Wednesday 26 March 2008

ส่องกล้องมองเกม ฝรั่งเศส-อังกฤษ


อีสเตอร์เบรกเมื่อสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในปีนี้นั้น เต็มไปด้วยหิมะที่ตกโปรยปราย เรียกบรรยากาศสุขสันต์ให้การเฉลิมฉลอง วันพิเศษของชาวอังกฤษในวันหยุด Bank holiday ชื่นมื่นกันถ้วนหน้า
ไหนจะมี แกรนด์สแลม ซูเปอร์ซันเดย์ คู่ ผี-หงส์ และสิงโต-ปืน ให้ได้ลุ้นได้เชียร์กัน บรรยากาศตามนั่งร้าน และผับยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คน อากาศเย็นๆ หิมะสวยๆ ก็ช่วยเพิ่มอารมณ์ "สุนทรีย์" ให้ชีวิตที่ไม่ได้มีแค่ฟุตบอล ของผมที่ลอนดอน น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะทีเดียวครับ

ควันหลงหลังเกม ซูเปอร์ ซันเดย์นั้น อย่างที่เรียนไป ในคอลัมน์อาทิตย์ก่อนว่า Free flowing football ของอาร์เซนอลนั้นเริ่มจะถูกดักทางได้แล้วจากคู่แข่งในลีกด้วยกัน และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ชัดเจนครับ ว่าทีมปืนโตนั้นโดน ดักทางได้จริงๆ แม้จะผ่านบอลกันได้สวยๆ หลายจังหวะ และหาช่องทางทำกันได้ดี แต่จังหวะสุดท้ายในยามที่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และเชสก์ ฟาเบกาส โดนฝากความหวังมากเกินไป อาร์เซนอลก็เปรียบเสมือนปืน ที่ไร้กระสุน จนเป็นเหตุให้โอกาส ในการลุ้นแชมป์ลีกของพวกเค้านั้น ดูห่างไกล และเลือนรางไปทุกทีเพราะโดนทิ้งห่างถึง 6 คะแนน และเหลือเกมให้ลงเล่นอีก 7 นัดเท่านั้น

ขณะที่คู่แมนฯยูฯ-ลิเวอร์พูลนั้นคงไม่ต้องอธิบายอะไรไปมากกว่าคำว่า ยอดเยี่ยมกับผลงานระดับ Masterpiece สมราคาแชมป์เก่าของแข้งผีแดง และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมค่อนข้างเชื่อมั่นมากว่าพรีเมียร์ชิพในปีนี้ถึง "บทสรุป"แล้ว และถ้วยแชมป์คงจะต้องตก อยู่ในมือของเซอร์เฟอร์กี้ และลูกทีมอีกซีซั่นแบบไร้ข้อกังขา หากมองถึงฟอร์มที่สม่ำเสมอ และจิตใจที่ทนแรงเสียดทานได้ดี ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ผมเชื่อว่าทีมผีแดงนั้น เหนือกว่าสองทีมที่ตามมาอย่างเชลซี และอาร์เซนอล

ถัดจากฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ ที่ใกล้ถึง ตอนอวสานเต็ม ที่ ค่ำคืนวันนี้ก็จะ มีเกมทีม ชาตินัด กระชับมิตรของทีมชาติอังกฤษ ที่ยกพลออกไปเยือนสนามสต๊าด เดอ ฟรองค์ กรุงปารีสกับทีมชาติฝรั่งเศส โดยเกมนี้ มีความพิเศษอยู่ที่การ ถูกเรียกกลับมาติดทีม ชาติอีกครั้งของเทพบุตร ลูกหนังขวัญใจ แฟนฟุตบอลทั่วโลกอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ที่มีลุ้นลงเล่นสร้างตำนานอีกหน้าให้ตัวเอง และทีมชาติอังกฤษ หากได้รับเลือกให้ลงสนาม เพราะจะติดทีมชาติเตะหลัก ร้อยเป็นคนที่ห้าต่อจาก บิลลี่ ไรท์ (105นัด), บ็อบบี้ มัวร์ (108นัด), ปีเตอร์ ชิลตัน (125นัด) และเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (106นัด)

