้มาเช่นกัน เกมนี้เตะกัน เลือดสาดแน่นอน แต่การที่ขาด อเล็กซานเดอร์ ฟราย กองหน้ากัปตันไป ยวบไปเยอะครับ

โอกาสจะเสมอนั้นพอมี แต่ชนะนั้นบอกตามตรงครับว่าค่อนข้างลำบาก

Monday 9 June 2008

ยูโร 2008 แค่วันแรกก็มันแล้ว


ผ่านไปแล้วครับ สำหรับยูโร 2008 คู่เปิดสนามในวันแรก โดยผลการแข่งขันที่ผมทำนายเอาไว้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เจ้าภาพไม่น่าจะเสียทีให้เช็ก และ โปรตุเกสจะเก็บ3คะแนนแบเบอร์ นั้น ปรากฏว่าทายผิดไปในคู่แรกแต่ถูกในคู่หลัง

คู่สวิตเซอร์แลนด์-เช็กนั้นบอกตามตรงครับว่ายังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไรเนื่องจากส่วนตัวนั้นมองว่าอย่างน้อยๆขุนพลจากแดนนาฬิกาน่าจะเก็บได้สัก 1คะแนนในเกมนี้ แต่ด้วยตัวแปรหลายๆอย่างในเกมนี้ อย่างเช่น การบาดเจ็บของอเล็กซานเดอร์ ฟราย หัวหอกตัวความหวังของทีม เซฟระดับเวิลคลาสของปีเตอร์ เช็กอย่างน้อย2-3 จังหวะที่ช่วยทีมไว้ หรือ ลูกซ้ำจ่อๆของโยฮัน โฟนลานเธน ตัวสำรองหมายเลข 22 ดันทะลึ่งยิงจ่อๆไปจูบคาน ฯลฯ ทำให้ผลการแข่งขันออกมาอย่างที่เห็น แต่นี้แหละครับเสน่ห์ของฟุตบอลลูกกลมๆซึ่งยากเหลือเกินที่จะคาดเดา

เกมโดยรวมนั้น แม้ว่าเช็กจะได้เปรียบอยู่หน่อยๆ เนื่องจากนักเตะส่วนใหญ่ในทีมมีเทคนิค + ประสบการณ์ในเกมระดับนี้ที่มากกว่า แต่สวิตเซอร์แลนด์เองก็สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีเจ้าภาพครับ โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่บี้จนนักเตะเช็กเองก็ออกลูกเป๋ให้เห็นเหมือนกัน

ดีที่ว่าจังหวะที่ควรยิงได้พวกเค้าก็ไม่พลาด...อีกอย่างก็คือต้องชม วาคลาฟ สเวร์กอส คนยิงที่วางเท้าได้ดี และไม่มีประหม่าในจังหวะนี้

ประตูแรกของยูโร 2008.....วาคลาฟ สเวร์กอส

ใครกันว้า ไอ้โล้นนี้ ? หลายๆท่าน อาจสงสัย บอกตามตรงเลยครับว่าผมก็ไม่เคยรู้จักมักจี่ หรือเห็นฟอร์มหมอนี้มาก่อนเลยสาบานได้ ^^

แต่อย่างน้อย นายสเวร์กอส คนนี้ก็คือผู้เปิดซิงประตูแรกของทัวร์นาเมนต์นี้ ดังนั้นวันนี้มาทำความรู้จักเค้าแบบผิวเผินกันสักหน่อยดีมั้ยครับ ?

นาย สเวร์กอส รายนี้ เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษจิกายน ปี 1983 ปัจจุบันอายุ 24 ครับ ปัจจุบันเจ้าตัวเล่นอยู่กับทีม บานิค ออสตราว่า โดยก่อนหน้านี้เคยมาค้าแข้งในลีกเยอรมันกับทีม โบรุสเซีย มึนเช่น กลัดบัค และ แฮร์ธ่า เบอร์ลินช่วงสั้นๆระหว่างปี 2003-2007 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายเลยต้องกลับไปเล่นกับ บานิค อีกครั้งในฤดูร้อนปี 2007 โดยคราวนี้ลงไป 24 นัด ยิงได้ 15 ประตู ทำให้ฟอร์มฮอตที่ว่า ไปเตะตาโค้ช คาเรล บรุคเนอร์ เข้าเต็มๆเลยเรียกมาติดทีมชุดลุยศึกยูโร ในครั้งนี้ แบบช็อกทั้งเจ้าตัว และแฟนบอลพอสมควร
รวมแมตช์นี้เข้าไป เชื่อมั้ยครับว่า สเวร์กอส พึ่งจะติดทีมชาติเป็นนัดที่ 3! ไม่แน่เหมือนกันครับ หมอนี้อาจเป็น ‘ไพ่ลับ’ ของทีมชาติเช็กชุดนี้ก็เป็นได้ เพราะการได้รับความไว้วางใจให้สวมหมายเลข 10ทั้งๆที่เป็นทัวร์นาเมนต์แรกของเจ้าตัว รวมไปถึงการเบียด มิลาน บารอส ดาวซัลโวจากยูโร ครั้งที่แล้วไปเป็นหัวหอกเบอร์สามในทีมได้ เจ้าตัวก็น่ามีดีไม่น้อยเหมือนกัน

อันนี้เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ....

