Tuesday 25 December 2007

เมอร์รี่คริสต์มาส ฟรอม ลอนดอน ครับ



Jingle Bells, Jingle Bells, Jingle all the wayก่อนอื่นคงต้องขอ "เมอร์รี่คริสต์มาส" ท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ บรรยากาศที่ประเทศอังกฤษตอนนี้กำลัง ถือว่าอยู่ในช่วง "มาคุ" เหลือเกินเนื่องเพราะสภาพอากาศ ที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุมเยอะแยะ "ชวนเหงา" และบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า รถราที่คอยอำนวยความสะดวกต่างก็ "พักเบรก" เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ



ปกติแล้วชาวอังกฤษที่นี่จะใช้เวลานี้เลี้ยงฉลองกับครอบครัว หม่ำไก่งวง และมีปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับผมแล้ว ถนนหนทางที่ว่างโล่ง และเงียบเป็นป่าช้าทำให้ออกไปไหนก็ลำบาก และไม่มีครอบครัวให้อยู่ฉลองด้วยเหมือนอย่างเคยกลับทำให้รู้สึกคิดถึงประเทศไทยเราไม่น้อยเลย



อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกับชีวิตนักฟุตบอลอาชีพที่นี่ซึ่งไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดที่จะฉลองเทศกาลอัน สุดพิเศษนี้กับครอบครัวก็น่าเห็นใจพวกเค้าไม่น้อยครับ เนื่องจากต้องมีคิวเตะถี่เหลือเกินในช่วงส่งท้ายปีเก่าต่อยาวไปจนถึงต้นปีหน้าเลย



อย่างนี้ล่ะครับ "ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง" ค่าเหนื่อยมหาศาลที่พวกเค้าได้รับก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเวลาส่วนตัวแบบนี้ไป



สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นปฐมฤกษ์ของโปร-แกรมสุดโหดนั้น ผมไปนั่งชมเกม อาร์เซนอล -สเปอร์ส ที่ผับละแวก Earlžs court กับคุณ "ใหม่ โมบาย" ครับ หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่เนื่องจากผมติดสอบไฟนัล คอร์ส ป.โท ขณะที่คุณใหม่ก็กำลังสนุก และวุ่นอยู่กับงาน และคอร์สโค้ชชิ่งฟุตบอลที่เจ้าตัวเพิ่งไปลงเรียนไว้อยู่



อย่างไรก็ดี "นอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์" แบบนี้ เราทั้งคู่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ
จากที่ดูตัว 11 ผู้เล่นชุดแรกที่ได้เห็น ผมดูแล้วอดหวั่นใจแทน ฮวนเด้ รามอสไม่ได้ครับ เพราะตัวเจ็บในโรงหมอนั้นเยอะมาก ทีมู ไทนิโอ มิดฟิลด์ตัวกลางต้องถูกจับมาเล่นแบ็กขวาจำเป็น เนื่องจากตัวเลือกในตำแหน่งเซ็น เตอร์ฮาล์ฟนั้นนัดกันเจ็บจนต้องไปจับ ปาสคาล ชิมบงด้า ไปเล่นแทน



ขณะที่เจ้าถิ่น อาร์เซนอลในเกมนี้นั้น มาในระบบ 4-5-1 โดยอาร์แซน เวนเกอร์นั้นเน้นแพ็กตัวผู้เล่นในแดนกลางโดยแดนหน้านั้นมี "มือสังหารจากโตโก" เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ยืนค้ำอยู่คนเดียว
นับเฉพาะในลีกก็เป็นเวลา 14 ปี” เต็มๆ แล้วครับที่สเปอร์สนั้นไม่เคยมายัดเหยียดความพ่ายแพ้ให้แก่ทีมปืนโตในบ้านได้เลย ส่วนตัวแม้จะเป็นแฟนสเปอร์สแต่ก็เจียมเนื้อเจียมตัวในเกมนี้เป็นอย่างดี และก็ได้บอกกับคุณใหม่ครับว่า "สเปอร์สโดนแน่นอนเกมนี้"



สกอร์ที่ออกมากนั้นถือว่า ไม่พลิกโผจากที่ผมคิดเท่า ไรครับ เนื่องจากว่าไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าทีมน้องไก่ที่พิการไปซะเยอะในแผงหลังจะต้านแนวรุกมหาประลัยที่มีการเข้าทำน่ากลัวเป็นอันดับต้นๆ ของลีกได้ (ณ นาทีนี้ ผมยกให้แมนฯยูฯเป็นทีมที่มีแนวรุกน่ากลัวที่สุดครับ)



แต่หากมองรูปเกมแล้ว นัดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่สเปอร์ส "ไม่มีเทพีแห่งโชค" ยืนอยู่ข้างๆ ครับ เพราะแม้ชื่อ ชั้น และคลาสนักเตะหลายรายจะเป็นรองขุนพลเดอะกันเนอร์ส แต่พวกเค้าก็สู้ได้สูสีได้อย่างที่สุดแล้วนับตั้งแต่ยุคของ เดวิด พลีท, จอร์จ เกรแฮม, เกลน ฮ็อดเดิ้ล, ฌัคส์ ซองตินี่ และมาร์ติน โยล เป็นต้นมา
การพลาดจุดโทษของ ร็อบบี้ คีน ในช่วง 20 นาทีสุด ท้ายนั้นถือเป็น "จุดเปลี่ยน" เกมนี้ครับ เพราะขวัญและกำ ลังใจของอาร์เซนอลนั้นคึกอย่างเห็นได้ชัด และเปลี่ยน "โมเมนตัม" ของเกมในที่สุด



เด็กๆ ของอาร์แซน เวนเกอร์ยังโชว์ให้เห็นด้วยว่า แม้ผลงานจะมีดร็อปลงไปบ้างในช่วงที่นักเตะตัวหลักบาดเจ็บ หายหน้าไปจากทีม แต่เมื่อตัวหลักเริ่มทยอยกลับมาพวกเค้าก็ยัง "ยอดเยี่ยม" และถือเป็น "แคนดิเดต" หมายเลข 1 ที่จะท้าชิงบัลลังก์แชมป์ของผีแดงในปีนี้ครับหลังจากทีมอสูรแดงก็เก็บได้ 3 แต้มเต็มเช่นกันในการเปิดบ้านเชือดเอฟเวอร์ตันไปสนุก 2-1



ที่เรียนอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทีมอย่าง เชลซี และลิเวอร์พูลที่ตามอยู่ 6 และ 10 แต้มตามลำดับจะไม่มีสิทธิ์ลุ้นแชมป์นะครับ เพราะเชลซีเดินหน้าเก็บชัยชนะมาเรื่อยๆ และบุกไปเก็บ 3 แต้มจากถิ่น อีวู้ด ปาร์ค ได้แม้ว่าจะยิงได้ไม่เยอะในช่วงที่ขาด "เดอะ ดร็อก" ดิดิเยร์ ดร็อกบา หัวใจแนวรุกไป และอังเดร เชฟเชนโก้ก็อย่างที่เห็นครับว่ายังไงๆ ก็เป็นที่พึ่งในยามยากให้เชลซีไม่ได้แน่นอน



แต่หากว่า อัฟรัม แกรนต์ ตัดสินใจกระโดดเข้าตลาด นักเตะไปคว้าตัว นิโก้ อเนลก้า ที่กำลังยิงระเบิดกับโบลตันในปีนี้ตามข่าวจริงๆ พวกเค้าก็คงเริ่มฝันถึงการเป็น "ตาอยู่" รอสองทีมนำฟอร์มสะดุดบ้าง แล้วอาศัยจังหวะ "ฮึด" ตีคะแนนไล่ขึ้นมาได้แน่



ขณะที่ลิเวอร์พูลที่ตอนนี้อยู่ที่ 5 ตามแมนฯซิตี้ ทีมอันดับ 4 ของ "คุณแม้ว" อยู่ 1 คะแนนนั้น ลึกๆ ผมเชื่อว่า หงส์แดงมีดีพอจะเบียดทีมเรือใบ ที่ไม่น่าจะทนแรงเสียดทานไหวลงได้ในที่สุดโดยมีข้อแม้ว่า พวกเค้าต้องเล่นให้ได้อย่างวันเสาร์ที่อัดปอร์ทสมัธไป 4-1 ไม่ใช่ทรงๆ ทรุดๆ แบบช่วงก่อนหน้านี้



ผมเชื่อครับ แรงกดดันจากบอร์ดบริหารที่เพิ่มเข้าใส่ ราฟาเอล เบนิเตซ จะทำให้ลิเวอร์พูลมีผลงานที่กระเตื้องขึ้นแน่นอน เพราะพวกเค้ามีกองหน้าที่ดีที่สุดในลีก อย่าง เฟอร์นันโด ตอร์เรส อยู่ในครอบครอง
ระบบการหมุนเวียนนักเตะ หรือ Rotation ในช่วงโปรแกรมแบบนี้ก็ต้องถูกเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะร่างกายนักเตะที่ต้องลงเตะแทบจะวันเว้นวันนั้นมีกรอบแน่นอน ขณะที่ตลาดนักเตะในช่วงเดือนมกราคมนี้ก็จะเป็นอีก "แฟกเตอร์" ที่จะพลิกสถานการณ์ของทีม



พรีเมียร์ชิพถึงตอนนี้เล่นกันมาได้ครึ่งทางแล้ว จากนี้ไปทีมใด "พลาด" ก็จะเท่ากับว่ามีสิทธิ์โดนทีมที่จี้ตามมาข้างหลังแซงหน้าไปได้ และความตึงเครียดตรงนี้แหละครับที่จะเป็น "สาเหตุ" ของการสูญเสียความมั่นใจและสะดุดในที่สุด



ทีมที่ "นิ่ง" ทนแรงเสียดทานได้ดี และสม่ำเสมอเท่านั้นครับที่จะอยู่รอด และประสบความสำเร็จได้ในพรีเมียร์ชิพยุคนี้

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3078

Saturday 22 December 2007

หนาวนี้


คริสตร์มาสปีนี้ ช่างหนาวและรู้สึกว่ามันเนิ่นนานเหลือเกิน....
ทำไมเวลามันเดินช้าอย่างนี้นะ
ทำอาหารกินก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว นั่งจิบกาแฟที่ร้านประจำก็แล้ว ไม่หมดวันสักที
ปีใหม่ก็ดันทะลึ่งไม่ได้กลับบ้าน ค่าตั๋วแพงบรรลัย !!

จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ช่วงที่สอบ Final ก็นับวันเมื่อไรจะสอบเสร็จสักที
แต่เอาเข้าจริงๆ อาการหนาวๆ หมอกลงยังกะอยู่บนดอยและพระอาทิตย์ตกเร็วเหลือเกิน
ทำให้ "ความเหงา" มาเยือนผมอีกครั้ง ในวันคริสตร์มาสนี้

ชีวิตหลังการสอบ เรียบง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องว้าวุ่นใจ มีอะไรให้ห่วงหน้า พะวงหลังเหมือนเดิม งานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารก็กำลังจะหยุดยาว ว่างมากกกกกถึงว่างที่สุด

นี้ยังดีนะที่ได้พี่ชายใจดี หยิบยื่น "โอกาส" ให้ได้ไปดูบอลติดๆอีกครั้ง ในช่วง Boxing day ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ "เว้นวรรค" เรื่องบอลไปพักใหญ่ ไม่งั้นละมี "โฮมซิก" ++

บ้านใหม่ที่ย้ายมาอยู่ พี่ผู้หญิงเจ้าของบ้านและลูกชายก็เป็นกันเองดี จน"ความเหงา"เริ่มจางหายไป และ เริ่มมีไอเดียที่จะทำอะไรสร้างสรรค์ๆอย่างคนอื่นเค้าบ้างแล้วละ

จริงๆแล้วก็เสียวเรื่องผลสอบอยู่เหมือนกันเนื่องจากเทอมนี้เป็นเทอมแรกและดูเหมือนว่าผมจะยังแบ่งอะไรๆได้ไม่ลงตัวหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หรือ เรื่องงาน ฯลฯ
ทุกอย่างมันประดังเข้ามา ไม่ทันให้เราได้มีเวลาได้คิดหรือตั้งตัว

กว่าจะมีเวลามานั่งคิด ให้เวลาตัวเองอีกทีก็หมดไปอีกปีนึงแล้ว
เวลาไม่เคยหยุดรอใครจริงๆ…

เรื่องของ “เวลา”ที่ไม่เคยหยุดรอเรานี่แหละ ทำให้ผมเริ่มคิดไตร่ตรอง และหยุดคิด ให้เวลาสำรวจตัวเองอีกครั้ง ว่าเป้าหมายที่เคยวางไว้ ได้เป็นไปตามแผนหรือเปล่า

ช่วงเวลาที่หลงระเริง เผลอใจไปกับเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนต่างๆมากมาย ทำให้ผมลืม “เป้าหมายที่แท้จริง” กว่าจะมีสติอีกทีก็ต้องรอจนตัวเองได้มีเวลาหยุดพักนิ่งๆแบบนี้

อย่างไรก็ดี ผมดีใจที่ได้มาค้นหาตัวเองที่นี้….

ขวบปีที่ผ่านมานี้ที่ประเทศอังกฤษ ผมได้ผ่านและเจอะเจออะไรต่างๆมาพอสมควร
ผู้คนและเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา เปรียบดั่ง “บทเรียนแห่งชีวิต” ที่สอนให้ผมได้
เรียนรู้ที่จะ “อดทน”

อายุที่เพิ่มขึ้นมาในแต่ละปี ทำให้ความรับผิดชอบและภาระที่เพิ่มขึ้น ผมคิดไม่ผิดที่มาที่นี้ เพราะมั่นใจว่าเมื่อกลับไป ผมจะแกร่งขึ้นทั้งกายและใจ และหวังว่าจะได้ตอบแทนทางบ้านที่ อายุมากขึ้นทุกปี และใช้เวลาอยู่ด้วยกัน“ทดแทน”ช่วงที่ห่างเหินกันมา

หนาวนี้ของผม อาจไม่ได้ไปเมาปลิ้นตามผับ และ มีคนให้จูงมือเดินเล่นเหมือนอย่างเคย
แต่หนาวนี้ ก็ทำให้ผมรู้สึกโตขึ้นมาอีกหนึ่งปี และตั้งเป้าจะ "ทำ”ความฝันให้เป็นจริงเสียที หลังจากแวะพักตามไหล่ทางอยู่หลายครั้ง

ขอบคุณ “ลมหนาว” และ “ความเหงา” ที่ทำให้ผมได้หยุดคิดและให้เวลาตัวเองอีกครั้ง…

Wednesday 19 December 2007

ความท้าทายใหม่ ของคาเปลโล่


บทบาท "ผู้จัดการทีม" ที่ผ่านมาของชายชาวอิตาเลียน วัย 61 ปีนามว่า ฟาบิโอ คาเปลโล่ อาจจะดูราบรื่น สวยหรู CV เต็มไปด้วยเกียรติยศ และรางวัลต่างๆ มากมายในการคุมทีมระดับสโมสร "บิ๊กเนม" ชนิดนับไม่ถ้วน
ณ เวลานี้ ด้วย "วัย" และ "วุฒิภาวะ" น่าจะทำให้เจ้าตัว คิดว่า ถึงเวลาเสียทีที่จะ ก้าวขึ้นมารับงานที่ "ท้าทาย" มากกว่าอย่างการคุมทีมชาติอังกฤษ ที่ตอนนี้ถือได้ว่าอยู่ในช่วง "วิกฤต”" หลังจากเพิ่งอกหัก ตกรอบคัดเลือกยูโร 2008
ลำพังหากเรามองนักเตะ "สิงโตคำราม" เป็นรายตัวแล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องของ "ฝีเท้า" และ "ความสามารถ" นั้นไม่เป็นรองนักเตะชาติใดในโลกลูกหนัง


แล้วเหตุไฉนทีมทรีไลออนส์จึงไม่เคยไปถึง "ฝั่งฝัน" อย่างชาติอื่นๆ เค้า?...


นักเตะคุณภาพคับแก้วอย่าง เวย์น รูนี่ย์, สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด หรือจอห์น เทอร์รี่ ที่ชื่อนั้นเข้าขั้น "เวิลด์- คลาส" แต่มีผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และเมื่อรวมกันเป็น ทีมทำให้ทีมไปไม่ถึง ฝั่งฝันนั้นอาจจะเป็นปัญหาหลัก ที่อังกฤษประสบพบเจอมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


อังกฤษจึงต้องการ "ผู้นำ" ที่สามารถปลุก และ ระดมความเชื่อมั่น ของนักเตะ ให้กลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง และ "เอฟเอ" ก็เชื่อว่า คาเปลโล่คือคนคนนั้น


บุคลิกที่ดู "แข็งกร้าว" และ "เชื่อมั่นในตัวเอง" แต่เต็มไปด้วยความ "ทุ่มเท" ให้กับทีมนั้นดูช่าง "เหมาะสม" กับตำแหน่งที่เต็มไปด้วยความคาดหวังสูง จากกุนซือทีมชาติอังกฤษได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยๆ คาเปลโล่ก็น่าจะเคยชินกับแรงกดดัน มหาศาลแบบนี้ตั้งแต่สมัยคุม เอซี มิลาน หรือเรอัล มาดริด แล้ว


"ความเด็ดขาด" ในการเลือกตัวนักเตะก็ถือเป็นอีก "จุดแข็ง" ที่คาเปลโล่มี เพราะซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง เดวิด เบ็คแฮม โรนัลโด้ หรืออันโตนิโอ คาสซาโน่ ก็เคยโดนดองเค็มจนแทบหมดอนาคต ที่มาดริดแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน


นั่นก็เพราะพวกคาเปลโล่เห็นว่า พวกเค้าเหล่านี้ไม่ สามารถผลิตผลงานในสนามได้ตามต้องการ
จากนี้ไปคงไม่มีนักเตะทีมชาติอังกฤษคนไหนได้รับอภิสิทธิ์ หรือการันตีตำแหน่งในทีมเป็นแน่ และคู่กองกลางแข้ง ทองอย่าง สตีวี่ จี และแฟรงค์ แลมพาร์ด อาจจะมีคนใดคนหนึ่งต้องหลุดออก ไปจากทีมชุดแรก หากไม่สามารถจับคู่ผลิต ผลงานที่ดีสุดให้ทีมออกมาได้ เนื่องจาก "ทีม" และ "ผลการ แข่งขัน" คือสิ่งที่ต้องมาก่อนตามปรัชญาการทำทีมของคาเปลโล่


เรื่องของ "บารมี" และ "ความเป็นผู้นำ" หากเปรียบกับ สตีฟ แม็คคลาเรน ที่ดูเกรงอกเกรงใจนักเตะซีเนียร์ในทีมแล้ว ตรงจุดนี้คาเปลโล่น่าจะได้รับความยำเกรงจากนักเตะมากกว่า เนื่องจาก "ความสำเร็จ" ที่ผ่านๆ มาเป็นเหมือน "ใบเบิกทาง" ขั้นแรก หากจะได้รับการเป็นที่ยอมรับจากลูกน้องในทีม


สตีฟ แม็คคลาเรน นั้นมีแค่ถ้วยชนะเลิศ คาร์ลิ่ง คัพ ในอาชีพกุนซือ ขณะที่ลูกน้องในทีมอย่าง จอห์น เทอร์รี่ นั้นได้แชมป์พรีเมียร์ชิพมา 2 สมัย ขณะที่สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ก็เป็นแชมป์ยุโรปกับลิเวอร์พูล


"บารมี" ของนักเตะในเคสของเทอร์รี่ และเจอร์ราร์ด ที่ผมยกตัวมาให้เห็นนี้ มันเลยดูค่อนข้างข่ม "บารมี" ผู้เป็นกุนซืออยู่ไม่น้อยนะครับ


เรื่อง "ปลีกย่อย" เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อาจดูเหมือนไม่สำคัญ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันมีผลกับการ "คุม" ลูกน้องในทีมตามหลักจิตวิทยาของมนุษย์เราที่ทั่วไปแล้วจะยกย่อง และให้เกียรติผู้มีความรู้ หรือประสบความสำเร็จมากกว่าเรานั่นเอง


และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือ "ศาสตร์การวางเกม" ของคาเปลโล่นั้นไม่เป็นรองกุนซือคนใดในโลก ลูกหนังยุคนี้แล้ว และหากนักเตะอังกฤษสามารถ "เรียนรู้" และ "ซึมซับ" ความรู้ตรงนี้จากคาเปลโล่ได้มากที่สุดแล้ว
ค่าเหนื่อย 6 ล้านปอนด์ต่อปีไม่ถือว่าแพงไป และ ทีมชาติอังกฤษยุคใหม่จะประสบความสำเร็จไกล กว่าที่ทุกคนคิดแน่นอนครับ !!