เบ็คแฮมวันนี้ในวัย 32 ปีอาจจะไม่ได้ฟิต และสดอย่างแต่ก่อนก็จริงอยู่ แต่การที่ฟาบิโอ คาเปลโล่ เรียกเจ้าตัวกลับมาติดทีมอีกครั้งนั้นก็เพราะว่า ประสบการณ์ และความสามารถในการผ่านบอลแม่นราวกับจับวาง + ความเป็นมืออาชีพที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม และไม่เคยปริปากบ่นแม้จะโดนหมางเมินจากกุนซือชาวอิตาเลียน ในเกมก่อนกับสวิตเซอร์แลนด์
ทัศนคติ และการออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อทุกครั้งของดาวเตะ ลูกสามจากทีม แอลเอ กาแล็คซี่ นั้นก็ออกมาในแง่บวก และแสดงความเป็นมืออาชีพมาโดยตลอดซึ่งตรงนี้หากเป็นดาวเตะแข้งดังรายอื่นๆ ที่โดนตัดชื่อออกไปอาจจะออกมาโวยวาย และน้อยอกน้อยใจถึงขั้นหันหลังให้ทีมชาติเลยก็เป็นได้ แต่เบ็คแฮมไม่ และเลือกที่จะอดทนรอโอกาสของตัวเองด้วยความอดทน จนเข้าตาทีมงานแบ็กรูมสตาฟฟ์ของคาเปลโล่จนอดไม่ได้ที่จะเรียกตัวกลับมารับใช้ชาติ

ครับ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เป็นกัปตันทีม และการันตีตำแหน่งจากคาเปลโล่ (ได้แต่งตั้ง ริโอ เฟอร์ดินานด์เป็นกัปตันทีมแล้วในเกมนี้) แต่อย่างน้อยอังกฤษจะได้รับผลได้มากกว่าผลเสียแน่นอนใน การที่มีเบ็คแฮมอยู่ในทีมเนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากลูกโยน เซตพีซ และฟรีคิกต่างๆ จากเจ้าตัว รวมไปถึงความทุ่มเทเกิน 100% ทุกนัดในยามที่สวมเสื้อทรีไลออนส์

นักเตะที่ถูกเลือกมาในครั้งนี้ของทีมชาติอังกฤษ นั้นคาเปลโล่ให้เหตุผลว่าเลือกตามผลงาน และความเหมาะสมของนักเตะคนนั้นว่า จะเข้ากับระบบที่เจ้าตัวจะให้ลงเล่นหรือไม่ อย่างไรก็ดีผมแปลกใจไม่น้อยที่กุนซือ หน้าเครียดเลือกที่จะตัด ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ และเจอร์เมน จีนาส สองคนยิงประตูให้ทีมในนัดก่อนออกไปจาก 23 คนสุดท้าย แต่กลับให้โอกาส ธีโอ วัลคอตต์ จากอาร์เซนอลที่ฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ และไม่ได้เป็นตัวหลักให้ทีมปืนโตในช่วงที่ผ่านมา และอีกครั้งที่เจอร์เมน เดโฟ ที่ย้ายทีมไปยิงเปรี้ยงปร้างกับปอร์ทสมัธ ยังโดนเมินเฉยจากคาเปลโล่

ด้านความพร้อมตัวผู้เล่นของอังกฤษในชุดนี้มีเพียง แฟรงค์ แลมพาร์ด และเวย์น รูนี่ย์ที่ยังต้องลุ้นกันจนถึงวินาทีสุดท้ายว่าจะมีสิทธิ์ลงสนามหรือ ไม่หลังจากที่ทั้งสองคนมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมซูเปอร์ซันเดย์ ที่ผ่านมา นอกนั้นฟิตเปรี๊ยะพร้อมลงเล่นเป็นตัวเลือกให้คาเปลโล่เลือกใช้งาน และลองทีมก่อนฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่อังกฤษจะออกไปเยือนอันดอร์ราในวันที่ 6 กันยายน 2551 ซึ่งจะเป็นเกมที่มีความหมายเกมแรกภายใต้การคุมทีมของคาเปลโล่

ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าเกมนี้ คาเปลโล่จะใช้ระบบไหน และใครจะได้ลงสนามเป็น 11 คนแรกบ้าง แต่คาดว่าในแผงหลังจะมีตัวยืนพื้นแน่ๆ ก็คือ เดวิด เจมส์, จอห์น เทอร์รี่ จับคู่กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยมี แอชลี่ย์ โคล และเวส บราวน์เป็นแบ็กซ้าย-ขวา ตามลำดับ

กองกลาง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด น่าจะได้รับโอกาสลงเล่นกับแกเร็ธ แบร์รี่ หรือโอเว่น ฮาร์กรีฟส์ คนใดคนหนึ่ง ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ นั้นสุดยากจะอ่านใจของกุนซืออิตาเลียนคนนี้ เนื่องจากนี้เป็นเพียงแค่เกมที่สองของเจ้าตัว และจะเป็นโอกาสให้นักเตะหน้าใหม่ ๆ อย่าง เดวิด เบนท์ลีย์ หรือสจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่โชว์ฟอร์มให้สโมสรได้ดี ลงเล่นเป็นตัวจริง เพราะสองรายนี้ถือเป็นเลือดใหม่ที่น่าจับตามอง ว่าจะเป็นกำลังหลักให้อังกฤษในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010

ขณะที่เจ้าถิ่นฝรั่งเศสเป็นที่แน่นอนแล้วครับว่าจะไม่มี เธียร์รี่ อองรี, คาริม เบนเซม่า และปาทริก วิเอร่ากัปตันทีม โดยคู่กองหน้าฝรั่งเศส นั้นน่าจะเป็น ดาวิด เทรเซเกต์ และ นิโกลาส์ อเนลก้า ที่น่าจะได้ผนึกกำลังทดสอบแนวรับของอังกฤษชุดนี้

เกมนี้อาจจะ ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายในแง่ของ ผลการแข่งขัน เพราะเป็นเพียงเฟรนด์ลี่ย์แมตช์ แต่อย่างน้อยๆ คาเปลโล่นั้นเพิ่ง เข้ามารับตำแหน่ง และคงไม่อยากแพ้แค่นัดที่สองที่คุมทีม ขณะที่ฝรั่งเศสเจ้าบ้านนั้นรู้ศักยภาพความสามารถของนักเตะอังกฤษดีอยู่แล้ว เพราะหลายๆ คนเคยผ่านเกมในพรีเมียร์ชิพมาก่อน ดังนั้นบอลคู่นี้น่าจะรู้ทางกันเป็นอย่างดี สุดท้ายจึงน่าจะจบลงด้วยผลเสมอกันไปอย่างสนุกครับ

Saturday 22 March 2008

เมื่อ Free-Flowing Football ของอาร์เซนอลโดนดักทาง


หลังจากที่ล่อแหลมต่อการที่จะเสียตำแหน่ง จ่าฝูงให้ทีมผีแดง มาหลายครั้งหลายหน ในที่สุดอาร์เซนอลของ อาร์แซน เวนเกอร์ก็เครื่องสะดุดไม่ชนะใครในลีกต่อไปเป็นนัดที่ 4 นัดติดต่อกัน และทำแต้มสำคัญในบ้านหลุด มืออีกจนได้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาหลัง ทำได้แค่เสมอกับมิดเดิลสโบรห์ 1-1 ทั้งๆ ที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ พวกเค้าเพิ่งจะโชว์ฟอร์ม "สุดเทพ" ช็อกแฟนบอลทั่วโลก ด้วยการบุกไปปราบ เอซี มิลาน ถึงซานซิโร่ 2-0 ตบเท้าเข้ารอบ Quarter-Finals ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่าง อลังการสมราคา "เด็กสร้างเจ๊เวน"
แต่ก่อนจะเข้าบทวิเคราะห์หลัง เกมนี้ มีเรื่องจะเมาธ์ (ตามฟอร์ม) ครับ เพราะว่าช่วงเช้าวันเสาร์ก่อนบุกไป เอมิ- เรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อชมเกม อาร์เซนอล-โบโร่ นั้น ผมมีโอกาสไปเหยียบสนาม "นิวเวมบลีย์" เป็นครั้งแรก!!
ดีใจมากมายครับ เพราะว่าไม่ได้แค่ไปหน้าสนาม ถ่ายรูปแล้วกลับบ้าน หากแต่ว่าได้เข้าไปถึง VIP Zoneเลย... หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่า วันเสาร์โน้นมีแมตช์เล่นที่เวมบลีย์ ด้วยเหรอ?
เปล่าหรอกครับ ที่ไปในครั้งนี้นั้น ผมไป Game Event ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ โดยปีนี้ Play.comจัดแข่งขัน เกม Pro Evolution หรือที่บ้านเราเรียกว่า "วินนิ่ง อีเลฟเว่น" เกมฟุตบอลสุดฮิตชิงเงินรางวัล 50,000 ปอนด์ หรือตกเป็นเงินไทยก็ราวๆ 3.5 ล้านบาทเท่านั้นเอง!!!
ครับคุณผู้อ่านไม่ได้ตาฝาด และผมไม่ได้เขียนผิด เงินรางวัลของผู้ชนะนั้นถ้าอยู่เมืองไทยก็เอาไปซื้อรถ + ดาวน์บ้านได้เลย อย่างไรก็ดีออกตัวก่อนครับว่า ตัวเองไม่ได้เก่งกาจขนาดจะไปแข่งเกมระดับนี้ แต่ผมไปในฐานะผู้ปกครอง ชั่วคราวของเด็กลูกครึ่งไทย-ฮ่องกงวัย 15 ที่แม่เค้าฝากเอาไว้ให้พาลูกชายเค้าไปหน่อย เพราะพี่เค้าต้องไปฮอลิเดย์ที่ฮ่องกงหนึ่งเดือน
หลังจากน้อง "แมทธิว" หรือ "ผีวินนิ่ง" ที่ผมมักใช้เรียกแทนชื่อเจ้าตัว (เนื่องจากแกนั่งเล่นได้เป็นวันๆ ไม่มีเบื่อ) ผ่านรอบคัดเลือกจากการแข่งออนไลน์ และเข้ารอบ 32 คนสุดท้ายมาเล่นที่เวมบลีย์

โดยจากประสบการณ์คนเคยติดวินนิ่ง และจัดว่าตัวเองเล่นพอใช้ได้ พอมาเจอน้องแมทธิว ผมนั้น "หมู"ไปเลย เพราะโดนน้องแกยำซะเสียผู้ใหญ่ หลายครั้งหลายหน แต่เชื่อมั้ยครับว่าเสาร์ที่ผ่านมาน้อง "ผีวินนิ่ง"ของผมที่จัดว่า "เซียน"แล้ว เจอพวกเด็กอังกฤษที่นี่ที่หน้าตาแต่ละคนดูก็รู้ว่า เลยครับว่า "บ้าเกมส์" มากยำไป 8-0 ตกรอบแรกแบบผม นั่งรอยังไม่ทันเมื่อยก้น ^^ เพราะแต่ละคน ที่เข้ามาเล่นถึงรอบนี้ ยอมรับจริง ๆ ว่าปีศาจวินนิ่งตัว จริงทั้งนั้น และน้องแมทธิวที่ว่าเก่งมากๆ แล้วก็ยังสู้เค้าไม่ได้อยู่ดี

เรื่องไม่เป็นเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็น ถึงความจริงอีกประการครับว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า และไม่ควรประมาทกับทุกเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ซึ่งตรงนี้มันทำให้ผมหวนนึกถึงสิ่ง ที่กำลังเกิดขึ้นกับอาร์เซนอลในเวลานี้หลัง เริ่มออกอาการแผ่ว + แรงจูงใจ ยามเล่นในบ้านหลังจากเกมกับเอซี มิลาน หดหายไปอย่างเห็นได้ชัด และสไตล์ Free-flowing ฟุตบอลของพวกเค้าที่เล่นกันได้ไหลลื่นเริ่มโดน ดักทางได้บ้างแล้วในพรีเมียร์ชิพ

ในหนังสือโปรแกรมของเกมนี้ บทสัมภาษณ์ของวิลเลี่ยม กัลลาส เจ้าตัวก็ยอมรับตรงๆ แบบลูกชายว่าแรงจูงใจ ในเกมเสมอวีแกน 0-0 ไม่สูงเท่ากับเกมกับเอซี มิลาน ที่ใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า อ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ พิกล และไม่เข้าใจอารมณ์ติสต์แตก ของกัปตันทีมอาร์เซนอลรายนี้เท่าไหร่ เพราะหลายครั้งหลายหน อย่างที่ท่านผู้อ่านคงจะคิดเหมือน กับผมน่ะครับว่า หมอนี่นั้นเลือดศิลปินแกแรงจริงๆ ไหนจะออกมาว้ากเพื่อนร่วมทีม พูดเรื่องที่ไม่ควรจะพูดกับสื่อ หรือนั่งงอนตุ๊บป่องไม่ยอมออกจาก สนามในเกมเสมอกับเบอร์มิงแฮม 2-2 ฯลฯ

โดยรวมแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ทำอะไร ผิดพลาด แต่ผมกลับมอง ว่าเจ้าตัวไม่ค่อยมีอิทธิพล ระหว่างเกมต่อเพื่อนร่วม ทีมสักเท่าไร ไม่เหมือนเชลซีที่มี จอห์น เทอร์รี่ และลิเวอร์พูลมีสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ที่ดูมี Impact ต่อทีมเยอะมากยามที่มีสองคนนี้อยู่ในสนามด้วย
เกมนี้ จริงอยู่ครับที่อาร์เซนอลนั้นเล่น Free flowing ฟุตบอลที่ไหลลื่นได้เหมือนเคย แต่ประสิทธิภาพในการ ทำประตูในช่วงหลังๆ ดูจะฝากความหวังไว้ที่ "มือปืนจากโตโก" เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ มากไปหน่อย และเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างที่ แกเรธ เซาธ์เกต ออกมาเปิดเผยหลังเกมว่า เค้า และลูกทีมได้ศึกษาเทปการแข่งขัน อาร์เซนอล-แอสตัน วิลล่า ก่อนลงสนาม และเห็น "จุดอ่อน" ในทีมชุดนี้ของอาร์เซนอลบ้างเหมือนกัน

เซาธ์เกตเผยว่า หากอาร์เซนอล ต้องเจอ ทีมที่มีกองหลังเขี้ยวๆ เล่นหนักๆ ไม่เปิดที่ว่างให้อเดบายอร์ได้บอลมาก นักแล้วละก็ อาร์เซนอลชุดนี้เจอปัญหาทันที เพราะ ตัวเลือก ในแนวรุกนั้นดูจะมีแกคนเดียวจริงๆ ที่พอตั้งเกม และเป็นตัวตัดสินชะตาให้ทีมได้มากที่สุด ในตำแหน่งกองหน้า

โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก็เพิ่งหายจาก อาการบาดเจ็บ และยังต้องใช้เวลาเคาะสนิมอีกสักพักกว่าจะกลับ มาท็อปฟอร์มได้อย่างเดิม ธีโอ วัลคอตต์ ก็ยังต้องพัฒนา และหาตำแหน่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองไม่ได้ เพราะเล่นปีกก็โยนไม่ ดี เล่นหน้าก็ต้องมีวิญญาณเพชฌฆาตมากกว่านี้ อีกทั้ง นิคลาส เบนท์เนอร์ ก็ดันเกลียดขี้หน้ากันกับหัวหอกโตโก และคงไม่ได้เล่นกันเข้าขาแบบมองตาก็รู้ใจ อย่างคู่กองหน้าอื่นๆ ในลีก
นอกจากเรื่องสไตล์การเล่นที่เริ่ม โดนดักทางได้ในลีกแล้ว ยังกันส์ของอาร์เซนอลต้องไม่เสียความเชื่อมั่น และอย่าให้ สถานการณ์ตอนนี้ที่โดน ผีแดง แมนฯยูฯ แซงหน้าไปแล้ว (มี 67แต้มเท่ากัน แต่ประตูได้เสียดีกว่า+และแข่งน้อยกว่า 1 นัด) มากดดันตัวเองใน 8 นัดที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ดีครับ สัญญาณดีๆ ในเกมนี้ของอาร์เซ นอลยังมีให้เห็น แม้โดยรวมจะถือว่าน่าผิดหวังก็ตาม เนื่อง จากว่า "สปิริตนักสู้" ของทีมชุดนี้ที่แม้จะบุก One-way อยู่ข้างเดียวตลอดทั้งเกม แต่ยังไม่ได้ พวกเค้าก็ดูจะไม่ยอมถอดใจ และ "คัมแบ็ก" กลับมาอย่างน้อยๆ ก็ไม่แพ้คาบ้านตัวเอง

สถานการณ์ในตอนนี้ ค่อนข้างแน่ว่า แมนฯยูฯน่าจะหนีอาร์เซนอลเป็น 3 คะแนนได้ในค่ำคืนวันพุธนี้เพราะเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ดรับการมาเยือนของโบลตัน ซึ่งไม่น่าจะมีดีพอบุกมาขโมยแต้มพวกเค้าได้ ขณะที่เชลซี ผู้ท้าชิงสำคัญอีกทีม ก็มีโอกาสไม่น้อยเช่นกันที่จะทำคะแนนมามาเทียบเท่าทีมปืนโตที่ 67 คะแนน แม้จะต้องออกไปเยือนสเปอร์สก็ตาม แต่ดูทีมตราไก่ในชั่วโมงนี้นั้นผมมองว่าพวกเค้าผ่านจุด "ไคลแมกซ์"ของตัวเองไปแล้ว ในซีซั่นนี้ด้วยการเป็นแชมป์คาร์ลิ่งคัพ + ตกรอบยูฟ่าคัพไป ความมุ่งมั่นตั้งใจ จึงน่าจะลดลงไปเยอะ เชลซีจึงน่าจะเก็บได้อย่างน้อย ๆ ก็ 1แต้ม เพราะสถานการณ์ อัฟรัม แกรนต์นั้นก็ไม่ค่อยจะมั่นคงซะด้วยในช่วงนี้

สรุปแล้ว ไม่ใช่ว่าโอกาสเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพ ของอาร์เซนอลจะหลุดลอย หมดหวังทวงบัลลังก์คืน เพราะหากในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้พวกเค้าบุกไปสอยเชลซีได้ และแมนฯยูฯ เกิดไม่ชนะลิเวอร์พูลขึ้นมา "โมเมน ตัม" ก็จะพลิกมาเข้าทางทีมปืนโตอีกครั้งแน่นอน เพียงแต่ว่า อาร์แซน เวนเกอร์ แอนด์ โค ต้องหา "ไม้เด็ด" มาแก้ลำทีมที่จ้องจะหยุดแนวรุกมหาประลัย ด้วยการใช้ "คาถามหาอุต" อย่างที่มิดเดิลสโบรห์ ใช้ได้ผลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาให้ได้เสียก่อน หากยังหวังที่จะเป็นแชมป์ในปีนี้

Wednesday 12 March 2008

มรสุมที่ เซนต์ เจมส์พาร์ค และสแตมฟอร์ด บริดจ์


สภาพดินฟ้าอากาศที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษตอนนี้ถือว่า อยู่ในช่วงย่ำแย่มากครับ อาจจะไม่ได้เลวร้ายที่สุด (หนาวแบบสุดขั้วเหมือนในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา) แต่ก็ถือว่าน่าเบื่อหน่ายไม่น้อยทีเดียวกับสองสามวัน มานี้ที่พายุโหมกระหน่ำจนเป็นเหตุให้ฝนเทลง มาอย่างหนักตลอดทั้งวันจน เที่ยวบินหลายเที่ยวที่สนามบิน หลักในลอนดอนอย่าง Heathrow และ Gatwick airport ก็ต้องถูกเลื่อน หรือยกเลิกไปกะทันหันหลายไฟลท์ทีเดียว
นั่งฟังข่าวจาก BBC สื่อใหญ่เมืองผู้ดีรายงานว่า นี่อาจจะเป็นพายุลูกใหญ่ที่สุดที่เกิด ขึ้นกับเกาะอังกฤษเลยก็ว่าได้ มันก็เลยทำให้ผมอดเป็นห่วงคุณแม่ และน้องสาวสุดที่รักไม่ได้ครับ เพราะว่าทั้งคู่กำลังจะมีคิวเดินทางมาเที่ยว และเยี่ยมผมในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้แล้ว (ก็พรุ่งนี้นั่นแหละ) ก็ได้แต่หวังครับว่าพายุจะหมดไปก่อนที่จะออกเดินทางกัน

พูดก็พูดนะครับ โลกเราทุกวันนี้จัดว่าเข้าขั้น "วิกฤติ" แล้วในเรื่องของภัยธรรมชาตินานาชนิดที่เกิดขึ้น รอบโลกในช่วงสามสี่ปีหลังนี้ ไหนจะสึนามิ, แผ่นดินไหว หรือพายุกระหน่ำแทบจะทุกปีที่สหรัฐอเมริกา โดยเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ลอนดอน (อีกเช่นกัน) ขณะที่ผมนั่งทำงานอยู่ที่ห้องพัก ก็มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น แม้จะสั่นสะเทือนไม่เยอะก็จริง แต่มันก็ทำให้ผมฉุกคิด และเป็นห่วงโลกของเราจริง ๆ ครับว่า ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเราแล้ว ยังจะมีอากาศดี ๆ บริสุทธิ์สดชื่นหลงเหลือให้ได้สูดหายใจกันอีกมั้ย หรือจะต้องพาน พบกับภัยธรรมชาติอันเกิดจาก "การกระทำ" ของคนรุ่นเราๆ ท่าน ๆ ดังนั้นผมจึงอยากจะฝากกัน ไว้ให้คิดกันต่อครับว่า จะทำอะไรก็อยากจะให้คิด ถึงคนรุ่นหลังเราที่อาจจะ ได้รับผลกระทบกันนิดนึงแล้วกัน
อ่ะ ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่อง "พายุ" แล้ว วันนี้เรามาว่ากันเรื่อง พายุ (ในสนาม) หรือจะเรียกให้ฝรั่งจ๋าหน่อยก็คือ "สตอร์ม" กันนะครับ
ตอนนี้ไม่ใช่แค่พายุจะโหม กระหน่ำใส่เกาะอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันมี พายุฝน ฟ้าคะนอง เกิดขึ้นกับสโมสรฟุตบอลใน อังกฤษหลายทีมๆ ด้วยกัน และช่วงนี้ถือว่าหนักหนา สาหัสเอาเรื่องอยู่ทีเดียวครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมของ เควิน คีแกน ขวัญใจคนเดิมในถิ่น เซนต์ เจมส์ พาร์ค ที่หวนกลับมาคุม ทีมเป็นคำรบที่สอง
โดยตอนนี้ พลพรรครักเอย เอ้ยไม่ช่ายสิ @(^.^ )@ พลพรรคสาลิกาดง สะกดคำว่า "ชนะ" ในลีกไม่เป็นมา 12 นัดเข้าไปแล้ว ณ นาทีนี้ตัวคีแกนเองก็ออกมายอมรับแต่โดยดีครับว่าทีม ของเค้าต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นแบบเต็มตัว หลังจากที่ก่อนเข้ามารับตำแหน่งแทนที่ แซม อัลลาร์ไดซ์ นั้น เจ้าตัวแอบมีหวัง เล็กๆ ครับว่าจะนำเจ้านกสาลิกาติด "ท็อปซิกซ์" ให้ได้
แต่ดูนิวคาสเซิลในช่วงนี้แล้ว อย่าว่าแต่จะติดท็อปซิกซ์ และท็อปเทนเลยครับ ขอแค่เอาตัวรอดให้ได้จากการโดนถีบตกชั้นในปีนี้นั้น แฟนบอลทีมนกสาลิกาดงก็คงจะตีปีกพั่บๆ แล้วเนื่องจากช่วงนี้ฟอร์มของนิวคาสเซิลนั้นพูดได้คำเดียวครับว่า "หมูมาก" อีกทั้งสไตล์การเล่นก็ชวนให้หมดอารมณ์ทางเพศไปดื้อๆ เช่นกัน เพราะ "แท็กติกส์" ที่คีแกนสั่งให้เด็กเล่นในแต่ละนัดนั้น บอกตรงๆ ครับว่า โบราณ น่าเบื่อ และตกยุคไปแล้วกับฟุตบอลสมัยนี้
ผมเองยอมรับนะครับว่าชื่นชมการคุมทีมของคีแกนในสมัยที่แกคุมนิว คาสเซิลครั้งแรกมาก และรู้สึก "เซอร์ ไพรส์" ไม่น้อยกับผลงานสาละวันเตี้ยลงของนิวคาสเซิลในเวลานี้ เพราะชื่อชั้นนักเตะแต่ละคนนั้นหาก จะดูกันเป็นรายตัวนั้นถือว่า "คลาส" และ "ดีกรี" ประดับใน CV ของแต่ละคนนั้นก็ธรรมดาซะที่ไหน
ไมเคิล โอเว่น (อดีต) จรวดทาง เรียบ และเครื่องจักรถล่มประตูที่กองหลังทุกรายต้องหวั่นไหว ยามต้องเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ปีกเลือดไอริชที่พลิ้วเหลือหลายในสีเสื้อของเชลซี และทีมชาติไอแลนด์ เอ็มเร่ เบเลโซกลู จอมทัพผู้ผ่านสังเวียนกัลโช่ เซเรียอา และเกมระดับนานาชาติมามากมาย หรือจะเป็น ชาร์ลส์ เอ็นซอกเบียร์ ดาวรุ่งที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและพละกำลัง มาร์ค วิดูก้า, อลัน สมิธ, เจมส์ มิลเนอร์ ฯลฯ
ครับหลายชื่อเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นนักเตะที่อย่างน้อยๆ ก็เกรด B-ถึง B และคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็น อย่างยิ่งหากทีมยักษ์จากไทน์ไซด์ทีมนี้จะต้องตกลงไปเล่นในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ แต่ความจริงข้อหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมรับก็คือ ไม่มีคำว่า "ดีเกินจะตกชั้น" เพราะโลกฟุตบอลสมัยนี้ไม่มี "ที่ว่าง"สำหรับผู้พ่ายแพ้ และทีมที่ดีพอเท่านั้นครับที่จะมีสิทธิ์อยู่รอดในพรีเมียร์ชิพ ซึ่งตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นลีกหินที่สุดในโลกไปแล้ว ดังนั้นจากนี้จึงน่าสนใจมากครับว่าคีแกนจะเก็บชัยชนะ 4 จาก 9 นัดที่เหลือของฤดูกาลนี้ และพาทีมรอดตกชั้นตาม Missionล่าสุดของเจ้าตัวได้มั้ย

อีกทีมนึงที่กำลังโดนมรสุมเล่นงานอยู่ คือทีมสิงโตพันล้าน เชลซี หลังจากที่พลาดท่าปราชัยให้สเปอร์ส 1-2 ในคาร์ลิ่งคัพ นัดชิงชนะเลิศ ทีมของอัฟรัม แกรนต์นั้นทำท่าว่าจะไม่แตกความสามัคคีอย่างที่หลายๆ ฝ่ายคิด และดีขึ้นในสองนัดถัดมาหลังไปไล่ยำเวสต์แฮม 4-0 ต่อด้วยเชือดโอลิมเปียกอสนิ่มๆ 3-0 ลอย ลำเข้ารอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอย่างง่ายดาย แต่ล่าสุดลุง แกรนต์ และลูกทีมกลับตกม้าตายเอาดื้อๆ ด้วยการโดนบาร์นสลี่ย์ "หมามืด" ตัวจริงของเอฟเอคัพปีนี้ที่ได้สร้าง "ตำนานเจ้าตูบ" ให้แฟนบอลต้องจดจำไว้อีกครั้งด้วยการพลิกเอาชนะเชลซีไป 1-0 ทะยานเข้ารอบรองชนะเลิศได้อย่างน่าปรบมือ ให้ในความวิ่งสู้ฟัดแบบยอมตายเพื่อทีม ของนักเตะทุกคนหลังจากก่อนหน้านี้ก็เพิ่งหักปากกาเซียนทุกสำนักด้วยการบุกไปทุบลิเวอร์พูลถึงถิ่น 2-1

เวลานี้คอของแกรนต์จึงเหมือนโดนพาดไว้กับแท่นประหาร หัวคางคก รอเวลาเหมาะสมที่จะโดนเชือดเท่านั้นเอง โดยกุนซือชาวยิว นั้นมีโอกาสรอดเพียงแค่สองทางเท่านั้นครับคือ 1.ปาดหน้าทีมปืนโต และผีแดงเข้าป้ายเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพ และ 2.คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาต่ออายุ "ระเบิดเวลา" ของตัวเองกับเสี่ยหมี ซึ่งหากแกรนต์ไม่สามารถทำสองสิ่งที่ว่านี้ได้แล้วล่ะก็ โอกาสที่จะต้องรับโทษประหารจากท่านเปาบุ้นจิ้น นามว่าโรมัน อบราโมวิช นั้นมีมากกว่า 90% แน่นอน
จากสองชอยซ์ที่เหลืออยู่ของแกรนต์ ผมยังมองโลกในแง่ดีนะครับว่า เชลซียังมีโอกาสทำได้เพราะในบอลลีกนั้นพวกเค้าตามอาร์เซนอล "จ่าฝูง" อยู่ 8 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่า 2 นัด และตามแมนฯยูฯอยู่ 6 คะแนน แข่งน้อยกว่า 1 นัด โอกาสจึงยังเปิดกว้างอยู่สำหรับเชลซีซึ่งตรงนี้ผมย้ำมาตลอดว่าแข้งสำรองข้างสนาม ของพวกเค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงตัวจริงมากกว่าสองทีมนำนั้นถือเป็น "ข้อได้เปรียบ" ที่สามารถเปลี่ยนวิกฤติตรงนี้ให้เป็นโอกาสได้
หากแกรนต์หนักแน่นในเลือกการจัดตัวผู้เล่น และต้องเลือกทีมที่ดีที่สุดเท่านั้นลงเล่นในแต่ละนัด แม้ว่าจะต้องดรอปซูเปอร์สตาร์ไปบ้างแต่นั่นคือสิ่งที่เค้าต้องทำเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อทีม และชะตาชีวิตเค้าเองในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์
ผมเชื่อมาเสมอครับว่า ฟ้าหลังฝนมักจะสวยงามเสมอ และก็แอบเอาใจช่วยให้นิวคาสเซิลของ เควิน คีแกน และ เชลซีของอัฟรัม แกรมต์ผ่านช่วงมรสุม "วิกฤติ" ตรงนี้ไปได้ เพื่อจะได้มีท้องฟ้าที่สดใส กับเค้าเสียทีทั้งในถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค และสแตมฟอร์ด บริดจ์

9 นัดที่เหลือของนิวคาสเซิล

จันทร์ที่ 17 มีนาคม 2551
เบอร์มิงแฮม VS นิวคาสเซิล
เสาร์ที่ 22 มีนาคม 2551
นิวคาสเซิล VS ฟูแล่ม
อาทิตย์ ที่ 30 มีนาคม 2551
สเปอร์ส VS นิวคาวเซิล
เสาร์ที่ 5 เมษายน 2551
นิวคาสเซิล VS เรดดิ้ง
เสาร์ที่ 12 เมษายน 2551
ปอร์ทสมัธ VS นิวคาสเซิล
เสาร์ที่ 19 เมษายน 2551
นิวคาสเซิล VS ซันเดอร์แลนด์
เสาร์ที่ 26 เมษายน 2551
เวสต์แฮม VS นิวคาสเซิล
เสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2551
นิวคาสเซิล VS เชลซี
อาฑิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2551
เอฟเวอร์ตัน VS นิวคาสเซิล