สำหรับสวิตเซอร์แลนด์เจ้าภาพร่วมที่อกหักตั้งแต่นัดเปิดสนาม ผมมองว่างานของกุนซือ โคบี คูห์น ซึ่งประกาศว่าจะลงจากตำแหน่งหลังจบทัวร์นาเมนต์นี้ ถือว่าหนักหนาสาหัสมาก โดยเฉพาะโจทย์ที่ว่า จะหาใครมาแทนตำแหน่ง อเล็กซานเดอร์ ฟราย กัปตันทีม ที่เอ็นหัวเข่าฉีก หมดสิทธิ์ลงเล่นนัดที่เหลืออยู่
หลายๆตำแหน่งดูยังไม่ค่อยลงตัว ศักยภาพของผู้เล่นก็มีค่อนข้างจำกัด ฯลฯ

ลำบากครับ สำหรับโอกาสเข้ารอบต่อไปของสวิสฯ ในมุมมองของผม เพราะอีกสองทีมอย่าง โปรตุเกสและตุรกี ก็ไม่ได้แข็งน้อยไปกว่าเช็ก

โอกาสจะชนะโปรตุเกสนั้นแทบจะเป็นศูนย์เลย เพราะฟอร์มของทีมแดนฝอยทองนั้น เฉิดฉาย และดูวูบวาบน่ากลัวตั้งแต่นัดแรกที่เชือดตุรกีไปนิ่มๆ 2-0

กองหลังที่มี ริกกี้ คาร์วัลโญ่ จับคู่กับเปเป้นั้นดูแน่นใช้ได้ แบ็คซ้าย-ขวา อย่างแฟร์ไรร่า&โบซิงว่าก็มีความไว และไม่ค่อยผิดพลาด โดยเฉพาะ รายหลังสุดที่แฟนของเชลซีคงจะยิ้มกันหน้าบานกับฟอร์มของแบ็คขวาตัวใหม่ของพวกเค้า เนื่องจากเล่นได้สะเด่าเร้าใจมากๆ

โปรตุเกสชุดนี้ไล่จากกลางไปถึงหน้าถือว่าจัดจ้าน และตัวตาย ตัวแทนกันก็ค่อนข้างเยอะ จะมีก็แต่ กองหน้าตัวเป้าอย่างที่เรียนไปคราวที่แล้วครับว่า ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร

อีกสิ่งนึงที่น่าหวั่นใจของทีมโปรตุเกสชุดนี้ก็คือเรื่อง ข่าวนอกสนามของโรนัลโด้กับรีลมาดริด และ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ที่มีข่าวกับเชลซี

กลัวว่าจะเสียสมาธิกันทั้งโค้ชและสตาร์ตัวเอ้ของทีม หลังสื่ออังกฤษยังพยายามขยันสร้างข่าวออกมาไม่หยุดหย่อน ..

สรุปภาพรวมกลุ่ม A ถึงตอนนี้ โอกาสที่โปรตุเกสจะเข้ารอบนั้นค่อนข้างใสครับหลังเก็บ 3 แต้มในเกมแรกได้ อยู่ที่ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหนมากกว่า ขณะที่เช็กกับตุรกีนั้นคงจะต้องแย่งกันเข้ารอบสองแบบได้ลุ้นกันสนุก
ส่วนเจ้าภาพสวิตเซอร์แลนด์ หากแม้นว่ามีอันจะต้องตกรอบแรกไป แต่ถ้าเล่นได้สนุก+ น่าลุ้นอย่างนัดที่ผ่านมา ผมเชื่อมั่นว่าแฟนบอลสวิสฯ จะลุกปรบมือให้สปิริตความเป็นนักสู้ของทีม ด้วยความเต็มใจ...

