Friday 14 November 2008

สเปอร์สยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม

เดินทางเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยครับ สำหรับศึกฟุตบอลคาร์ลิ่ง คัพประจำฤดูกาล 2008-2009 ปรากฏว่าทีมที่ประกาศจะคว้าแชมป์ให้ได้ทุกถ้วยในปีนี้อย่าง "สิงห์ไฮโซ" เชลซีกระเด็นตกรอบท่ามกลางความอึ้ง ทึ่ง ไม่มีเสียว แต่เล่นเอาท่านต่อกระเป๋าฉีกกันไปทั้งบาง แถมอ่อนซ้อมจุดโทษพ่ายให้ทีมต่ำชั้น กว่าหลายขุมอย่างเบิร์นลี่ย์ หลังเสมอกันไปในเวลา 1-1 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

ขณะที่ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ของกุนซือฮาร์ดคอร์อย่างรอย คีน ช่วงนี้ไม่รู้เจออากาศหนาวแล้วเป็นไข้หวัด แมวหรือเปล่าเล่นได้หมูตู้สุดๆ พ่ายให้ทีมชุดผสมตัวจริง / สำรองของแบล็คเบิร์นปราบพยศคาถิ่นสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ไป 1-2 โดนแฟนตัวเองโห่ไล่หลังจบเกมและจากนี้พนัน 100 บาท แลกขี้หมาก้อนเดียวได้เลยว่าสถานการณ์ เก้าอี้กุนซือของคีนเริ่มเปิดสวิตช์สั่นคลอนอย่างเป็นทางการแล้ว หลังสองซีซั่นที่ผ่านมาถลุงตังค์สโมสรไปเพียบแต่กลับเล่นได้ไม่เอาอ่าวเอาทะเลสักกะนิด

ขณะที่เกมคู่สเปอร์ส VS ลิเวอร์พูลที่ผมนั่งชมเกมอยู่ที่ผับแถวบ้านเนื่องจากโดน Reject โควตาที่นั่งนักข่าวเป็นครั้งที่สองในซีซั่น บอกได้คำเดียวว่าไม่เซอร์ไพรส์ผมสักเท่าไรนัก ทันทีที่เห็นการประกาศตัวผู้เล่น 11 คนแรก ที่จะลงสนาม

จริงอยู่ครับที่เกมนี้สเปอร์สจะพักผู้เล่นตัวหลักที่ฟอร์มดีอย่างดาร์เรน เบนท์ ลูก้า โมดริช เดวิด เบนท์ลีย์ และโจนาธาน วู้ดเกต แต่ลิเวอร์พูลเนี่ยซิครับจัดตัวมาแบบนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติอิทธิฤทธิ์ของลุงจ่าแฮร์รี่ "ฮูดินี่" เรดแนปป์แม้แต่น้อย เพราะเล่นส่งชุดสำรองลงเล่นทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าฟอร์มของทีมไก่เดือยทองของผมช่วงนี้นั้นฟอร์มแหล่มได้อีกน้า (นานๆ ได้โม้แบบนี้สักที ขอเหอะ!! อิอิอิ)

ดูจากการจัดตัวของสเปอร์ส ในเกมนี้แล้วมองได้ว่าเรดแนปป์ไม่ได้ประมาท ทีมผู้มาเยือนจากแดนไกลเลยนะครับ เพราะมีแค่ 3 รายเท่านั้น ที่ไม่ใช่พวกขาประจำในทีมชุดใหญ่ อย่างเฟร์เซอร์ แคมป์เบลล์, เจมี่ โอฮาร่า และไมเคิล ดอว์สัน สามดาวเตะเลือดผู้ดีอังกฤษที่เรดแนปป์ ให้โอกาสในการลงเล่นเพื่อ เพิ่มพูนประสบการณ์ที่ยังถือว่าไม่เยอะ ในเกมระดับนี้

