Wednesday 31 October 2007

สเปอร์ส ถึงเวลาประกาศศักดายอดพญาไก่???


โลกของฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าทีม ทีมนั้นจะมีนักเตะระดับสุดยอดมากมายขนาดไหน จ่ายค่าเหนื่อยแต่ละสัปดาห์ให้แข้งทองเหล่านั้นแพงสักเท่าไร "ผลการแข่งขัน" คือสิ่งที่ไม่สามารถ "การันตี" ได้เลย...

มาร์ติน โยล "อดีต" กุนซือสเปอร์สน่าจะตระหนัก ถึงความจริง ข้อนี้เป็นอย่างดี เพราะทีมไก่เดือยทองนั้นรวมนักเตะฝีเท้าดี และดาวรุ่งอนาคตไกลไว้ในทีมหลายต่อหลายคน แต่ผลงานกลับไม่เป็นอย่างที่
"ควรจะเป็น"

อาจจะดูว่าโหดร้าย และไม่ยุติธรรมสำหรับโยล แต่สเปอร์สนั้นลงทุนไปมากเหลือเกินในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่าน แต่ทีมโดยรวมนอกจากจะไม่พัฒนาแล้ว ผลงานยังถอยหลังลงคลอง จากที่หวังสอดแทรกเป็นหนึ่งใน "ท็อปโฟร์" กลับกลายเป็นว่า ต้องมาจมปลักอยู่ในโซนหนีตกชั้น

มาร์ติน โยล ถูกปลดออก จากทีมไปตามวัฏจักรของฟุตบอล แต่สเปอร์สยังต้องก้าวเดินต่อไปภายใต้
เฮดโค้ชคนใหม่ ฮวนเด้ รามอส

สำหรับผมแล้ว "ฮวนเด้ รามอส" ถือเป็น "ชอยส์" ที่ดีที่สุดสำหรับสเปอร์ส หากทีมยักษ์หลับทีมนี้หวังจะลืมตาอ้าปาก ประกาศศักดาอย่างทีมที่ประสบความสำเร็จ อื่นๆ เค้า

กวาดตามองสี่ทีมหัวแถวในเวลานี้อย่าง อาร์เซนอล, แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ และเชลซี เราจะเห็นได้ว่ามีเพียง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพียงคนเดียวที่เกิดในผืนแผ่นดินสหราชอาณาจักร (ชาวสกอตแลนด์) นอกนั้นล้วนเป็น "ของนำเข้า" จากต่างชาติทั้งหมด

และหากนับกันจริงๆ ในพรีเมียร์ชิพ มีกุนซือชาวอังกฤษแท้ๆ เพียงแค่ 9 คนเท่านั้นในเวลานี้ซึ่งนั่นเป็นเหตุผล หนึ่งที่ทีมชาติของพวกเค้าหากุนซือในประเทศได้ยากหากต้องมีการปลด สตีฟ แม็คคลาเลนกัน
จริง ๆ (ในกรณีที่อังกฤษตกรอบคัดเลือก ยูโร 2008 ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก)

ทีมไก่เจ้าชู้ เลยขอไม่ตก "เทรนด์" กุนซือต่างชาติด้วยการไปตามเกี้ยวครั้งที่สองในรอบสองเดือน โดยรามอส ผู้ซึ่งได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อผู้ดีทันทีที่มา ถึงอังกฤษว่าหลงรักสไตล์ของบอลอังกฤษมานานแล้ว และใฝ่ฝันทุกโมงยามที่จะได้มาคุมทีมที่นี่

"ดีกรี" กุนซือมาดขรึมคนนี้ หากย้อน ไปดูสถิติเจ้าตัวกับเซบีญ่าแล้วถือว่า "น่าทึ่ง" เพราะ 3 ปีที่คุมทีมมาก็สามารถกวาดแชมป์ไปถึง 5 รายการ และกับทีมที่ได้ชื่อว่า สร้างชื่อเสียงให้กับเจ้าตัว

ปรัชญาฟุตบอลของรามอส นั้นจะเน้น "เกมรุก" เป็นหลัก ซึ่งน่าจะถูกใจแฟนไก่ทั้งรุ่นเก่า และใหม่ได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันเรื่อง "ความฟิต" นั้นรามอสก็นำโค้ชฟิตเนสคู่ใจชื่อว่า มาร์คอส อัลวาเรส มาช่วยงานที่สเปอร์สด้วย

BBC สื่อใหญ่เมืองผู้ดีได้ไปสัมภาษณ์ ไมเคิล โรบินสัน อดีตหัวหอกลิเวอร์พูล ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่ผู้บรรยายเกม ทางโทรทัศน์รายการหนึ่งของสเปน ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่า ชื่อเสียงในเรื่อง "ความเข้มงวด" ของ รามอส ทั้งใน และนอกสนามนั้นจัดว่าเข้าขั้น "โค้ชจอมเฮี้ยบ"คนหนึ่งใน ลาลีกา

นี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับแฟนสเปอร์สอย่างแท้จริงครับ เพราะเท่าที่ผมได้ดูนักเตะทีมตราไก่เล่นในฤดูกาลนี้จะพบว่านักเตะอย่าง เจอร์เมน จีนาส และดิมิทาร์ แบร์บาตอฟ นั้นขาดความกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะฝาแฝดของ "โจ้ ห้าหลา" (จีนาส) นั้น ผมเห็นแกเล่นแล้วรู้สึกหงุดหงิดเอามากๆ เนื่องจากจะเล่นแบบไร้ใจแล้ว เวลาทำเสียบอลก็จะไม่ค่อยวิ่งไล่ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในความผิดพลาดของ มาร์ตินโยล ที่ยังดื้อแพ่งใช้นักเตะ "สันหลังยาว" แบบนี้

อย่างไรก็ดี รามอส ซึ่งภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแข็งแรงนั้น อาจจะเป็น "ปัญหา" เวลาสื่อสารด้านแท็กติกส์กับลูกทีมพอสมควร แต่สเปอร์สเองก็ถือว่าเตรียมตัวรับมือกับ ปัญหานี้ไว้แล้วโดยได้นำอดีตเด็กเก่าอย่าง กัส โปเยต์ มาเป็นล่าม และเป็นโค้ชให้ทีมชุดใหญ่ของสเปอร์ส

จากเกมที่แพ้ แบล็คเบิร์น 1-2 คาบ้านตัวเองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คาดว่า รามอสเองน่าจะทราบปัญหาหลักของทีมตราไก่ในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี

อย่างแรกที่ กุนซือสเปนนิชวัย 53 ปีควรทำก็คือแก้ไข รอยรั่วในแนวรับ

การขาดเลดลีย์ คิง กัปตันทีมไป แม้ว่าจะได้ ยูเนส คาบูล มาเสริมทีม แต่ดูๆ แล้วด้วยความยังอ่อน "ประสบการณ์" ของคู่ คาบูล-ดอร์สัน บวกกับอาการฟอร์มตก และสูญเสียความมั่นใจอย่างรุนแรง ของนายทวารร่างอวบ พอล โรบินสัน ทำให้สเปอร์สที่แม้ว่าจะยิงได้ถึง 18 จาก 11 เกม แต่ก็พร้อมจะเสียประตูให้กับคู่แข่งทุกเมื่อเช่นกัน

อย่างที่สองก็คือ เอากองกลางที่ฟอร์มตก+ออกทะเลอย่าง จีนาสออก แล้วให้โอกาสนักเตะดาวรุ่ง ที่มีความกระหายและพร้อมจะทำเพื่อทีม อย่าง เควิน "ปริ้นซ์" บัวเต็ง ที่ซื้อมาแพงแต่ไม่เคย ได้รับโอกาสเลยในช่วงของโยล หรือไม่ก็ อาร์เดล ทารับต์ ที่ดูๆ แล้วเด็กคนนี้ "มีแวว" จะเป็นกองกลางตัวรุกที่ดีได้ไม่ยากหากได้ลงเล่นบ้าง

และสุดท้ายที่ ฮวน รามอสต้องทำคือ เรียกความเชื่อมั่นของนักเตะกลับมาให้ได้ เพราะผมเชื่อว่าจริงๆแล้วศักยภาพของทีมชุดนี้มีดีพอที่จะติด "ท็อปโฟร์" อย่างที่เคยเรียนไว้ในคอลัมน์เมื่อตอนต้นฤดูกาล

แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ แม้สเปอร์ส จะยังคงจมปลักอยู่ที่อันดับ 18 แต่ผมยังเชื่ออยู่ลึก ๆ ว่า หากรามอส และนักเตะสเปอร์ส หา Turning point หรือ "จุดเปลี่ยน" เจอแล้วละก็ ทีมตราไก่ยังมีโอกาสติดหนึ่งในหกได้อยู่ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องรีบเค้นฟอร์มเดิม อย่างช่วงสองฤดูกาลก่อนหน้านี้ที่ เล่นได้อย่างมั่นอกมั่นใจ และไม่สมาธิหลุด และเสียประตูในช่วงท้ายเกมบ่อยๆ อย่างในฤดูกาลนี้

จ็อบแรกของ ฮวนเด้ รามอสก็คือ การนำสเปอร์สลงเล่นเกมคาร์ลิ่ง คัพต่อหน้าแฟนบอลตัวเองในการพบกับแบล็คพูล ซึ่งน่าจะเป็น "ของหวาน" สำหรับสเปอร์ส และน่าจะเป็นเกมที่เรียก ความเชื่อมั่นของนักเตะในทีมได้ไม่มากก็น้อย

หลังจากนั้นค่อยๆ ว่ากันไปเป็นสเต็ปๆ

Come on Spurs !!! และยินดีต้อนรับฮวนเด้ รามอส สู่พรีเมียร์ชิพครับ...
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3023

Wednesday 24 October 2007

เรือใบสีฟ้า "ม้ามืด" ท็อปโฟร์??


หากถาม สเวน โกรัน เอริคส์สัน กุนซือกระหม่อมบาง ชาว สวีดิช ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลว่า คาดหวังมากน้อย แค่ไหนกับ ทีมเรือใบสีฟ้า ในซีซั่น 2007-2008 ภายใต้การเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งนายทุนรายใหม่ นักเตะหน้าใหม่หลายต่อหลายราย อีกทั้งยังเป็นปีแรก ของเจ้าตัวใน การคุมทีมระดับสโมสรในประเทศอังกฤษ

เชื่อได้ครับ หากป๋าสเวน ตอบว่า "ผมจะพาเรือใบลำนี้ ผงาดติด ท็อปโฟร์" ไม่เฉพาะแฟนบอลทีมคู่แข่ง จะหัวเราะจนท้องแข็งในความ มั่นใจจนเกิน พอดีของอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ

ผมว่าแฟนๆ ของแมนฯซิตี้ ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก กับประโยคที่ว่าเช่นกัน เพราะทีมจากย่านอีสต์แลนด์ทีมนี้เมื่อฤดูกาลก่อน ยังต้องปากกัด ตีนถีบ ทำให้แฟนบอล และผู้พบเห็นต่างพากันอนาถทีมของ สจ๊วร์ต เพียร์ซ กุนซือคนก่อนอยู่เลย โดยผลงานนั้น "สุดบู่"และความสมัครสมานสามัคคีของนักเตะในทีมก็แตกร้าว และยากที่จะเยียวยา

อดีตนักเตะ คนสำคัญอย่าง โจอี้ บาร์ตัน ที่ไปอัด อุสมัน ดาโบ จนหน้าแหกก็ถูกขายออกไปเพื่อขจัดปัญหา "นักบอลในคราบนักเลง"

ไมเคิล จอห์นสัน, สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ และดาวรุ่งอีกหลายรายได้ รับการ "ดัน" ให้เป็นตัวหลักในทีมชุดใหญ่จากอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ

และเมื่อผนึกกำลังกันกับนักเตะแข้ง "อิมปอร์ต" หลายรายที่ "สเวนนี่" และทีมงานของเค้านำเข้ามาก็ทำให้ตอนนี้ เรือใบสีฟ้า ที่ใคร ต่อใคร ดูถูกดูแคลนว่าไร้น้ำยาในช่วงต้นฤดูกาล ทำผลงานได้ "เซอร์ ไพรส์" เซียนทุกสำนัก

ณ เวลานี้ "เรือใบสีฟ้า" โฉมใหม่ทำผลงานได้สุดสะเด่า และเกาะกลุ่มหัวตารางได้อย่างต่อเนื่อง 10 นัดที่ผ่านมา พวกเค้าเก็บชัยชนะได้ถึง 7 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง และพ่ายไปแค่ 2 นัด

สภาพทีมโดยรวมก็ถือว่า "เยี่ยม" โดยเครดิตนี้จะยกให้ใครไปไม่ได้นอกจากกุนซือชาวสวีดิช

อ๋อ...ต้องขอบคุณ "มันนี่" ของคุณทักษิณที่ท่านยืนยันหนักแน่น ว่า "ขาวสะอาด" ด้วยถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นแล้วทีมระดับแมนฯซิตี้คงไม่ได้ลืมตาอ้าปาก สูดอากาศเย็นๆ เหนือกลางตารางเป็นแน่แท้

นอกเหนือจากการเปลี่ยนสไตล์การเล่นมาเล่นบอลภาคพื้นดินมากขึ้นแล้ว สเวนนี่ยังผสมผสานแข้งใหม่ และดาวรุ่งเก่าๆ ที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว

การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ ไมคาห์ ริชาร์ดส์ และไมเคิล จอห์นสัน คือผลงานชิ้นโบแดงของแมนฯซิตี้อคาเดมี่ โดย "ไอ้เด็กถึก" อย่าง ริชาร์ดส์ก้าวขึ้นไปเป็นแบ็กขวาตัวหลักในทีมสิงโตคำรามแทนที่ แกรี่ เนวิลล์ ของทางผีแดง เหมือนสื่อเป็นนัยให้ทางคู่ปรับร่วมเมือง ได้รับรู้ว่า ซิตี้ก็ไม่ได้กระจอกงอกง่อยเหมือนกัน

ภายใต้ระบบ 4-5-1 โดยมีเอมิล เอ็มเพ็งซ่า ยืนเป็นหอกเดี่ยว ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะ "โดดเดี่ยว" แต่หากตามดูเกมรุกของ ซิตี้ เราจะเห็นได้ว่า แผงกองกลางของทีม พร้อมจะเติมช่วยตลอดเวลาอย่าง มาร์ติน เปตรอฟ, ไมเคิล จอห์นสัน และกองกลางตัวรุกที่ร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ชิพในเวลานี้อย่าง เอลาโน่

ถามว่าก่อนหน้านี้ จะมีใครสักกี่คนเชียวที่รู้จักเอลาโน่ ? แฟนบอล ซิตี้เองรวมถึงสื่อมวลชนอังกฤษต่างตั้งข้อสงสัยในความสามารถของเพลย์เมกเกอร์ชาวแซมบ้า เนื่องจากอย่างที่เราทราบกันดีว่านักเตะจากลาตินอเมริกาส่วนใหญ่นั้นมักจะ "สอบตก" กับฟุตบอลเร็วๆ ของอังกฤษ

จริงอยู่ที่นักเตะอย่าง คาร์ลอส เตเบซ, จิลแบรโต้ ซิลวา หรือ ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ ถือว่าเป็นกลุ่มแข้งลาตินที่ "สอบผ่าน" ในพรีเมียร์ชิพ แต่ 3 แข้งที่ว่านี้ต่างก็ใช้เวลาปรับตัวกับฟุตบอลที่นี่พอสมควร

ผิดกับ เอลาโน่ ที่ผมให้ "ผ่าน" ไปแล้วแม้ฤดูกาลนี้เพิ่งจะเตะกันไปแค่ 10 นัดก็ตามที นั่นก็เพราะความรวดเร็วในการสถาปนาเป็น "จุดศูนย์กลาง" ของทีมชุดนี้

การเซตบอลขึ้นบุกของซิตี้ในฤดูกาลนี้เราจะเห็นได้ชัดเลยครับว่า เอริคส์สันนั้นมอบหมายตำแหน่งจอมทัพให้เอลาโน่ ซึ่งในที่นี้ผมหมายถึง การบงการ Direction (ทิศทาง) และ Tempo (จังหวะ) ของเกม

โดยในนัดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมากับเบอร์มิงแฮม เจ้าตัวก็ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ไม่ใช่ของปลอมทำเหมือน อย่างแข้ง "นำเข้า" หลายรายที่ค่าตัวแพงหูฉี่แต่ฟอร์มการเล่นถือว่า "โหลยโท่ย"

ตัวอย่างง่ายๆ ในทีมชุดนี้ที่เข้าขั้น "ของปลอมทำเหมือน" ก็เห็นจะมี จอร์จอส ซามาราส กองหน้าชาวกรีกที่ สจ๊วร์ต เพียร์ซ นำเข้ามาด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์

การประเมินความสามารถนักเตะรวมไปถึงการนำมาเล่นให้ "เข้าขา" กันนั้น ถือว่าเป็นจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็น "ความต่าง" ของโค้ชมีคลาส และโค้ชธรรมดาสามัญประจำบ้านได้เป็นอย่างดี

สเวน โกรัน เอริคส์สัน คือกุนซือ "มีคลาส" ที่ผมว่า และแม้ซิตี้จะไม่ได้เล่นเหนือกว่า คู่แข่งในหลายๆ เกมมากนัก (รวมไปถึงแมตช์ที่ผ่านมากับเบอร์มิงแฮม) แต่สเวนก็ทำให้เห็นครับว่า "เล่นไม่ดีแต่ก็เก็บ 3 คะแนนได้"

จำเชลซีในยุคของมูรินโญ่ได้ใช่มั้ยครับ? หลายๆ ครั้งพวกเค้าไม่ได้เล่นเหนือกว่าคู่แข่งมากมายอะไรเลย แต่พวกเค้าก็ยังเดินหน้าเก็บชัยชนะได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยสกอร์ไลน์ 1-0

ผมว่า แมนฯซิตี้ชุดนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับทีมชุดนั้นของ มูรินโญ่ตรงจุดนี้แหละครับ แม้ว่านักเตะเรือใบอาจจะไม่ได้เข้าขั้น "เทพ" เหมือนอย่างทีมสิงโตพันล้าน

แต่การเล่นที่เหนียวแน่นรวมถึงมี "โชค" ช่วยบ้างเป็น บางครั้งคราวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ทีมได้รับชัยชนะ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่แพ้

เก่งแต่ไม่มีดวง เล่นดีแล้วไร้แต้ม มีให้เห็นกันแทบทุกอาทิตย์นะครับ อย่างเช่นทีม "แมวดำ" ของ รอย คีนที่เล่นด้วยจิตใจนักสู้ทุกนัด แต่ก็ยังหาชัยชนะไม่เจอในนัดหลังๆ

สเวนนี่ถือเป็นคนมี "บุญ วาสนา" นะครับ เพราะได้รับโอกาสดีๆ ในการคุมทีมใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้งในอาชีพผู้จัดการ ทีม (เบนฟิก้า ลาซิโอ โกเตนเบิร์ก และทีมชาติอังกฤษ)

กระโดดมาคุมทีมแมนฯซิตี้รอบนี้ก็ได้งบจากเสี่ยแม้ว ไปแล้วในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลเป็นจำนวน 38 ล้านปอนด์ พร้อมนักเตะ 8 รายที่ตบเท้าเข้าสู่ทีม

เมื่อวีกที่แล้ว ข่าวจาก The Sun ก็รายงานว่า ปีใหม่นี้ ป๋าสเวนจะได้งบช้อปปิ้งเป็นของขวัญปีใหม่จาก "แฟรงค์ ซินาตรา" อีก 30 ล้านปอนด์

ดูๆ แล้วงานนี้ สเวน และเสี่ยแม้ว ไม่ได้ต้องการแค่ติดหนึ่งใน "ท็อปซิกซ์" หรอกครับ เพราะถ้าฟอร์มยังฉิวติดลมบน แบบนี้ ทีม "ท็อปโฟร์" ก็ท็อปโฟร์เถอะครับ อาจมีน้ำตาตกในได้เลย!!!



ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3016

Wednesday 17 October 2007

สถานการณ์อยู่ในมือ อย่าพลาดเองแล้วกัน


เวลานี้ ขุนพลทีมชาติอังกฤษบินลัดฟ้าเข้าสู่กรุงมอสโก ด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้นหลังต้อน "หมูน้อย" เอสโตเนีย ไปสบายแข้ง 3-0 ณ สนาม เวมบลีย์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

จริงอยู่ครับที่เราไม่อาจวัด หรือตัดสินอะไรได้มากในเกมนี้เพราะคู่ต่อสู้นั่น "ห่างชั้น" ไปหน่อย แต่อย่างน้อยๆ แล้วผมมองว่า อังกฤษเล่นได้ตามแบบฉบับของมืออาชีพอย่างแท้จริง เพราะเราจะเห็นได้เลยครับว่า "บิ๊กแม็ค" และเด็กๆ ไม่ได้มองข้าม "ช็อต" แต่เต็มที่กับเกมนี้จริงๆ

แม้ฟอร์มโดยรวมจะไม่ได้เข้าขั้น "เทพ" หรือเอน เตอร์เทนแฟนๆ ได้มากนักก็ตาม
แต่สัญญาณดีๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย อย่างการกลับมาของ เวย์น รูนี่ย์ ที่ยิงประตูได้อีกครั้ง ไมเคิล โอเว่นที่ดูฟิต และเฉียบคมดีแม้ว่าเพิ่ง จะลงจากเขียงผ่าตัดได้ไม่กี่วันก่อนเกม และพอล โรบินสัน ก็ไม่ได้เสียประตูในนามทีมชาติต่อไปอีกนัด ฯลฯ

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราเห็นในเกมที่ผ่านมา อาจจะดูสวยหรู โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่ "ภาพลวงตา" ไปเลยก็ได้ครับ หากว่าพวกเค้าไม่สามารถจบงานให้สวยได้ในคืนวันพุธนี้

หากจะมองให้ดี อังกฤษมี "การบ้าน"หลายข้อที่ต้อง "เตรียม" และนายใหญ่อย่าง "บิ๊กแม็ค" ต้องตัดสินใจให้ดี หากต้องการผลการแข่งขันที่ต้องการ

ประเด็นแรก ข่าวจาก "The Sun" ที่หลุดมาแล้วว่าอังกฤษอาจจะเปลี่ยนระบบการเล่นเป็น 4-3-3 (เพื่อ หนุ่ม "แลมพ์" โดยเฉพาะเลย หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ) ขณะที่ แกเร็ธ แบร์รี่ จะยืนลึกหน้าแผงกองหลังโดยมี เจอร์ราร์ด และแลมพาร์ด สนับสนุนคู่กองหน้า โอเว่น-รูนี่ย์

หากข่าวนี้เป็นจริงดังที่ The Sun ว่า คงต้องบอกเลยครับว่า "เสียดาย" ปีกสองตัวอย่าง โจ โคล และ ณอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ที่เล่นได้ดี และถือเป็น "คีย์แมน" สำคัญในช่วงที่ 2 นัดที่ผ่านมา

อีกอย่าง คู่เจอร์ราร์ด และแลมพาร์ด ที่คล้ายคลึงกันมากเกินไปนั้น หากไม่สามารถรักษาบาลานซ์ของ ทีมได้แล้วนั้น "บิ๊กแม็ค" คงจะต้องโดนสวดอย่างไม่ต้องสงสัย ผิดกับคู่พาร์ตเนอร์อย่าง เจอร์ราร์ด- แบร์รี่ ที่ดู "ลงตัว" มากกว่า บทบาท และหน้าที่นั้นแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน

ประเด็นตรงนี้ผมจึงมองว่า บิ๊กแม็คไม่ควร จะมาเปลี่ยนระบบในแมตช์ที่มีความสำคัญยิ่งยวดแบบนี้ เพราะทีมชุดที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วครับว่า "สอบผ่าน" กับระบบ 4-4-2 + นักเตะในทีมส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับระบบที่ว่า

ประเด็นที่สอง ตำแหน่งแบ็กซ้ายของ แอชลีย์ โคลที่เจ็บไป ใครจะลงเล่นแทน ?

จากเกมเอสโตเนีย ที่แม็คคลาเรนเอา โจเลียน เลสค็อตต์ไปยืนทางแบ็กซ้ายนั้น ทำให้หลาย ๆ สื่อรวมถึงตัวผมเองมึนกับการตัดสินใจของนายใหญ่สิงโตคำราม เพราะฟิล เนวิลล์ หรือแกเร็ธ แบร์รี่ก็เคยเล่นในตำแหน่งตรงนั้นมาก่อนในสโมสร แต่บิ๊กแม็คกลับเลือกใช้เลสคอตต์ ซึ่งดู "ตื่นสนาม" ในการเปิดตัวนัดแรกในนามทีมชาติ และเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้โคลต้องเจ็บ จากจังหวะที่เจ้าตัวออกลูกเหวอ และโคลต้องวิ่งมาซ้อนและโดนสอยในจังหวะต่อมา

นิกกี้ ชอว์รี่ ที่ได้เล่นในแมตช์อุ่นเครื่องมาสองเกม เป็นซ้ายธรรมชาติคนเดียวที่เหลืออยู่ในทีมชุดนี้ แต่ประสบการณ์ในเกมระดับนานาชาติ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ดังนั้น โอกาสของชอว์รี่ หากเทียบกับ ฟิล เนวิลล์ ที่มีประสบการณ์ในระดับนี้มากกว่า โอกาสของทั้งคู่จึงอยู่ที่ 50-50 และอยู่ที่ "บิ๊กแม็ค" ว่าจะเลือกใคร?

ประเด็นต่อมาคือเรื่องที่ แฟนบอลอังกฤษจำนวนไม่น้อยทีเดียว โห่ใส่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ในนัดที่ผ่านมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกครับที่แฟนบอลเมืองผู้ดีโห่ใส่นักเตะของพวกเค้าเอง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน "เหยื่อ อารมณ์" ของแฟนบอลผู้เรียกตัวเองว่า "ผู้ดี" แต่บางครั้งการกระทำมัน "ตรงข้าม" ก็ได้แก่ ปีเตอร์ เคราช์ และ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์

ที่เคราช์โดนโห่นั้น สาเหตุน่าจะมาจาก ความผอมบาง และหุ่นที่ดูสูง ไม่เหมาะกับการเป็นนักกีฬา แฟนอังกฤษจึงค่อนข้างดูถูก "ความสามารถ" โดยเลือกตัดสินจากรูปร่าง

ขณะที่ ฮาร์กรีฟส์นั้น แฟน ๆ มองว่าเจ้าตัวเป็น "เด็กเส้น" ของสเวน โกรัน เอริคส์สัน

อย่างไรก็ดีสองคนที่ว่ามา สามารถผ่านจุดนั้นมาได้ ด้วยการโชว์ "ผลงาน" ที่แสดงออกไปในสนาม และกลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างราบคาบ

ประเด็นของ แลมพาร์ดนั้น สาเหตุที่แน่ชัดนั้นยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ดี มันสมควรแล้วเหรอสำหรับนักเตะที่ถือเป็น "แกนหลัก" และรับใช้ชาติอย่างตั้งใจมาตลอดจะต้องโดนโห่ ?

ส่วนตัวแล้ว แม้ผมจะไม่ใช่คนอังกฤษ แต่ก็รู้สึกอับอายแทนกลุ่มคนจำนวนเล็กๆ ที่ไม่ให้เกียรติคนที่ทำชื่อเสียง และประโยชน์ให้ชาติตัวเองแบบนี้..

ไม่อยากซีเรียสแล้ว มาประเด็นสุดท้ายกันดีกว่าครับ

ประเด็นสุดท้ายที่อยากจะเขียนก็คือ เรื่องสนามหญ้าเทียมซึ่งเป็นที่ "ถกเถียง" กันอย่างกว้างขวางว่าจะส่งผลกระทบสำหรับทีมชาติอังกฤษ หรือไม่?

ถ้าไม่รวมเรื่องเสียงเชียร์ของแฟนบอล ในสนามแล้ว ตรงนี้อาจจะเป็นข้อได้เปรียบอีกข้อหนึ่งของทัพ "หมีขาว" รัสเซียภายใต้การคุมทีมของกุส ฮิดดิ้งส์ เพราะเจ้าถิ่นน่าจะคุ้นเคยกับสนามแบบนี้มากกว่า

แต่นั่นไม่ใช่ของอ้างแน่นอนในเวลานี้ที่สถานการณ์ อยู่ในกำมือของพวกเค้าที่ต้องการแค่ 1 คะแนนเพื่อ การันตีการไปเล่นรอบสุดท้ายที่ ออสเตรีย & สวิตเซอร์แลนด์ 99.99% ครับ


Wednesday 10 October 2007

เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม : Bloody Beautiful!!!


ว่ากันว่าใครก็ตามที่ได้ไปเยือน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าของ "เจ้าปืนใหญ่" อาร์เซนอล เป็นต้องหลงรักสนามแห่งนี้ คำกล่าวนี้ผมได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยสักทีที่จะปักใจเชื่อ

ทำไมเหรอครับ...ก็เพราะผม ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของทีมปืนโตสักหน่อย ทำไมผมต้องไปหลงใหลอะไร หรือติดใจอะไรในสนามแห่งนี้ด้วยล่ะ

เกม "อาร์เซนอล-ซันเดอร์แลนด์" ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คือ (แค่) ภารกิจของผมประจำสัปดาห์ และก็เป็นครั้ง แรกด้วยที่ผมจะได้เหยียบสนามที่หลายๆ คนได้ไปเยือนมาแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "อลังการงานสร้าง"

คืนก่อนเกมจะเริ่ม ผมได้รับข้อความจาก "ใหม่ โมบาย" พี่ชายคนสนิท ข้อความที่ได้มีดังนี้ "Don't fall in love with the Emirate stadium na, it's bloody beautiful!" ผมมีรอยยิ้ม ที่มุมปากพลางคิดในใจว่า ไม่มีวันซะหรอก ที่เราจะตกหลุมรักสนามทีมคู่แข่งอย่าง อาร์เซนอล เพราะผมมอบกายถวายใจให้ทีมน้องไก่มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว

เกมคู่นี้ คิกออฟเวลาเที่ยงตรง ตามเวลาที่ประเทศอังกฤษ (6 โมงเย็นบ้านเรา) ซึ่งถือว่าค่อนข้างเช้าไปหน่อยสำหรับผม เพราะสภาพอากาศที่ประเทศอังกฤษยามนี้เริ่มเข้าสู่ช่วง Winter หรือ "ฤดูหนาว" แล้ว อากาศจึงเย็นสบาย น่านอนตื่นสายเป็นอย่างยิ่งสำหรับวันอาทิตย์แบบนี้



ผมไม่ทานอะไรเลยก่อนออกจากบ้านครับ เพราะตั้งใจว่าจะไปหาหม่ำใน Press lounge และก็ไม่ผิดหวัง อาหารเช้าที่นี่เป็น สไตล์อังกฤษแท้ๆ ที่มีแฮม ไข่ และมันฝรั่งบด ยืนพื้น ช่วงที่ทานไป ผมก็เช็กตัวผู้เล่นจาก Team Sheet ที่รีเซพชันสาว สวยแจกให้หน้า Press room ไปด้วยพร้อมๆ กัน

ถึงตอนนี้ ตั้งแต่เดินเข้าสนามมาจนถึงห้องนักข่าว ผมชักจะรู้สึกได้แล้วครับว่า Facilities หรือสิ่งอำนวย ความสะดวก ที่นี่ยอดเยี่ยม และไฮเทคมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของ สนาม พื้นที่จัด ไว้ให้นั่งทำงานของนักข่าว ก็ถูกจัดสรร ได้อย่างเป็นสัดส่วน ห้องน้ำห้องท่าที่ใหม่ และสะอาดมาก (เมื่อเทียบกับสนามของเชลซี และสเปอร์ส ที่ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่)

ในส่วนของ Press box ของนักข่าวก็จะมีมอนิเตอร์ เล็กๆ ไว้ให้ดูภาพช้า หรือจังหวะสำคัญ ของเกมซึ่งถูกใจผมมาก เพราะที่นั่งใน วันนี้ค่อนข้างเตี้ยจึงเห็นเกม ไม่ค่อยถนัดสักเท่าไร บวกกับแฟนอาร์เซนอล ที่นั่งข้างหน้า ผมชอบยืนลุ้นในจังหวะ สำคัญ ผมจึงไม่มีทางเลือก และได้ไอ้เจ้ามอนิเตอร์นี่แหละ ที่ช่วยให้ไม่พลาด "ช็อต" สำคัญของเกม

รูปเกมในวันนี้ อาร์เซนอล ออกสตาร์ต ด้วยความ "มั่นใจ" หลังผลงานในระยะหลังค่อนข้างติดลมบน และเพียง 14 นาทีลูกทีมของน้าเหี่ยวก็ได้สองลูกอย่าง รวดเร็วจากฟรีคิก ของ ฟาน เพอร์ซี่ และลูกยิงท่า "ประหลาด ๆ" ของฟิลลิป เซนเดอรอส

เปิดเกมแบบนี้ "โมเมนตัม" ในสนามจึงมาทางฝั่ง อาร์เซนอล หมดครับ และดูเหมือนว่าเด็กๆ "ยังกันส์" จะยังเดินหน้ารังแกนักเตะ "แมวดำ" อย่างเมามันอารมณ์

กระทั่ง ร็อบ สไตล์ส ปฏิเสธลูกยิงของ วาสซิริกี้ ดิอาบี้ ที่ดูยังไงๆ ก็ไม่เป็นลูกล้ำหน้านั่นแหละ ครับที่เหมือนเป็นตัวจุด "ประกายแห่งความหวัง" เล็กๆ ให้ แมวดำเก้าชีวิตลุก ขึ้นมาจากหลุมในภายหลัง

อย่างไรก็ดี หากสังเกตใน จังหวะนี้ จะเห็นได้ว่าทั้งนักเตะอาร์เซนอล รวมถึงอาร์แซน เวนเกอร์เองก็ไม่ได้ติดอก ติดใจ อะไรกับลูกนี้ มิหนำซ้ำผมยังแอบเห็น เวนเกอร์คุยยิ้ม "ขำๆ" กับมือขวาอย่าง แพต ไรซ์ อยู่เลย เนื่องจากรูปเกมเหนือกว่ามาก และนำถึงสองลูก

หารู้ไม่ว่านักเตะซันเดอร์แลนด์มี "เลือดนักสู้" ไม่แพ้กุนซือของพวกเค้า...

กว่าขงเบ้งลูกหนัง และเด็กๆ มารู้ตัวอีกทีว่าต้องเร่งเครื่อง เมื่อ รอสส์ วัลเลซ ยิงประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น
2-1 อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น "เครื่อง" อาร์เซนอลก็เหมือนจะ "ช็อต" ไปดื้อๆ และแม้จะมีโอกาสใกล้เคียง สอง สามจังหวะ ซันเดอร์แลนด์ก็ได้ เคร็ก กอร์ดอน ประ-ตูหนุ่มค่าตัวแพงเซฟ สวยๆ ได้หมด

ช่วงพักครึ่ง ผมไม่ทราบว่าขุนพลซันเดอร์แลนด์ได้รับ "บัญชา" อะไรจาก รอย คีน แต่ "หัวจิต หัวใจ" ที่ในครึ่งเวลาหลังทำ ให้ค่อนข้างเชื่อครับว่า แม้รอย คีน จะยังไม่สามารถพาทีมเก็บชัย ชนะนอกบ้านได้เลย ในปีนี้ แต่หากพวกเค้ายังเล่นด้วย "ใจ" แบบนี้ พวกเค้าไม่คู่ควรอย่างยิ่งถ้าจะต้อง ตกชั้น

อย่างไรก็ดี รอย คีน น่าจะพอใจกับ 1 คะแนน จากเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แต่เปล่าเลยครับ เพราะหลังจากตีเสมอได้ในช่วงต้นครึ่งหลัง คีนยังสั่งให้ลูกทีม "เดินหน้า ล่า 3 คะแนน" ซึ่งผมเสียว ๆ อยู่แล้วว่าซันเดอร์แลนด์ทำไมจึง "กล้า ๆ" แลกกับทีมที่มีแนวรุกที่น่ากลัวที่สุดทีมหนึ่งในลีก

หลายต่อหลายจังหวะครับที่ พอล แม็คเชน และแดนนี่ คอลลินส์ สองวิงแบ็กเติมเกมรุก "ลึก" จนเกือบสุดเส้น

คิดเหรอครับว่า "ช่องโหว่" ตรงนี้จะพ้นสายตาอันแหลมคม ดุจพญาเหยี่ยวอย่าง เวนเกอร์ เมื่อเจ้าตัวจัดการส่ง ธีโอ วัลค็อตต์ มา "ปิดฝาโลง" แมวดำเก้าชีวิต ของรอย คีน ที่เล่น "แลก" แบบไม่กลัวตาย

และวัลค็อตต์ก็ทำได้ตามที่กุนซือเฟรนช์แมนต้องการครับ เมื่อสบจังหวะที่แบ็กซันเดอร์แลนด์ดัน ขึ้นสูงแล้วใช้ความเร็วที่มีเจาะเข้าทาง "รอยโหว่" และจัดการใส่พานให้กองหน้าที่ฮอตที่สุดในเวลานี้อย่าง "เดอะ แมน ฟาน เพอร์ซี่" ที่ยิง 3 เกมต่อเนื่องเข้าไปแล้ว

"โลภมาก มักลาภหาย" คือสิ่งที่ รอย คีน ต้องนำไปเรียนรู้ และปรับปรุงทีมในแมตช์ต่อ ๆ ไป ขณะที่เวนเกอร์ และเด็กๆ ได้บทเรียนจากเกมนี้ก็คือ "ความประมาท เป็นบ่อเกิดของความหายนะ"

เด็กๆ "ยังกันส์" ชุดนี้มี "ศักยภาพ" ที่จะเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์แชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สูสีที่สุดในช่วงโมงนี้ครับ อยู่ที่ว่าพวกเค้าจะ "ยืนระยะ" และ "ทน แรงเสียดทาน" ได้นานแค่ไหน เพราะปัจจุบันพวกเค้ารั้งตำแหน่งจ่าฝูง ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่แฟนๆ จะอดไม่คิดถึงตำแหน่งแชมป์ในปีนี้

เกมนี้จบลงไปด้วยความชื่นมื่นของแฟนบอลเจ้าถิ่นตามคาดครับ แม้ว่าเกมจะเกือบๆ "พลิก" อยู่เหมือนกัน
ขณะที่ตัวผมเองก็ไปนั่งทาน ไอศกรีม Ben & Jerry ใน Press lounge ต่ออีกหน่อยก่อนออกไปเดินยืดเส้นยืดสายใน Mega Store ของอาร์เซนอล พลางคิดในใจว่า ผมจะต้องกลับมาเยือนเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม อีกให้ได้ เพราะสนามเค้า Bloody Beautiful หรือ "งามหยดย้อย" ตามที่คนเค้าว่าไว้จริง ๆครับ!!

Wednesday 3 October 2007

เยือน " เดอะ บริดจ์ " ในเกมสุดจืด!!!

เช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ณ เวลา เก้าโมงกว่าๆ ผมพยายามดีดตัวเอง ให้ออกจากผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมตัวกระผมอยู่ ความรู้สึกด้านนึง ไม่อยากจะตื่นเลยครับ ให้ตายเถอะ แต่ทำไงได้ครับ วันนี้ผมมีนัดกับคุณลุง อัฟรัม แกรนท์ กุนซือหน้าไม่รับแขกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อชมเกม เชลซี-ฟูแล่ม

เกมนี้ผมมาถึง สนามก่อนเวลาเตะถึง 3 ชั่วโมงครับเนื่องจาก ต้องการมานั่งจิบกาแฟ และ นั่งเล่นอินเตอร์เน็ต เช็กข่าวสารที่บ้าน เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ที่ร้าน Starbucks สาขา Fulham broadway ให้สบายอารมณ์

แต่แล้วผมก็ต้องอารมณ์ บ่ จอย แต่หัววันครับ เพราะ ณ ตั้งแต่เดือน ตุลาคมนี้เป็นต้นไปลูกค้าที่จะเข้าไป นั่งดื่มใน สตาร์บัคส์ ทุกสาขาในประเทศอังกฤษ จะไม่มีโอกาสได้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรีๆ อีกแล้วเนื่องจากทาง สตาร์บัคส์ได้จับมือกับ T-mobile บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่เข้ามา "หารายได้" กับลูกค้าโดยจะต้องสมัครเป็นสมาชิกและเสียค่าบริการรายเดือน

โอ๊ย...เซ็งครับ สำหรับคนเริ่มเป็น ลูกค้าขาประจำอย่างผม เพราะจากนี้คงไม่ได้ไปเล่นเน็ตชิวๆ พร้อมจิบกาแฟที่นั่นบ่อย ๆ เหมือนอย่างเคยแล้ว

พิมพ์ไปบ่นไป อีกแล้ว...แฮะๆ เข้าเรื่องเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ต่อน่ะครับ ^_^

ความรู้สึกก่อนจะเข้าไปชมเกมนี้ ในใจคิดไว้ว่าเชลซีภายใต้ "ผู้นำ" คนใหม่อย่าง แกรนท์น่าจะพาทีม ปราบพยศลูกทีมของ ลอว์รี่ ซานเชซ ได้ไม่ยากหลังจากเพิ่งอัด ฮัลล์ ซิตี้ ในคาร์ลิ่งคัพ ไป 4-0 เมื่อวันพุธ
ชัยชนะดังกล่าวจึงทำให้ผมพาลคิดไปว่า "ความเชื่อมั่น" และ "ศรัทธา" ที่นักเตะมีต่อ "ทีม" น่าจะ "คัมแบ็ก" แต่เกมนี้ ด้วยสองตาที่เห็น พร้อมกับความรู้สึกที่ได้ และสัมผัสผ่าน เสียงตะโกนโห่ร้องของแฟนเชลซีบวก กับอากัปกิริยาของนักเตะเชลซีเอง ทำให้ผมยังปักใจเชื่อว่า ความรู้สึกตรงนั้นยังคงต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าที่มันจะกลับมาเป็นดังเดิม หรือดีไม่ดี อาจจะถึงกับต้องเปลี่ยน "หัวเรือ" กันเลย

จริงอยู่ครับที่แม้บอร์ดบริหาร ยังออกมาประกาศปาว ๆ ว่า พร้อมสนับสนุน แกรนท์ใน ระยะยาวแต่ดูจากเกม West London derby match เกมนี้แล้วการทำได้เพียงเสมอ ฟูแล่ม 0-0 แบบไข่ไม่แตก หนำซ้ำยังเกือบพลาดท่าเพลี่ยงพล้ำ ด้วยซ้ำในช่วงนาทีที่ 86 ที่พอล คอนเชสกี้ หลุดไปดวลกับ ปีเตอร์ เช็ก หนึ่งต่อหนึ่งแต่ยังเป็น โชคดีของ แกรนท์ครับที่ เช็กโชว์ซูเปอร์เซฟในจังหวะ "สำคัญ" นี้ได้

ทำไมผมถึงว่าจังหวะนี้ "สำคัญ"น่ะหรือครับ?

ก็เพราะว่า ในศึกพรีเมียร์ชิพ ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2004 เชลซียังไม่เคยโดนทีมใด บุกมาลูบคม หรือ หยิบยื่นคำว่า "แพ้" ให้เลยภายใต้การคุมทีมของชายชื่อ โจเซ่ มูรินโญ่
นับจากนี้เป็นต้นไป ผมคาดว่า "สถิติ" ที่ได้ถูกรักษามาอย่างยาวนานนี้ ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะจบลงแน่ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเกมไหน และเมื่อไร เท่านั้นเอง

เฉพาะอย่างยิ่งที่ แกรนท์ ไม่ได้มีชื่อเสียง หรือบารมีอย่างกุนซือที่ผลงาน "การันตี" อันจะทำให้การ
"วัดรอยเท้า" กับมูรินโญ่ที่ คาแรกเตอร์ และผลงาน "แจ่มแจ้ง & ชัดเจน" กว่านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
มันก็เลยเป็นที่มาของการ ทำได้เพียงแค่เสมอทีมอย่างฟูแล่ม 0-0

เท่าที่ผมสังเกตดูแล้ว แม้ว่าตัวผู้เล่นยังเป็นชุดเดิม ๆ ของมูรินโญ่ สไตล์การเล่นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปซะทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมที่ผมพอจะรู้สึก ได้ก็คือนักเตะ เชลซีขาดผู้นำที่คอยกระตุ้น และนำ "Inspiration" หรือแรงดลใจซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่ ทัศนะคติ Win-Win หรือความกระตือ รือร้นที่จะเอาชนะคู่แข่งนั้นเอง
และผมเองมองว่า การที่แกรนต์ ให้โอกาส อังเดร เชฟเชนโก้ ลงตั้งแต่ต้นเกม และให้ทำหน้าที่รับผิดชอบ ลูกฟรีคิกสองครั้งในช่วงครึ่งแรก รวมถึงบทบาท Free role ยืนอยู่หลัง ดิดิเยร์ ดร็อกบา นั้น ดูเป็นการเอาใจ โรมัน อบราโมวิช มากเกินไปหรือเปล่า?

จริงอยู่ครับที่แกรนท์ต้องการดึง "ความมั่นใจ" ของหัวหอกยูเครนกลับมา

แต่การเตะฟรีคิกไม่ขึ้นสองครั้งสองครา แม้เจ้าตัวจะดู "ตั้งใจ" มากเหลือเกิน แต่เหมือนว่าการที่เจ้าตัวยิ่งพยายาม ก็ยิ่งกลับกลายเป็นยิ่งแย่ และไม่มีสัญญาณใด ๆ เลยที่จะทำให้เรามีหวังจะได้เห็น "เชว่า" คนเดิมสมัยที่เล่นให้ เอซี มิลาน

น่าเสียดายครับที่ "เชว่า" ไม่ได้เป็นคนที่ถูกรักของผู้คนที่นี่ เพราะยามที่เขาตัวโดนเปลี่ยนออกให้เคลาดิโอ ปิซาร์โร่ เข้ามาแทนในนาทีที่ 54 นั้น แฟนเชลซีหลายๆ คน ก็เริ่มมีเสียงโห่ให้เห็นกันบ้างแล้ว
และหลังเกมเจ้าตัวก็นั่งเครื่องบินตรงไปมิลาน เพื่อฉลองครบรอบวันเกิด 31 ปีที่นั่นทันที แค่นี้ก็พอรู้แล้วล่ะครับว่าเชฟเชนโก้ไม่ได้รู้สึกว่าอังกฤษเป็น "บ้าน" เค้าเช่นกัน

ย้อนกลับมาที่สถานการณ์ของเชลซีในเวลานี้ โอเค... เกมนี้ แกรนท์อาจจะเหลือผู้เล่นแค่สิบคนในช่วง 15 นาทีสุดท้าย เพราะดร็อกบา โดนใบเหลือง-แดงออกไป


แต่แทคติกส์โดยรวมของแกรนต์ที่ว่าจะนำ "เอนเตอร์ เทน" ฟุตบอลมาสู่เชลซี คาดว่าแฟนๆ ที่ดูเกมนี้อยู่คงอด คิดแบบผมไม่ได้เหมือนกันว่า มัน "เอนเตอร์เทน" ตรงไหน เพราะขนาดไปดูถึงขอบสนาม บางช่วงจังหวะของเกม ผมยังเกือบจะหลับเอา

"ความเคารพนับถือ" และ "ศรัทธา" ที่นักเตะมีต่อ แกรนท์ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ เนื่องจากข่าวความไม่พอใจ วิธีการซ้อมของทีมรวมถึงไม่มั่นใจใน "ฝีมือ" แกรนท์ของนักเตะซีเนียร์หลาย ๆ คนก็หลุดมาตามสื่อเป็นระยะๆ

และหากไม่มีอะไรผิดพลาด สตีฟ คลาร์ก มือขวาเก่า ของมูรินโญ่ก็จะอยู่ช่วยแกรนท์ถึงแค่วันอาทิตย์ที่จะ ถึงนี้ในแมตช์กับโบลตันเท่านั้นหลังเจ้าตัวรู้ว่าถึงเวลาเสียทีกับ การเริ่มบทบาทผู้จัดการทีมเองหลังจากบ่มเพาะ ประสบการณ์มาพอดูกับโจเซ่ มูรินโญ่

มุมมองผมแล้ว อัฟรัม แกรนท์ ต้องให้ "ผลงาน" ในเกมวันพุธนี้ที่จะไปเยือนบาเลนเซีย เป็นการตอบคำถามสื่อมวลชนที่เคลือบแคลง และสงสัยในความสามารถของ เจ้าตัว

หากทำได้ในเกมระดับยุโรปเกมนี้ ผมเชื่อว่าแกรนท์อาจจะเรียก "ความสามัคคี" และ "กำลังใจ" จากนักเตะรวมถึงแฟนบอลกลับมาได้ไม่มากก็น้อย

แต่ถ้าหากว่าเจ้าตัวยังพาทีมสิงห์บลู ออกทะเลอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่า ท่านประธานซึ่งใจร้อน+เอาแต่ใจ ตัวเอง (ไม่น้อย) อย่างอบราโมวิช จะยังใช้บริการแกรนท์ จนถึงช่วงปีใหม่หรือเปล่า ??


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2995

Monday 1 October 2007

อาร์เซนอล กับเรื่องเงินๆ


ช่วงดวงมันจะขึ้น ใครก็ฉุดกระชากลากไว้ไม่อยู่จริงๆสำหรับผลงานการบินถลาลมบนฟากฟ้าล่าสุดจากขุนพล “เดอะกันเนอร์”

นอกจากผลงานนัดหลังๆที่ “ปรัชญา” ในเกมรุกนั้นยากที่ทีมใดบนพื้นแผ่นดินอังกฤษจะลอกเลียนแบบ สไตล์การเล่นที่น่าตื่นตา+ โดนใจ แล้ว ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสถานะการเงินของพวกเค้าก็น่าชื่นใจแทนแฟนๆพวกเค้าเป็นอย่างยิ่งครับ

ณ เพลานี้ อาร์เซนอลภายใต้การคอนโทรล ของบอร์ดบริหารที่นำโดยท่านประธาน ปีเตอร์ ฮิลล์วูด กลายเป็นทีม ที่ล่ำซำที่สุดในประเทศ เหนือทีม ทีมที่เคยเป็น “สุดยอดเจ้าสัว” ด้านการเงินอย่าง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างราบคาบ

นอกจากนี้พวกเค้ายัง “สถาปานา”ตนเองขึ้นเป็นทีม ร่ำรวยอันดับสอง รองจาก เรอัล มาดริดได้อีกด้วย ตาม รายงานของฝ่ายการเงินของสโมสรเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

“ตัวเลข” ณ วันปิดไตรมาส เมื่อ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่สรุปได้คร่าวๆก็คือ พวกเค้าฟัน “กำไร”
ไปแล้วในปีนี้ 51.2 ล้านปอนด์ (3,584 ล้านบาท)


และนับตั้งแต่ ย้ายบ้านมาใช้ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เป็น สนามเหย้า Turn over หรือ ผลกำไร ที่ได้รับเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ ราวๆ 200 ล้านปอนด์ (14,000 ล้านบาท) เข้าไปแล้ว

ขณะที่ทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับเพียง 167.8 ล้านปอนด์ (11,746 ล้านบาท) และ เชลซีตามมาห่างๆที่ 152.8 ล้านปอนด์ (10,696 ล้านบาท)

ยอดขาย ตั๋วต่อหนึ่งเกมใน บ้าน (ณ ความจุ กว่า 60,000 ที่นั่ง) ก็สูงถึง 3.1 ล้านปอนด์
(217 ล้านบาท) !!

ผมเป็นคนนึงครับที่ดู ข้อมูลตรงนี้แล้ว ช็อกตาตั้งกับยอดรายรับของอาร์เซนอล ในปีนี้

ใครจะไปเชื่อล่ะครับ เพราะเมื่อไม่กี่ฤดูกาลก่อน ช่วงที่พวกเค้ายังต้องหมุนเงินเพื่อนำไป “โปะ” จ่ายค่าสร้างสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม “สถานะความเป็นอยู่” เป็นไปแบบแทบ จะ “อดมื้อกินมือ”อยู่เลย

บ่อยครั้งที่กุนซือหน้าเหี่ยว ต้องแบกหน้าย่นๆของแกเพื่อของบประมาณไปช้อปซื้อนักเตะมาเสริมทีมก็ถูกตอกกลับมาให้หน้าหงายอยู่บ่อยๆ ถ้าเปรียบเปรยกับภาษาไทยให้ได้อารมณ์หน่อย บอร์ดบริหารของทีมก็คงพูดประมาณว่า “ข้าไม่มีเงิน เอาไว้ก่อน”

แต่จู่ๆขณะที่ ขงเบ้งเมืองน้ำหอมกำลังตาหน้าตั้งตา “ปั้น” เด็กๆในสังกัด ในสนามซ้อมของทีมอยู่… เหมือนมีหีบเงินใบใหญ่ มูลค่า 70 ล้านปอนด์แหวกมวลอากาศมาหล่นใส่ศรีษะ เวนเกอร์ครับ เมื่อบอร์ดบริหารได้แจ้งข่าวดีให้ทราบว่า เงินในหีบจำนวนดังกล่าว จะสามารถถูกใช้เป็น งบประมาณในการเสริมทัพได้ในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคมนี้

ต้องยอมรับแบบลูกผู้ชายครับว่า เมื่อตอนต้นฤดูกาลผม Under-estimate หรือ ดูแคลนอาร์เซนอลไปพอสมควร เพราะไม่เชื่อน้ำยาขุนพล ยังเตริก์ ชุดนี้ ว่าจะพาทีมไปมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ชิพหรือแม้แต่กระทั่ง ติดอันดับเป็นหนึ่งในสี่ได้ เนื่องจาก หลงยิ้มกริ่ม แอบดีใจอยู่ในภวังค์ คิดว่า ทีมรักอย่างสเปอร์ส จะเป็น
“ม้ามืด” สอดแทรกได้ในปีนี้

แต่อย่างที่เห็นสถานการณ์กันดีในตอนนี้ครับ ทีมน้องไก่จมปลัก อยู่อันดับ 18 และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นหลัง “โควตา”ยิงประตู “หมด”หลังออกแนวบ้าพลังยิงไปซะเยอะ ในศึกยูฟ่าคัพเมื่อพฤหัสบดีก่อน

ขณะที่ อาร์เซนอล ยิ่งเล่นยิ่งดี ความเข้าใจของตัวผู้เล่นเดิมๆ + ความกระหายในชัยชนะหลังจากไร้เงา ผู้เล่นทรงอิทธิพล อย่าง อองรี มันทำให้ ฟอร์มของพวกเค้า “กระฉูด” อย่างที่เห็น หลังจากยิงไม่เคยน้อยกว่า 3 ลูกใน 5 นัดหลังสุด

และเท่าที่กวาดตามอง ทีมคู่แข่งอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ปัญหา “โรเตชั่น” ส่งผลกระทบฟอร์มในลีกของ ราฟาเอล เบนิเตซ อีกครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ดเองที่แม้จะ ยังชนะได้ต่อเนื่อง ก็ยังดู ไม่ค่อยน่ากลัว อย่างที่ควรจะเป็นในแนวรุก

ขณะที่ เชลซีภายใต้ การคุมทีมของ อัฟราน แกรนต์ อาจจะหลุดวงโคจรการลุ้นแชมป์ในปีนี้ เอาได้เนื่องจากคงต้องใช้เวลาในการรวบรวมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในทีมให้ได้เสียก่อน และนั่นอาจใช้เวลาพอสมควร ซึ่งมันอาจจะสายเกินไปในการกลับมาสู่เส้นทางการลุ้นตำแหน่งแชมป์

มันจึงเท่ากับว่า โอกาสในการลุ้นแชมป์ของทีมปืนโต มีลุ้นเพิ่มขึ้นมาอีกอักโข เมื่อดูจาก ฟอร์มการเล่น
ณ ตอนนี้ + เม็ดเงินอัดฉีดจำนวน 70 ล้านปอนด์ที่กำลังจะเข้ามา

แต่ทั้งนี้ ทั่งนั้น อาร์เซนอลก็ต้องมั่นใจครับว่า การ Take over ที่อาจมีขึ้น จะไม่ส่งผลกระทบกับฟอร์มการเล่นในสนามของพวกเค้า

ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการพยายาม กว้านซื้อหุ้นเพิ่มของ อลิเชอร์ อุสมานอฟ ที่ผม ได้ “กลิ่น” ไม่ค่อยดีก็คือ ความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในบอร์ดบริหาร ของอาร์เซนอล

จริงอยู่ครับที่ แม้ ปีเตอร์ ฮิลล์วูด จะออกประกาศเสียงดังฟังชัดว่ายังไงก็จะไม่ขายหุ้นให้แก่ อลิเชอร์
อุสมานอฟ และ เดวิน ดีน อดีตรองประธานที่จดทะเบียนเปิดบริษัท เรดแอนด์ไวท์ ร่วมกัน และครองสิทธิ์ ถือหุ้นในสโมสรไปแล้วกว่า 21 เปอร์เซ็นต์ และ ต้องการอีกแค่ 9 เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีสิทธิ์ อย่างน้อยในการ ยื่นขอ เทกโอเวอร์ สโมสร

แต่อย่าลืมครับว่า บอร์ดบริหาร คนอื่นๆในทีมจะเห็นด้วยหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ ? ผมจึงเกรงว่าผลงานที่กำลังโลดแล่นติดลมบน ในปัจจุบัน อาจจะชะงักได้ หากบอร์ดบริการ ดันทะลึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันและ
งัดข้อกันเอง ..

ส่วนตัวแล้ว หากมีการเปลี่ยนมือ เจ้าของจริงๆ ผมอยากให้ สแตน โครเอนเก้ นักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่มีข่าวอยากเทกโอเวอร์ อยู่เช่นกัน น่าจะเป็นตัวเลือกที่ น่าสนใจกว่า เพราะ อยู่ในวงการกีฬามาอยู่แล้ว ดูมีความตั้งใจที่จะพัฒนาทีมอาร์เซนอลให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นมากกว่า อีกทั้งแผนการลงทุน น่าจะเป็นไปในระยะที่ยาวกว่า

ผิดกับ คู่หู อุสมานอฟ-ดีน ที่คนนึงดูจะเข้ามาแสวงแต่กำไรจากสโมสร โดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้าน ขณะที่ ดีน การกลับมาในครั้งนี้ เหมือนมา Take revenge หรือ แก้แค้น และ ครองความเป็นใหญ่อีกครั้งในสโมสรที่เค้ารัก หลังจากที่เคยโดนบีบให้ลาออกไปเนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันกับบอร์ดบริหารคนอื่นๆ

ถึงตรงนี้เป็นหน้าที่ของบอร์ดอาร์เซนอลแล้วครับ ว่าจะสามัคคีกันแค่ไหน เพราะ พวกเค้าก็เหมือน Custodian หรือ ตัวแทนของสโมสรที่จำต้องดูแล ปกป้อง ความรู้สึกแฟนบอล + ความเป็นไปของสโมสร

หรือสรุปให้ชัดเลยก็คือ พวกเค้าต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อ อาร์เซนอลครับ หากมีการโอนถ่ายเปลี่ยนมือเจ้าของกันขึ้นมาจริงๆ