สำหรับค่ำคืนนี้ กรุ๊ป C ‘กลุ่มแห่งความตาย’ จะได้ฤกษ์ลงเตะในนัดแรก โดยคู่แรกนั้นผมมองว่าฝรั่งเศษที่มีตัวดีๆในทีมเยอะเหลือเกิน จะเก็บ 3 คะแนนจากโรมาเนียได้ แบบหืดขึ้นคอเล็กน้อย

ขณะที่อีกคู่ ฮอลแลนด์-อิตาลี นั้นเป็นเกมที่ออกได้ทั้งสามหน้า ดังนั้นผมผลเสมอน่าจะยุติธรรมที่สุดสำหรับทั้งสองทีมครับ

Saturday 7 June 2008

ยูโร 96: My best memory about Euro


อาทิตย์ที่ผ่านมา สนามไฮด์พาร์ก ซึ่งเป็นแหล่งนัดเตะบอลทุกบ่ายวันอาทิตย์ของคนไทยในลอนดอน เหงียบเหงา วังเวง ไปไม่น้อยครับ หลังจากโค้ชของทีมไทยยูเค และ พี่ชายที่รักของผม ‘ใหม่ โมบาย’ ได้เดินทางกลับไทย ฟอร์กู้ดเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลา 10ปีเต็ม

จริงอยู่ครับที่ฟุตบอล ณ ไฮด์พาร์กจะยังคงอยู่แต่สิ่งนึงที่ผมและเชื่อว่าอีกหลายๆคน รวมถึง ‘น้าหมาน’ สมาน แสนทวีสุข ผู้ใหญ่อีกคนที่ผมนับถือ คงรู้สึกเหมือนกันก็คือ เราขาดพี่ใหญ่ที่เป็นเหมือนศูนย์กลาง ทั้งคอยกระตุ้นน้องๆในสนาม เป็นแบบอย่างที่ดีนอกสนาม มีน้ำใจกับทุกคน รวมไปถึงสิ่งนึงที่เซอร์ไพรส์ผมสุดๆก็คือการอดีตเสือลอนดอนเริ่มรักษาศีล 5ในช่วงหลังๆ ^_^

เชื่อเป็นอย่างยิ่งครับว่า พี่ใหม่ของน้องๆจะประสบความสำเร็จแน่นอนในทุกเส้นทางที่เค้าจะเลือกเดิน เนื่องจากเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงสูงมาก

กลับมาที่เรื่องฟุตบอลร้อนๆ ของที่นี้กันบ้างดีกว่า

นอกจากข่าวการอุ่นแข้งสองนัดติดของทีมชาติอังกฤษภายใต้การคุมทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่ในช่วงสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านมา ภาพรวมของข่าวฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ ณ เวลานี้ถือว่าค่อนข้างเงียบโดยเฉพากระแส ยูโร2008ที่จะเริ่มบรรเลงแข้งกันแล้วในคืนนี้

สาเหตุหลักๆนั้นก็คงพูดได้เต็มปากว่า แข้งทรีไลออนส์ไม่ได้มีส่วนร่วมกับศึกยูโรครั้งนี้ ในขณะที่บรรยากาศเคาท์ดาวน์ยูโรครึกครื้นสุดๆในหลายประเทศทางแถบยุโรป รวมไปถึงพี่ไทยของเราที่ไม่เคยเหงาจากการชมฟุตบอลต่างประเทศ...

อย่างน้อยที่สุดคนไทยก็คงได้ผ่อนคลายกันบ้างจากความตึงเครียดของการเมือง และ เศรษฐกิจ ที่ทำถ้าว่าจะบานปลายไม่จบลงง่ายๆ

แม้จะดึกไปสักหน่อย แต่คุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอนครับ !

สำหรับผมแล้วฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโรฯ ที่เราเรียกกันจนติดปาก ที่รู้สึกว่าตัวเองได้ติดตามเป็นครั้งแรกก็คือ ยูโรปี 96 ซึ่งในตอนนั้นจำได้แม่นครับว่าตัวเองเริ่มบ้าบอลแบบจริงๆจังๆ

การที่ตามเชียร์สเปอร์สในช่วง ‘น้าหมี’เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม ‘ฉลามขาว’เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ นิกกี้ บาร์มบี้ ดาร์เรน แอนเดอร์ตันเป็นแกนนำในทีม + การที่ยังไม่มีทีมชาติให้ตามเชียร์ (นอกจากทีมชาติไทยที่ตามบ้างไม่ตามบ้าง) จึงหันซ้ายแลขวา ไม่รู้จะเชียร์ทีมอะไร เลยเลือก ‘ทีมสิงโตคำราม’ อังกฤษนี้แหละครับ โทษฐานที่มีขวัญใจผมอย่าง เชอร์ริงแฮม และ ‘ปีกกระดูกยุง’ แดซซ่า ติดทีมในยุคของ ‘มิสเตอร์ทีวี’ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ เป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