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ 3072

Wednesday 5 December 2007

สเปอร์สแพ้ กรรมการขโมยซีน???


ผมยอมรับว่าตัวเองโชคดีครับที่ทางเจ้าหน้าที่ของ สเปอร์สส่งอีเมล์มาบอกว่าจะไม่มีที่นั่งสำหรับผมในเกม สเปอร์ส-เบอร์มิงแฮม เนื่องจากจำนวนนักข่าวที่เข้าชมในเกมนี้มีมากจนเกินไป

นี่ถือเป็นครั้งที่สองแล้วครับที่ผมโดน Turn down หรือปฏิเสธจากสโมสรในลอนดอน โดยครั้งแรกนั้นเป็นฟูแล่มครับ ที่แจ้งผมโดยอ้างสาเหตุเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเท่าที่ผมพอจะ "สรุปความ" โดยอาศัยการสังเกตความเปลี่ยน แปลงในฤดูกาลนี้ก็คือ มีนักข่าวจากเอเชียบ้านเราเพิ่มขึ้นเยอะจริง ๆ ครับ

ชาติที่ส่งนักข่าวมาประจำการที่ประเทศอังกฤษเพิ่มขึ้นมา "เยอะ" จนน่าตกใจนั้นน่าจะเป็นนักข่าวจากเกาหลีครับ สาเหตุนั้นน่าจะ มาจากว่ามีนักเตะจากแดนโสมขาวหลายราย อาทิเช่น ปาร์ค จี ซุง, ลียอง เปียว หรือ โซล คี เฮือน บุกมาโกยเงิน+ประสบการณ์ ให้ทีมชาติของพวกเค้าในพรีเมียร์ชิพทุกวันนี้

จำได้ครับว่ามีครั้งหนึ่งไปสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อชมเกม ลอนดอนดาร์บี้แมตช์ เชลซี-ฟูแล่มเมื่อตอนต้นฤดูกาล ครั้งนั้นไม่ทราบว่าเป็นเพราะ Sumsung แบรนด์ดังจากเกาหลีเป็นผู้สนับสนุนหลักของเชลซีในปีนี้หรือเปล่าไม่ทราบครับ แต่เกมนั้นนักข่าวจากแดนโสมขาวนั้นเยอะมาก และบางรายไม่รู้ว่าใช้ "อภิสิทธิ์" ตรงนี้หรือเปล่าพาแฟนสาวเข้าไปนั่งชมเกมแถมยังแอบ "จู๋จี๋ ดู๋ดี๋" ให้คน (โสด) ที่นั่งข้างๆ อย่างผมแอบตาร้อนผ่าว ไม่เป็นอันดูเกมเลย ^_^

ส่วนเรื่องที่บอกว่าตัวเองนั้น "โชคดี" ที่ไม่ได้เข้าชมเกมนี้ก็เพราะว่า มันคง "ช้ำ"น่าดูครับที่ต้องมานั่งชมเกมที่ทีมรักโดน "ถอนขน" คาบ้านตัวเองแบบนี้

เฮ้อ..พูดแล้วก็ขออนุญาตถอนหายใจยาว ๆ สักหนึ่งทีนะครับ เพราะว่าก่อนเกมดันไปทะลึ่งทำเปรี้ยว ประกาศกับเพื่อนในกลุ่มว่า "สเปอร์สไม่แพ้เบอร์มิงแฮมแน่นอน ถ้าแพ้ตรูให้เตะ!!"

ไอ้สาเหตุที่เปรี้ยวเกินพิกัด และมั่นใจว่าสเปอร์สจะไม่แพ้ในเกมนี้ก็เพราะว่า ผมเชื่อมั่นในตัว ฆวนเด้ รามอส มากครับ เพราะตั้งแต่แกเข้ามาคุมทีม "น้องไก่" ยังไม่พานพบกับความพ่ายแพ้เลยแม้แต่นัดเดียว

หลังจากอาทิตย์ที่แล้วสเปอร์สไปยันเสมอเวสต์แฮมได้อย่างสุดมัน 1-1 รวมไปถึงการเชือด อัลบอร์ก จากเดนมาร์ก 3-2 เมื่อกลางสัปดาห์ ผมยอมรับครับว่า "กุนซือหน้าตาย" ชาวสแปนิชรายนี้มีปรัชญาฟุตบอลเน้น "เกมรุก" อย่างที่แกประกาศไว้ในวันแรกทันทีที่เหยียบถิ่น ไวท์ฮาร์ทเลน จริงๆ

เท่าที่ผ่านมาต้องยอมรับครับว่าเรื่องความ "ใจถึง" ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นรวมถึงตัวนักเตะระหว่างเกมนั้น แก "ได้ใจ"แฟนสเปอร์สไปพอสมควร เพราะหากเปรียบเทียบกับ มาร์ติน โยล กุนซือคนก่อนแล้ว แฟนๆ ต้องรอแล้วรออีกกว่าลุงโยลจะเปลี่ยนแปลงทีมแต่ละที

ผิดกับฆวนเด้ ที่ "กล้าคิด กล้าทำ" กว่าโยลพอสมควร อันนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลง ที่แฟนสเปอร์สหลายๆ คนรวมทั้งถึงตัวผมเองนั้นถือว่าเป็น "สัญญาณที่ดี" ที่ทีมจะได้ลุกขึ้นมายืนเดินหน้าเก็บชัยชนะได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ดีครับ ในเกมกับเบอร์มิงแฮมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ผ่านมา ผมไม่อาจกล่าวได้ว่า "แท็กติกส์" 4-3-3 ของรามอส ในเกมนี้ "ผิดพลาด" เพราะแนวรุกนั้นก็ดูดี และมีจังหวะเข้าทำได้สวยๆ หลายต่อหลายครั้ง
ในมุมกลับกันผมมองว่า เป็นความผิดพลาดของแผงหลังสเปอร์ส (อีกแล้ว) ที่ทำให้ ทีมต้องพ่ายคาบ้านต่อเบอร์มิงแฮมที่หากเปรียบเทียบ ในเรื่องของ "ชื่อชั้น" และ "ตัวนักเตะ" แล้วเป็นรองฝั่งสเปอร์ส อยู่ไม่น้อย
อย่างในประตูแรกที่เสียนั้นถือเป็นว่าเป็นความผิดพลาด ของ ยูเนส คาบูล อีกครั้งหลังจาก ที่เมื่อวีกก่อนก็เพิ่งสะเหร่อจ่ายบอลผิดพลาดให้กองหน้าเวสต์แฮมฉกไปกินง่ายๆ โดยเกมนี้กัปตัน U-21 ของฝรั่งเศสก็ไปฟาวล์ แกรี่ แม็คเชฟฟรี่ ร่วงลงในกรอบเขตโทษสเปอร์ส อีก

จริงๆ แล้ว ช่วงที่คาบูลย้ายมาแรกๆ ผมว่าหน่วยก้าน และ เบสิกบอลของคาบูลดีพอจะเป็นกองหลัง ที่โด่งดังในอนาคตได้เลยนะครับ แต่ด้วยภาระความกดดันของนักเตะวัยเพียง 21 แต่ต้องมาแทนตำแหน่งที่หายไปของ เลดลี่ย์ คิงที่เจ็บยาว (และมีข่าวลือว่าถึงกับต้องอาจแขวนรองเท้า!!) มันดูจะ "หนัก" ไปหน่อยสำหรับนักเตะวัยขนาดนี้ ที่สำคัญก็ต้องไม่ลืมว่าเจ้าตัวเพิ่งจะย้ายจากฝรั่งเศสด้วย ฉะนั้นคงต้องให้เวลาหมอนี้อีกหน่อยในการปรับตัวให้เข้ากับบอลเร็วๆ ของอังกฤษ

ครึ่งเวลาหลังการเปลี่ยน "แท็กติกส์" ของรามอสดูเหมือนจะได้ผลครับหลังร็อบบี้ คีนยิงเบิ้ลสองประตูรวด และสเปอร์สพลิกมาแซงเป็น 2-1
แต่ "จุดเปลี่ยน"ที่ทำให้เกมนี้ต้องจบแบบ "หักมุม" นอกเหนือจากลูกตะบันไกลสุดสวยของ เซบาสเตียน ลาร์สสัน ที่ "ผีจับยัด" ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแล้ว ผมมองว่า การตัดสินของ ฟิล ดาวน์นั้น "รุนแรง" ไปหน่อยที่ฟัก เอ้ย...ควัก ใบแดงให้กับ ร็อบบี้ คีนในจังหวะที่เข้าไปเสียบสกัดบอลจาก ฟาบริซ มูอัมบ้า

หากสังเกตให้ดีๆ ในจังหวะนั้นจะเห็นครับว่า ดาวน์ นั้นปรึกษากับผู้ตัดสินที่ 4 อย่าง ยูไรห์ เรนนี่ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยืนอยู่ใกล้ๆ กับ "จุดเกิดเหตุ"!! "ยืนอยู่ข้างหน้าแท้ ๆ ดันไปถามคนอื่นเค้า ลุงดาวน์เอ้ย" ผมแอบอุทานในใจหลังแกควักใบแดงให้คีน

10 คน ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย และยังโหมบุกกะฟัน 3 คะแนนต้องยอมรับครับว่า การเสี่ยงของรามอสในวันนั้น "เสี่ยงเกินไป" และแนวรุกที่ปราศจาก ร็อบบี้ คีนนั้นต้องบอกว่า "ดีแต่ป้อ ล่อไม่เป็น" ครับ โดยเฉพาะ เจอร์เมน เดโฟ ในเกมนี้

สเปอร์สพ่ายไปในเกมนี้ ผมจึงพอจะสรุปได้ว่า เบอร์มิงแฮมนั้นมาดีเกินคาด ขณะที่ "ใบแดง"ของ ร็อบบี้ คีน ในเกมนี้ถือว่า "เปลี่ยนรูปเกม" พอสมควร

ขณะที่แนวรับที่เป็นจุดอ่อน และเสียประตูแบบไม่ควร จะเสียอยู่บ่อยๆ น่าจะทำให้รามอสที่ประกาศว่าจะ ไม่ซื้อเพิ่มในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคม เมื่อวีกที่แล้วอาจเปลี่ยนใจกระโจนเข้าไปหาแผงหลังประสบการณ์สูง ราคาไม่แพงมาเสริมทีมสักคน เพราะแบ็กโฟร์ที่มีอยู่ตอนนี้อย่าง ดอว์สัน, คาบูล หรือแกเร็ธ เบล นั้นยังดูยังอ่อนประสบการณ์ เกินไปกับแนวรุกเขี้ยวๆ ในพรีเมียร์ชิพ

เกมกับอันเดอร์เลชท์ คืนพรุ่งนี้น่าสนใจครับว่า ฆวน เด้ รามอส จะจัดทีมแบบไหน และจะจัดการกับแนวรับ ที่อ่อนปวกเปียกระดับกระดาษทิชชูชุ่มน้ำได้อย่างไร??


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3051

Monday 3 December 2007

ไม่มีเหตุผล



ถามว่าจำเป็นมั้ยว่าการที่จะรักใครสักคนนึงต้องมีเหตุผลมายกอ้างหรืออธิบายกันให้ยืดยาว ??

เธอคนนั้นจำเป็นมั้ยที่ต้อง เลิศเลิอ Perfect เป็นแม่บ้านแม่เรือน หรือ หน้าตาน่ารักระดับน้องๆพอลล่าหรือบอลลูน

มุมมองผมแล้วไม่เห็นจะจำเป็นเลยสักนิดที่ “เธอ” คนนั้นต้องเพียบพร้อมอย่างนางในฝันของชายหนุ่มทั่วๆไป

เพียงแค่เธอทำให้คุณรู้สึก “พิเศษ” มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรอ ?
เหตุผลบางครั้งมันก็ไม่จำเป็นหรอกครับ ที่คุณจะเลือกใครคนนั้น คนที่คุณเพิ่งจะเจอเค้าได้ไม่นานมาเป็น แฟน หรือ คู่ชีวิต

เพราะลึกๆแล้ว “ความรู้สึก” เราเท่านั้นครับที่สามารถบอกเราได้ว่า คนๆนี้แหละที่เราอยากจะใช้ชีวิตหรือใกล้ชิดอยู่ด้วย

อย่ามัวแต่เลือกหรือลังเลให้เสีย “โอกาส” หรือ รอให้แมวคาบไปกินเลยครับ ถ้าความรู้สึกเราบอกว่า “ใช่” ก็ตามเสียงของหัวใจคุณไปเลยดีกว่า

ชีวิตนึงมันแสนสั้นนะครับ…


Wednesday 28 November 2007

เกาะขอบสนามเกม เวสต์แฮม-สเปอร์ส


หากถามผมว่านอกเหนือจากทีม "น้องไก่" ที่ผมตามเชียร์มานานหลายปีแล้ว มีทีมไหนอีก หรือเปล่าที่ผมแอบ "กิ๊ก" ด้วย
ถ้าไม่รวมฟิออเรนติน่า, เรอัล มาดริด และทีมชาติอาร์เจนตินา ที่ไม่ได้อยู่ในลีกอังกฤษแล้ว ผมคงต้องบอกว่าอีกทีม ที่ผมแอบมีใจให้มากที่สุดก็คือ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ดครับ
สาเหตุง่ายๆ ของผมก็คือว่า อดีตขวัญใจผมอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม ย้ายข้ามฟากจากสเปอร์สไปเวสต์แฮม ต่อเนื่องด้วย บ็อบบี้ ซาโมร่า, แมทธิว เอเธอร์ริงตัน หรือรายล่าสุดที่ย้าย ไปตกอับอย่าง คัลลั่ม ดาเวนพอร์ต ทำให้ผมอด ที่จะแอบติดตามผลงาน ของอดีตนักเตะไก่ไม่ได้ มันก็เลยเป็นที่มาของการแอบเอาใจช่วย และแอบดีใจกับพลพรรคขุนค้อนอยู่ลึกๆ ทุกครั้งที่พวกเค้าเก็บชัยชนะได้

อย่างไรก็ดีผมไม่สามารถประกาศตัวได้ครับว่า แอบเชียร์ขุนค้อน เพราะเดี๋ยวคนโน้นคนนี้จะ หาว่าผมเป็นคนหลายใจ ผมจึงได้แต่เก็บอารมณ์ตัวเองประมาณว่า "รักค้อนนะ แต่ไม่แสดงออก ^_^"
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ ผมได้มีโอกาสไปเยือนสนาม อัพตัน พาร์ค ในศึกลอนดอนดาร์บี้ แมตช์ ระหว่าง เวสต์แฮม และสเปอร์ส

ส่วนตัวผมแล้วเกมนี้ ไม่ใช่แค่ดาร์บี้แมตช์ธรรมดา ครับ แต่มันเป็นความรู้สึกประมาณว่าทีมที่แอบ "กิ๊ก" เจอกับทีม "เมียหลวง" ที่ตามเชียร์มากว่า 10ปี ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเลือก "จุดยืน" ของตัวเองด้วยการใส่เสื้อสเปอร์สเข้าสนามเวสต์แฮมครับ โดยมีเสื้อโคตทับอีกชั้น เพราะว่าอากาศค่อนข้างหนาว (จริงๆ กลัวโดนแฟนเวสต์แฮมกระทืบ หุ หุ)

การมาสนามอัพตัน พาร์ค ในครั้งนี้แม้จะเป็นครั้งแรก ของผม แต่โดยรวมแล้ว การเดินทางถือว่าไม่ยาก เพราะสนามนั้นใกล้กับสถานีรถไฟ Upton Park โดยออกจากสถานีแล้ว เดินตามกลุ่มแฟนบอลไปประมาณ 5 นาทีก็จะถึงหน้าสนามแล้ว
หลังจากเดินสำรวจรอบๆ สนามทั้งในส่วนของ Mega store และ Press room แล้วคิดจะเปรียบเทียบกับสนามของอาร์เซนอล, เชลซี หรือสเปอร์สนั้น ต้องยอมรับครับว่า อัพตัน พาร์ค นั้นเป็นรองอยู่เล็กน้อยโดยเฉพาะในส่วนของ Mega store ที่ถือว่าค่อนข้างเล็ก และไม่มีพื้นที่ให้เดินมากนัก

อย่างไรก็ดี แม้ความสะดวกสบายของสนามจะ เป็นรองแต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมการันตีได้ว่าไม่เป็นรองสนามอื่นๆ แน่นอนก็คือเสียง เชียร์ของแฟนบอลครับ เพราะทันทีที่ผมเข้ามาประจำการที่ Press box หรือที่นั่งชมเกมของนักข่าว เสียงเพลง Blowing bubbles (เพลงเชียร์ประจำสโมสร) ก็ดังขึ้น และแฟนบอลขุนค้อนเกมนี้ก็ดูจะดุดันเป็นพิเศษครับ เพราะคู่แข่งดันเป็นสเปอร์ส คู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนนั่นเอง

ช่วงประกาศรายชื่อนักเตะทั้งสองทีม "ควันหลง" จากความผิดหวังที่อังกฤษต้องตกรอบคัดเลือกยูโร 2008 ยังคงคุกรุ่นอยู่ครับ โดยทุกครั้งที่โฆษกสนามขานชื่อนักเตะสเปอร์สสัญชาติอังกฤษเมื่อไหร่นั้น แฟนบอลเวสต์แฮมจะโห่แซว และด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย คนที่โดนโห่หนักหน่อยในเกมนี้เห็นจะเป็น พอล โรบิน สัน นายทวารร่างอวบของทีมชาติอังกฤษที่แฟนเวสต์แฮมเชื่อว่าหาก "ร็อบโบ้" ไม่ทำสะเหร่อ เสียประตูแบบ ไม่ควรจะเสียในหลายๆ เกม ทีมชาติอังกฤษก็คงไม่ตกรอบ
การจัดตัวในเกมนี้ของฝั่งเจ้าถิ่น มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยครับตรงที่ อลัน เคอร์บิชลี่ย์ ใช้คู่กองหน้าเป็น คาร์ลตัน โคลจับคู่กับ หลุยส์ บัว มอร์เต้ โดยดีน แอชตัน กองหน้าไซซ์ XL มีชื่อเป็นเพียงตัวสำรอง
ขณะที่สเปอร์สภายใต้การคุมของ ฮวนเด้ รามอส ยังไม่พบกับคำว่าพ่ายแพ้ และนักเตะดูจะเล่นกัน ด้วยความมั่นใจมากขึ้นหลังนัดที่แล้วที่เพิ่งอัดวีแกนมา 4-0 ในบ้านตัวเอง

