Thursday 13 November 2008

"ยังกันส์" ยิ่งดูยิ่งน่าเชียร์


ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังตกสะเก็ดกระทบกระเทือน ธุรกิจไปทุกแขนงรวมถึงวงการฟุตบอลทั่วโลก เป็นเรื่องที่ดีครับที่เห็นสโมสรอย่างอาร์เซนอล มีนโยบายเตรียมรับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจังด้วยการ เน้นการปั้นดาวรุ่งเลือดใหม่มาทดแทนตัวหลัก ที่เริ่มโรยราไปอยู่เรื่อยๆเป็นเวลาร่วม 12 ปี นับตั้งแต่อาร์แซน เวนเกอร์เข้ามารับงานที่ประเทศอังกฤษ


จากยุคของเอียน ไรท์ที่พีกสุดขีดยิงน้ำกระจายจนหลายคนบอกว่าคงหาใคร มาแทนไม่ได้แล้ว เวนเกอร์ก็ปั้นดาวรุ่งโนเนมอย่างนิโกลาส์ อเนลก้าจนดังเป็นพลุแตกก่อนขายไปให้เรอัล มาดริดด้วยกำไรมหาศาล (ซื้อมาเพียง 500,000 ปล่อยไป 22 ล้านปอนด์)

จากนั้นก็เซ้งอองรีที่ตกอับกับตำแหน่งปีกซ้ายใน อิตาลีมาจากยูเวนตุสและดันขึ้นเป็นเล่นกองหน้าจนภายหลัง "คิงอองรี" สถาปนาตัวเองจนเป็นหนึ่งในกองหน้าที่น่าเกรงขาม ที่สุดในโลกอยู่ช่วงนึงก่อนวัยแตะหลัก 30 และได้ย้ายไปหากินที่สเปนเหมือนในเคสของอเนลก้า รายนี้แม้จะไม่ได้กำไร มหาศาลเท่าแต่ผลงานที่พี่ห้อยฝากไว้นั้นถือว่าคุ้มเกินคุ้ม

กองกลางก็เช่นกันหมดจากยุคเรืองรองของมาร์ก โอเวอร์มาร์ส,เอ็มมานูเอล เปอตีต์,ปาทริค วิเอร่า และเฟรดริก ยุงเบิร์ก แดนกลางอาร์เซนอลก็ถ่ายเลือดและเปลี่ยนหน้าตาไปหลายครั้งหลายคราจนตอนนี้ก็ได้สูตรผสมที่ลงตัวอย่าง ซามีร์ นาสรี่,เชสก์ ฟาเบรกาส,เดนิลสัน และธีโอ วัลคอตต์ ซึ่งแม้ยังบลัดชุดนี้จะยังไม่ประสบความ สำเร็จแบบเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ Potential หรือศักยภาพที่จะไปถึงจุดนั้นหากมอง แบบไม่มีอคติคงต้องยอมรับว่าขุนพล ชุดนี้มีคุณภาพพอแน่นอนที่จะพาทีมเป็น แชมป์รายการใหญ่อย่างพรีเมียร์ชิพ,แชมเปี้ยนส์ลีก หรือเอฟเอ คัพ เพียงแต่ต้องรักษาสมาธิและความสม่ำเสมอ ให้คงเส้นคงวามากกว่าที่เป็นที่อยู่

ขณะที่รายการคาร์ลิ่ง คัพหรือถ้วย "มิกกี้เมาส์" ของทีมใหญ่และเป็นถ้วยลูกเมียน้อยของทีมระดับกลาง (เนื่องจากถ้วยหลักคงเน้นเอฟเอ คัพเพราะดูมีคุณค่ามากกว่า) ทำให้บอลรายการนี้ดูเหมือนจะหมดสนุกไป โดยปริยายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ปีนี้ก็เช่นกันแม้ว่าบิ๊กโฟร์ยังอยู่กันครบในรอบ 16 ทีมสุดท้ายแต่จากที่ดูการจัดตัวในรอบที่ผ่านๆ มาคงต้องบอกว่ามีเพียงเชลซีทีมเดียว ที่ส่งผู้เล่นดูเหมือนจะเน้นหน่อยกับบอลรายการนี้ หลังบิ๊กฟิล สโคลารี่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าขอกวาดทุกถ้วยที่ลงเตะ

"ปิศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ดนั้นเกือบเอาตัวไม่รอดในการลงเล่นกับ "ทหารเสือราชินี" ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์อดีตทีมดังชนะหืดจับได้เพียง 1-0 จากลูกจุดโทษในนาทีที่ 76 ของคาร์ลอส เตเบซ