อังกฤษที่เป็นเจ้าภาพในปีนั้น ถือว่าเป็นชุดที่ดีที่สุดชุดนึง เมื่อพวกเค้าสามารถลบเสียงวิพาษ์วิจารณ์ที่อดไปบอลโลกปี 1994 ที่อเมริกา ได้ด้วยการเล่นฟุตบอลที่สนุก และน่าดู น่าลุ้นแทบทุกนัด โดย ‘ไฮไลต์’ ที่จำได้แม่นที่สุดก็คือแมตช์ อังกฤษ-สกอต์แลนด์ ในรอบแรกที่พอล แกสคอยน์ กระดกบอลด้วยเท้าซ้ายข้ามหัว โคลิน เฮนรี้ แล้ววอลเลย์ด้วยขวาเข้าแบบเฉียบขาดเข้าไปอย่างสุดสวย

ประตูของแกซซ่าลูกนี้ กับเกมที่อังกฤษถล่มฮอลแลนด์ไป 4-1 ที่หัวหอก S&S เชียร์เรอร์ แอนด์ เชอร์ริงแฮม ยิงไปคนละสองตุง ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ถือเป็นแรงบัลดาลใจให้เด็กชายเอกในวัย 13 ขวบช่วงนั้นเริ่มเสพทุกอย่างครับ ที่เกี่ยวกับฟุตบอล ทั้งหนังสือพิมพ์ แม็กกาซีน ทีวี รวมถึง ลงไปบรรเลงแข้งเองที่สนามปูนหมูบ้านราณี2 ถ.ลาดปลาเค้าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในวัยเด็ก และเป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจนถึงทุกวันนี้
โดดลงจากรถโรงเรียนปุ๊บ เด็กชายเอกไม่ทำอะไรหรอกครับ การบ้านหรอไม่เคยทำครับ สาบานได้ ! แฮะๆ (ไปลอกเพื่อนเอาที่โรงเรียนตอนเช้า) ข้าวเย็น ก็ต้องเตะบอลเสร็จก่อน ไม่งั้นกินข้าวไม่ลง และก่อนนอนก็ต้องนี่เลย หนังสือที่เกี่ยวกับฟุตบอลสักเล่ม ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนอย่าง อิโต้ เจ้าหนูสิงห์นักเตะ กัปตันซึบาสะ ยิงประตูสู่ฝัน ฯลฯ

ส่วนรายการฟุตบอลที่เป็นแรงบัลดาลให้ผมในวัยนั้น ก็คือรายการเจาะสนามที่ดำเนินรายการโดย ขวัญใจนักพากษ์ในวัยเด็กของผมอย่าง คุณ ย.โย่ง เอกชัย นพจินดา ที่จะออกอากาศทุกวันเสาร์

เรียกได้ว่า เช้า สาย บ่าย เย็น หายใจเข้าออกเป็นฟุตบอล ขนาดนั้นเลยทีเดียว :)

สำหรับชื่อคอลัมน์ที่เปลี่ยนเป็นจาก Viva London เป็น Euro from UK ชั่วคราวตลอดเดือนมิถุนายนนี้ ก็เพราะอยากจะให้ กลมกลืนกับ ‘ธีม ยูโรฯ’ส่วนใหญ่ของหนังสือ ที่จะนำเสนอข่าวสาร ข้อมูล ก่อนและหลังเกม แบบอัดแน่นด้วยคุณภาพ+เรื่องราว สดๆจากพี่ท็อป และพี่โด้จากขอบสนาม

ส่วนผมเองจะพยายามหามุมมองจากเมืองผู้ดีเกี่ยวกับยูโร ครั้งนี้มาฝากกันนะครับ

วันนี้อาจจะนอกเรื่องเยอะไป เนื่องจากยังไม่มีเกมให้วิเคราะห์ หรือ มุมมองแหล่มๆที่อยากจะเขียน เลยเป็นเหตุให้ตามใจตัวเองด้วยการเขียนความประทับใจส่วนตัวมันซะอย่างนั้น อิอิ

แต่สัญญาครับว่าจากนี้จะหา ‘มุม’เจ๋งๆของยูโรมานำเสนอกันแน่นอน

สำหรับคู่เปิดสนามในคืนนี้ ผมค่อนข้างเชื่อว่า สวิตเซอร์แลนด์จะไม่แพ้เช็กครับ เนื่องเจ้าบ้านไม่น่าจะเสียที ตั้งแต่นัดแรก ขณะที่เช็กเองแม้จะอัดแน่นด้วยคุณภาพ แต่การขาดโทมัส โรซิกกี้จะส่งผลกระทบเต็มๆครับกับทัวร์นาเมนต์นี้ของพวกเค้า

ขณะที่อีกคู่ โปรตุเกส-ตุรกี ผมเชื่อใจทีมขนมฝอยทอง และฟอร์มเทพของคริสเตียนโน่ โรนัลโด้ครับ แม้ว่าตุรกีจะไม่หมู และหน้าเป้าโปรตุเกสจะไม่คม แต่3 แต้มแน่นอนครับ สำหรับลูกทีมของ หลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ฟันธง !