รูปเกมตามความเห็นของผมแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการ "โชว์"ของผู้รักษาประตูชาวอังกฤษ ของทั้งสองทีมเลย ก็ว่าได้ครับ เพราะทั้ง โรเบิร์ต กรีน และพอล โรบินสันต่างก็ผลัดกันโชว์ซูเปอร์เซฟสวยๆ ได้หลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะ "นายเขียว" โรเบิร์ต กรีน ที่สื่ออังกฤษตอนนี้เชียร์ให้เป็นมือหนึ่งในทีมชาติได้แล้ว หลังเซฟจุดโทษไป 3 ลูกแล้ว (รวมเกมนี้ที่เซฟลูกโทษของเจอร์เมน เดโฟในช่วงทดเวลาบาดเจ็บด้วย)

นอกเหนือจาก "ไฮไลต์" ซูเปอร์เซฟของกรีนแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจกว่าในเกมนี้ก็คือ แท็กติกส์ของ ฮวนเด้ รามอส ในช่วงที่ทีมตามอยู่ 0-1 โดยกุนซือสแปนิชรายนี้ถอด ยูเนส คาบูล ออกหลังจากเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเด็กรายนี้ทำผิดพลาดจนกลายเป็น "ต้นเหตุ" ของการเสียประตูแรก แล้วเปลี่ยนจากระบบ 4-4-2 มาเป็น 3-4-3 โดยส่ง ดาร์เรน เบนท์ลงมาแทนในนาทีที่ 54 และสั่ง ดิดิเยร์ โซโกร่าที่เป็นกองกลางตัวตัดเกมมายืนเป็นกองหลังตัวกลาง คู่กับไมเคิล ดอว์สัน และปาสกาล ชิมบงด้า
ในจังหวะนั้นจากมุมของ Press box ที่ผมนั่งอยู่จะเห็นได้ชัดเลย ครับว่านักเตะสเปอร์สออกอาการ สับสน กับการเปลี่ยนแผนนี้ของรามอสพอสมควร โดยเฉพาะ แอรอน เลนน่อน ที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กหันไปถาม ชิมบงด้า อยู่สองสามทีว่าให้เล่นยังไงแน่

การแก้เกมแบบนี้ถือว่ากล้าเสี่ยงมากครับ เพราะหลังจากตีเสมอได้ สเปอร์สก็จวนเจียนจะเสียประตูอยู่หลาย ต่อหลายครั้ง ยังดีที่เกมนี้ "นายห้าง" โรบินสัน "ผีเข้า" เซฟลูกยิงที่กำลังจะเข้ามุมของ สกอตต์ ปาร์คเกอร์ และดีน แอชตัน สองตัวสำรองในช่วงก่อนหมดเวลาได้อย่างที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า นายห้างจะกลับมาบินเซฟสวยๆ ได้อีกหลังจากที่ฟอร์มรูด+ความมั่นใจหายไปนาน

ส่วนประเด็นลูกจุดโทษท้ายเกม เท่าที่ผมดูภาพช้าแล้ว อันนี้ส่วนตัวมองว่าอยู่ที่ "ดุลยพินิจ" ของคนเป็นกรรมการครับ เพราะจริงแล้วๆ จะไม่ให้ในจังหวะนั้น ก็ไม่ผิด แต่จะให้ก็ไม่แปลกเพราะถือว่า ลูคัส นีลล์เข้าปะทะเดโฟจากด้านหลังจริงๆ และอีกอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในครึ่งแรกที่ ไมค์ ไรลี่ย์ ไม่ได้เป่าจุดโทษให้สเปอร์สในจังหวะที่ร็อบบี้ คีน โดนกรีนสกัดร่วงลงไปในกรอบเขตโทษ "ความรู้สึก" ตรงนี้อาจเป็นเหตุให้ ไรลี่ย์เป่าจุดโทษ ในจังหวะที่สองนี้ก็เป็นไปได้ครับ

อย่างไรก็ดี เจอร์เมน เดโฟ อดีตเด็กค้อนที่โดนโห่ หนักไม่แพ้โรบินสัน ในเกมนี้ก็ยิงจุดโทษได้ "ไม่ขี้เหร่" เพราะแม้น้ำหนักจะไม่แรงมากแต่ทิศทางก็ถือว่าโอเคแล้ว ดังนั้นเครดิตอย่างที่ผมได้กล่าวว่า ไว้ในตอนต้นครับว่าต้องให้แก่ ผู้รักษาประตูทั้งสองทีม ที่ทำให้เกมนี้จบลงไปแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

1 คะแนนในเกมนี้ถือว่าน่าพอใจสำหรับเจ้าถิ่นเวสต์แฮมเนื่องจาก เสียจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแต่ก็ยัง อุตส่าห์ไม่แพ้ ขณะที่สเปอร์สเองแม้จะดูน่าเสีย ดาย มากกว่าเพราะน่าจะเก็บ 3 คะแนนได้ แต่แนวทางการเล่นภายใต้โค้ชใหม่เริ่มดูดีขึ้น แม้จะยังไม่ผิดหูผิดตา แต่ผมเชื่อครับว่า ฮวนเด้ รามอสจะพาสเปอร์สไปได้ไกล กว่ามาร์ติน โยลแน่นอน อย่างน้อยๆ "ความกล้า" ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่น รวมถึงเปลี่ยนกัปตันทีม อย่างร็อบบี้ คีนก็แสดงให้เห็นว่า ในทีมสเปอร์สชุดนี้จะไม่มีใครได้การันตี ตำแหน่งตัวจริงแน่นอนถ้าทำผลงานได้ไม่ดี

สรุปเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์เกมนี้ ผมให้คะแนน ความมัน 9/10 ครับ เพราะเกมนั้นพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา และเพลงเชียร์ Blowing bubbles ของเวสต์แฮมนั้นก็ได้มันได้ใจวัยรุ่นจริงๆ

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3051

Friday 23 November 2007

McClaren’s Big mistakes


หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม แม็คคลาเรน ถึงโดนปลดเร็วนัก ทั้งๆที่เพิ่งจะคุมทีมไปได้แค่ 16 เดือน หรือ เพียง 18 นัดเท่านั้น ?

เรามาดูกันว่า “บิ๊กแม็ค”ทำอะไรพลาดผิดพลาดกันบ้างดีกว่าครับ…

1.ปล่อยเดวิด เบ็คแฮม ขวัญใจผมไว้ข้างสนาม

ก่อนเกมจำได้มั้ยครับว่า บิ๊กแม็ค ประกาศอะไรไว้?? แกบอกครับว่าเกมกับโครเอเชียอาจจะดร็อปหนุ่มเบ็คส์ไว้ที่ข้าง สนาม
ผมอ่านก็งงดิฮะโอเค SWP เล่นไม่น่าเกลียดในนัดที่ผ่านๆมา แต่ความสม่ำเสมอถามว่ามีมั้ย แล้วการเปิดบอลของแก แม่นยำเท่าหนุ่มเบ็คส์ หรือปล่าว ? คาดว่าทุกท่านคงทราบกันดี

แล้วเป็นไงฮะพอครึ่งแรก โดนนำ 2 เม็ด ลก ดิครับท่านกุนซือ…พอมีสติ เปลี่ยนหนุ่มเบ็คส์ลงไปแก้เกม
แทบไม่ทัน

2.การใช้ไมเคิ่ล โอเว่นในเกมกับออสเตรีย

อย่างที่รู้กันว่า ความเปราะบางของโอเว่นนั้นเกือบจะเข้าขั้น ดาร์เรน แอนเดอร์ตันของเราเข้าไปทุกที และ
แม็คคลาเรนก็ไม่ควรเลยจริงๆครับที่จะใช้โอเว่นลงเป็นตัวจริงในเกมที่ไม่มีความหมายแบบนี้ ทั้งๆที่ อีก 5 วันหลังจากนั้นก็จะชี้ชะตากับโครแอตแล้ว

3.ระบบ 4-5-1

ตรงนี้ถือเป็นผล(กรรม)ต่อเนื่องของ “บิ๊กแม็ค” ที่ใช้โอเว่นครับ หุหุ แต่ทำไม๊ทำไมครับ กองหน้าอังกฤษดีๆของเราไม่มีแล้วหรือ ถึงต้องใช้ระบบนี้ ?? เจอร์เมน เดโฟ ดาร์เรน เบนท์เรียกมาทำเผือกอะไรครับ ?

อย่างครึ่งแรกเราจะเห็นได้ชัดเลยว่า เคราช์ขาดคนคอยสนับสนุนเวลาเก็บบอลได้เหมือนต้องดึงจังหวะรอเพื่อนๆคอยวิ่งขึ้นมาเติมตลอด

โอเคการแก้เกมในครึ่งหลัง แกทำได้ดี โดยส่งเบ็คส์และเดโฟลงไป แต่พอตีเสมอได้ 2-2 แกก็ติสต์แตกไม่ยอมผ่อนเกมลงแถมยังส่งดาร์เรน เบนท์ ลงไปอีก ? ทั้งที่ 1 แต้มอังกฤษก็เข้ารอบแล้ว เชื่อเค้าเลยครับเจ้านาย…

4.เลือกใช้ สกอตต์ คาร์สัน

การเสี่ยงใช้โกล์เด็กชื่อเหมือนถุงเท้ายี่ห้อหนึ่งลงไปสัมผัสเกมที่มีความหมายแบบนี้ ถือว่าเสี่ยงมากถึงมาก
ที่สุดครับ แล้วเป็นไง “นายถุงเท้า” ทำของเค้าเสียยี่ห้อหมด
บอกแล้วว่ายังไงๆ “นายห้าง” โรบินสันของเราก็ดูดีมีระดับกว่า…เห็นด้วยมั้ยค้าบพี่น้อง???


ใช่รักหรือเปล่า?


ทันทีที่ได้พบเธอ ความรู้สึกผมที่มีต่อ “เธอ” นั้น ยากเหลือเกินที่จะเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำ
รู้ก็แต่เพียงว่า โลกของผมได้เปลี่ยนไปมากเหลือกเกิน
เธอมาจากดินแดนแสนไกล แต่ด้วย “พรมลิขิต” ทำให้เราได้มาพบกัน ณ วันที่เหน็บหนาว คืนหนึ่งในเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แข่งขัน

“ผม” และ “เธอ” ต่างมาตามหาความฝันที่แตกต่างกันไป…
เธอคนนี้ ฝันอยากเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษ ให้ความรู้แก่เด็กๆที่อยากได้เรียนรู้ภาษากลางของ
โลกยุคโลกาภิวัฒน์

เธอเชื่อว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

การให้ความรู้ ชี้นำ จะเป็นบันไดขั้นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาตัวเองไปสู่จุดมุ่งหมายขั้นต่อๆไป

ส่วนผมน่ะหรอ ผมก็เป็นแค่คนๆหนึ่งที่ยังหาตัวเองไม่เจอ การได้มาที่แห่งนี้ น่าจะช่วยผมได้ใช้เวลาค้นหาสิ่งที่ต้องการในชีวิต

ความแตกต่างของเราทั้งคู่ ดูจะไม่เป็นเส้นขนาน อย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เราเข้ากันได้ดีเกือบจะทุกเรื่อง จะมีบ้างที่เราถกเถียงกันเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่องสักเท่าไหร่

ความรักของผม ที่ผ่านๆมา เหมือนผ่านมาแล้ว ก็ผ่านพ้นไป เปรียบดั่งสายลมที่พัดเข้ามาแล้วมิอาจหวนย้อนกลับ

ไม่เคยเลยสักครั้งแม้แต่เสี้ยววินาที ที่ผมมีความคิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนหนึ่ง
แต่ ณ วันนี้ เวลานี้“เธอ”คนนี้เข้ามาเปลี่ยน ความคิดของผมได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าผมมาทำอะไร ณ ดินแดนอันแสนไกลแห่งนี้

ผมรู้ด้วยว่าจากนี้ไป ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อใคร…
ผมอยากใช้ชีวิตส่วนที่เหลือทั้งหมดของผม ได้ดูแล และใกล้ชิดกับ “เธอ”

ทุกครั้งที่ผมได้ เป็น “ผู้ให้” ผมไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนกลับมา
การ “มอบ” สิ่งดีๆให้กับ “เธอ” มันคือสิ่งที่ส่วนลึกของหัวใจผมเรียกร้อง

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมให้ไป เธอจะมองเห็นค่าของมัน หรือสัมผัสความปรารถนาดีของผมได้มั้ย?
ผมไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่ผมทำไป มันจะดีและ มีค่าเพียงพอสำหรับผู้หญิงดีๆ อย่าง “เธอ”หรือเปล่า?

ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้ ผมควรเรียกมันว่า “ความรัก”หรือ “ความหลง”ดี?

สิ่งเดียวที่ผมพอจะรู้ตอนนี้ก็คือ ผมชอบที่จะมีเธอใกล้ๆแบบนี้ ตราบนานเท่านาน…

Wednesday 21 November 2007

ไม่เข้ารอบก็แย่แล้ว !!


ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่า "โชคชะตาฟ้าลิขิต" หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่สุด "โอกาส" ก็กลับมาอยู่ในมือ ของอังกฤษอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ใครจะ กล้าคิดล่ะ ครับว่ารัสเซียภายใต้การ ทำทีมของกุนซือคนเก่ง กุส ฮิดดิ้งค์จะไปแพ้อิสราเอล 1-2 และส่งผลให้ "โมเมนตัม" เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้

"ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน" เป็นประโยคที่ดูจะเหมาะสุดแล้วครับสำหรับสาย E ที่อังกฤษและรัสเซีย ยังมีลุ้นทั้งสองทีมตามทฤษฎี แม้ว่าจริงๆ แล้วอังกฤษต้อง การแค่เสมอในนัด ต่อไปกับโครเอเชียในบ้านก็จะลอยลำ เข้ารอบสุดท้ายที่ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์กลางปีหน้า ทันที

ขณะที่รัสเซียเองได้สูญเสียการคอนโทรล "โอกาส" ไปโดยเครดิตนี้ต้องชมอิสราเอลที่เล่นราวกับว่า "มีลุ้นเข้ารอบ"

เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานี้ชาวอังกฤษมีฮีโร่ใหม่ที่ไม่ใช่ เดวิด เบ็คแฮม หรือไมเคิล โอเว่น แต่กลับกลายเป็นนักเตะ สัญชาติยิวนามว่า โอเมอร์ โกลัน ผู้ยิงประตูดับชัยดับรัสเซียเมื่อ คืนวันเสาร์ที่ผ่านมาครับ เพราะหมอนี้เปรียบเสมือน "ผู้ชุบชีวิต" โอกาสในการลุ้นเข้ารอบของ ขุนพลทรีไลออนส์ให้มีหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้นจิตใจของชาวอังกฤษ กำลังบอบช้ำจากการเชียร์นักกีฬาของพวกเค้า เพราะทั้งรักบี้, F1 และฟุตบอล กีฬาหมายเลขหนึ่งของที่นี่ต่างก็ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง

อังกฤษถือไพ่ดีกว่ารัสเซียใน ตอนนี้ก็จริง แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า ฟุตบอลลูกกลมๆ ไม่เคยมีอะไรแน่นอน ดังนั้นสตีฟ แม็คคลาเรน จึงต้องเน้นกับเกมสุดท้ายนี้ให้มาก ไม่ใช่เล่นเอาผลเสมอ และหวังกอดคอกันเข้ารอบไปกับทีมตราหมากรุกของ สลาเวน บิลิช

ตอนนี้กระแสเกม อังกฤษ-โครเอเชียที่ประเทศ อังกฤษมาแรงมากครับ ทั้งในแง่ของสื่อที่โหม ข่าวนำเสนอข้อมูล & คอมเมนต์ต่าง ๆ ขณะที่ร้านขายเครื่องกีฬาชื่อดังในลอนดอนอย่าง Lillywhite ก็ลดราคาเสื้อทีมชาติอังกฤษจาก 30 กว่าปอนด์เหลือเพียงแค่ 20 ปอนด์เท่านั้นในเวลานี้ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อกระตุ้นแฟนบอล และบรรยากาศของเกมนี้ให้มี "รสชาติ" มากขึ้น

ผมเชื่อนะครับว่า แม้เกจิอาจารย์รวมถึงกุนซือเลือดผู้ดี ในแวดวงฟุตบอลอังกฤษหลาย ๆ ท่านอย่าง แฮร์รี่ เรดแนปป์ หรือแซม อัลลาร์ไดซ์ จะไม่ค่อยชอบวิธีการ ทำทีมของบิ๊กแม็ค และไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้วว่า "บิ๊กแม็ค" จะใช่ The right man หรือคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้

แต่เกมคืนวันพุธนี้ซึ่งเปรียบ เสมือนเกมที่สำคัญยิ่งยวด ต่ออนาคตทีมชาติของพวกเค้า ผมรู้สึกได้เลยครับว่า ทุกๆ คนทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และอ้อมที่นี่พร้อมจะ Back up หรือสนับสนุนกุนซือของพวกเค้า อย่างเต็มที่ เพราะมันคงจะดูแปลกพิลึกครับ หากทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ แบบนี้จะไม่มีทีมสิงโตคำรามเข้าไปมีส่วนร่วม

ดังนั้น "ศักดิ์ และศรี" ครับคือสิ่ง ที่บิ๊กแม็ค และขุน พล ทรีไลออนส์ต้องแสดงมันออกมาต่อหน้าแฟนๆ ใน สนามเวมบลีย์ตอนหัวค่ำ เพื่อตอบแทนแรงศรัทธาที่แฟนๆ มอบให้พวกเค้า

หลายๆ คนอาจจะคิดว่าโครเอเชีย ซึ่งลอยลำไปแล้ว จะไม่เต็มที่กับเกมนี้ แต่ขอให้ดูเกม อิสราเอล-รัสเซียเป็นตัวอย่างครับว่า ทีมที่ดูไม่มีลุ้น ไม่ได้ไม่เสียอะไรแล้ว ก็ต้องเล่นเพื่อศักดิ์ศรีแก่ประเทศชาติเช่นกัน

โครเอเชียเองแม้จะเป็นทีมที่น่ากลัว และประกาศว่าไม่ได้มาเพื่อเล่นผลเสมอ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า "ความเต็มที่" กับเกมนั้นอาจจะไม่ได้ใส่เกียร์ 5 หวังเดินหน้าฆ่ามัน เพราะความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ ของนักเตะที่รู้ตัวว่าเข้ารอบไปแล้วนั้น ทำให้ผ่อนคลาย และอาจสร้างความมันไม่ได้ในระดับ 5 ดาวเหมือนคู่ อิสราเอล-รัสเซีย

ก็ได้แต่หวังครับว่า บิลิช และลูกทีมจะมอบเกมดี ๆ ให้เราได้ชมอย่างที่อิสราเอลโชว์ให้เห็นถึง สปิริตนักสู้ ให้ชาวโลกได้ประจักษ์

ข้ออ้างผู้เล่นตัวหลักที่บาดเจ็บหลายราย ไม่ใช่ข้ออ้างที่ "ฟังขึ้น" ครับในกรณีที่ อังกฤษไม่ได้ "ผลการแข่งขัน" ที่ต้องการ เพราะขอเล่นเพียงแค่ 1 แต้ม ยังไง ๆ ความกดดันก็น้อยกว่าที่ต้องการเล่นเพื่อ 3 แต้มอยู่แล้ว

1 แต้มกับเกมในบ้านตัวเองถือว่าไม่ได้มากมายเลยครับ ที่ชาวอังกฤษจะขอจากอดีตกุนซือโบโร่
และนี่ก็จะเป็นโอกาสอันดีที่บิ๊กแม็คจะ Turn things around หรือพลิกวิกฤติ (จากเสียงวิจารณ์) ให้เป็น โอกาส และทำให้ตัวเองเป็นที่รักของแฟนบอลอังกฤษ เกจิ หรือสื่อที่ไม่ชอบแกได้มากขึ้น

บิ๊กแม็ค ที่เหมือน "ตายแล้วเกิดใหม่" อย่างที่คุณ "ไข่มุกดำ" ว่าไว้ จึงมีหน้าที่ต้องปลุกระดมความฮึกเหิม ของผู้เล่นในทีมอย่าให้ "ชะล่าใจ" กับโอกาสที่กลับมาอยู่ในมือ อีกครั้ง

เพราะหากอังกฤษเกิดทะลึ่งแพ้เกมนี้ขึ้นมาก็ต้องตัวใครตัวมันเลยล่ะครับ...


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3044

Monday 12 November 2007

พาเพื่อนเลิฟตามหารักแท้ ที่แอนฟิลด์!!


ก่อนอื่นต้องขออภัยแฟนคอลัมน์ (ซึ่งมีอันน้อยนิด ^_^) ที่หายหัวจากพื้นที่ตรงนี้ไปเมื่อวันพุธที่แล้วเนื่องจากโรคภัยไข้ที่ชื่อว่าหวัดยังคงตามมาราวีไม่เลิก หนึ่งในสาเหตุหลักนั้นก็เพราะว่าอากาศในกรุงลอนดอนตอนนี้เริ่มหนาวขึ้นและหนาวขึ้นทุกทีจนตอนนี้ หนุ่มวัยย่างเข้าเบจญเพศแบบผมเลยเหมือนซวยซ้ำซวยซาก เพราะนอกจากผลสอบ Mid-termจะไม่แจ่มแล้ว หวัดเจ้ากรรมยังมารังแกอีก T.T

อย่างไรก็ดีหากไม่นับเรืองผลสอบ+อาการป่วยแล้ว วีคที่ผ่านก็มีเรื่องดีๆผ่านเข้ามาเหมือนกัน อย่างเช่นการที่เพื่อนรักสมัย มัธยมปลายมาตามหารัก (แท้และไม่แท้) ไกลถึงที่นี้ (งงใช่ใช่มั้ย ?? จะค่อยๆเฉลยในคอลัมน์นะ) ผมก็เลยรับอาสาเป็นไกด์จำเป็นพามันเที่ยว

โดยทริปแรกทันทีที่มันลงเครื่อง เราก็จับรถไฟสาย Piccadilly line (เส้นรถไฟสายหลักที่นี้) มาเก็บข้าวของสัมภาระที่บ้านผม และก็มุ่งหน้าตามรักแท้เพียงแค่ในวันแรกที่มันเหยียบพื้นแผ่นดินอังกฤษ!!
รักแท้ที่ไอ้เจ้าเพื่อนรักของผมลงทุนเสียเงินและเวลา บินข้ามหน้าข้ามทะเลมาไกลถึงนี้ก็คือ (เฉลยเลยละนะ ) การไปเหยียบสนามแอนฟิลด์ ในเกมเมื่อเสาร์ที่ผ่านที่ทีมหงส์แดงต้องลงรับการมาเยือนของ
“เจ้าสัวน้อย” ฟูแล่มทีมจากลอนดอนนั่นเอง

ทริปนี้เราไม่ได้ไปกันแค่สองคนตายาย เอ้ย สองเกลอหรอกนะครับ เราได้พี่ๆน้องๆอีกสามท่านเป็นผู้ร่วมเดินทางกับผมและเพื่อน โดยมี “พี่ป๋อง” เจ้าของร้านอาหาร Thai-Thai Café ที่ผมทำงาน Part-time ที่นั้นอยู่เสียสละเวลาอันมีค่ากับครอบครัวในวันเสาร์เป็นโชเฟอร์พาเรามุ่งหน้าสู่เมืองลิเวอร์พูล “พี่สันต์”หรือ J.Bluewater ผู้เขียนหนังสือ “เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยลอนดอน” แฟนหงส์พันธ์แท้ที่ตามไปเชียร์ทีมรักถึงขอบสนามเป็นงานอดิเรกและเพื่อนพี่สันต์อีกหนึ่งท่านชื่อ “คุณต้น”เป็นผู้ร่วมเดินทางของเราในทริปนี้

การเดินทางในครั้งนี้พี่ป๋องทำเวลาได้ไม่เป็นรองเฟอร์นันโด อลองโซ่ หรือ ลิวอิส แฮมิลตัน สองนักแข่ง F-1 ชื่อดังเลยครับ เพราะโชเฟอร์เราทำเวลาจากลอนดอนสู่ลิเวอร์พูลเพียงแค่ 3 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เราถึงหน้าสนามแอนฟิลด์เวลาประมาณ 14.30 ก่อนเวลาที่คู่นี้จะ “คิกออฟ” ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
(คู่นี้เริ่มเตะเวลา 17.15 เวลาอังกฤษ)

เมื่อเวลาเหลือค่อนข้างเยอะแบบนี้ ผมและเพื่อน อ้อ!! ลืมบอกไป ไอ้เพื่อนรักผมคนนี้ชื่อ “บักนัท”ครับ (แฮะๆ) จึงมีเวลาพากันเดินจับจ่ายซื้อของฝากที่ Liverpool Mega store โดย พี่ป๋อง พี่สันต์ และ เจ้านัท 3 แฟนหงส์ ช้อปกระจายกับของที่ระลึกทั้งในส่วนของ Mega Storec และหน้าสนาม กันไปคนละหลายพันบาท ส่วนตัวผมก็ได้เสื้อ T-shirt สโมสรสีขาวนวลให้คุณพ่อซึ่งเป็นแฟนหงส์มานานหลายสิบปี โดยจากเจ้านัทกลับไปให้ท่านเป็นของขวัญ “วันพ่อ” เดือนหน้าที่จะถึงนี้

ถัดจากช้อป เราก็มาชักภาพถ่ายรูปกับหน้าอนุสรณ์ บิล แชงคลีย์ไว้เป็นที่ระลึกร่วมกันก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าสนาม Press room และ Press box ถึงจะไม่ได้ใหม่และทันสมัยอย่าง เอมิเรต์สเตเดี้ยมของ
อาร์เซนอล แต่ซึ่งที่ผมรู้สึกได้ก็คือ ความเก่าแก่และมนต์ขลังของสนามที่ยังเอกลักษณ์ของสนามฟุตบอลสไตล์อังกฤษแท้ๆ

เสียงเพลง You’ll never walk alone ได้ดังขึ้นก่อนเริ่มเกมตามธรรมเนียมของที่นี้ โฆษกสนามประกาศรายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม และทุกครั้งที่เรียกชื่อนักเตะฝั่งเจ้าถิ่นแฟนบอลลิเวอร์พูลจะส่งเสียงและปรบมือเป็นกำลังให้นักเตะของพวกเค้า หลายคนอาจจะคิดว่าแปลกตรงไหนที่แฟนบอลจะส่งเสียงให้กำลังใจนักเตะของพวกเค้า??


แต่ อืม…ผมไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกได้ว่าที่นี้ มันแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ เสียงเชียร์ และความขลังของที่นี้

ในเกมนี้ พลพรรคหงส์แดงซึ่งพึ่งยิงเบซิคตัส ไส้ไหลไปเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน 8-0 ยังคงผู้เล่นชุดเดิมไว้ หาไม่ใช้ “โรเตชั่น”เหมือนทุกที เอลราฟากำลังคิดอะไรอยู่? ผมแอบตั้งคำถามให้ตัวเองในใจเมื่อเห็นไลน์อัพ ของทีมในเกมนี้ และยอมรับโดยดุษดี ครับว่า “ใจ เอลราฟานั้น ยากแท้จะหยั่งลึก” เพราะไม่ว่าแกจะคิดหรือทำอะไร คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นนักเตะ หรือแฟนบอลก็ดี ไม่สามารถเดาใจกุนซือชาวสแปนิชคนนี้ได้ถูกเลย ให้ตายเถอะ จอร์จ !!

ในส่วนของรูปเกม คาดว่าท่านผู้อ่านคงจะเห็นอย่างที่ผมเห็นครับว่า ขุนพล “เรด แมชชีน”นั้นเป็นฝ่าย “กระทำ” อยู่ข้างเดียว โดยฟูแล่มของกุนซือมาดติ๋ม ลอว์รี่ ซานเชส ได้ตั้งรับและรอสวน ซึ่งความพยายามของแกและแนวรับของฟูแล่มก็เกือบจะเป็นผล เพียงแต่ว่า เกมนี้ผู้เล่นที่ “ฟ้าสร้างมา” อย่างตอร์เรส ซึ่งลงมาในนาทีที่ 70 และตั้งแต่นั้นผมเองรู้สึกได้เลยครับว่า เกมนี้ลิเวอร์พูลจะไม่แพ้

นั้นก็เพราะทุกสัมผัสที่ตอร์เรสได้บอล หรือจะเป็นการ Movement หาพื้นที่ เมื่อบวกทักษะที่เจ้ามีอยู่แล้ว มันทำให้แนวรับฟูแล่มทุกคนต้องคอยระแวงและเหมือนโดน “ต้องมนต์” อย่างประตูแรกในนาทีที่ 81 เราจะเห็นได้ครับว่า การเตะบอลเคลียร์ออกมาของ โฆเซ่ เรน่า นั้นเหมือนจะ ไม่มีอะไร แต่ ตอร์เรสกลับทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งๆที่ตลอดทั้งเกมหลังฟูแล่มนั้นจัดโซนกันเป็นระเบียบ แต่มาโดน “ความเหนือชั้น” แบบนี้ ก็น่าเห็นใจละครับ

ถึงตอนนี้แฟนบอลในสนามทุกคนรวมถึงตัวผมเอง มั่นใจเลยครับว่า เกมนี้ไม่มีพลิกล็อคแน่นอนและแม้ลูกจุดโทษในนาทีที่ 85 อาจเป็นที่ถกเถียงว่าฟาวล์ในเขตหรือ นอกเขต ตรงจุดนี้คงไม่มีแคร์แล้วครับเพราะว่าอย่างที่เห็นอยู่ว่ารูปเกมทั้งเกมนี้นั้นลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายไล่ชกคู่แข่ง ถ้าเป็นมวยก็คงต้องแพ้คะแนนแบบขาดลอยแน่นอน

ความแตกต่างด้านความเฉียบคมระหว่าง ตอร์เรส และ โวโรนินได้ถูกตั้งเป็นประเด็นตามบอร์ดและกระทู้ของแฟนบอลที่นี้ แต่ส่วนมากเท่าที่สรุปได้ สองคนนี้เป็นที่ชื่นชอบมากกว่า เดิร์ค เคาท์ ที่แม้จะได้เรื่องของความขยัน+ทุ่มเท แต่เรื่องความคล่องตัว ความเร็ว ยังไม่ถูกใจแฟนบอลที่นี้สักเท่าไร
เอาละครับ อย่างไรก็ดี 3 แต้มเน้นๆแบบนี้ในถิ่นตัวเองถือว่า “สอบผ่าน” และผมให้คะแนนลิเวอร์พูลเกมนี้ 10 เต็ม 10 โทษฐานที่ มีแฟนบอลสุดยอด+บรรยากาศในสนามของเค้าก็เก่าแก่และมีมนต์ขลังสมดังคำ
ล่ำลือจริงๆ

ก่อนตีรถกลับลอนดอน พวกเราทั้ง 5 คนยังไม่รีบร้อนครับ เพราะพี่สันต์และพี่ป๋อง โชเฟอร์ของเรายังอยากช้อปต่อใน Mega store เพราะรอบแรกที่เข้ามานั้นคนแน่นเหลือเกิน ผมเองถึงแม้จะเหนื่อยเพลียจากการต้องตื่นเช้าไปรับเพื่อนที่สนามบิน Heathrow แต่ก็ไม่ขอขัดจังหวะพี่ๆช้อปปิ้งครับ เพราะนานๆเราจะได้มาไกลกันถึงลิเวอร์พูลสักที


เข้าไปในรอบ Store รอบนี้นอกจากจะเจอสาวๆจากเมืองไทยหน้าตาจิ้มลิ้มที่บังเอิญเจอกันในก่อนออกจากสนาม หนึ่งในสมาชิกร่วมเดินทางของเรา ก็โชว์ “เสือ” ด้วยการเข้าไปทักทายและได้แลกเบอร์และอีเมลกันไว้อีกตังหาก(ขอไม่เอ่ยนาม นะครับ เดี๋ยวเค้าบ้านแตก ^_^ )

โดยรวมแล้วถือว่าทริปนี้ เป็นทริปที่สนุกแต่แอบเหนื่อยจากการเดินทาง (โดยเฉพาะคนขับ) ทีนี้ ก็เหลือแค่สนามโอลด์แทร็ฟฟอร์ดที่เดียวแล้วละครับ ที่เป็นทีม “ท็อปโฟร์” ทีมเดียวที่ผมยังไม่ได้ไปเหยียบถึงสนาม


Ps.มิชชั่นต่อไปของผมคือเป็นไกด์พา “เจ้านัท”ตามหารัก(ไม่แท้) ตามที่เกริ่นไว้ในคอลัมน์ข้างต้นนะครับ ยังไงอาทิตย์หน้าจะมาเฉลย รักแท้หรือรักหลอกที่ว่า + อากาศที่เมืองไทยเปลี่ยน รักษาสุขภาพด้วยนะครับ


Wednesday 31 October 2007

สเปอร์ส ถึงเวลาประกาศศักดายอดพญาไก่???


โลกของฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าทีม ทีมนั้นจะมีนักเตะระดับสุดยอดมากมายขนาดไหน จ่ายค่าเหนื่อยแต่ละสัปดาห์ให้แข้งทองเหล่านั้นแพงสักเท่าไร "ผลการแข่งขัน" คือสิ่งที่ไม่สามารถ "การันตี" ได้เลย...

มาร์ติน โยล "อดีต" กุนซือสเปอร์สน่าจะตระหนัก ถึงความจริง ข้อนี้เป็นอย่างดี เพราะทีมไก่เดือยทองนั้นรวมนักเตะฝีเท้าดี และดาวรุ่งอนาคตไกลไว้ในทีมหลายต่อหลายคน แต่ผลงานกลับไม่เป็นอย่างที่
"ควรจะเป็น"

อาจจะดูว่าโหดร้าย และไม่ยุติธรรมสำหรับโยล แต่สเปอร์สนั้นลงทุนไปมากเหลือเกินในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่าน แต่ทีมโดยรวมนอกจากจะไม่พัฒนาแล้ว ผลงานยังถอยหลังลงคลอง จากที่หวังสอดแทรกเป็นหนึ่งใน "ท็อปโฟร์" กลับกลายเป็นว่า ต้องมาจมปลักอยู่ในโซนหนีตกชั้น

มาร์ติน โยล ถูกปลดออก จากทีมไปตามวัฏจักรของฟุตบอล แต่สเปอร์สยังต้องก้าวเดินต่อไปภายใต้
เฮดโค้ชคนใหม่ ฮวนเด้ รามอส

สำหรับผมแล้ว "ฮวนเด้ รามอส" ถือเป็น "ชอยส์" ที่ดีที่สุดสำหรับสเปอร์ส หากทีมยักษ์หลับทีมนี้หวังจะลืมตาอ้าปาก ประกาศศักดาอย่างทีมที่ประสบความสำเร็จ อื่นๆ เค้า

กวาดตามองสี่ทีมหัวแถวในเวลานี้อย่าง อาร์เซนอล, แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ และเชลซี เราจะเห็นได้ว่ามีเพียง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพียงคนเดียวที่เกิดในผืนแผ่นดินสหราชอาณาจักร (ชาวสกอตแลนด์) นอกนั้นล้วนเป็น "ของนำเข้า" จากต่างชาติทั้งหมด

และหากนับกันจริงๆ ในพรีเมียร์ชิพ มีกุนซือชาวอังกฤษแท้ๆ เพียงแค่ 9 คนเท่านั้นในเวลานี้ซึ่งนั่นเป็นเหตุผล หนึ่งที่ทีมชาติของพวกเค้าหากุนซือในประเทศได้ยากหากต้องมีการปลด สตีฟ แม็คคลาเลนกัน
จริง ๆ (ในกรณีที่อังกฤษตกรอบคัดเลือก ยูโร 2008 ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก)

ทีมไก่เจ้าชู้ เลยขอไม่ตก "เทรนด์" กุนซือต่างชาติด้วยการไปตามเกี้ยวครั้งที่สองในรอบสองเดือน โดยรามอส ผู้ซึ่งได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อผู้ดีทันทีที่มา ถึงอังกฤษว่าหลงรักสไตล์ของบอลอังกฤษมานานแล้ว และใฝ่ฝันทุกโมงยามที่จะได้มาคุมทีมที่นี่

"ดีกรี" กุนซือมาดขรึมคนนี้ หากย้อน ไปดูสถิติเจ้าตัวกับเซบีญ่าแล้วถือว่า "น่าทึ่ง" เพราะ 3 ปีที่คุมทีมมาก็สามารถกวาดแชมป์ไปถึง 5 รายการ และกับทีมที่ได้ชื่อว่า สร้างชื่อเสียงให้กับเจ้าตัว

ปรัชญาฟุตบอลของรามอส นั้นจะเน้น "เกมรุก" เป็นหลัก ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนไก่ทั้งรุ่นเก่า และใหม่ได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันเรื่อง "ความฟิต" นั้นรามอสก็นำโค้ชฟิตเนสคู่ใจชื่อว่า มาร์คอส อัลวาเรส มาช่วยงานที่สเปอร์สด้วย

BBC สื่อใหญ่เมืองผู้ดีได้ไปสัมภาษณ์ ไมเคิล โรบินสัน อดีตหัวหอกลิเวอร์พูล ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่ผู้บรรยายเกม ทางโทรทัศน์รายการหนึ่งของสเปน ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่า ชื่อเสียงในเรื่อง "ความเข้มงวด" ของ รามอส ทั้งใน และนอกสนามนั้นจัดว่าเข้าขั้น "โค้ชจอมเฮี้ยบ"คนหนึ่งใน ลาลีกา

นี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับแฟนสเปอร์สอย่างแท้จริงครับ เพราะเท่าที่ผมได้ดูนักเตะทีมตราไก่เล่นในฤดูกาลนี้จะพบว่านักเตะอย่าง เจอร์เมน จีนาส และดิมิทาร์ แบร์บาตอฟ นั้นขาดความกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะฝาแฝดของ "โจ้ ห้าหลา" (จีนาส) นั้น ผมเห็นแกเล่นแล้วรู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ เนื่องจากจะเล่นแบบไร้ใจแล้ว เวลาทำเสียบอลก็จะไม่ค่อยวิ่งไล่ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในความผิดพลาดของ มาร์ตินโยล ที่ยังดื้อแพ่งใช้นักเตะ "สันหลังยาว" แบบนี้

อย่างไรก็ดี รามอส ซึ่งภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแข็งแรงนั้น อาจจะเป็น "ปัญหา" เวลาสื่อสารด้านแท็กติกส์กับลูกทีมพอสมควร แต่สเปอร์สเองก็ถือว่าเตรียมตัวรับมือกับ ปัญหานี้ไว้แล้วโดยได้นำอดีตเด็กเก่าอย่าง กัส โปเยต์ มาเป็นล่าม และเป็นโค้ชให้ทีมชุดใหญ่ของสเปอร์ส

จากเกมที่แพ้ แบล็คเบิร์น 1-2 คาบ้านตัวเองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คาดว่า รามอสเองน่าจะทราบปัญหาหลักของทีมตราไก่ในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี

อย่างแรกที่ กุนซือสเปนนิชวัย 53 ปีควรทำก็คือแก้ไข รอยรั่วในแนวรับ

การขาดเลดลีย์ คิง กัปตันทีมไป แม้ว่าจะได้ ยูเนส คาบูล มาเสริมทีม แต่ดูๆ แล้วด้วยความยังอ่อน "ประสบการณ์" ของคู่ คาบูล-ดอร์สัน บวกกับอาการฟอร์มตก และสูญเสียความมั่นใจอย่างรุนแรง ของนายทวารร่างอวบ พอล โรบินสัน ทำให้สเปอร์สที่แม้ว่าจะยิงได้ถึง 18 จาก 11 เกม แต่ก็พร้อมจะเสียประตูให้กับคู่แข่งทุกเมื่อเช่นกัน

อย่างที่สองก็คือ เอากองกลางที่ฟอร์มตก+ออกทะเลอย่าง จีนาสออก แล้วให้โอกาสนักเตะดาวรุ่ง ที่มีความกระหายและพร้อมจะทำเพื่อทีม อย่าง เควิน "ปริ้นซ์" บัวเต็ง ที่ซื้อมาแพงแต่ไม่เคย ได้รับโอกาสเลยในช่วงของโยล หรือไม่ก็ อาร์เดล ทารับต์ ที่ดูๆ แล้วเด็กคนนี้ "มีแวว" จะเป็นกองกลางตัวรุกที่ดีได้ไม่ยากหากได้ลงเล่นบ้าง

และสุดท้ายที่ ฮวน รามอสต้องทำคือ เรียกความเชื่อมั่นของนักเตะกลับมาให้ได้ เพราะผมเชื่อว่าจริงๆแล้วศักยภาพของทีมชุดนี้มีดีพอที่จะติด "ท็อปโฟร์" อย่างที่เคยเรียนไว้ในคอลัมน์เมื่อตอนต้นฤดูกาล

แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ แม้สเปอร์ส จะยังคงจมปลักอยู่ที่อันดับ 18 แต่ผมยังเชื่ออยู่ลึก ๆ ว่า หากรามอส และนักเตะสเปอร์ส หา Turning point หรือ "จุดเปลี่ยน" เจอแล้วละก็ ทีมตราไก่ยังมีโอกาสติดหนึ่งในหกได้อยู่ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องรีบเค้นฟอร์มเดิม อย่างช่วงสองฤดูกาลก่อนหน้านี้ที่ เล่นได้อย่างมั่นอกมั่นใจ และไม่สมาธิหลุด และเสียประตูในช่วงท้ายเกมบ่อยๆ อย่างในฤดูกาลนี้

จ็อบแรกของ ฮวนเด้ รามอสก็คือ การนำสเปอร์สลงเล่นเกมคาร์ลิ่ง คัพต่อหน้าแฟนบอลตัวเองในการพบกับแบล็คพูล ซึ่งน่าจะเป็น "ของหวาน" สำหรับสเปอร์ส และน่าจะเป็นเกมที่เรียก ความเชื่อมั่นของนักเตะในทีมได้ไม่มากก็น้อย

หลังจากนั้นค่อยๆ ว่ากันไปเป็นสเต็ปๆ

Come on Spurs !!! และยินดีต้อนรับฮวนเด้ รามอส สู่พรีเมียร์ชิพครับ...
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3023

Wednesday 24 October 2007

เรือใบสีฟ้า "ม้ามืด" ท็อปโฟร์??


หากถาม สเวน โกรัน เอริคส์สัน กุนซือกระหม่อมบาง ชาว สวีดิช ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลว่า คาดหวังมากน้อย แค่ไหนกับ ทีมเรือใบสีฟ้า ในซีซั่น 2007-2008 ภายใต้การเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งนายทุนรายใหม่ นักเตะหน้าใหม่หลายต่อหลายราย อีกทั้งยังเป็นปีแรก ของเจ้าตัวใน การคุมทีมระดับสโมสรในประเทศอังกฤษ

เชื่อได้ครับ หากป๋าสเวน ตอบว่า "ผมจะพาเรือใบลำนี้ ผงาดติด ท็อปโฟร์" ไม่เฉพาะแฟนบอลทีมคู่แข่ง จะหัวเราะจนท้องแข็งในความ มั่นใจจนเกิน พอดีของอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ

ผมว่าแฟนๆ ของแมนฯซิตี้ ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก กับประโยคที่ว่าเช่นกัน เพราะทีมจากย่านอีสต์แลนด์ทีมนี้เมื่อฤดูกาลก่อน ยังต้องปากกัด ตีนถีบ ทำให้แฟนบอล และผู้พบเห็นต่างพากันอนาถทีมของ สจ๊วร์ต เพียร์ซ กุนซือคนก่อนอยู่เลย โดยผลงานนั้น "สุดบู่"และความสมัครสมานสามัคคีของนักเตะในทีมก็แตกร้าว และยากที่จะเยียวยา

อดีตนักเตะ คนสำคัญอย่าง โจอี้ บาร์ตัน ที่ไปอัด อุสมัน ดาโบ จนหน้าแหกก็ถูกขายออกไปเพื่อขจัดปัญหา "นักบอลในคราบนักเลง"

ไมเคิล จอห์นสัน, สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ และดาวรุ่งอีกหลายรายได้ รับการ "ดัน" ให้เป็นตัวหลักในทีมชุดใหญ่จากอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ

และเมื่อผนึกกำลังกันกับนักเตะแข้ง "อิมปอร์ต" หลายรายที่ "สเวนนี่" และทีมงานของเค้านำเข้ามาก็ทำให้ตอนนี้ เรือใบสีฟ้า ที่ใคร ต่อใคร ดูถูกดูแคลนว่าไร้น้ำยาในช่วงต้นฤดูกาล ทำผลงานได้ "เซอร์ ไพรส์" เซียนทุกสำนัก

ณ เวลานี้ "เรือใบสีฟ้า" โฉมใหม่ทำผลงานได้สุดสะเด่า และเกาะกลุ่มหัวตารางได้อย่างต่อเนื่อง 10 นัดที่ผ่านมา พวกเค้าเก็บชัยชนะได้ถึง 7 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง และพ่ายไปแค่ 2 นัด

สภาพทีมโดยรวมก็ถือว่า "เยี่ยม" โดยเครดิตนี้จะยกให้ใครไปไม่ได้นอกจากกุนซือชาวสวีดิช

อ๋อ...ต้องขอบคุณ "มันนี่" ของคุณทักษิณที่ท่านยืนยันหนักแน่น ว่า "ขาวสะอาด" ด้วยถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นแล้วทีมระดับแมนฯซิตี้คงไม่ได้ลืมตาอ้าปาก สูดอากาศเย็นๆ เหนือกลางตารางเป็นแน่แท้

นอกเหนือจากการเปลี่ยนสไตล์การเล่นมาเล่นบอลภาคพื้นดินมากขึ้นแล้ว สเวนนี่ยังผสมผสานแข้งใหม่ และดาวรุ่งเก่าๆ ที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว

การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ ไมคาห์ ริชาร์ดส์ และไมเคิล จอห์นสัน คือผลงานชิ้นโบแดงของแมนฯซิตี้อคาเดมี่ โดย "ไอ้เด็กถึก" อย่าง ริชาร์ดส์ก้าวขึ้นไปเป็นแบ็กขวาตัวหลักในทีมสิงโตคำรามแทนที่ แกรี่ เนวิลล์ ของทางผีแดง เหมือนสื่อเป็นนัยให้ทางคู่ปรับร่วมเมือง ได้รับรู้ว่า ซิตี้ก็ไม่ได้กระจอกงอกง่อยเหมือนกัน

ภายใต้ระบบ 4-5-1 โดยมีเอมิล เอ็มเพ็งซ่า ยืนเป็นหอกเดี่ยว ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะ "โดดเดี่ยว" แต่หากตามดูเกมรุกของ ซิตี้ เราจะเห็นได้ว่า แผงกองกลางของทีม พร้อมจะเติมช่วยตลอดเวลาอย่าง มาร์ติน เปตรอฟ, ไมเคิล จอห์นสัน และกองกลางตัวรุกที่ร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ชิพในเวลานี้อย่าง เอลาโน่

ถามว่าก่อนหน้านี้ จะมีใครสักกี่คนเชียวที่รู้จักเอลาโน่ ? แฟนบอล ซิตี้เองรวมถึงสื่อมวลชนอังกฤษต่างตั้งข้อสงสัยในความสามารถของเพลย์เมกเกอร์ชาวแซมบ้า เนื่องจากอย่างที่เราทราบกันดีว่านักเตะจากลาตินอเมริกาส่วนใหญ่นั้นมักจะ "สอบตก" กับฟุตบอลเร็วๆ ของอังกฤษ

จริงอยู่ที่นักเตะอย่าง คาร์ลอส เตเบซ, จิลแบรโต้ ซิลวา หรือ ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ ถือว่าเป็นกลุ่มแข้งลาตินที่ "สอบผ่าน" ในพรีเมียร์ชิพ แต่ 3 แข้งที่ว่านี้ต่างก็ใช้เวลาปรับตัวกับฟุตบอลที่นี่พอสมควร

ผิดกับ เอลาโน่ ที่ผมให้ "ผ่าน" ไปแล้วแม้ฤดูกาลนี้เพิ่งจะเตะกันไปแค่ 10 นัดก็ตามที นั่นก็เพราะความรวดเร็วในการสถาปนาเป็น "จุดศูนย์กลาง" ของทีมชุดนี้

การเซตบอลขึ้นบุกของซิตี้ในฤดูกาลนี้เราจะเห็นได้ชัดเลยครับว่า เอริคส์สันนั้นมอบหมายตำแหน่งจอมทัพให้เอลาโน่ ซึ่งในที่นี้ผมหมายถึง การบงการ Direction (ทิศทาง) และ Tempo (จังหวะ) ของเกม

โดยในนัดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมากับเบอร์มิงแฮม เจ้าตัวก็ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ไม่ใช่ของปลอมทำเหมือน อย่างแข้ง "นำเข้า" หลายรายที่ค่าตัวแพงหูฉี่แต่ฟอร์มการเล่นถือว่า "โหลยโท่ย"

ตัวอย่างง่ายๆ ในทีมชุดนี้ที่เข้าขั้น "ของปลอมทำเหมือน" ก็เห็นจะมี จอร์จอส ซามาราส กองหน้าชาวกรีกที่ สจ๊วร์ต เพียร์ซ นำเข้ามาด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์

การประเมินความสามารถนักเตะรวมไปถึงการนำมาเล่นให้ "เข้าขา" กันนั้น ถือว่าเป็นจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็น "ความต่าง" ของโค้ชมีคลาส และโค้ชธรรมดาสามัญประจำบ้านได้เป็นอย่างดี

สเวน โกรัน เอริคส์สัน คือกุนซือ "มีคลาส" ที่ผมว่า และแม้ซิตี้จะไม่ได้เล่นเหนือกว่า คู่แข่งในหลายๆ เกมมากนัก (รวมไปถึงแมตช์ที่ผ่านมากับเบอร์มิงแฮม) แต่สเวนก็ทำให้เห็นครับว่า "เล่นไม่ดีแต่ก็เก็บ 3 คะแนนได้"

จำเชลซีในยุคของมูรินโญ่ได้ใช่มั้ยครับ? หลายๆ ครั้งพวกเค้าไม่ได้เล่นเหนือกว่าคู่แข่งมากมายอะไรเลย แต่พวกเค้าก็ยังเดินหน้าเก็บชัยชนะได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยสกอร์ไลน์ 1-0

ผมว่า แมนฯซิตี้ชุดนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับทีมชุดนั้นของ มูรินโญ่ตรงจุดนี้แหละครับ แม้ว่านักเตะเรือใบอาจจะไม่ได้เข้าขั้น "เทพ" เหมือนอย่างทีมสิงโตพันล้าน

แต่การเล่นที่เหนียวแน่นรวมถึงมี "โชค" ช่วยบ้างเป็น บางครั้งคราวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ทีมได้รับชัยชนะ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่แพ้

เก่งแต่ไม่มีดวง เล่นดีแล้วไร้แต้ม มีให้เห็นกันแทบทุกอาทิตย์นะครับ อย่างเช่นทีม "แมวดำ" ของ รอย คีนที่เล่นด้วยจิตใจนักสู้ทุกนัด แต่ก็ยังหาชัยชนะไม่เจอในนัดหลังๆ

สเวนนี่ถือเป็นคนมี "บุญ วาสนา" นะครับ เพราะได้รับโอกาสดีๆ ในการคุมทีมใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้งในอาชีพผู้จัดการ ทีม (เบนฟิก้า ลาซิโอ โกเตนเบิร์ก และทีมชาติอังกฤษ)

กระโดดมาคุมทีมแมนฯซิตี้รอบนี้ก็ได้งบจากเสี่ยแม้ว ไปแล้วในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลเป็นจำนวน 38 ล้านปอนด์ พร้อมนักเตะ 8 รายที่ตบเท้าเข้าสู่ทีม

เมื่อวีกที่แล้ว ข่าวจาก The Sun ก็รายงานว่า ปีใหม่นี้ ป๋าสเวนจะได้งบช้อปปิ้งเป็นของขวัญปีใหม่จาก "แฟรงค์ ซินาตรา" อีก 30 ล้านปอนด์

ดูๆ แล้วงานนี้ สเวน และเสี่ยแม้ว ไม่ได้ต้องการแค่ติดหนึ่งใน "ท็อปซิกซ์" หรอกครับ เพราะถ้าฟอร์มยังฉิวติดลมบน แบบนี้ ทีม "ท็อปโฟร์" ก็ท็อปโฟร์เถอะครับ อาจมีน้ำตาตกในได้เลย!!!



ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3016

Wednesday 17 October 2007

สถานการณ์อยู่ในมือ อย่าพลาดเองแล้วกัน


เวลานี้ ขุนพลทีมชาติอังกฤษบินลัดฟ้าเข้าสู่กรุงมอสโก ด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้นหลังต้อน "หมูน้อย" เอสโตเนีย ไปสบายแข้ง 3-0 ณ สนาม เวมบลีย์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

จริงอยู่ครับที่เราไม่อาจวัด หรือตัดสินอะไรได้มากในเกมนี้เพราะคู่ต่อสู้นั่น "ห่างชั้น" ไปหน่อย แต่อย่างน้อยๆ แล้วผมมองว่า อังกฤษเล่นได้ตามแบบฉบับของมืออาชีพอย่างแท้จริง เพราะเราจะเห็นได้เลยครับว่า "บิ๊กแม็ค" และเด็กๆ ไม่ได้มองข้าม "ช็อต" แต่เต็มที่กับเกมนี้จริงๆ

แม้ฟอร์มโดยรวมจะไม่ได้เข้าขั้น "เทพ" หรือเอน เตอร์เทนแฟนๆ ได้มากนักก็ตาม
แต่สัญญาณดีๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย อย่างการกลับมาของ เวย์น รูนี่ย์ ที่ยิงประตูได้อีกครั้ง ไมเคิล โอเว่นที่ดูฟิต และเฉียบคมดีแม้ว่าเพิ่ง จะลงจากเขียงผ่าตัดได้ไม่กี่วันก่อนเกม และพอล โรบินสัน ก็ไม่ได้เสียประตูในนามทีมชาติต่อไปอีกนัด ฯลฯ

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราเห็นในเกมที่ผ่านมา อาจจะดูสวยหรู โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่ "ภาพลวงตา" ไปเลยก็ได้ครับ หากว่าพวกเค้าไม่สามารถจบงานให้สวยได้ในคืนวันพุธนี้

หากจะมองให้ดี อังกฤษมี "การบ้าน"หลายข้อที่ต้อง "เตรียม" และนายใหญ่อย่าง "บิ๊กแม็ค" ต้องตัดสินใจให้ดี หากต้องการผลการแข่งขันที่ต้องการ

ประเด็นแรก ข่าวจาก "The Sun" ที่หลุดมาแล้วว่าอังกฤษอาจจะเปลี่ยนระบบการเล่นเป็น 4-3-3 (เพื่อ หนุ่ม "แลมพ์" โดยเฉพาะเลย หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ) ขณะที่ แกเร็ธ แบร์รี่ จะยืนลึกหน้าแผงกองหลังโดยมี เจอร์ราร์ด และแลมพาร์ด สนับสนุนคู่กองหน้า โอเว่น-รูนี่ย์

หากข่าวนี้เป็นจริงดังที่ The Sun ว่า คงต้องบอกเลยครับว่า "เสียดาย" ปีกสองตัวอย่าง โจ โคล และ ณอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ที่เล่นได้ดี และถือเป็น "คีย์แมน" สำคัญในช่วงที่ 2 นัดที่ผ่านมา

อีกอย่าง คู่เจอร์ราร์ด และแลมพาร์ด ที่คล้ายคลึงกันมากเกินไปนั้น หากไม่สามารถรักษาบาลานซ์ของ ทีมได้แล้วนั้น "บิ๊กแม็ค" คงจะต้องโดนสวดอย่างไม่ต้องสงสัย ผิดกับคู่พาร์ตเนอร์อย่าง เจอร์ราร์ด- แบร์รี่ ที่ดู "ลงตัว" มากกว่า บทบาท และหน้าที่นั้นแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน

ประเด็นตรงนี้ผมจึงมองว่า บิ๊กแม็คไม่ควร จะมาเปลี่ยนระบบในแมตช์ที่มีความสำคัญยิ่งยวดแบบนี้ เพราะทีมชุดที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วครับว่า "สอบผ่าน" กับระบบ 4-4-2 + นักเตะในทีมส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับระบบที่ว่า

ประเด็นที่สอง ตำแหน่งแบ็กซ้ายของ แอชลีย์ โคลที่เจ็บไป ใครจะลงเล่นแทน ?

จากเกมเอสโตเนีย ที่แม็คคลาเรนเอา โจเลียน เลสค็อตต์ไปยืนทางแบ็กซ้ายนั้น ทำให้หลาย ๆ สื่อรวมถึงตัวผมเองมึนกับการตัดสินใจของนายใหญ่สิงโตคำราม เพราะฟิล เนวิลล์ หรือแกเร็ธ แบร์รี่ก็เคยเล่นในตำแหน่งตรงนั้นมาก่อนในสโมสร แต่บิ๊กแม็คกลับเลือกใช้เลสคอตต์ ซึ่งดู "ตื่นสนาม" ในการเปิดตัวนัดแรกในนามทีมชาติ และเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้โคลต้องเจ็บ จากจังหวะที่เจ้าตัวออกลูกเหวอ และโคลต้องวิ่งมาซ้อนและโดนสอยในจังหวะต่อมา

นิกกี้ ชอว์รี่ ที่ได้เล่นในแมตช์อุ่นเครื่องมาสองเกม เป็นซ้ายธรรมชาติคนเดียวที่เหลืออยู่ในทีมชุดนี้ แต่ประสบการณ์ในเกมระดับนานาชาติ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ดังนั้น โอกาสของชอว์รี่ หากเทียบกับ ฟิล เนวิลล์ ที่มีประสบการณ์ในระดับนี้มากกว่า โอกาสของทั้งคู่จึงอยู่ที่ 50-50 และอยู่ที่ "บิ๊กแม็ค" ว่าจะเลือกใคร?