ขณะที่อาร์เซนอลในถ้วยใบนี้อาร์แซน เวนเกอร์ผู้หลงรักเด็กหนุ่มเป็นชีวิตจิตใจ (จนคนเอาไปแซวว่าเป็นเกย์จากท่าทางที่นุ่มนวลและสุภาพผิดผู้ชาย^^)

ก็ยืนหยัดนโยบายเดิมด้วยการจัดเด็กนรก ชุดนี้ลงสนามอย่างต่อเนื่องเช่นเคยหลัง จากรอบที่แล้วโชว์ผลงานอลังการงานสร้างยิงทีม"ดาบคู่" เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดไป 6-0
เกมนี้เด็กยังกันส์ได้ลงเล่นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมซึ่งจุผู้ชมได้กว่า 60,000 ที่นั่งก็ไม่มีอาการลนลานหรือ "ตื่นคน" ให้เห็นแม้แต่น้อย นับเป็นเรื่องแปลกแต่จริงครับที่เด็กดาวรุ่งบางคนอย่างแจ็ค วิลเชียร์ (16 ขวบ) หรือแอร่อน แรมซีย์ (17 ขวบ) กลับเล่นได้นิ่งกว่าผู้ใหญ่หลายคนในพรีเมียร์ชิพเสียอีก

ผมจำได้ว่าสมัยตัวเองอายุ 16-17 เท่าสองคนนี้แข่งบอลกีฬาสีในโรงเรียนพอเข้ารอบลึก ๆ แต่ละทีนั้น ทั้งสั่น เขิน เกร็ง เดินไปฉี่สองสามรอบได้ก่อนจะลงสนามแต่ ละทีทั้งที่คนดูก็ไม่ได้เยอะอะไรเลยหากเทียบกับสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม! : p

ฉะนั้นจึงขอซูฮกความนิ่งเกินพิกัดของทั้งเจ้าหนูวิลเชียร์และแรมซีย์จริงๆครับ ที่นอกจากจะดูไม่ประหม่าแล้วยังผลิตผลงานได้แหล่มสุด ๆ โดยเฉพาะรายแรกแจ็ค วิลเชียร์ที่หลายคนนำเค้าไปเปรียบเทียบกับเชสก์ ฟาเบรกาสจอมทัพรุ่นพี่ในทีม เพราะมีคุณสมบัติหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันทั้งลูกจ่ายคิลเลอร์พาสที่เด็ดขาดและ พรสวรรค์ที่ดูแววแล้วอีกไม่นานหนุ่มแจ็คดังเป็นพลุแตกแน่นอน

ขณะที่รายของคาร์ลอส เบล่าหัวหอกชาวเม็กซิกันวัย 19 ปีคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้เสียเวลา เพราะแฮตทริกในเกมกับเชฟฯยูฯและลูกชิพสุดงามในเกมนี้น่าตอกย้ำให้เวนเกอร์ เห็นชัดเจนครับว่าหมอนี่พร้อมแล้วที่ก้าวขึ้นไปเป็น "ไพ่เด็ด" ให้แนวรุกอาร์เซนอลหากว่าวันไหนเกมรุกตื้อไป หรือต้องการมิติใหม่ในแนวรุกเพราะสไตล์หมอนี่ออกแนวโฮเซ่ เรเยสที่ยืนได้ทั้งทางริมเส้นหรือจะโยกไปยืนหน้าเป้าก็ไม่น่าเกลียด

สกอร์ไลน์ 3-0 ที่สอนบอลผู้ใหญ่อย่างวีแกนไปในเกมนี้นอกจากจะทำให้พวกเค้าถูกยกให้เป็นตัวเต็งแชมป์คาร์ลิ่ง คัพรองจากเชลซีในปีนี้ไปอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว ยังมีสัญญาณดีๆหลายอย่างว่าปีนี้เราอาจได้เห็นผลผลิตของเด็กนรกชุดนี้ก้าว ขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมอย่างที่เดนิลสัน มิดฟิลด์ชาวแซมบ้าทำสำเร็จในซีซั่นนี้ก็เป็นได้

นี่ล่าสุดโทมัส โรซิคกี้เพิ่งจะผ่าตัดไปอีกรอบและคงต้องพักยาวไปอีกสักระยะ เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวาก็ยังต้องใช้เวลาเรียกความฟิตกลับมา หรือหากอาร์เซนอลเกิดทะลึ่งมีตัวเจ็บหรือแบนเพิ่มขึ้นมาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

เมื่อถึงเวลานั้นหากเวนเกอร์ยังรักษาอุดมการณ์ของตัวเองด้วยการไม่ซื้อใครเข้ามาเสริมในช่วงปีใหม่นี้ เราก็จะได้เห็นกันละครับว่าแข้งยังกันส์ชุดนี้จะตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจที่ "ป๋าดัน" ของพวกเค้ามอบให้ได้มากน้อยขนาดไหน...

No comments: