Wednesday 27 February 2008

ร่วมสดุดี “สเปอร์ส” กับ 9ปีที่รอคอย


รอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายๆเหตุการณ์ครับ ที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลอังกฤษและตกอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนอังกฤษ รวมไปถึงแฟนฟุตบอลทั่วโลก สองในสามข่าวหลักๆที่ตั้งใจจะหยิบจับประเด็นมาเขียนในวันนี้นั้นดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เนื่องจากเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนที่ได้ทราบข่าวพอสมควร

โดยข่าวเศร้าแรกนั้นเกิดขึ้นกับอดีต “ฮีโร่”ผู้ยิ่งใหญ่ของทีมชาติอังกฤษอย่าง พอล แกสคอยน์ที่ตอนนี้ต้องอยู่ภายใต้ความดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หลังจากเจ้า “อ้วนซ่า”ที่กำลังอยู่ในช่วงเลิกยาและอาการติดเหล้าอย่างรุนแรง นั้นแสดงพฤติกรรมแปลกๆที่อาจนนำพาไปสู่การ “ดับชีพตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็นการสั่งตับดิบๆมาทานในโรงแรม พูดจาเหม่อลอยคนเดียว+ กดสัญญาณไฟไหม้ในห้องพักตัวเองเล่น รวมไปถึงการอัด RedBull วันละ 50กระป๋อง!! ฯลฯ

ถือเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ + เศร้าใจแทนครอบครัวและคนรอบข้าง อดีตแข้งพรสวรรค์สูงของอังกฤษไม่น้อยครับ ที่อดีตนักฟุตบอลแข้งดัง มีเงินทองเหลือล้น แต่กลับไม่สามารถประคับประคองชีวิตตัวเองหลังจากแขวนรองเท้า ให้อยู่ในกรอบที่ถูกที่ควรได้ หนำซ้ำยังพาตัวเองเข้าไปใกล้ “สิ่งเสพย์ติด” ที่ชื่อก็บอกในตัวอยู่แล้วว่า หากได้ลิ้มลองแล้วยากนักที่ถอนตัว ห้ามใจออกจากมันได้ (น้องๆหนูๆดูเอาไว้เป็นบทเรียนนะครับ) ก็ได้แต่หวังและภาวนาครับว่า แกสคอยน์จะยอมรับความช่วยเหลือครั้งนี้จากคนรอบข้างและผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ไปได้ในเร็ววัน (สาธุ)

ส่วนอีกข่าวที่อันนี้ ไม่ได้ “ทำร้ายตัวเอง” อย่างในรายแรก แต่กลับ “ซวย”โดนเสียบขาหักเป็นสองท่อนคาสนาม สร้างความขนลุกขนพอง เป็นอย่างมาก ในเกมที่อาร์เซนอลนั้นทำได้แค่เสมอกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ 2-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันหลังเกมไม่ได้ถูกพูดถึงมากนักเนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างเป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของ เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา ที่ “ดวงแตก”รับวัยเบญจเพศ ต้องปิดฉากซีซั่นนี้ก่อนใครเพื่อนรวมไปถึงจะหมดสิทธิ์ช่วยโครเอเชียในศึกยูโร 2008 กลางปีนี้เป็นที่แน่นอนแล้ว

ในจังหวะที่ เอดูอาร์โด้โดน มาร์ติน เทย์เลอร์เข้าเสียบสกัดนั้นแม้หลายๆฝ่ายจะออกมาโจมตีการเล่นเกินกว่าเหตุไปหน่อยของกองหลัง เบอร์มิงแฮมรายนี้ โดยเฉพาะ อาร์เซน เวนเกอร์ที่โกรธเป็นฝืนเป็นไฟถึงขั้นออกมาบอกว่า เทย์เลอร์นั้นสมควรโดนโทษแบนตลอดชีวิตเลยทีเดียว (ในตอนแรกที่ออกมาให้สัมภาษณ์) แต่ผมเองกลับมองว่าการเข้าบอลในจังหวะนี้ของ เทย์เลอร์นั้น “ไม่ได้มีเจตนา”ที่จะทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพเลือดบราซิล และอุบัติเหตุแบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้วในเกมฟุตบอลที่ต้องมีการปะทะปะทั้งกัน เพียงแค่ว่าในจังหวะนี้ “ดูดู้”นั้นโชคร้ายจริงๆก็เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ดีเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากกว่าของหัวหอกวัย25รายนี้ก็คือเมื่อกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งนั้น “สภาพจิตใจ”จะพร้อมขนาดไหนและจะเกิดอาการหลอน+ แหยงการเข้าสกัดจากกองหลังฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ เพราะแน่นอนว่าเรื่องจิตใจ นั้นส่งผลกระทบโดยตรงกับฟอร์มการเล่น ตรงนี้จึงน่าสนใจมากว่า ช่วงระยะเวลาอีก 9เดือนที่เจ้าตัวต้องพักเป็นอย่างน้อยนั้น เมื่อ “คัมแบ็ค”กลับมาจะเป็น “ดูดู้”ที่กล้าเลี้ยงกล้าเล่นแบบเดิมหรือเปล่า

ขณะที่สองเรื่องเศร้าๆเกิดขึ้นในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ยังมีเรื่องน่ายินดีที่เกิดขึ้นกับทีมตราไก่ สเปอร์สที่สุดท้ายก็สามารถคว้าถ้วยรางวัลมาสู่ถิ่นไวท์ฮาร์ทเลน จนได้หลังจากที่เว้นว่าง ห่างหายกับความสำเร็จไปนานถึง 9ปีเต็มๆ ย้อนไปครั้งสุดท้ายก็โน้นเลย ปี 1999 ที่สเปอร์สได้แชมป์ เวอร์ธิงตัน ลีกคัพ จากลูกยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ อลัน นีลเซ่นมิดฟิลด์ชาวเดนมาร์กส่งสเปอร์สภายใต้การทำทีมของจอร์จ เกรแฮมเอาชนะเลสเตอร์ซิตี้ของมาร์ติน โอนีลไปได้ 1-0

ต้องยอมรับว่า เครดิตในครั้งนี้จะยกให้ไปไม่ได้นอกจาก ฆวนเด้ รามอสที่ “กึ๋น”ในการแก้เกมแสดงให้เห็นมาตลอดตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง และตอกย้ำอีกครั้งในเกมนี้ที่ แท็คติกส์ของเค้านั้นกินขาดอัฟรัม แกรนต์ ที่แม้เพิ่งจะแพ้เป็นครั้งที่ 3จาก35นัดที่คุมทีม แต่กับ “คัพไฟนอล” แบบนี้ ถามว่าหากเป็นชายชื่อ มูรินโญ่ยังคุมทีมอยู่นั้นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะทีมชาติ+มากด้วยประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลนัดชิงอย่างเชลซีจะกล้าแพ้สเปอร์สหรือ?

ผมคนนึงละครับ ที่ไม่กล้าคิดว่าสเปอร์สของรามอสจะปราบเชลซีได้หากมูรินโญ่ยังอยู่เพราะฝีมือการแก้แท็คติกส์ระหว่างเกมนั้นน่าจะออกมาสูสีกว่าที่เกิดขึ้นในเกมนี้ หรือหากจะพูดให้ชัดเจนไปเลยก็คือเชลซีแพ้ในเกมนี้เพราะกุนซือชื่อ แกรนต์นั่นเอง

มีอย่างที่ไหนดรอป โจ โคลทางปีกซ้ายและใช้ศูนย์หน้าที่ถนัด และอันตรายมากเขตโทษอย่าง
นิโคลาส์ อเนลก้ามายืนริมเส้น และให้ “อภิสิทธิ์”คู่หู แลมพาร์ด-เทอร์รี่ สองเพื่อนซี้กลับมาแทนตำแหน่งคนที่เล่นได้ดีอยู่ก่อน อย่าง บัลลัคและอเล็กซ์ หาใช่เลือกทีมตาม“ผลงาน” อย่างที่รามอสเลือกใช้นโยบายนี้ในการจัดตัวผู้เล่นลงสนามในแต่ละเกม

อีกอย่างการเสริมทีมของรามอสในช่วงตลาดมกราคมที่ผ่านมานั้นถือว่า “เกาได้ถูกจุด”และเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นเล็กๆของความสำเร็จในครั้งนี้ หลังจากไปสอยกองหลังมาหลายรายเพื่อมาอุดแนวรับของสเปอร์ส ไม่ว่าจะเป็น คริส กันเตอร์ (จากคาร์ดิฟ) จิลแบร์โต้ (จากแฮรธ่าเบอร์ลิน) อลัน ฮัตตัน (จากเรนเจอร์) และโจนาธาน วู้ดเกต (จาก มิดเดิลสโบรห์) โดยสองรายหลังนั้นค่าตัวรวมกันถึง 16 ล้านปอนด์ และได้ลงในนัดชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาและโชว์ฟอร์มได้ถือว่าคุ้มค่าตัวที่จ่ายไปแทบจะทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของ วู้ดเกต “แมน ออฟ เดอะ แมตช์”ของเกมที่เล่นได้ นิ่งและแน่นอนมากรวมทั้งยังเขกลูกโยนของเจอร์เมน จีนัสเป็นประตูชัยให้ทีมได้ได้อีกด้วย

การได้ เล็ดลี่ย์ คิงกลับมาในนัดสำคัญแบบนี้ถือเป็น “Key factor”หรือ ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ทำให้สเปอร์สได้สิ้นสุดการรอคอยอันสุดแสนจะยาวนานนี้ เนื่องจากผลงานในนัดที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดเจน
แล้วว่า เมื่อไรก็ตามที่มีกัปตันรายนี้ ยืนบัญชาการในแนวรับอยู่นั้น ผู้เล่นคนอื่นๆในทีมดูอุ่นใจขึ้นเยอะ และมั่นใจที่จะเดินหน้าบุกตาม “ใบสั่ง”ของรามอส ได้อย่างไม่ต้องคอยระแวงว่าแผงหลังจะทำ “หมูหก”เสียประตูง่ายๆอย่างที่เคยมา

แหมวันนี้ รู้สึกว่าชมทีม “น้องไก่” มากไปหน่อยคงไม่หมั่นไส้กันนะครับ ^.^ เอาเป็นว่าผมขอสรุปกันตรงนี้เลยแล้วกันว่า หากคู่เซ็นเตอร์ คิง-วู้ดเกตฟิตเต็มถังไม่ผลัดกันเข้าโรงหมอแล้วละก็ จากนี้เป็นต้นไปแนวรับของสเปอร์สคงจะแกร่งขึ้นอีกเยอะทีเดียว ซ้ายเป็นแกเรธ เบล ขวาเป็น ฮัตตัน โอ้ยไม่อยากจะนึกจริงๆครับ กับภาพรวมของทีมตราไก่ในชั่วโมงนี้ เพราะว่าหากกองหลังได้ยืนกันตามไลน์อัพนี้ที่ผมว่าไว้นี้ เมื่อบวกกับกองหน้าฟอร์มร้อนอย่าง เบอร์บาตอฟ-ร็อบบี้ คีน แล้ว ทีมตราไก่จะน่าเกรงขามขนาดไหน ยิ่งภายใต้การนำทีมของกุนซือสมองเพชรเลี่ยมทอง อย่างฮวนเด้ รามอส นึกไม่ออกเลยจริงๆครับ ว่าทำไมสเปอร์สจะประสบความสำเร็จกับถ้วยที่ใหญ่ กว่าอย่างยูฟ่าคัพไม่ได้…

Wednesday 20 February 2008

Countdown Carling Cup นัดชิงชนะเลิศ


นับจากวันนี้ไปก็จะเหลืออีกเพียงแค่ 4 วันครับ ที่ศึกฟุตบอลคาร์ลิ่งคัพ นัดชิงชนะเลิศคู่ระหว่าง เชลซี-สเปอร์ส จะเปิดฉากขึ้น

โดยสังเวียนโม่แข้งในปีนี้จะกลับมาเล่นที่สนาม "นิว เวมบลีย์" อีกครั้งหลังจากที่ "เว้นช่วง" ปรับปรุงสนามไปนานถึง 7 ปีโดยแมตช์ชิงชนะเลิศบอลถ้วย "มิกกี้ เมาส์" ครั้งสุดท้ายที่เวมบลีย์เก่าก็คือคู่ชิงระหว่าง "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ กับ ทรานเมียร์ โรเวอร์ โดยในปีนั้น เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำทีมของ มาร์ติน
โอนีล เอาชนะไปได้ 2-1 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานัดชิงชนะเลิศบอลถ้วย ของอังกฤษก็ได้ย้ายไปเล่นที่สนาม มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม ในกรุงคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์ เป็นการชั่วคราว


ดังนั้นปีนี้ที่ฟุตบอลถ้วยนัดชิงฯจะกลับมาเล่นที่ประเทศอังกฤษอีกครั้ง ผมจึงรู้สึกได้ถึงความพิเศษของเกมนี้ เพราะอย่างไรเสียผมเชื่อครับว่าฟุตบอล ถ้วยของอังกฤษก็ควรที่จะต้องเตะกันที่ "อังกฤษ" ไม่ใช่ เวลส์ หรือประเทศเครือในจักรภพของ "เกาะอังกฤษ"

เช่นกัน เมื่อได้เห็นข่าวการที่พรีเมียร์ชิพมีแผนจะโกอิน เตอร์ไปเตะนัดที่ 39 ต่างแดนด้วยแล้วนั้น ผมก็ยิ่งไม่เห็นด้วยกันไปใหญ่ เพราะมันจะทำให้เสีย "เสน่ห์" และ "ความขลัง" ไป แม้จะเข้าใจว่านี่คือแผนทางการตลาดที่ "แหล่ม" มากก็ตาม

กลับมาที่เรื่อง คาร์ลิ่ง คัพ ในปีนี้กันต่อ แม้ว่าหลายๆ ทีมอาจจะมองว่าถ้วยนี้เป็นแค่ถ้วย "ลูกเมียน้อย" และไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมากมายนัก ยกตัวอย่างง่ายๆ ในปีนี้ ทีมอย่าง "ปิศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ดก็ดูจะไม่เน้น และชิงตกรอบไปตั้งแต่ไก่โห่ด้วยการส่ง "เด็กผี" ชุดปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไปให้ทีม "ช้างกระทืบโรง" โคเวนทรี บุกมายัดเหยียด ความอับอายถึงถิ่นโรงละครแห่งความฝันไป 0-2 แบบไม่แคร์สายตาแฟน บอลทีมตัวเอง
อาร์เซนอล ในรอบเซมิไฟนัล ที่ผ่านมาก็เช่นกัน เชื่อได้ว่าหาก อาร์แซน เวนเกอร์ ใส่ขุนพลชุดใหญ่ใน เลกสองที่ไป เยือนสเปอร์สแล้วละก็ ทีมปืนใหญ่ป่านนี้คงได้เข้าชิงฯกับเชลซี ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้มันจะเป็นเพียงแค่บอลถ้วยเล็ก และสำหรับทีมใหญ่ (บางทีม) รายการนี้จะเป็นแค่เพียง "สนามซ้อมใหญ่" ให้นักเตะหนุ่มๆ ได้ลงไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนที่จะ เลื่อนขั้นดันตัวเองเข้าสู่ทีมชุดใหญ่หา กว่าทำผลงานได้เข้าตาผู้เป็นนาย
แต่สำหรับคู่ชิงชนะเลิศในปีนี้แล้วนั้น ทั้งเชลซี และสเปอร์ส ได้มองความสำคัญของถ้วยนี้ต่างออกไป และส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามทุกนัดในรอบที่ผ่านๆ มา ดังนั้นผมเองจึงค่อนข้างมั่นใจว่านัดชิงชนะเลิศในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะเป็นเกมที่สนุก+ สมศักดิ์ศรี และตื่นเต้นเร้าใจแน่นอน
สาเหตุประการแรกนั้นก็เพราะว่ากุนซือของทั้งสองทีมอย่าง อัฟรัม แกรนต์ และฮวนเด้ รามอส นั้นเพิ่งเข้ามาคุมทีมเป็นซีซั่นแรกด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นการได้แชมป์มาประเดิมงานใหม่ให้กับทีมนั้นน่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งนักเตะในทีม และฝ่ายบริหารรวมไปถึงแฟนบอลได้ไม่น้อย ในรายของอัฟรัม แกรนต์นั้น หลังจากที่เจ้าตัว เข้ามาคุมทีมแทน โจเซ่ มูรินโญ่ แบบสร้างความแปลกใจให้หลายๆ ฝ่ายเนื่องจากไม่ได้ "ไฮ-โพรไฟล์" อย่างกุนซือชื่อดังคนอื่นๆ และการที่จะ "วัดรองเท้า" ความสำเร็จกับ "เฮียมู" แล้วนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ดีครับ ถึงนาทีนี้เชื่อว่าแฟนบอล ไม่ว่าจะเป็นของทีมสิงห์บลูส์ หรือทีมอื่นก็ดีคงจะได้ประจักษ์ สายตากันไปแล้วว่า กุนซือเลือดยิวรายนี้ไม่ได้ขี้ๆ เหมือนกัน เพราะมีหลายต่อหลายช่วงในฤดูกาลนี้ที่เชลซีต้องเจอ "โจทย์ยาก" อาทิเช่น ปัญหาอาการบาดเจ็บยาวของ จอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด และนักเตะตัวหลักหลายรายต้องไปรับใช้ชาติในศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ที่ผ่านมา แต่กุนซือผู้มีหน้าตาละม้ายคล้ายคางคกผู้นี้ก็ยังสามารถพาทีมเอาตัวรอดมาได้ และสถิติการคุมทีมตั้งแต่รับตำแหน่งมานั้นก็ไม่เท่าไรเองแค่ ชนะ 22 จาก 29 นัดเท่านั้น!! (ขอประชดประชันในความเก่งหน่อยนะครับ เก่งเกิ๊น ^^)

ขณะที่ฮวนเด้ รามอสหรือกุนซือ ที่แม้จะยังคงมีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับลูกทีม แต่ใครจะสนใจละครับหากว่าเฮียแกยังสั่งงานให้ กัส โปเยต์ ถ่ายทอด "แท็กติกส์" ให้ลูกทีมได้แบบนี้ และเปลี่ยนสเปอร์สอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ เพราะก่อนที่อดีตกุนซือเซบีญ่าจะเข้าคุมทีมแทน มาร์ติน โยลนั้น ฟอร์มของสเปอร์สนั้นยังกับ "ไก่ติดหวัดนก" และหากใครกล้า "คิดนอกกรอบ" ว่าสเปอร์สจะเข้าชิงบอลถ้วยในปีนี้ได้แล้วล่ะก็ คงต้องโดนหัวเราะ + ประณามโทษฐานที่กล้าคิดอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนที่เชื่อว่าเกมนี้จะดูสนุกก็เพราะว่า สเปอร์สนั้นตั้งแต่รามอสเข้ามาคุมทีมได้เปลี่ยน สไตล์มาเป็นบอลบุกโดยธรรมชาติที่กล้าบุก กล้าแลก เปรียบเป็นมวยก็ต้องเป็นมวย Fighter ที่จะพร้อมจะเดินเข้าหาคู่ชกก่อนแน่นอน ไม่ว่าจะเจอทีมใหญ่ หรือเล็กกว่า

แต่จุดสำคัญที่แฟนทีมไก่เดือยทอง(รวมไปถึงตัวผมเอง) ยังอดห่วงสเปอร์สไม่ได้ก็คือความผิดพลาดง่ายๆ ในแนวรับ เพราะแม้การได้โจนาธาน วู้ดเกต มาเสริม จะเพิ่มความอุ่นใจได้ในระดับ หนึ่ง แต่คนที่จะมายืนคู่กับเจ้าตัวนั้นหากเลดลี่ย์ คิง ยังเรียกความ ฟิตกลับมาไม่ได้ สเปอร์สก็พร้อมเสียประตูได้ทุกเมื่อเช่นกัน
ส่วนตำแหน่งนายทวารด่านสุดท้ายที่แม้จะดรอป "หมูบิน" พอล โรบินสันไว้ที่ข้างสนามแล้ว แต่คนที่รับหน้าที่แทนอย่าง ราเด็ค แชร์นี่ ก็ยังไม่ได้โชว์สัญญาณใดๆ ว่ามีดีกว่าประตูร่างอวบแต่อย่างใด โดยแมตช์กลางสัปดาห์ก่อนกับสลาเวีย ปราก แชร์นี่ก็ทำบอลหลุดง่ายๆ เป็นเหตุให้วันพรุ่งนี้สเปอร์สที่จะลงเตะนัดที่สองในบ้าน ตัวเองยังสบายใจไม่ได้เพราะมี ผลต่างได้เสียอยู่แค่ 1 ประตูเท่านั้น (ชนะมา 2-1 ในเลกแรก)

โดยสองจุดนี้แหละครับจะเป็น "ปัจจัยสำคัญ" ของทีมน้องไก่ และรามอสให้คิดหนักกับการวางแบ็กโฟร์ในแนวรับ ยิ่งเจอบอลเขี้ยว ๆ ของเชลซีซึ่งเสียบอล + เสียประตูยาก หากได้นำใครไปก่อนแล้ว โอกาสน้อยครับที่จะพลาดท่าเสียทีให้ใคร

ขณะที่นักเตะ "คีย์แมน" หรือในความหมายของผมคือ คนที่มีโอกาสสูงที่จะสามารถเปลี่ยน "ผลการแข่งขัน" ในเกมนี้ได้ของทั้งสองทีมจากที่กวาดตาดู +ขอเลือกมาทีมละสองคน ทางเชลซีผมให้ นิโกล่าส์ อเนลก้า และแฟรงค์ แลมพาร์ด
ในรายของ นิโก้ อเนลก้า นั้น เชื่อว่าการที่เจ้าตัวกำลังโหยหา "ความสำเร็จ" เป็นอย่างมากในตอนนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เจ้าตัวทำผลงานออกมาได้ดี ขณะที่หนุ่มแลมพ์นั้นไม่มีต้องพิสูจน์อีกต่อไปหลังจากยิงประตูแตะหลักร้อยให้เชลซีไปเรียบร้อย และอันตรายเสมอหากปล่อยที่ว่างให้เจ้าตัวได้มีเวลาสับไก
ส่วนทางสเปอร์ส ผมอยากให้จับตา เบอร์บาตอฟ ที่เป็นเหมือนทุกอย่างในแนวรุกสเปอร์ส เพราะทำทางให้เพื่อนก็ดี และ จบสกอร์เองก็ได้ ขณะที่อีกคนผมให้ แอร่อน เลนนอน ที่ความเร็วนั้นสร้างความได้เปรียบให้แนวรุกสเปอร์สมาหลายต่อหลายครั้ง และผมเชื่อครับว่า หากปีกลมกรดรายนี้สามารถเอาชนะ แอชลีย์ โคลที่กำลังมีปัญหาชีวิตนอกสนามอยู่ได้ล่ะก็ สเปอร์สน่าจะมีลุ้นได้แชมป์ประเดิมสนาม "นิวเวมบลีย์" ได้ครับ

สรุป + ขออนุญาต ฟันธงตรงนี้เลยนะครับ เชลซี "แชมป์เก่า" นั้นได้เปรียบสเปอร์สแน่นอน ตรงที่นักเตะได้ลูกเก๋า และมีตัวสำรองข้างสนามที่ "น่ากลัว" กว่าสเปอร์สมาก แต่ฟุตบอลลูกกลมๆ + ฮวนเด้ รามอสนั้นก็ถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งบอลถ้วยตั้งแต่คุมทีมในสเปนแล้ว ดังนั้นถ้าเชลซีจะชนะก็จะชนะแบบหืดจับมากๆ เผลอๆ อาจมีเสมอในเวลา และยืดเยื้อกันไปจนถึงเตะจุดโทษเลย... ฟันธง!!!


เส้นทางสู่นิวเวมบลีย์ของทั้งสองทีม
รอบสาม

ฮัลล์ ซิตี้ 0- 4 เชลซี
สเปอร์ส 2-0 มิดเดิลสโบรห์
รอบสี่
เชลซี 4-3 เลสเตอร์
สเปอร์ส 2-0 แบล็คพูล
รอบ ควอเตอร์-ไฟนัล
เชลซี 2-0 ลิเวอร์พูล
แมนฯซิตี้ฯ 0-2 สเปอร์ส
รอบ เซมิ-ไฟนัล
เชลซี 2-1 เอฟเวอร์ตัน
อาร์เซนอล 1-1 สเปอร์ส
เอฟเวอร์ตัน 0-1 เชลซี
สเปอร์ส 5-1 อาร์เซนอล
นัดชิงชนะเลิศ
เชลซี ?? - ?? สเปอร์ส

Wednesday 13 February 2008

Thailand X-league อีกหนึ่งบทเรียนของคนไทยในยูเค


วาเลนไทน์ที่จะถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว ไม่ทราบว่าคุณผู้อ่านได้เตรียมมอบ“ความรักดีๆ” ให้คนรอบข้างหรือยังครับ?

ความรักดีๆในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึง เฉพาะกับกับ แฟน หรือ ภรรยาที่บ้าน แต่ผมอยากให้คุณมอบความรัก ความเอาใจใส่ ให้คนที่อยู่รอบๆตัว อย่าง พ่อแม่ พี่น้อง บุคคลในครอบครัว อาจรวมไปถึงเพื่อนสนิทมิตรสหาย ที่รักและเป็นห่วงเรามากกว่าใครๆ แม้ว่าบางที “เส้นผมมักจะบังภูเขา”…และเรามักจะมองข้าม ลืมให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ที่สุดไปเสมอก็ตาม

ที่อังกฤษปีนี้ บรรยากาศก่อนวันวาเลน์ไทน์ คึกคักใช้ได้ทีเดียวครับ บรรดาร้านขายของที่ระลึกต่างพากัน ประดับประดาตกแต่งร้านกันสวนเก๋ หนุ่มสาว คู่รักหลายๆคู่ก็พากันออกมาเดินทอดน่อง ควงกันสวีท วี๊ดวิ๊ว อย่างไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร…ส่วนผมแล้ว แม้จะต้องอยู่ไกลทั้งพ่อแม่ และคน(เคยรัก) แต่ก็พยายามทำให้ทุกวันเป็นวันแห่งความรัก อย่างที่เพลงของ วงแพนเค้กร้องไว้ ด้วยการทำดีกับคนที่เรารัก และรักเราในทุกๆวันครับ

เกริ่นมานอกเรื่องฟุตบอลเยอะตามสไตล์ ต้องขออภัยนะครับ เนื่องจากว่าอารมณ์ขณะที่เขียนงานชิ้นนี้นั้น อินกับวันวาเลนไทน์ปีนี้มากไปหน่อย ^^

ถัดจากเรื่องบรรยากาศวันวาเลนไทน์ที่อังกฤษแล้ว อาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอดที่จะเขียนไม่ได้จริงๆก็คือเรื่อง ความสมัครสมานสามัคคี ในหมู่คนไทยผู้รักกีฬาฟุตบอล ที่ กรุงลอนดอน…

จากประสบการณ์ 1ปีครึ่งที่ผ่านมาที่ประเทศอังกฤษ ทุกๆทัวร์นาเมนต์ที่เป็นของคนไทยจัดขึ้นมา
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยพลาด เนื่องจากเป็นคนชอบฟุตบอลเข้าเส้นเลือดอยู่แล้ว

อาทิตย์ ที่ผ่านมาก็เช่นกันครับ ในทัวร์นาเมนต์ 8-a-side Thailand X-league ที่จัดขึ้นที่ ศูนย์ฝึกฟุตบอล David Beckham Academy ย่าน North Greenwich ที่มี 8 ทีมส่งเข้าแข่งขันจากทีมหน้าเดิมๆกลุ่มเดิมๆ รวมไปถึงทีมของสถานทูตไทยที่มีน้ำใจส่งทีมเข้า แข่งขันด้วย โดยโปรแกรมนั้นจะเล่นแบบพบกันหมดและมีเตะกัน 5อาทิตย์ โดยทีมที่มีคะแนนมากที่สุดจะได้เงินรางวัล 1,000ปอนด์ (โดยประมาณ) และ
ทัวร์นาเมนต์นี้ก็จะใช้เป็นรายการที่เฟ้นหานักเตะไทยฝีเท้าดี ไปเล่นทัวร์นาเมนต์ InnerWorld cup ที่จัดคล้ายๆกับ World cup จริงๆ โดยมีทีมจากทุกทวีปทั่วโลก ส่งเข้าชิงชัย ในเดือนกันยายนของทุกๆปี
โดยในอาทิตย์แรก (เมื่อ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา) ผู้จัดอย่างคุณปาล์ม (อดีตนักร้องวง Monkey pants) นำนักร้องสาวเสียงดี ขวัญใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่อย่างสาว ปาล์มมี่มาเล่นมินิคอนเสิตร์ที่ Indigo2 สถานที่ที่มักใช้จัดงานบิ๊กอีเวนท์ในระแวกเดียวกันกับศูนย์ฝึกของหนุ่มเบ็คส์ มาปลุกกระแสของงาน

ฟังๆดูน่าจะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่น่าจะเต็มไปด้วยมิตรภาพและเสียงหัวเราะแห่งความสุขนะครับ ถ้าผมไม่ได้บังเอิญไปเห็น ภาพคนไทยไล่กระโดดถีบกันเองต่อหน้าต่อตา ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาโดยผู้ตัดสินที่เป็นคนอังกฤษได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ในความป่าเถื่อนของกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มนึงที่ทำให้งานนี้กร่อยลงไปถนัดตา
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จริงๆแล้ว อยากบอกครับว่า เป็นแค่การเข้าบอลของคนสองคนในจังหวะ 50-50 และเมื่อกรรมการเป่าฟาวล์ให้ทีมที่ถูกทำฟาวล์แล้วนั้น เรื่องมันก็น่าจะจบ หาก “ตัวก่อเหตุ” ซึ่งประกอบไปด้วย โค้ช ตัวสำรอง และกองเชียร์ ไม่วิ่งกรูกันเข้ามาในสนามทำให้เหตุการณ์เล็กๆ ที่เหมือนจะไม่มีอะไร ให้วุ่นวาย บานปลาย จนต้องถูกเจ้าหน้าที่สนาม เค้าอันเชิญให้ออกจากสนามทั้งสองทีม

ครับ สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือกีฬา ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็แล้วแต่นั้น มีจุดประสงค์สร้างความสามัคคีใน หมู่คณะ และน่าเสียดายครับที่ “คนกลุ่มเล็กๆ” เพียงกลุ่มเดียวทำให้รายการนี้หมดสนุกไปเลย ในสายตาของผู้ที่พบเห็น รวมถึงตัวผมเองที่ตัดสินใจแล้วว่าจากนี้คงขอแค่เล่นฟุตบอล สนุกๆที่สวนสาธารณะ
ไฮด์ ปาร์ค กับเพื่อนๆชาวไทยแค่ นั้นและคงจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยคนไทยอีกแล้ว เนื่องจากไม่อยากจะเห็นภาพ วังวน อีหรอบเดิมๆอีก

อย่างไรก็ดีครับ ทีมอื่นๆยังไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์และยังมีเตะกันต่อจนถึงอาทิตย์หน้าเป็นอาทิตย์สุดท้าย และหลังจากเดินทางออกจากศูนย์ฝึกหนุ่มเบ็คส์ ผมก็ได้มานั่งชมเกม คู่ แมนฯยูฯ-แมนฯซิตี้ฯ ในเกม ดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ ครั้งที่ 149 ที่เกมนี้มีการยืนไว้อาลัย โศกนาฏกรรมที่มิวนิคเป็นเวลา 1 นาทีก่อนเกมด้วย
เจ้าถิ่น แมนฯยูฯ นั้นอย่างที่ทราบผลกันไปแล้วครับว่า โดนทีมเรือใบสีฟ้าบุกมาสอนเชิงไป 2-1 แบบช็อคแฟนผีแดงกันทั้งโอลแทร็ฟฟอร์ด เพราะรูปเกมนั้นน่าเห็นใจแฟนแมนฯยูฯไมน้อยเลย เพราะว่าเกมนั้น เล่นได้เหนือกว่าทางฝั่งซิตี้ นิดๆ แต่ติดตรงที่ว่าเกมนี้ แนวรุกที่ขาดรูนี่ย์ไป นั้นเล่นกันขาดๆเกินๆ ผิดกับซิตี้ที่สเวน โกรัน อีริคสันน์นั้นวางหมาก ในแนวรับได้ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา ทั้งๆที่ช่วงก่อนหน้านี้ ช่องโหว่ในแนวรับเริ่มมีอาการ “เมาคลื่น” ออกทะเล +เหมือนจะกู่ไม่กลับ แต่เกมนี้ถือว่าเฮียเถิกและเด็กๆ “คัมแบ็ค” ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ

โดยขณะที่ผมเขียนงานชิ้นนี้อยู่ เกม อาร์เซอล-แบล็คเบิร์นยังไม่เริ่มเตะ แต่สถานการณ์พวกเค้าดูแล้วนั้น ดูเข้าทางพวกเค้าหมดจริงๆ เพราะนำ แมนฯยูฯ อยู่ 2คะแนนและยังแข่งน้อยกว่า 1 นัด การเล่นในบ้านกับ แบล็คเบิร์น ดูแล้วก็น่าจะเก็บได้อย่างขี้เหล่ที่สุดก็ 1 คะแนน ก็เท่ากับว่าจะนำลูกทีมของ ป๋าเฟอร์กี้ 3 คะแนน แต่ถ้าพวกเค้าเก็บได้ 3 คะแนนเน้นๆ ไม่มีหล่นในเกมนี้ละก็ ขุนพลทีมปืนโตก็จะทิ้งห่าง 5 คะแนน ซึ่งนั้นหมายความว่าทีมผีแดงจะพลาดอีกไม่ได้อีกแล้ว หากยังไม่อยากให้การชิงชัยต้องจบตั้งแต่เนิ่นๆ

และแม้เชลซีจะเอาชนะลิเวอร์พูลไม่ได้ก็จริงในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่พวกเค้าก็ยังตาม แมนฯยูฯอยู่แค่ 3 คะแนน และยังไม่หมดโอกาสในการลุ้นแชมป์ เพราะอย่างที่ผมเคยพูดมาตลอดครับว่าให้จับตามองเชลซีให้ดี เพราะพวกเค้านั้นแม้จะไม่หวือหวา อย่าง อาร์เซนอลหรือแมนฯยูฯ แต่ก็เรื่อยๆมาเรียงๆ พร้อม
รับบท “ม้ามืด” เบียดเข้าป้ายได้เหมือนกัน

ขณะที่ตำแหน่งที่ 4 ที่จะมีสิทธิ์ไปเตะแชมป์เปี้ยนลีก นั้นทีมอย่าง เอฟเวอร์ตัน ลิเวอร์พูล แอสตันวิลล่า แมนฯซิตี้ฯ และอาจรวมไปถึง ปอร์ทสมัธ (ที่เสริมทีมได้ตรงจุดและน่ากลัวที่สุดในช่วงเดือนที่ผ่านมา) นั้นมีลุ้นโควต้าตรงนี้กันสนุกแน่นอน เพราะศักยภาพแต่ละทีมนั้นถือว่าใกล้เคียงกันมาก

ส่วนในโซนตกชั้น นั้นถึงตอนนี้ที่โบกมือ ลาพรีเมียร์ชิพไปแล้วแทบจะ 100 % คือ ดาร์บี้ที่คงต้องยอมรับสภาพและวางแผนเตรียมทีมสำหรับซีซั่นหน้าในการลุ้นกลับขึ้นชั้นมาใหม่ได้เลย

ส่วนอีกสองทีมที่มีโอกาสร่วงลงตกชั้นก็คือ ฟูแล่ม ที่แม้จะได้ รอย ฮอดจ์สันมา แต่ดูๆแล้วก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม และมีโอกาสสูงมากที่เดียวที่ทีมจากลอนดอนทีมนี้จะต้องตกชั้น ขณะที่โควตาไปเยือน โคคาโคล่า
ลีกวัน อีกทีม นั้นเรดดิ้ง เบอร์มิงแฮม วีแกน และ โบลตัน นั้นต้องพยายามดิ้นร้น กระเตื้องฟอร์มให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เพราะ โซนท้ายตาราง ในปีนี้นั้น ผมเชื่อว่าคงได้ลุ้นกันมันส์หยด ไม่แพ้ ลุ้นว่าใครจะเป็นแชมป์ในปีนี้เลยละครับ