ประเด็นต่อมาคือเรื่องที่ แฟนบอลอังกฤษจำนวนไม่น้อยทีเดียว โห่ใส่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในนัดที่ผ่านมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกครับที่แฟนบอลเมืองผู้ดีโห่ใส่นักเตะของพวกเค้าเอง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน "เหยื่อ อารมณ์" ของแฟนบอลผู้เรียกตัวเองว่า "ผู้ดี" แต่บางครั้งการกระทำมัน "ตรงข้าม" ก็ได้แก่ ปีเตอร์ เคราช์ และ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์

ที่เคราช์โดนโห่นั้น สาเหตุน่าจะมาจาก ความผอมบาง และหุ่นที่ดูสูง ไม่เหมาะกับการเป็นนักกีฬา แฟนอังกฤษจึงค่อนข้างดูถูก "ความสามารถ" โดยเลือกตัดสินจากรูปร่าง

ขณะที่ ฮาร์กรีฟส์นั้น แฟน ๆ มองว่าเจ้าตัวเป็น "เด็กเส้น" ของสเวน โกรัน เอริคส์สัน

อย่างไรก็ดีสองคนที่ว่ามา สามารถผ่านจุดนั้นมาได้ ด้วยการโชว์ "ผลงาน" ที่แสดงออกไปในสนาม และกลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างราบคาบ

ประเด็นของ แลมพาร์ดนั้น สาเหตุที่แน่ชัดนั้นยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ดี มันสมควรแล้วเหรอสำหรับนักเตะที่ถือเป็น "แกนหลัก" และรับใช้ชาติอย่างตั้งใจมาตลอดจะต้องโดนโห่ ?

ส่วนตัวแล้ว แม้ผมจะไม่ใช่คนอังกฤษ แต่ก็รู้สึกอับอายแทนกลุ่มคนจำนวนเล็กๆ ที่ไม่ให้เกียรติคนที่ทำชื่อเสียง และประโยชน์ให้ชาติตัวเองแบบนี้..

ไม่อยากซีเรียสแล้ว มาประเด็นสุดท้ายกันดีกว่าครับ

ประเด็นสุดท้ายที่อยากจะเขียนก็คือ เรื่องสนามหญ้าเทียมซึ่งเป็นที่ "ถกเถียง" กันอย่างกว้างขวางว่าจะส่งผลกระทบสำหรับทีมชาติอังกฤษ หรือไม่?

ถ้าไม่รวมเรื่องเสียงเชียร์ของแฟนบอล ในสนามแล้ว ตรงนี้อาจจะเป็นข้อได้เปรียบอีกข้อหนึ่งของทัพ "หมีขาว" รัสเซียภายใต้การคุมทีมของกุส ฮิดดิ้งส์ เพราะเจ้าถิ่นน่าจะคุ้นเคยกับสนามแบบนี้มากกว่า

แต่นั่นไม่ใช่ของอ้างแน่นอนในเวลานี้ที่สถานการณ์ อยู่ในกำมือของพวกเค้าที่ต้องการแค่ 1 คะแนนเพื่อ การันตีการไปเล่นรอบสุดท้ายที่ ออสเตรีย & สวิตเซอร์แลนด์ 99.99% ครับ


Wednesday 10 October 2007

เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม : Bloody Beautiful!!!


ว่ากันว่าใครก็ตามที่ได้ไปเยือน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าของ "เจ้าปืนใหญ่" อาร์เซนอล เป็นต้องหลงรักสนามแห่งนี้ คำกล่าวนี้ผมได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยสักทีที่จะปักใจเชื่อ

ทำไมเหรอครับ...ก็เพราะผม ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของทีมปืนโตสักหน่อย ทำไมผมต้องไปหลงใหลอะไร หรือติดใจอะไรในสนามแห่งนี้ด้วยล่ะ

เกม "อาร์เซนอล-ซันเดอร์แลนด์" ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คือ (แค่) ภารกิจของผมประจำสัปดาห์ และก็เป็นครั้ง แรกด้วยที่ผมจะได้เหยียบสนามที่หลายๆ คนได้ไปเยือนมาแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "อลังการงานสร้าง"

คืนก่อนเกมจะเริ่ม ผมได้รับข้อความจาก "ใหม่ โมบาย" พี่ชายคนสนิท ข้อความที่ได้มีดังนี้ "Don't fall in love with the Emirate stadium na, it's bloody beautiful!" ผมมีรอยยิ้ม ที่มุมปากพลางคิดในใจว่า ไม่มีวันซะหรอก ที่เราจะตกหลุมรักสนามทีมคู่แข่งอย่าง อาร์เซนอล เพราะผมมอบกายถวายใจให้ทีมน้องไก่มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว

เกมคู่นี้ คิกออฟเวลาเที่ยงตรง ตามเวลาที่ประเทศอังกฤษ (6 โมงเย็นบ้านเรา) ซึ่งถือว่าค่อนข้างเช้าไปหน่อยสำหรับผม เพราะสภาพอากาศที่ประเทศอังกฤษยามนี้เริ่มเข้าสู่ช่วง Winter หรือ "ฤดูหนาว" แล้ว อากาศจึงเย็นสบาย น่านอนตื่นสายเป็นอย่างยิ่งสำหรับวันอาทิตย์แบบนี้



ผมไม่ทานอะไรเลยก่อนออกจากบ้านครับ เพราะตั้งใจว่าจะไปหาหม่ำใน Press lounge และก็ไม่ผิดหวัง อาหารเช้าที่นี่เป็น สไตล์อังกฤษแท้ๆ ที่มีแฮม ไข่ และมันฝรั่งบด ยืนพื้น ช่วงที่ทานไป ผมก็เช็กตัวผู้เล่นจาก Team Sheet ที่รีเซพชันสาว สวยแจกให้หน้า Press room ไปด้วยพร้อมๆ กัน

ถึงตอนนี้ ตั้งแต่เดินเข้าสนามมาจนถึงห้องนักข่าว ผมชักจะรู้สึกได้แล้วครับว่า Facilities หรือสิ่งอำนวย ความสะดวก ที่นี่ยอดเยี่ยม และไฮเทคมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของ สนาม พื้นที่จัด ไว้ให้นั่งทำงานของนักข่าว ก็ถูกจัดสรร ได้อย่างเป็นสัดส่วน ห้องน้ำห้องท่าที่ใหม่ และสะอาดมาก (เมื่อเทียบกับสนามของเชลซี และสเปอร์ส ที่ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่)

ในส่วนของ Press box ของนักข่าวก็จะมีมอนิเตอร์ เล็กๆ ไว้ให้ดูภาพช้า หรือจังหวะสำคัญ ของเกมซึ่งถูกใจผมมาก เพราะที่นั่งใน วันนี้ค่อนข้างเตี้ยจึงเห็นเกม ไม่ค่อยถนัดสักเท่าไร บวกกับแฟนอาร์เซนอล ที่นั่งข้างหน้า ผมชอบยืนลุ้นในจังหวะ สำคัญ ผมจึงไม่มีทางเลือก และได้ไอ้เจ้ามอนิเตอร์นี่แหละ ที่ช่วยให้ไม่พลาด "ช็อต" สำคัญของเกม

รูปเกมในวันนี้ อาร์เซนอล ออกสตาร์ต ด้วยความ "มั่นใจ" หลังผลงานในระยะหลังค่อนข้างติดลมบน และเพียง 14 นาทีลูกทีมของน้าเหี่ยวก็ได้สองลูกอย่าง รวดเร็วจากฟรีคิก ของ ฟาน เพอร์ซี่ และลูกยิงท่า "ประหลาด ๆ" ของฟิลลิป เซนเดอรอส

เปิดเกมแบบนี้ "โมเมนตัม" ในสนามจึงมาทางฝั่ง อาร์เซนอล หมดครับ และดูเหมือนว่าเด็กๆ "ยังกันส์" จะยังเดินหน้ารังแกนักเตะ "แมวดำ" อย่างเมามันอารมณ์

กระทั่ง ร็อบ สไตล์ส ปฏิเสธลูกยิงของ วาสซิริกี้ ดิอาบี้ ที่ดูยังไงๆ ก็ไม่เป็นลูกล้ำหน้านั่นแหละ ครับที่เหมือนเป็นตัวจุด "ประกายแห่งความหวัง" เล็กๆ ให้ แมวดำเก้าชีวิตลุก ขึ้นมาจากหลุมในภายหลัง

อย่างไรก็ดี หากสังเกตใน จังหวะนี้ จะเห็นได้ว่าทั้งนักเตะอาร์เซนอล รวมถึงอาร์แซน เวนเกอร์เองก็ไม่ได้ติดอก ติดใจ อะไรกับลูกนี้ มิหนำซ้ำผมยังแอบเห็น เวนเกอร์คุยยิ้ม "ขำๆ" กับมือขวาอย่าง แพต ไรซ์ อยู่เลย เนื่องจากรูปเกมเหนือกว่ามาก และนำถึงสองลูก

หารู้ไม่ว่านักเตะซันเดอร์แลนด์มี "เลือดนักสู้" ไม่แพ้กุนซือของพวกเค้า...

กว่าขงเบ้งลูกหนัง และเด็กๆ มารู้ตัวอีกทีว่าต้องเร่งเครื่อง เมื่อ รอสส์ วัลเลซ ยิงประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น
2-1 อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น "เครื่อง" อาร์เซนอลก็เหมือนจะ "ช็อต" ไปดื้อๆ และแม้จะมีโอกาสใกล้เคียง สอง สามจังหวะ ซันเดอร์แลนด์ก็ได้ เคร็ก กอร์ดอน ประ-ตูหนุ่มค่าตัวแพงเซฟ สวยๆ ได้หมด

ช่วงพักครึ่ง ผมไม่ทราบว่าขุนพลซันเดอร์แลนด์ได้รับ "บัญชา" อะไรจาก รอย คีน แต่ "หัวจิต หัวใจ" ที่ในครึ่งเวลาหลังทำ ให้ค่อนข้างเชื่อครับว่า แม้รอย คีน จะยังไม่สามารถพาทีมเก็บชัย ชนะนอกบ้านได้เลย ในปีนี้ แต่หากพวกเค้ายังเล่นด้วย "ใจ" แบบนี้ พวกเค้าไม่คู่ควรอย่างยิ่งถ้าจะต้อง ตกชั้น

อย่างไรก็ดี รอย คีน น่าจะพอใจกับ 1 คะแนน จากเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แต่เปล่าเลยครับ เพราะหลังจากตีเสมอได้ในช่วงต้นครึ่งหลัง คีนยังสั่งให้ลูกทีม "เดินหน้า ล่า 3 คะแนน" ซึ่งผมเสียว ๆ อยู่แล้วว่าซันเดอร์แลนด์ทำไมจึง "กล้า ๆ" แลกกับทีมที่มีแนวรุกที่น่ากลัวที่สุดทีมหนึ่งในลีก

หลายต่อหลายจังหวะครับที่ พอล แม็คเชน และแดนนี่ คอลลินส์ สองวิงแบ็กเติมเกมรุก "ลึก" จนเกือบสุดเส้น

คิดเหรอครับว่า "ช่องโหว่" ตรงนี้จะพ้นสายตาอันแหลมคม ดุจพญาเหยี่ยวอย่าง เวนเกอร์ เมื่อเจ้าตัวจัดการส่ง ธีโอ วัลค็อตต์ มา "ปิดฝาโลง" แมวดำเก้าชีวิต ของรอย คีน ที่เล่น "แลก" แบบไม่กลัวตาย

และวัลค็อตต์ก็ทำได้ตามที่กุนซือเฟรนช์แมนต้องการครับ เมื่อสบจังหวะที่แบ็กซันเดอร์แลนด์ดัน ขึ้นสูงแล้วใช้ความเร็วที่มีเจาะเข้าทาง "รอยโหว่" และจัดการใส่พานให้กองหน้าที่ฮอตที่สุดในเวลานี้อย่าง "เดอะ แมน ฟาน เพอร์ซี่" ที่ยิง 3 เกมต่อเนื่องเข้าไปแล้ว

"โลภมาก มักลาภหาย" คือสิ่งที่ รอย คีน ต้องนำไปเรียนรู้ และปรับปรุงทีมในแมตช์ต่อ ๆ ไป ขณะที่เวนเกอร์ และเด็กๆ ได้บทเรียนจากเกมนี้ก็คือ "ความประมาท เป็นบ่อเกิดของความหายนะ"

เด็กๆ "ยังกันส์" ชุดนี้มี "ศักยภาพ" ที่จะเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์แชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สูสีที่สุดในช่วงโมงนี้ครับ อยู่ที่ว่าพวกเค้าจะ "ยืนระยะ" และ "ทน แรงเสียดทาน" ได้นานแค่ไหน เพราะปัจจุบันพวกเค้ารั้งตำแหน่งจ่าฝูง ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่แฟนๆ จะอดไม่คิดถึงตำแหน่งแชมป์ในปีนี้

เกมนี้จบลงไปด้วยความชื่นมื่นของแฟนบอลเจ้าถิ่นตามคาดครับ แม้ว่าเกมจะเกือบๆ "พลิก" อยู่เหมือนกัน
ขณะที่ตัวผมเองก็ไปนั่งทาน ไอศกรีม Ben & Jerry ใน Press lounge ต่ออีกหน่อยก่อนออกไปเดินยืดเส้นยืดสายใน Mega Store ของอาร์เซนอล พลางคิดในใจว่า ผมจะต้องกลับมาเยือนเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม อีกให้ได้ เพราะสนามเค้า Bloody Beautiful หรือ "งามหยดย้อย" ตามที่คนเค้าว่าไว้จริง ๆครับ!!

Wednesday 3 October 2007

เยือน " เดอะ บริดจ์ " ในเกมสุดจืด!!!

เช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ณ เวลา เก้าโมงกว่าๆ ผมพยายามดีดตัวเอง ให้ออกจากผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมตัวกระผมอยู่ ความรู้สึกด้านนึง ไม่อยากจะตื่นเลยครับ ให้ตายเถอะ แต่ทำไงได้ครับ วันนี้ผมมีนัดกับคุณลุง อัฟรัม แกรนท์ กุนซือหน้าไม่รับแขกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อชมเกม เชลซี-ฟูแล่ม

เกมนี้ผมมาถึง สนามก่อนเวลาเตะถึง 3 ชั่วโมงครับเนื่องจาก ต้องการมานั่งจิบกาแฟ และ นั่งเล่นอินเตอร์เน็ต เช็กข่าวสารที่บ้าน เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ที่ร้าน Starbucks สาขา Fulham broadway ให้สบายอารมณ์

แต่แล้วผมก็ต้องอารมณ์ บ่ จอย แต่หัววันครับ เพราะ ณ ตั้งแต่เดือน ตุลาคมนี้เป็นต้นไปลูกค้าที่จะเข้าไป นั่งดื่มใน สตาร์บัคส์ ทุกสาขาในประเทศอังกฤษ จะไม่มีโอกาสได้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรีๆ อีกแล้วเนื่องจากทาง สตาร์บัคส์ได้จับมือกับ T-mobile บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่เข้ามา "หารายได้" กับลูกค้าโดยจะต้องสมัครเป็นสมาชิกและเสียค่าบริการรายเดือน

โอ๊ย...เซ็งครับ สำหรับคนเริ่มเป็น ลูกค้าขาประจำอย่างผม เพราะจากนี้คงไม่ได้ไปเล่นเน็ตชิวๆ พร้อมจิบกาแฟที่นั่นบ่อย ๆ เหมือนอย่างเคยแล้ว

พิมพ์ไปบ่นไป อีกแล้ว...แฮะๆ เข้าเรื่องเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ต่อน่ะครับ ^_^

ความรู้สึกก่อนจะเข้าไปชมเกมนี้ ในใจคิดไว้ว่าเชลซีภายใต้ "ผู้นำ" คนใหม่อย่าง แกรนท์น่าจะพาทีม ปราบพยศลูกทีมของ ลอว์รี่ ซานเชซ ได้ไม่ยากหลังจากเพิ่งอัด ฮัลล์ ซิตี้ ในคาร์ลิ่งคัพ ไป 4-0 เมื่อวันพุธ
ชัยชนะดังกล่าวจึงทำให้ผมพาลคิดไปว่า "ความเชื่อมั่น" และ "ศรัทธา" ที่นักเตะมีต่อ "ทีม" น่าจะ "คัมแบ็ก" แต่เกมนี้ ด้วยสองตาที่เห็น พร้อมกับความรู้สึกที่ได้ และสัมผัสผ่าน เสียงตะโกนโห่ร้องของแฟนเชลซีบวก กับอากัปกิริยาของนักเตะเชลซีเอง ทำให้ผมยังปักใจเชื่อว่า ความรู้สึกตรงนั้นยังคงต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าที่มันจะกลับมาเป็นดังเดิม หรือดีไม่ดี อาจจะถึงกับต้องเปลี่ยน "หัวเรือ" กันเลย

จริงอยู่ครับที่แม้บอร์ดบริหาร ยังออกมาประกาศปาว ๆ ว่า พร้อมสนับสนุน แกรนท์ใน ระยะยาวแต่ดูจากเกม West London derby match เกมนี้แล้วการทำได้เพียงเสมอ ฟูแล่ม 0-0 แบบไข่ไม่แตก หนำซ้ำยังเกือบพลาดท่าเพลี่ยงพล้ำ ด้วยซ้ำในช่วงนาทีที่ 86 ที่พอล คอนเชสกี้ หลุดไปดวลกับ ปีเตอร์ เช็ก หนึ่งต่อหนึ่งแต่ยังเป็น โชคดีของ แกรนท์ครับที่ เช็กโชว์ซูเปอร์เซฟในจังหวะ "สำคัญ" นี้ได้

ทำไมผมถึงว่าจังหวะนี้ "สำคัญ"น่ะหรือครับ?

ก็เพราะว่า ในศึกพรีเมียร์ชิพ ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2004 เชลซียังไม่เคยโดนทีมใด บุกมาลูบคม หรือ หยิบยื่นคำว่า "แพ้" ให้เลยภายใต้การคุมทีมของชายชื่อ โจเซ่ มูรินโญ่
นับจากนี้เป็นต้นไป ผมคาดว่า "สถิติ" ที่ได้ถูกรักษามาอย่างยาวนานนี้ ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะจบลงแน่ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเกมไหน และเมื่อไร เท่านั้นเอง

เฉพาะอย่างยิ่งที่ แกรนท์ ไม่ได้มีชื่อเสียง หรือบารมีอย่างกุนซือที่ผลงาน "การันตี" อันจะทำให้การ
"วัดรอยเท้า" กับมูรินโญ่ที่ คาแรกเตอร์ และผลงาน "แจ่มแจ้ง & ชัดเจน" กว่านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
มันก็เลยเป็นที่มาของการ ทำได้เพียงแค่เสมอทีมอย่างฟูแล่ม 0-0

เท่าที่ผมสังเกตดูแล้ว แม้ว่าตัวผู้เล่นยังเป็นชุดเดิม ๆ ของมูรินโญ่ สไตล์การเล่นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปซะทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมที่ผมพอจะรู้สึก ได้ก็คือนักเตะ เชลซีขาดผู้นำที่คอยกระตุ้น และนำ "Inspiration" หรือแรงดลใจซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่ ทัศนะคติ Win-Win หรือความกระตือ รือร้นที่จะเอาชนะคู่แข่งนั้นเอง
และผมเองมองว่า การที่แกรนต์ ให้โอกาส อังเดร เชฟเชนโก้ ลงตั้งแต่ต้นเกม และให้ทำหน้าที่รับผิดชอบ ลูกฟรีคิกสองครั้งในช่วงครึ่งแรก รวมถึงบทบาท Free role ยืนอยู่หลัง ดิดิเยร์ ดร็อกบา นั้น ดูเป็นการเอาใจ โรมัน อบราโมวิช มากเกินไปหรือเปล่า?

จริงอยู่ครับที่แกรนท์ต้องการดึง "ความมั่นใจ" ของหัวหอกยูเครนกลับมา

แต่การเตะฟรีคิกไม่ขึ้นสองครั้งสองครา แม้เจ้าตัวจะดู "ตั้งใจ" มากเหลือเกิน แต่เหมือนว่าการที่เจ้าตัวยิ่งพยายาม ก็ยิ่งกลับกลายเป็นยิ่งแย่ และไม่มีสัญญาณใด ๆ เลยที่จะทำให้เรามีหวังจะได้เห็น "เชว่า" คนเดิมสมัยที่เล่นให้ เอซี มิลาน

น่าเสียดายครับที่ "เชว่า" ไม่ได้เป็นคนที่ถูกรักของผู้คนที่นี่ เพราะยามที่เขาตัวโดนเปลี่ยนออกให้เคลาดิโอ ปิซาร์โร่ เข้ามาแทนในนาทีที่ 54 นั้น แฟนเชลซีหลายๆ คน ก็เริ่มมีเสียงโห่ให้เห็นกันบ้างแล้ว
และหลังเกมเจ้าตัวก็นั่งเครื่องบินตรงไปมิลาน เพื่อฉลองครบรอบวันเกิด 31 ปีที่นั่นทันที แค่นี้ก็พอรู้แล้วล่ะครับว่าเชฟเชนโก้ไม่ได้รู้สึกว่าอังกฤษเป็น "บ้าน" เค้าเช่นกัน

ย้อนกลับมาที่สถานการณ์ของเชลซีในเวลานี้ โอเค... เกมนี้ แกรนท์อาจจะเหลือผู้เล่นแค่สิบคนในช่วง 15 นาทีสุดท้าย เพราะดร็อกบา โดนใบเหลือง-แดงออกไป


แต่แทคติกส์โดยรวมของแกรนต์ที่ว่าจะนำ "เอนเตอร์ เทน" ฟุตบอลมาสู่เชลซี คาดว่าแฟนๆ ที่ดูเกมนี้อยู่คงอด คิดแบบผมไม่ได้เหมือนกันว่า มัน "เอนเตอร์เทน" ตรงไหน เพราะขนาดไปดูถึงขอบสนาม บางช่วงจังหวะของเกม ผมยังเกือบจะหลับเอา

"ความเคารพนับถือ" และ "ศรัทธา" ที่นักเตะมีต่อ แกรนท์ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ เนื่องจากข่าวความไม่พอใจ วิธีการซ้อมของทีมรวมถึงไม่มั่นใจใน "ฝีมือ" แกรนท์ของนักเตะซีเนียร์หลาย ๆ คนก็หลุดมาตามสื่อเป็นระยะๆ

และหากไม่มีอะไรผิดพลาด สตีฟ คลาร์ก มือขวาเก่า ของมูรินโญ่ก็จะอยู่ช่วยแกรนท์ถึงแค่วันอาทิตย์ที่จะ ถึงนี้ในแมตช์กับโบลตันเท่านั้นหลังเจ้าตัวรู้ว่าถึงเวลาเสียทีกับ การเริ่มบทบาทผู้จัดการทีมเองหลังจากบ่มเพาะ ประสบการณ์มาพอดูกับโจเซ่ มูรินโญ่

มุมมองผมแล้ว อัฟรัม แกรนท์ ต้องให้ "ผลงาน" ในเกมวันพุธนี้ที่จะไปเยือนบาเลนเซีย เป็นการตอบคำถามสื่อมวลชนที่เคลือบแคลง และสงสัยในความสามารถของ เจ้าตัว

หากทำได้ในเกมระดับยุโรปเกมนี้ ผมเชื่อว่าแกรนท์อาจจะเรียก "ความสามัคคี" และ "กำลังใจ" จากนักเตะรวมถึงแฟนบอลกลับมาได้ไม่มากก็น้อย

แต่ถ้าหากว่าเจ้าตัวยังพาทีมสิงห์บลู ออกทะเลอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า ท่านประธานซึ่งใจร้อน+เอาแต่ใจ ตัวเอง (ไม่น้อย) อย่างอบราโมวิช จะยังใช้บริการแกรนท์ จนถึงช่วงปีใหม่หรือเปล่า ??


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2995

Monday 1 October 2007

อาร์เซนอล กับเรื่องเงินๆ


ช่วงดวงมันจะขึ้น ใครก็ฉุดกระชากลากไว้ไม่อยู่จริงๆสำหรับผลงานการบินถลาลมบนฟากฟ้าล่าสุดจากขุนพล “เดอะกันเนอร์”

นอกจากผลงานนัดหลังๆที่ “ปรัชญา” ในเกมรุกนั้นยากที่ทีมใดบนพื้นแผ่นดินอังกฤษจะลอกเลียนแบบ สไตล์การเล่นที่น่าตื่นตา+ โดนใจ แล้ว ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสถานะการเงินของพวกเค้าก็น่าชื่นใจแทนแฟนๆพวกเค้าเป็นอย่างยิ่งครับ

ณ เพลานี้ อาร์เซนอลภายใต้การคอนโทรล ของบอร์ดบริหารที่นำโดยท่านประธาน ปีเตอร์ ฮิลล์วูด กลายเป็นทีม ที่ล่ำซำที่สุดในประเทศ เหนือทีม ทีมที่เคยเป็น “สุดยอดเจ้าสัว” ด้านการเงินอย่าง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างราบคาบ

นอกจากนี้พวกเค้ายัง “สถาปานา”ตนเองขึ้นเป็นทีม ร่ำรวยอันดับสอง รองจาก เรอัล มาดริดได้อีกด้วย ตาม รายงานของฝ่ายการเงินของสโมสรเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

“ตัวเลข” ณ วันปิดไตรมาส เมื่อ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่สรุปได้คร่าวๆก็คือ พวกเค้าฟัน “กำไร”
ไปแล้วในปีนี้ 51.2 ล้านปอนด์ (3,584 ล้านบาท)


และนับตั้งแต่ ย้ายบ้านมาใช้ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เป็น สนามเหย้า Turn over หรือ ผลกำไร ที่ได้รับเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ ราวๆ 200 ล้านปอนด์ (14,000 ล้านบาท) เข้าไปแล้ว

ขณะที่ทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับเพียง 167.8 ล้านปอนด์ (11,746 ล้านบาท) และ เชลซีตามมาห่างๆที่ 152.8 ล้านปอนด์ (10,696 ล้านบาท)

ยอดขาย ตั๋วต่อหนึ่งเกมใน บ้าน (ณ ความจุ กว่า 60,000 ที่นั่ง) ก็สูงถึง 3.1 ล้านปอนด์
(217 ล้านบาท) !!

ผมเป็นคนนึงครับที่ดู ข้อมูลตรงนี้แล้ว ช็อกตาตั้งกับยอดรายรับของอาร์เซนอล ในปีนี้

ใครจะไปเชื่อล่ะครับ เพราะเมื่อไม่กี่ฤดูกาลก่อน ช่วงที่พวกเค้ายังต้องหมุนเงินเพื่อนำไป “โปะ” จ่ายค่าสร้างสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม “สถานะความเป็นอยู่” เป็นไปแบบแทบ จะ “อดมื้อกินมือ”อยู่เลย

บ่อยครั้งที่กุนซือหน้าเหี่ยว ต้องแบกหน้าย่นๆของแกเพื่อของบประมาณไปช้อปซื้อนักเตะมาเสริมทีมก็ถูกตอกกลับมาให้หน้าหงายอยู่บ่อยๆ ถ้าเปรียบเปรยกับภาษาไทยให้ได้อารมณ์หน่อย บอร์ดบริหารของทีมก็คงพูดประมาณว่า “ข้าไม่มีเงิน เอาไว้ก่อน”

แต่จู่ๆขณะที่ ขงเบ้งเมืองน้ำหอมกำลังตาหน้าตั้งตา “ปั้น” เด็กๆในสังกัด ในสนามซ้อมของทีมอยู่… เหมือนมีหีบเงินใบใหญ่ มูลค่า 70 ล้านปอนด์แหวกมวลอากาศมาหล่นใส่ศรีษะ เวนเกอร์ครับ เมื่อบอร์ดบริหารได้แจ้งข่าวดีให้ทราบว่า เงินในหีบจำนวนดังกล่าว จะสามารถถูกใช้เป็น งบประมาณในการเสริมทัพได้ในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคมนี้

ต้องยอมรับแบบลูกผู้ชายครับว่า เมื่อตอนต้นฤดูกาลผม Under-estimate หรือ ดูแคลนอาร์เซนอลไปพอสมควร เพราะไม่เชื่อน้ำยาขุนพล ยังเตริก์ ชุดนี้ ว่าจะพาทีมไปมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ชิพหรือแม้แต่กระทั่ง ติดอันดับเป็นหนึ่งในสี่ได้ เนื่องจาก หลงยิ้มกริ่ม แอบดีใจอยู่ในภวังค์ คิดว่า ทีมรักอย่างสเปอร์ส จะเป็น
“ม้ามืด” สอดแทรกได้ในปีนี้

แต่อย่างที่เห็นสถานการณ์กันดีในตอนนี้ครับ ทีมน้องไก่จมปลัก อยู่อันดับ 18 และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นหลัง “โควตา”ยิงประตู “หมด”หลังออกแนวบ้าพลังยิงไปซะเยอะ ในศึกยูฟ่าคัพเมื่อพฤหัสบดีก่อน

ขณะที่ อาร์เซนอล ยิ่งเล่นยิ่งดี ความเข้าใจของตัวผู้เล่นเดิมๆ + ความกระหายในชัยชนะหลังจากไร้เงา ผู้เล่นทรงอิทธิพล อย่าง อองรี มันทำให้ ฟอร์มของพวกเค้า “กระฉูด” อย่างที่เห็น หลังจากยิงไม่เคยน้อยกว่า 3 ลูกใน 5 นัดหลังสุด

และเท่าที่กวาดตามอง ทีมคู่แข่งอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ปัญหา “โรเตชั่น” ส่งผลกระทบฟอร์มในลีกของ ราฟาเอล เบนิเตซ อีกครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ดเองที่แม้จะ ยังชนะได้ต่อเนื่อง ก็ยังดู ไม่ค่อยน่ากลัว อย่างที่ควรจะเป็นในแนวรุก

ขณะที่ เชลซีภายใต้ การคุมทีมของ อัฟราน แกรนต์ อาจจะหลุดวงโคจรการลุ้นแชมป์ในปีนี้ เอาได้เนื่องจากคงต้องใช้เวลาในการรวบรวมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในทีมให้ได้เสียก่อน และนั่นอาจใช้เวลาพอสมควร ซึ่งมันอาจจะสายเกินไปในการกลับมาสู่เส้นทางการลุ้นตำแหน่งแชมป์

มันจึงเท่ากับว่า โอกาสในการลุ้นแชมป์ของทีมปืนโต มีลุ้นเพิ่มขึ้นมาอีกอักโข เมื่อดูจาก ฟอร์มการเล่น
ณ ตอนนี้ + เม็ดเงินอัดฉีดจำนวน 70 ล้านปอนด์ที่กำลังจะเข้ามา

แต่ทั้งนี้ ทั่งนั้น อาร์เซนอลก็ต้องมั่นใจครับว่า การ Take over ที่อาจมีขึ้น จะไม่ส่งผลกระทบกับฟอร์มการเล่นในสนามของพวกเค้า

ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการพยายาม กว้านซื้อหุ้นเพิ่มของ อลิเชอร์ อุสมานอฟ ที่ผม ได้ “กลิ่น” ไม่ค่อยดีก็คือ ความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในบอร์ดบริหาร ของอาร์เซนอล

จริงอยู่ครับที่ แม้ ปีเตอร์ ฮิลล์วูด จะออกประกาศเสียงดังฟังชัดว่ายังไงก็จะไม่ขายหุ้นให้แก่ อลิเชอร์
อุสมานอฟ และ เดวิน ดีน อดีตรองประธานที่จดทะเบียนเปิดบริษัท เรดแอนด์ไวท์ ร่วมกัน และครองสิทธิ์ ถือหุ้นในสโมสรไปแล้วกว่า 21 เปอร์เซ็นต์ และ ต้องการอีกแค่ 9 เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีสิทธิ์ อย่างน้อยในการ ยื่นขอ เทกโอเวอร์ สโมสร

แต่อย่าลืมครับว่า บอร์ดบริหาร คนอื่นๆในทีมจะเห็นด้วยหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ ? ผมจึงเกรงว่าผลงานที่กำลังโลดแล่นติดลมบน ในปัจจุบัน อาจจะชะงักได้ หากบอร์ดบริการ ดันทะลึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันและ
งัดข้อกันเอง ..

ส่วนตัวแล้ว หากมีการเปลี่ยนมือ เจ้าของจริงๆ ผมอยากให้ สแตน โครเอนเก้ นักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่มีข่าวอยากเทกโอเวอร์ อยู่เช่นกัน น่าจะเป็นตัวเลือกที่ น่าสนใจกว่า เพราะ อยู่ในวงการกีฬามาอยู่แล้ว ดูมีความตั้งใจที่จะพัฒนาทีมอาร์เซนอลให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นมากกว่า อีกทั้งแผนการลงทุน น่าจะเป็นไปในระยะที่ยาวกว่า

ผิดกับ คู่หู อุสมานอฟ-ดีน ที่คนนึงดูจะเข้ามาแสวงแต่กำไรจากสโมสร โดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้าน ขณะที่ ดีน การกลับมาในครั้งนี้ เหมือนมา Take revenge หรือ แก้แค้น และ ครองความเป็นใหญ่อีกครั้งในสโมสรที่เค้ารัก หลังจากที่เคยโดนบีบให้ลาออกไปเนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันกับบอร์ดบริหารคนอื่นๆ

ถึงตรงนี้เป็นหน้าที่ของบอร์ดอาร์เซนอลแล้วครับ ว่าจะสามัคคีกันแค่ไหน เพราะ พวกเค้าก็เหมือน Custodian หรือ ตัวแทนของสโมสรที่จำต้องดูแล ปกป้อง ความรู้สึกแฟนบอล + ความเป็นไปของสโมสร

หรือสรุปให้ชัดเลยก็คือ พวกเค้าต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อ อาร์เซนอลครับ หากมีการโอนถ่ายเปลี่ยนมือเจ้าของกันขึ้นมาจริงๆ

Wednesday 19 September 2007

โอกาสของ "บิ๊กโฟร์" ในเวทียุโรป



ฟุตบอล ยูฟ่ าแชมเปี้ยนลีก ประจำฤดูกาล 2007-2008 ได้ฤกษ์เปิดฉากให้คอบอลได้ลุ้นกันแล้วตั้งแต่คืนวันอังคารที่ผ่านมา ผลแต่ละคู่เป็นอย่างไรคาดว่าท่านผู้อ่านน่าจะได้ทราบกันไปเรียบร้อยแล้ว

สี่ทีม "บิ๊กโฟร์" จากพรีเมียร์ชิพได้รับการจับตามองมากเหลือเกิน ในปีนี้เนื่องจากผลงานในช่วงปีหลังๆ เข้าตาดีเหลือเกินโดย เฉพาะฤดูกาลที่ผ่านมาที่ลิเวอร์พูล, เชลซี และแมนฯยูไนเต็ด ได้มีโอกาสทะลุเข้าไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายโดยเป็นลูกทีม ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับคู่ปรับเก่าอย่าง เอซี มิลาน แต่พลาดท่าปราชัยไปอย่างน่าเสียดาย

เห็นพัฒนาการของทีมจากอังกฤษในช่วงปีหลังๆ แล้วต้องยอมรับครับว่าพวกเค้าได้ยกระดับ มาตรฐานตัวเองไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะสามารถต่อกรทีมต่างๆ จากยุโรปได้อย่างไม่เป็นรองเลยโดยหากย้อนดูสถิติสามปีหลังสุดที่ตัวแทน 1 จาก 4 ทีมได้เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ (ลิเวอร์พูล ปี 2005 และ 2007, อาร์เซนอล ปี 2006)

ในปีนี้ "โอกาส" ของแต่ละทีมในความเห็นของผมดูแล้วสูสี ดู๋ดี๋ ยากที่จะคาดเดาเหลือเกินครับ เพราะแต่ละทีมนั้นคุณภาพคับแก้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมยักษ์ใหญ่ขาประจำอย่าง เอซี มิลาน เรอัล มาดริด หรือบาร์เซโลน่าที่น่าจะเป็น แคนดิเดต ที่น่ากลัว สำหรับ "บิ๊กโฟร์" จากประเทศอังกฤษ

ประเด็นที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ก็คือ "มุมมอง" ผมที่มีต่อ สี่ทีม "บิ๊กโฟร์" ในถ้วย UCL ปีนี้ครับ

เชลซีของโจเซ่ มูรินโญ่ ที่ปีนี้เจอความกดดันมากเหลือเกิน เพราะท่านประธานโรมัน อับราโมวิช อาจจะหมดความ อดทนกับกุนซือปากจัดรายนี้หากในปีนี้ยังไม่สามารถนำถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก มาประดับตู้โชว์ในสโมสรได้อีก ดังนั้นความมุ่งมั่นในถ้วยนี้ของมูรินโญ่ในปีนี้ จึงอยู่ในระดับ "สูงมากถึงมากที่สุด" เพราะเจ้าตัวไม่มีทางเลือกแล้วครับ หากหวังจะเห็นตัวเองคุมทีมต่อไปในซีซั่นหน้า

แมนฯยูไนเต็ด ที่ในปีที่แล้วโดดเด่นเหลือเกินในแนวรุกแต่กับแนวรับแล้ว พวกเค้าขาดกองกลางตัวรับมาคอยผ่อนแรงแผงหลัง จึงโดนเอซี มิลาน แชมป์ เก่าสอนเชิงไปในรอบ เซมิ-ไฟนัล
ในปีนี้ ท่านเซอร์ อเล็กซ์จึงกำจัดจุดอ่อนตัวเองด้วยการซื้อ โอเว่น ฮาร์ กรีฟส์ ตัวรับธรรมชาติมาเพื่อกิจนี้โดยเฉพาะ เพราะนายใหญ่ผีแดงหวังเหลือเกินว่าก่อนที่เค้า จะรีไทร์จะสามารถพาทีมผีแดงชนะเลิศถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกให้ได้

ลิเวอร์พูล "รองแชมป์" เมื่อปีที่แล้ว ผู้จัดการทีม ราฟาเอล เบนิเตซ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าปีนี้พวกเค้าหวังถ้วยพรีเมียร์ชิพเหนือสิ่งอื่นใด แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าถ้วยใบใหญ่ของยุโรปพวกเค้าจะเพิกเฉยซะที่ไหน
การเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงในเวทียุโรปของ เอลราฟา ทำให้พวกเค้ามีโอกาสไม่น้อยเลยครับในการจะ พาทีมหงส์แดงเข้าไปชิงชนะเลิศครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปีหลัง

เฟอร์นานโด ตอร์เรส คือ "ตัวแปร" สำคัญครับ เพราะผม เชื่อว่าถ้าเจ้าตัวสามารถระเบิดฟอร์มเทพ ได้อย่างที่เล่นในพรีเมียร์ ชิพได้ หงส์แดงไม่ต้องกลัวใครหน้าแล้ว เพราะกองกลาง และกองหลังนั้นดูค่อนข้างลงตัวและมีอะไหล่ทดแทนที่คุณภาพไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้นจึงอยู่ที่ เอลราฟา ล่ะครับ ว่าจะจัดทีมอย่างไรในแต่ละนัด

ขณะที่อาร์เซนอล จ่าฝูงพรีเมียร์ชิพล่าสุดหลังเอาชนะสเปอร์สไปได้ใน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วครับว่า การจากทีมไปของ "คิง อองรี" ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อสภาพจิตใจของเด็กๆ อาร์แซน
เวนเกอร์ แม้แต่น้อย
ถึงแม้สภาพทีมรวมถึงอะไหล่ทดแทนพวกเค้าจะไม่ดี และมากเท่าสามทีมข้างต้น แต่ทีมใดก็ตามที่เจอพวกเค้าในถ้วยนี้ รับรองครับว่า ไม่ได้กินขุนพลยังกันส์ชุดนี้ง่ายๆ แน่นอน

สำหรับโจทย์สำคัญของกุนซือทั้งสี่ทีมที่ต้องจัดการให้ได้ก็คือ จะจัดการรับมือกับโปรแกรมการแข่งขันที่เตะกันถี่ยิบเหลือเกิน และจะรักษา "บาลานซ์" ของทีมให้ได้อย่างไรทั้งศึกใน และนอกประเทศ

หลายต่อหลายครั้งที่กุนซือต้องพักนักเตะหลักๆ ของพวกเค้าให้สดเพื่อให้พร้อมสำหรับเกมกลาง สัปดาห์ซึ่งบางครั้งมันส่งผลให้ทีม "สะดุด" แต้มหลุดไปในฟุตบอลลีก

คิดต่อไปครับว่า หากหลุดบ่อยๆ อย่างที่ เชลซี หรือ ลิเวอร์พูลทำหลุดไป 2 คะแนน ในการเจอคู่แข่งที่ รองบ่อนกว่าอย่างเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะเกิดอะไรขึ้นในการชิงชัยระยะยาว?

เขียนถึงตรงนี้ ผมไม่ได้หมายความว่า การคว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ชิพ และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกในซีซั่นเดียวกันจะเป็นไปไม่ ได้ เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว ว่า แมนฯยูไนเต็ด เคยทำได้ในปี 1999

แต่อย่างที่เรียนไปครับว่า ผู้จัดการทีมจะใช้ระบบ โรเตชัน และหมุนเวียนนักเตะได้ดีแค่ไหน และจะทำให้นักเตะพอใจได้มากน้อยเพียงใดกับระบบที่ว่า ?

อันนี้ต้องติดตามกันต่อไปครับ...
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2981

Wednesday 12 September 2007

สิงโตจะตะปบหมีขาว!!!


ไม่มีใครเถียงครับว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในแมตช์กับอิสราเอล สตีฟ แม็คคลาเรน ตัดสินใจเลือกตัวผู้เล่นได้ "ถูกที่ ถูกเวลา" เป็นที่สุดไม่ว่าจะเป็นการส่ง เอมิล เฮสกีย์ รวมถึง แกเร็ธ แบร์รี่ ลงสนาม ในช่วงเวลาที่ถือว่าอังกฤษตกอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่พอดี

มากไปกว่านี้ ทั้งคู่ยังสามารถทำผลงานได้ค่อนข้างน่าประทับใจครับ โดยเฮสกีย์ได้ใช้ความใหญ่ ความขยันที่มีช่วยเหลือ ทีมรวมไปถึงสนับสนุนเกมของ ไมเคิล โอเว่น ได้สมกับคำว่า "คนรู้ใจ"

ขณะที่แบร์รี่ ในการจับคู่กับ สตี่วี จี ก็ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดูเหมือนจะเล่นได้อย่าง"รู้ใจ" กว่าคู่ โอเว่น-เฮสกีย์ เสียอีก แม้ว่าจะไม่เคยถูกจับให้เล่นด้วยกันมาก่อนก็ตาม

การจับคู่ของสองกองกลางที่ค่าย หงส์แดง และสิงห์ผงาดส่ง เข้าประกวดนั้นดู "ลงตัว" เพราะเราจะเห็นได้ว่าเจอร์ราร์ดจะมีอิสระ การเติมเกมรุกได้อย่างเต็มที่ผิดกับยามที่ต้องเล่นกับแฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ต้องคอยเตือนตัวเองให้ระวังหลังบ้าน เพราะสไตล์หนุ่ม "แลมพ์" ก็ถนัดในการ "เดินหน้า หาประตู" เช่นเดียวกัน

ดังนั้น การจับคู่ของ เจอร์ราร์ด-แลมพาร์ด ที่ดูๆ แล้วไม่ค่อย "เวิร์ก" น่าจะเป็น "แนวทาง" ในการจัดทีมนัดต่อๆ ไปของ สตีฟ แม็คคลาเรน ได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะครับ (อันนี้คงต้องภาวนา ให้ "บิ๊กแม็ค" เลิก "ยึดติด" และ "เกรงใจ" สตาร์ดังๆ ด้วยนะครับ)

แบร์รี่เองแม้ว่าจะไม่มีความเร็วมาก แต่การยืนตำแหน่ง รวมถึงการกล้าเล่น กล้าลุย มากกว่าไมเคิล คาร์ริค ที่สไตล์การเล่นดูเนือยๆ ไร้ซึ่งความ "ดุดัน" ทำให้ "บิ๊กแม็ค" ลองเสี่ยงใช้บริการในนัดที่ผ่านมาและดู "เข้าท่า" ทีเดียวในความเห็นผม

อีกจุดหนึ่งที่อย่างพูดถึงก็คือ "สัญญาณ" ที่ดีทางฝั่งขวาของ ทีมชาติอังกฤษที่ตอนนี้ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ และไมคาห์ ริชาร์ดส กำลัง "ดีวัน ดีคืน" โดยเฉพาะในรายหลังที่ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ และน่าจะกลายเป็นแบ็กขวาตัวหลักให้ทีมชุดนี้ไปอีกหลาย ปีถ้าหากว่าไม่เสเพล หรือบาดเจ็บจนฟอร์มหลุดไปเสียก่อน

การทะลุขึ้นเป็นตัวจริงทีมชาติของทั้งคู่ และทำผลงานได้ "แจ่ม" นั้นหมายถึงวันเวลาของ แกรี่ เนวิลล์ และเดวิด เบ็คแฮม ในนามทีมชาติน่าจะ "จบ" ลงในไม่ช้าแล้วเช่นกัน

ประเด็นสุดท้ายที่อย่างพูดถึงก็คือ ตำแหน่งคู่กองหน้าครับ เพราะ ปีเตอร์ เคราช์ พ้นโทษแบนกลับมาเป็นตัวเลือกพร้อมให้ "บิ๊กแม็ค" เลือกใช้บริการอีกครั้ง

ขณะที่ผมนั่งพิมพ์งานชิ้นนี้อยู่ (เช้าวันอังคาร) ยังไม่มีข่าวเพิ่มเติมใดๆ ครับว่า "บิ๊กแม็ค" ได้ตัดสินใจเลือกคู่หัวหอกว่าจะเป็นคู่ โอเว่น-เฮสกีย์ หรือโอเว่น-เคราช์

แต่เท่าที่ "จับกระแส" สื่อที่นี้รวมถึงผลโหวตของ The Sun ที่ไปสัมภาษณ์ อดีตสตาร์ทีม ชาติอังกฤษอย่าง อลัน เชีย เรอร์, เกล็น ฮอดเดิ้ล และคริส วอลเดิ้ล ทั้งหมดต่างยกมือ สนับสนุน เฮสกีย์ และอยากเห็นการจับคู่ของ โอเว่น-เฮสกีย์ มากกว่า โอเว่น-เคราช์ อย่างเป็นเอกฉันท์

ส่วนตัวแล้ว แม้จะมองว่า เฮสกีย์ ไม่ได้เก่งกว่าเคราช์เลยสักนิดเดียว แต่ผมก็อยากจะเห็นหัวหอกวีแกน ได้ลงเป็นตัวจริงในเกมคืนนี้กับรัสเซียต่อไปอีกหนึ่งนัดครับ

สาเหตุหลักๆ ที่ผมเลือกเฮสกีย์ก็คือ :

1. ปีเตอร์ เคราช์ ขาด Match practice หรือไม่ได้ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลมากนักในซีซั่นนี้ รวมไปถึงการติดโทษแบนในเกมวันเสาร์ซึ่งน่าจะทำให้ "ความพร้อม" ของเฮสกีย์มีมากกว่า
2. แม้ทั้งคู่จะสูงพอกัน แต่ "ความใหญ่" ของเฮสกีย์ น่าจะเป็น "ผลดี" กับอังกฤษมากกว่า เพราะเกมนี้อังกฤษต้องการ "ตัวชน" กับแผงหลังรัสเซีย และหอกวีแกนน่าจะเป็น "คำตอบสุดท้าย" ได้

รัสเซียภายใต้การควบคุมของ กุส ฮิดดิ้งค์ มีผลงานเสียประตู "น้อยที่สุด" ในรอบคัดเลือก โดยเสียไปแค่ 1 ประตูเท่านั้นจากการเล่น 8 นัด ดังนั้นเกมนี้ อังกฤษจึงต้องจัดกลยุทธ์ให้ยิงประตูได้ และชนะเท่านั้น

ไม่เช่นนั้นแล้ว หากเกมคืนนี้กับรัสเซียออกมา "ผิดคาด" ชัยชนะที่เพิ่งได้มาเมื่อวันเสาร์ก็จะถูกลืมไปทันที พร้อมทั้งคำถามมากมายจาก "สื่อ" รวมไปถึง "ความไว้วางใจ" จากเอฟเอที่ จะกลับเข้ามา "หลอกหลอน" โสตประสาทของ "บิ๊กแม็ค" อีกครั้ง
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2974

Wednesday 5 September 2007

ชำแหละสิงโตคำราม ก่อนเกม "ชี้ชะตา"

หลังจากห่างหายไปจากทีมชาติอังกฤษกว่า 39 เดือน (3 ปี กว่า ๆ) เอมิล เฮสกีย์ หัวหอกร่างถึกที่ปัจจุบันเล่น ให้กับวีแกนก็ถูกเรียกตัวคืนสู่ทัพ "สิงโตคำราม" อีกคำ รบ ท่ามกลางความแปลกใจของสื่อเมืองผู้ดีรวม ทั้งตัวกระ ผมเอง

ครับ ใครจะคิดว่า สตีฟ แม็คคลาเรน จะสิ้นไร้ไม้ตอกถึงขั้นคิดสั้นเรียก "น้ำพริกถ้วยเก่า" อย่างอดีตหัวหอก ลิเวอร์พูลกลับมาในแมตช์ "ชี้เป็น ชี้ตาย" ที่คนอังกฤษทั้งประเทศหวังจะเห็นชาติของ พวกเค้าได้ไปเตะฟุตบอล ยูโร 2008 ที่ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นเจ้าภาพร่วมกันในปีหน้า

...เท้าความกันสักเล็กน้อยสำหรับสถานการณ์ของทีม "ทรีไลออนส์" ปัจจุบันนี้ พวกเค้ากำลังรั้งอันดับ 4 ของตารางโดยตามหลังโครเอเชีย และอิสราเอล 2 ผู้นำร่วมในกลุ่มอยู่ 3 แต้ม โดยที่อิสราเอลลงเตะมากกว่าหนึ่งนัด

26 ผู้เล่นได้ถูกคลอดโผออกมา ท่ามกลางผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง เดวิด เบนท์ลี่ย์ , แอชลี่ย์ ยัง หรือสิงโตตัวใหม่อย่าง โจเลียน เลสคอตต์ ที่ประสบการณ์ยังไม่น่าจะ พร้อมสำหรับเกมที่เต็มไปด้วยความ "ตึงเครียด + คาดหวังสูง" แบบนี้

แต่อย่างว่าครับ "บิ๊กแม็ค" ไม่มีทางเลือกมากนักในเพลา นี้เพราะ เวนย์ รูนี่ย์, เดวิด เบ็คแฮม และ คีรอน ดายเออร์ เจ็บยาว ขณะที่ปีเตอร์ เคราช์ ก็โดนแบนในเกมวันเสาร์ที่จะถึงนี้กับอิสราเอล
"อริสมัน" อลัน สมิธ ขวัญใจผมก็ทำผลงานได้ไม่ดีในการอุ่นเครื่องนัดก่อนกับเยอรมัน, เจอร์เมน เดอโฟ ก็ยังไม่สามารถยึดตัวจริงที่สเปอร์สได้ และถูกมองว่าการเล่นคล้ายกับ ไมเคิล โอเว่น มากจนเกินไป

ครั้นจะไปเรียกกองหน้าอย่าง ดีน แอชตัน ที่แฟนขุนค้อนบางรายแอบเชียร์ให้ติดธงก็ใช่ที่ เพราะความเป็นจริงแล้วหัวหอกร่างอวบจากเวสต์แฮมก็ยัง Lack of experience หรือไร้ประสบการณ์อยู่ดี

มันเลยเป็นที่มาของการเรียก เฮสกีย์ หัวหอกที่มีสถิติในการยืนคู่กับ "เซนต์ไมเคิล" ในยามที่เล่นด้วยกันในทีมชาติค่อนข้างดี โดยสถิติในการยืนคู่กันนั้น ทั้งคู่ทำได้ถึง 11 ประตูจาก 12 นัดในนามทีมชาติอันถือเป็นสถิติที่ไม่เลวเลย
แม้หลายคนอาจจะยก สถิติ "สุดฝืด" ของเฮสกีย์ มาแย้ง เพราะว่าทำได้เพียง 5 ประตูจาก 43 นัดให้อังกฤษ แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า แนวการเล่นของหมอนี่ออกจะเป็นตัว "ชง" ให้เพื่อนซะมากกว่า

การมีส่วนร่วมกับเกมของแก รวมถึงความได้เปรียบในเรื่องความใหญ่ น่าจะเป็น "ข้อชดเชย" ได้บ้างนะครับ...

ระบบการเล่น ผมคาดว่า แม็คคลาเรนจะใช้ 4-4-2 อันเป็นระบบ ที่นักเตะในทีมส่วนใหญ่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ขณะที่ไล่ดูในแต่ละตำแหน่ง เห็นจะมีตำแหน่ง "นายด่าน" นี่แหละครับที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เกือบๆ จะแน่นอนแล้ว เพราะ Confidence หรือความมั่นใจของ "นายห้าง" โรบินสันดูไม่เหลือเลยหลังจากเสียไปถึงสามเม็ดในเกมกับฟูแล่มเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ฉะนั้น สมควรให้โอกาส เดวิด เจมส์ แล้วครับ!!

แบ็กซ้ายน่าจะเป็น แอชลี่ย์ โคลที่จะกลับมาทวงตำแหน่งคืนได้จาก นิคกี้ ชอว์รีย์ ขณะที่แบ็กขวา ไมคาห์ ริชาร์ดส น่าจะได้ลงต่อหลังจากทำผลงานได้เยี่ยมในนัดก่อน โดยคู่เซ็นเตอร์ฯ จะเป็นกัปตันทีมจอห์น เทอร์รี่ และริโอ เฟอร์ดินานด์ ลงจับคู่กันเช่นเคย

ขณะที่แผงหลังดูจะไม่เป็นปัญหามากนักแต่กองกลางคือ "โจทย์" ที่แม็คคลาเรนต้องนั่งคิดนอนคิด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะการขาดหายไปของตัวหลัก ๆ อย่าง เบ็คแฮม ที่เจ็บไปก่อนเพื่อน
เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด ยังมาต่อด้วย "หัวใจ" ในแผงกองกลางอย่าง เจอร์ราร์ด และแลมพาร์ด ที่ยัง 50-50 โดยคงต้องดูอาการกันจนถึงวินาทีสุดท้าย

แต่ก็ใช่ว่า ทางออกของ "บิ๊กแม็ค" จะตีบตัน มืดมนไปหมดซะทีเดียวนะครับ เพราะลึกๆ แล้วผมเชื่อว่า โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ คือ "คีย์แมน" คนสำคัญที่น่าจะช่วยทีมได้เยอะ ในช่วงเวลาคับขันของทีมด้วยความขยัน และลูกบู๊ + บุ๋น ที่เจ้าตัวมี

ขาดก็แต่คู่ขาในแดนกลางนี้แหละครับที่ไม่ทราบว่า "บิ๊กแม็ค" จะเลือกใครลงในกรณีที่ เจอร์ราร์ด หรือ
แลมพาร์ด ลงไม่ได้จริงๆ

ปีกซ้าย ไม่เป็นปัญหาเพราะ โจ โคล พร้อมประจำการ ขณะที่การขาดเบ็คแฮม และดายเออร์ จะทำให้ "ไอ้สั้น" ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ได้รับโอกาสไป

คู่หน้าอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คู่หู โอเว่น-เฮสกีย์ น่าจะจับคู่กันตามที่ "บิ๊กแม็ค" ได้เปรย ๆ กับทาง
สื่อมวลชนไว้

ที่นี้ก็เหลือแต่ "การปลุกเร้า" นักเตะของแม็คคลาเรนแล้ว ละครับว่าจะทำให้เหล่านักเตะสิงโตคำราม ที่ยามนี้เหมือน "สุนัขจนตรอก" ไม่มีทางเลือกมากหนัก ฮึดสู้ เพื่อคว้า 6 คะแนน ในเกมกับอิสราเอล และรัสเซียในวันที่ 8 และ 12 กันยายน นี้ได้หรือเปล่า

โดยสองเกมที่ว่านี้ หากอังกฤษไม่ลนลาน หรือ กดดันตัวเองที่เกิดจากความตึงเครียดมากเกินไป พวกเค้าน่าจะทำได้ "ตามเป้า" ที่วางเอาไว้ แม้ว่ารูปเกมอาจจะไม่สวย ไม่เอนเตอร์เทนแฟนบอลก็ตามที


เพราะหากอะไรๆ ไม่เป็นอย่างที่คิดแล้วนั้น โอกาสที่พวกเค้าจะ "หลุดโผ" ตกม้าตายในรอบคัดเลือก ก็จะเป็นไปได้สูง และตำแหน่ง นายใหญ่สิงโตคำรามก็คงได้เปลี่ยนกันอีกรอบ แบบไม่ต้องสืบเลยล่ะครับ !!

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2967