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงอย่างนึง ที่ถือว่าน่าสนใจมากในมุมมองของผม ก็คือการมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ไมเคิล ดอร์สันที่ฟอร์มรูดมโหฬารในช่วง 2 ปีหลัง นับตั้งแต่ย้ายจากน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์มาหากินกับสเปอร์สพร้อมกับเพื่อนซี้ร่างอวบอั๋นอย่างแอนดี้ รีดในปี 2005 ด้วยแพ็กเกจคู่ประมาณ 8 ล้านปอนด์

ช่วงแรกที่ดอว์สันย้ายมาเล้าไก่ใหม่ๆ กองหลังหน้าตาคล้ายเจ้าหนูที่แสดง Home Alone ในภาคแรกๆ โชว์ฟอร์มเข้าคู่ยืนเป็นปราการหลังกับเลดลีย์ คิงได้อย่างแข็งแกร่งสุดๆ จนตำนานหลายคนในถิ่นไวท์ฮาร์ทเลนมองว่านี้แหละคือคู่หูในแนวรับ ที่ทีมตราไก่รอคอยมาแสนนานนับตั้งแต่หมดยุคของโซล แคมป์เบลล์ไป

อนิจจาปีถัดมาหัวเข่าของเลดลีย์ คิงดันเปราะบางไม่สมกับหน้าตา ทำให้ดอร์สันต้องรับผิดชอบภาระในแนวรับเยอะจนเกินอายุที่ยังน้อยนิด เหลือเกินในช่วงนั้นจึงทำให้เจ้าตัวฟอร์มเริ่มหดหาย และเดเมี่ยน โคโมลี่อดีต ผอ.กีฬาของสเปอร์สที่บ้าซื้อกองหลังและแบ็กซ้าย-ขวาเป็นชีวิตจิตใจก็เริ่มมามองหาคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟใหม่ ด้วยการไปถอยยูเนส คาบูล ริคาร์โด้ โรช่าและโจนาธาน วู้ดเกตมาเสริมทีม

นับจากนั้นมาความมั่นใจของดอร์สันก็เริ่มหดหาย และฟอร์มถดถอยอย่างต่อเนื่องแม้จะได้ลงสนามอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เจ้าตัวเรียกฟอร์มการเล่นเดิมๆ กลับมาพีกได้อีกเลย จนกระทั่งการเข้ามาของแฮร์รี่ เรดแนปป์เมื่อประมาณ 20 วันก่อน....

ฟอร์มของผู้เล่นสเปอร์สหลาย รายพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า โมดริชที่ดูว่าจะสอบตกในบอลอังกฤษก็ดูเทพขึ้นมาดื้อๆ ในช่วงหลัง ทอมมี่ ฮัลเดิลสตันก็กำลังก้าวมาเป็นไมเคิล คาร์ริคเวอร์ชันบึกบึน เพราะจ่ายบอลสั้น-ยาวแม่นได้ใจผมมาก หรือรายของดาร์เรน เบนท์ที่ผมเพิ่งเชียร์ให้ติดทีมชาติอังกฤษ ไปเมื่อวันก่อนก็แปรสภาพ จากสากพันล้านมาเป็นไก่ดำผู้กระหายประตู

ถึงตอนนี้ผมเดาใจเรดแนปป์ว่าคงหมายมั่นจะฟื้นฟูฟอร์มการเล่นเดิมๆ ของดอว์สันให้กลับมาเหนียวแน่นดังเดิมอีกครั้งด้วยการมอบความมั่นใจ ให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในนัดเปิดบ้านถล่มหงส์แดงนัดที่ผ่านมา
หลายคนอาจจะชอบโจนาธาน วู้ดเกตให้จับคู่กัปตันไก่ตัวจริงอย่างเลดลีย์ คิงนะครับ แต่สำหรับผมแล้วขอบอกความลับส่วนตัว (ที่ไม่ลับอีกต่อไป) เลยว่าผมตราตรึงติดใจฟอร์มการเล่นของดอว์สันมาตั้งแต่แรกพบ อารมณ์ประมาณว่า Love at first sight หรือรักแรกพบอย่างงัยอย่างงั้นเลยทีเดียว ^^’

บอกตามตรงครับว่าผมชอบทรรศนะคติ Never say die ของหมอนี่ที่บู๊แบบไม่มีกลัวเจ็บตัว เข้าถึงบอลทุกครั้งแม้บางทีอาจจะโฉ่งฉ่างไปบ้างแต่ความทุ่มเทมีเกิน100 % ให้ทีมเสมอ

เจมี่ คาร์ราเกอร์ หรือ เวส บราวน์แต่แรกเดิมทีที่ก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ให้ลิเวอร์พูลและแมนฯยูฯใหม่ก็มีแต่ "ความทุ่มเท" นี่แหละเป็นจุดเด่น ทว่าทั้งคู่ก็มักจะพลาดแบบสะเหร่อๆ และเป็นตัวตลกโปกฮาของแฟนบอลทีมอื่นมาตลอด

แต่เดี๋ยวนี้ดูสิครับดู...ทั้งคู่สามารถก้าวเป็นตัวหลักของสองทีมยักษ์ ได้อย่างเต็มภาคภูมิจากการที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้จัดการทีม

ผมภาวนานะครับให้ดอว์สันกลับมาสู่เส้นทางการค้าแข้งที่สดใสอีกครั้ง หลังจากผ่านช่วงที่ยากลำบากในอาชีพนักเตะมาสองฤดูกาลที่ผ่านมา และด้วยวัยกำลังจะย่างเข้า 25 (ในวันที่ 18 พ.ย.ที่จะถึงนี้) ผมคิดว่าไม่แน่เหมือนกัน หมอนี่อาจจะเป็นกัปตันทีมสเปอร์สในอนาคตก็ได้ใครจะไปรู้ (อีกคนที่ผมเชียร์ก็คือทอม ฮัลเดิลสตันครับเพราะดูมีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ดี ที่สำคัญเป็นนักเตะอังกฤษและอยู่กับทีมมาหลายซีซั่นแล้ว)

สำหรับสองฮีโร่ของสเปอร์สในเกมนี้อย่างเฟร์เซอร์ แคมป์เบลและโรมัน พาฟลูเชนโก้ที่สอยไปคนละ 2 ตุง ก็ถือว่า "สอบผ่าน" สบายในช่วงที่ทั้งทีมกำลังเข้าฝักแบบนี้ และถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่กองหน้าแต่ละรายในทีมยิงประตูกันได้ทุกคนซึ่งตรงนี้จะทำให้ดาร์เรน เบนท์กดดันและเค้นฟอร์มยิงประตูได้ต่อไปเรื่อยๆ

ภาพรวมตอนนี้ถือว่าสเปอร์สดูดีหมดเกือบทุกตำแหน่งครับยกเว้นอย่างเดียว ตำแหน่งนายทวารด่านสุดท้ายนี่แหละ ฮูเรลโญ่ โกเมสนายทวารที่อุตส่าห์ไปถอยมาจากพีเอสวีเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาผิดพลาดง่ายกว่าพอล โรบินสันอดีตนายประตูคนเดิมซะอีก ก็ไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมอะไรนักหนาทีมตราไก่ถึงได้มีปัญหาที่ตำแหน่งประตูไม่จบสิ้นเสียที...

หากเร็วๆ นี้ได้ผมได้มีโอกาสเจอแฮร์รี่ เรดแนปป์ใน Press conference ผมละอยากลองถามลุงจ่าแกดูจังครับว่าสนใจดึงอดีตนายทวารทีมชาติไออย่างชัยยงค์ ขำเปี่ยมไปเป็นหนึ่งในโกล์คีปเปอร์สตาฟฟ์อีกสักคนมั้ยฮะ??!!

1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล