Tuesday 28 August 2007

ประเดิมพรีเมียร์ชิพให้ตัวเองที่เชลซี

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แมตช์ระหว่าง เชลซี-ปอร์ทสมัธ ถือเป็นเกม “เปิดซิง”ของผมในการเข้าไปชมเกมถึงขอบสนามของพรีเมียร์ชิพซีซั่นนี้ หลังจากฤดูกาลนี้ได้เปิดฉากเตะกันไปแล้วสามนัด

นี้เป็นครั้งที่สองครับ ที่ผมได้มาเหยียบถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ของเชลซี ความรู้สึกแม้จะไม่ตื้นเต้นเท่าครั้งแรกแต่ผมก็มีเรื่องให้กังวลเล็กน้อยก่อนเกม
เรื่องของเรื่องก็คือซีซั่นนี้ ผมยังไม่ได้รับ Press card หรือ บัตรนักข่าว จากทางเอฟเอ ทำให้รู้สึก “หลอนๆ” กลัวเจ้าหน้าที่สนามจะไม่อนุญาตให้ผมเข้าไปชมเกมคู่นี้

ใบแฟกซ์ที่ส่งไปให้ทางเชลซีเพื่อขอเข้าชมเกมนี้ คือสิ่งเดียวที่พกมาได้

เมื่อเป็นดังนี้ ผมจึงตัดสินใจเดินทางมาถึงสนามก่อนเกมจะเริ่มเตะถึงสองชั่วโมง กะไว้ว่าถ้าเจ้าหน้าที่สนามไม่ให้ก็จะใช้ลูกอ้อน ลูกตื้ออันเป็นทีเด็ดของผมเวลาใช้จีบ สาว ^_^

แต่เหมือนสวรรค์มีตา…มาถึง Press room เดินไปเข้าถามเจ้าหน้าที่สนามเพื่อขอเช็คลิสต์รายชื่อ
โอ้...นั้นมันชื่อผม มันช่างเยี่ยมมากจริงๆ
แหม...เล่นเอาเรา “วิตกจริต” ไปเองอยู่คนเดียวตั้งนาน (แฮะๆ)

เข้ามาที่ Press box หรือที่นั่งของนักข่าว อยากจะบอกว่านี้เป็นการดูเกมที่เหนื่อยที่สุดเกมหนึ่งเนื่องจากอุณหภูมิในวันนั้นสูงถึง 25 องศาเซลเซียส และผมก็ยืนยันได้เลยว่า แดดที่นี้ทำให้แสบผิว+ผิวไหม้ได้ ไม่แพ้แดด พี่ไทยเราเช่นกัน

สถิติไร้พ่ายในบ้านของเชลซี 64 นัดและได้เพิ่มเป็น65 นัดหลังจบเกมนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไปและผมก็เชื่อครับว่าทัพนาวาของมูรินโญ่ยังจะยังคงทำ Break record ต่อไปได้อีก

แม้รูปเกมโดยรวมของเชลซีจากเกมนี้จะบ่งบอกว่าพวกเค้า “หืดจับ” พอสมควรในการดวลกับลูกทีมของจ่า แฮรี่ กุนซือหน้าง่วงหลังจากเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 จากการยิงประตู สี่ประตูในรอบสี่เกมหลังของ แฟรงค์ แลมพาร์ด หลังจากยิงต่อเนื่องมาจากเกม เรดดิ้ง ลิเวอร์พูล เยอรมันและในเกมนี้กับ ปอร์ทสมัธ

คู่หัวหอกเชลซีในเกมนี้อย่าง ดร็อกบา & ปิซาร์โร่ ที่แม้จะทำประตูด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะโดนคู่แนวรับภูผาหินอย่าง ดิสแต็ง&แคมป์เบลล์ ประกบติดจนไม่มีจังหวะปิดสกอร์เองมากหนัก

แต่ทั้งคู่ก็มีดีพอในการทำหน้าที่ เก็บบอลและสร้างสรรค์โอกาสให้กองกลางเติมเกมขึ้นมาและเล่นได้ตามแท็คติกส์ของมูรินโญ่ โดยเฉพาะ “เดอะดร็อก”ที่เกมนี้เล่นได้อย่างแข็งแกร่งและเป็นคนผ่านบอลให้ “แลมพ์ส” ทำประตูในนาทีที่ 30 ของเกมนี้

ขณะที่รูปเกมส่วนใหญ่ในครึ่งแรกก็บดกันอยู่ที่กองกลางและปอร์ทสมัธก็แสดงให้เห็นครับว่าไม่ได้กลัวศักดิ์ศรีของสิงโตพันล้านแม้แต่น้อย โดยเอ็นวานโก้ คานูคือผู้เล่นที่เด่นที่สุดในเกมนี้ของทีมเยือน
การลงมาต่อบอล เชื่อมเกม รวมถึง เทคนิค+ประสบการณ์ของแก ช่วยทีมไว้ได้เยอะจริงๆครับ รับรองได้ว่าถ้าปอร์ทสมัธยังเล่นได้แบบนัดนี้ โอกาสลุ้นไปเตะยูฟ่าคัพของทีม ใช่เรื่องฝันลมๆแล้งๆอย่างแน่นอนครับ

ในครึ่งเวลาหลังที่ แฮรี่ เรดแนปป์ สั่งลูกทีมเดินหน้าลุย เต็มสูบ หวังขอแต้มกลับบ้านโดยมีโอกาสหลายต่อหลายครั้งที่จะตีเสมอ โดยเกมนี้สองกองหน้าตัวสำรองอย่าง เดวิด นูเจนท์ และ เบนจานี่ เอ็มวารูวารี ถูกส่งลงมาเล่นในระบบ 4-2-4 ด้วยในช่วงท้ายเกม

อย่างไรก็ดี สองวิงแบ็คของเชลซีในเกมนี้ อย่าง แอชลีย์ โคล และ มิกาเอล เอสเซียง ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติจริงๆ

ในความเห็นของผม แอชลีย์ โคล ณ วันนี้ ด้วยอายุ+ประสบการณ์ที่มี หมอนี้แทบจะเป็นหนึ่งในสุดยอดแบ็คซ้ายของโลกเลยก็ว่าได้
ขณะที่ เอสเซียง นักเตะสารพัดแห่งปีของเชลซีที่โดนจับเล่นทั้งแบ็กขวาในช่วงออกสตาร์สเกม และเปลี่ยนไปยืนกองกลางตัวรับ หลังจากมูรินโญ่ส่ง ชูเลียโน่ เบลเลตติ แบ็กขวาตัวใหม่ลงสนามแทน โอบิ มิเกล ก็เล่นทั้งสองบทบาทได้อย่างไม่มี เขอะเขินให้เห็น

บทสรุปของเกมนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งครับว่า เชลซีก็ยังเป็นเชลซีที่ “เทพีแห่งโชค” ยังอยู่กับพวกเค้าเสมอแม้ว่าจะไม่ได้เล่นดี แต่ก็ยังรับ 3 แต้มเน้นๆเข้ากระเป๋าและส่งตัวเองขึ้นไปยืนจ่าฝูงแทน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ “เสียความบริสุทธิ์” พ่ายเป็นนัดแรกให้กับอาร์เซนอลไปในวันเดียวกัน

ขณะที่วันอาทิตย์ “คู่เอก” ประจำสัปดาห์ เรื่องวุ่นๆในแคมป์สเปอร์ส ได้ลดความรุนแรงลงไปหลังจาก
เดเนี่ยล เลวี่ ได้ออกมาประกาศ “แบ็คอัพ” มาร์ติน โยล ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเร็ววันนี้

โดยสิ่งที่ นักเตะสเปอร์ส แสดงให้เห็นถึง “ความมุ่งมั่น” ในเกมนี้ก็เดาได้ไม่ยากครับว่า ลูกทีมทุกคนพร้อมหนุนหลังนายใหญ่หัวใสชาวดัตช์อย่างเต็มที่

แมนฯยูฯ บุกเยอะก็จริง แต่ดูๆแล้ว การขาด เวยน์ รูนี่ย์ ที่บาดเจ็บและ คริสเตีย-โน่ โรนัลโด้ที่โดนแบนไป ส่งผลกระทบกับแนวรุกผีแดงเยอะมาก

คาร์ลอซ เตเบซ ยังไม่ใช่คนที่จะมารับหน้าที่ “มือปืน”ในกรอบเขตโทษ ด้วยสรีสระ และตำแหน่งโดยธรรมชาติของเจ้าตัว

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผีแดงยังมีข่าวกับกองหน้าอย่าง เบอร์บาตอฟและ อเนลก้าอยู่ เนื่องจาก
เฟอร์กี้น่าจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี

สเปอร์สเองก็เล่นได้อย่างสูสีและน่าจะได้อย่างน้อยที่สุดก็ 1 แต้มกลับไวท์ ฮาร์ท เลน

ขาดก็แต่ “โชค”ที่บุกเยอะแต่ “ปิดบัญชี” แมนฯยูฯ ไม่ได้เองจึงต้องยอมรับสภาพ ความพ่ายแพ้ไปอีกครั้ง หลังโดนประตูโทนสุดสวยของ นานี่ไปในนาทีที่ 69

ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ หัวหอกตัวความหวังน่าจะทำได้สักประตูจากจังหวะ สองถึงสามครั้งในเกมนี้ หลังจากที่เจ้าตัวมีโอกาสเยอะที่สุดในเกมนี้

ส่วนตัวแล้วผมจะข้องใจกับจังหวะ “แฮนด์ ไม่ แฮนด์ “ ของ เวส บราวน์ อยู่เล็กน้อยครับ

นานแค่ไหนแล้วที่ แมนฯยูฯ ของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันไม่เสียจุดโทษในบ้าน…อันนี้ผมจำไม่ได้จริงๆ
ผมมานั่งนึกย้อนกลับ ในจังหวะเดียวกัน หากเป็นนักเตะสเปอร์ส และยังเสมออยู่ที่ 0-0 ผมอยากรู้ว่า กรรมการในเกมนี้ อย่าง ฮาวเวิร์ด เว็บบ์ จะเป่าเป็นลูกแฮนด์บอลและให้จุดโทษกับทางฝั่งแมนฯยูฯ หรือไม่ ?

ครับ เกมจบลงไปแล้ว แมนฯยูฯ ได้ 3 คะแนนแรกที่ต้องการไป ขณะที่สเปอร์สมีเกมที่ดี ไม่เป็นรอง แต่ไม่มี
แต้มกลับบ้าน
แต่นี้แหละครับ ฟุตบอล ไม่ทีมก็ทีมหนึ่งต้องรู้สึก “ผิดหวัง” มันเป็นเรื่องธรรมดา…

Wednesday 22 August 2007

ปฏิบัติการ "แทงข้างหลังกุนซือ"!!!


บางครั้งความคาดหวังที่สูงก็มา พร้อมกับความกดดัน ที่สูงตามขึ้นไป คำกล่าวนี้คงจะไม่เกินจริงเลยหลังจากสเปอร์สใช้ เงินไปร่วม 40 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และทำผลงาน ได้ต่ำกว่ามาตรฐานในช่วง 3 นัดแรกของศึกพรีเมียร์ชิพ

การพ่ายไปสองเกมแรกให้ทีมน้องใหม่อย่างซันเดอร์แลนด์ 0-1 และต่อด้วยเอฟเวอร์ตัน 1-3 ในบ้านทำให้แฟนบอลที่เข้าไปดูในเกมนั้น ถึงกับเป่าปากโห่ร้องถึงผลงานน่าผิดหวังของทีมที่เสียไปถึง 3 ประตูในบ้านให้ลูกทีมของ เดวิด มอยส์

ข่าวความไม่พอใจ ของบอร์ดบริหารอย่างท่านประธาน เดเนียล เลวี่ เริ่ม "ผุด" ออกมาตามสื่ออังกฤษรวมไปถึงชื่อกุนซือ สองสามรายที่เริ่มตกเป็นข่าวกับสเปอร์ส เริ่มตั้งแต่ เต็งหนึ่ง ฮวนเด้ รามอส, "ฉลามขาว" เจอร์เก้น คลินส์มันน์ รวมไปถึงแฮร์รี่ เรดแนปป์ กุนซือหน้าง่วงของปอร์ทสมัธ

จริงอยู่แม้เกมที่สาม ในการลงเตะกับดาร์บี้ในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน สเปอร์สจะถล่มเอาชนะคู่แข่งไปด้วยสกอร์มโหฬารถึง 4-0 แต่นั้นไม่เพียงพอกับความมั่นคง ในหน้าที่การงาน ของกุนซือชาวดัตช์ภายหลังที่ "กระแส" ข่าวการลักลอบติดต่อกุนซือรายใหม่เริ่มแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

สื่อจากสเปน และอังกฤษหลายฉบับออกมา "เปิดโปง" ข่าวการลักลอบติดต่อกุนซือเซบีญ่า ฮวนเด้ รามอส ในคืนวันศุกร์ 17 สิงหาคม ก่อนที่โยลจะพาลูกทีมลงเตะกับเซบีญ่าเพียง 1 วัน
"ความเชื่อมั่น" ของบอร์ดบริหารสเปอร์สที่มีต่อ มาร์ติน โยล น่าจะหมดลงในไม่ช้านับจากนี้ เพราะสื่อยักษ์ใหญ่ของอังกฤษอย่าง The mirror และ BBC ได้ตีข่าวโยลขอเข้าพบบอร์ด บริหารในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ หลังจากรู้สึกไม่ "เคลียร์" กับข่าวลือที่ทำท่าจะเป็นจริงขึ้นมาทุกขณะ

สื่อบางรายปักใจเชื่อว่า บอร์ดจะให้โอกาสโยลอีก 6 นัดนับจากนี้ไป ขณะที่ BBC เชื่อว่า "ชะตา" ของโยล อาจจะขาดก่อนเกมวันอาทิตย์ที่จะลงเตะกับผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นได้ หากการเจรจาของทั้งสองฝั่งไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

และจากประวัติที่ผ่านๆ มา สเปอร์สได้ชื่อว่าเป็นทีมแรกที่ทำการปลดผู้จัดการได้เร็วที่สุดถึง "สามครั้ง" จาก10 ปีหลัง โดยเหยื่อสามรายของบอร์ดในยุคนั้นก็ได้แก่ เจอร์รี่ ฟรานซิสในปี 1997 คริสเตียน โกรสส์ ในปี 1998 และเกล็น ฮอดเดิ้ล ในปี 2003

นั้นยังไม่นับในปี 2004 ที่ ฌัค ซองตินี่ กุนซือใจปลาซิว ชาวฝรั่งเศสที่ตัดสินใจลาออกไปเอง ตั้งแต่ฤดูกาลเพิ่งเริ่มไปได้ไม่เท่าไร โดยให้เหตุผลเพียงแค่ปรับตัวกับชีวิตในอังกฤษไม่ได้

หลังการออกไปของซองตินี่ มาร์ติน โยลในหน้าที่ผู้ช่วยกุนซือก็ได้รับการ "ผลักดัน" ให้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมแทนหลังจากได้บ่มเพาะประสบการณ์ในอังกฤษมาสักระยะ และนอกจากนี้ยังได้เคยฝากฝีไม้ลายมือไว้ในฮอลแลนด์อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพา Roda JC ได้แชมป์ดัตช์คัพเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี รวมไปถึงคว้ารางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี ของฮอลแลนด์สองปีซ้อน (ปี 2001 และ 2002 )

เพียงแค่สองปีแรกที่โยลเข้ามาคุมทีม แบบเต็มซีซั่นก็สามารถพาทีม "ไก่เดือยทอง" ติดอันดับ 5 ได้สองฤดูกาลติดต่อกัน ทีมกลางตารางที่เคยมีอดีตที่ยิ่งใหญ่ของ กรุงลอนดอนก็กลายสภาพจาก "ยักษ์หลับ" มาเป็น "ม้ามืด" ที่นักวิเคราะห์หลายต่อหลายรวมไปถึง โจเซ่ มูรินโญ่ ออกมาฟันธงว่า สเปอร์สในซีซั่น 2007-2008 เป็นทีมที่มี "ศักยภาพ" ที่จะสอดแทรกเข้าไปเป็น 1 ใน "ท็อปโฟร์"

แต่ "ผลงาน" ที่ออกมาตรงข้ามกับ "ความคาดหวัง" ที่ตั้งไว้สูง ส่งผลให้เกิด "ความไม่พอใจ + สูญเสียความเชื่อมั่น" ความสามารถในการบริหารทีมของ มาร์ติน โยล

ปฏิบัติการ "แทงข้างหลัง" กุนซือที่หัวโจกนำโดยนายใหญ่ เดเนี่ยล เลวี่จึงเริ่มขึ้น

แม้ ฮวนเด้ รามอส กุนซือฝีมือดีจะ ออกมายอมรับว่าได้เจอกับ พอล เคมส์ลีย์ รองประธานสโมสร และ จอห์น อเล็กซานเดอร์ เลขานุการ สเปอร์ส จริงๆ ที่ โรงแรม Alfonso XIII ในเมืองเซบีญ่า แต่เป็นเพียงแค่การนัดกิน และดื่มกันตามประสา "เพื่อน" ในวงการฟุตบอล และหัวข้อสนทนาของทั้งคู่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับฟุตบอลเลยแม้แต่นิดเดียว

อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าทั้งคู่จะไม่ได้พูดคุยถึง ความเป็นไปได้ในการเข้ามาเทก ตำแหน่งนายใหญ่ของสเปอร์ส

สัญญาของรามอสที่มีกับเซบีญ่าเหลือเพียงแค่หนึ่งปีเท่า นั้น และการ "ปลดล็อก" ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของสโมสร อย่างสเปอร์สที่จะจ่ายเงินค่าสินไหมชดเชย ให้ทีมดังจากสเปนเพียงแค่ 350,000 ปอนด์ ก็จะได้มาซึ่งลายเซ็นงามๆ ของ รามอส รวมไปถึง กึ๋น+ประสบการณ์ ที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสเปน
"ฝีมือ" ของ ฮวนเด้ รามอสก็เข้าขั้น "หัวกะทิ" เพราะพาทีมที่ดาดๆ อย่างเซบีญ่าคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ ไปแล้วสองครั้ง และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็เพิ่งพาทีมปราบพยศ เรอัล มาดริดไป 5-3 คว้าแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพไปครองอย่างยิ่งใหญ่

ที่ผ่านมา รามอสไม่เคยปิดบังความใฝ่ฝันของตัวเอง ในการเข้ามาคุมทีมในเกาะอังกฤษเลยแม้แต่น้อยครับ เพราะก่อนหน้านี้กุนซือหน้าดุ ก็เกือบจะได้มาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้ว แต่พอดีว่า "เฮียเถิก" สเวน โกรัน เอริคส์สัน ฉกชิ้นปลามันรีบเซ็นสัญญารับทรัพย์จากอดีตนายกฯ เราไปได้เสียก่อน


ส่วนตัวแล้ว ยอมรับนะครับว่าหลายๆ ครั้ง ไม่ค่อยชอบการตัดสินใจของโยล ในการจัดตัวนักเตะสักเท่าไหร่ แม้ว่าสเปอร์ส ภายใต้การทำทีมของโยล จะกลับมาเล่นบอลบนพื้น และ กลับมาเล่นเกมรุกเอนเตอร์เทนแฟน ๆ อีกครั้งหลังจากโดนค่อนขอดว่า "ดีแต่อุด" ในยุคของ จอร์จ เกรแฮม และ ฌัค ซองตินี่

แต่ถามว่าเร็วไปมั้ย สำหรับการตัดสินผลงานการเพียงแค่สามนัด และปลดกุนซือที่ทำผลงาน ได้ดีกว่ากุนซือสเปอร์ส 5-6 คนก่อนหน้านี้ ?

อันนี้ต้องบอกเลยครับ ว่าเร็วไปมากหาก บอร์ดสเปอร์สคิดจะปลด มาร์ติน โยลจริง ๆ ก่อนเกมวันอาทิตย์นี้ และทำให้ 40 ล้านปอนด์ที่ลงไปกับนักเตะใหม่บางรายอย่าง แกเร็ธ เบล และเควิน ปรินซ์ บัวเต็ง ยังไม่ได้ลงช่วยทีมเลยด้วยซ้ำ

นักเตะหลายต่อหลายรายที่ยังอยู่ในช่วงพักฟื้น จากอาการบาดเจ็บก็เป็นอีกหนึ่ง "ปัญหา"ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของ โยล

จริงอยู่ที่ว่าคนเป็น "โค้ช" คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับผลงานของทีม แต่บางครั้งบอร์ดบริหารหรือผู้มีอำนาจ ตัดสินใจ ก็ควรจะมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้บ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าผมไม่ชอบ ไม่พอใจ แล้วผมจะเปลี่ยน

ทีมฟุตบอลไม่ใช่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนะครับ ที่ใส่น้ำร้อนแล้วจะยกซดได้เลยทันใจ

การหล่อหลอม + สมัครสมาน + ความเข้าใจในทีม คือเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่คนนอกอย่างเราๆ รวมถึงบอร์ดบริหารไม่สามารถเข้าถึงได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องการ "เวลา" เพื่อผสมผสานกันให้เกิดคำว่า Teamwork
ดังนั้น "เวลา" อีกเช่นกัน คือสิ่งที่ เดเนี่ยล เลวี่ ควรจะให้แก่ มาร์ติน โยล พิสูจน์ฝีมืออีกสักนิด อย่างน้อยๆ
6 -7 นัด แล้วค่อยมาวัด "ผลงาน" กันใหม่

ถ้าอะไรๆ ยังไม่ดีขึ้น ค่อยเริ่ม "เปลี่ยนแปลง" มันก็ยังไม่สายไม่ใช่เหรอครับ ?...


Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2953

Wednesday 15 August 2007

สงครามฟลอร์หญ้า “บิ๊กทีม” ปีนี้ ไม่ง่าย!!!

ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพที่แฟนๆฟุตบอลทั่วทุกมุมโลกตั้งตารอคอยได้รูดม่านเปิดฉากกันไปแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เสียงตะโกนโห่ร้องที่บ่งบอกถึงความดีใจของแฟนบอลสลับกับภาพแฟนบอลบางรายที่เดินคอตกกลับบ้าน ถือเป็น “เสน่ห์และสีสัน” ที่ผมได้เห็นอีกครั้ง หลังไม่ได้ภาพแบบนี้ร่วมสองเดือนช่วงที่ปิดฤดูกาล

ขณะที่ความรู้สึกส่วนตัวนั้นคงต้องยอมรับโดยดุษฎีว่าอารมณ์ บ่ จอยเท่าไหร่ที่เห็นทีมรักที่ตามเชียร์มา 10 ปี อย่างสเปอร์สโดนแมวดำของ ผู้จัดการหนุ่ม รอย คีน สอนเชิงบอลพ่ายไป 0-1 ในช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้ายของเกม

ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ น่าจะทำให้มาร์ติน โยลและเด็กๆ ได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า “ความประมาทเป็นบ่อเกิดของความหายนะ”หลังน่าจะได้ 1 คะแนนกลับลอนดอน แต่ด้วยอาการเหม่อ+เสียสมาธิ ในช่วงท้ายเกม ทำให้พวกเค้าไม่ได้สักคะแนนกลับบ้านไป ทั้งๆที่ก่อนเกม แฟนๆไก่หลายคนคิดว่า 1 แต้มก็ถือว่าแย่แล้วสำหรับ การเจอกับทีมน้องใหม่และอย่างซันเดอร์แลนด์

คงต้องเจียมตัวและทำใจกันให้มากขึ้นสำหรับแฟนๆ “ไก่เดือยทอง” ครับหากคิดจะรักทีมยักษ์หลับทีมนี้ เนื่องจากดูจากสภาพความเป็นจริงแล้ว พวกเค้ายังต้องการ “ความสม่ำเสมอ” มากกว่านี้ ไม่ใช่ “สิงฆ์ สนามซ้อม หมูสนามแข่ง” อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ขณะที่ทีม “ท็อปโฟร์” จากซีซั่นก่อน มีเพียง แมนฯยูไนเต็ด “แชมป์เก่า” ทีมเดียวครับ ที่พลาดการเก็บ 3 แต้มในนัดเปิดสนามของฤดูกาลทั้งที่ บุกแทบตายใส่ เรดดิ้ง ที่กุนซือ สตีฟ ค็อปเปลล์ เปิดตำราทำการบ้านมาเป็นอย่างดี และรักษาความบริสุทธิ์ ไม่เสียประตู ได้อย่างพลิกความคาดหมายแฟนบอลส่วนใหญ่ พอสมควร

นอกเหนือจากชวดเก็บ 3 คะแนนแรกในบ้านแล้ว ข่าวร้ายยิ่งกว่าของ เซอร์ อเล็กซ์ และขุนพลทีมผีแดงก็คือการเสีย “หมู รูน” เวยน์ รูนี่ย์ ที่ได้บาดเจ็บ และผล สแกนออกมาแล้วว่า กระดูกเท้าแตกและต้องพักไปอย่างน้อย 2 เดือน


ในเกมดังกล่าว ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยทีเดียวครับ ที่ “ป๋า แพนด้า” ไม่เลือกใส่ แอนเดอร์สัน หรือ คาร์ลอส เตเบซ ไว้ในรายชื่อตัวสำรอง จนท้ายเกมถึงกับต้องส่ง จอห์น โอเชีย นักเตะ “สารพัด ประโยชน์” ไปเป็นเล่นเป็นหัวหอกตัวเป้า และทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน (อย่างที่หลายๆท่านน่าจะพอเดา สภาพออกตั้งแต่แรก)


ความชะล่าใจ ที่คาดว่าจะเคี้ยว เรดดิ้งได้ง่ายๆในถิ่น โอลด์แทรฟฟอร์ดจึงเป็น “หมัน” และถือเป็นความผิดพลาดที่น่าจับ เฟอร์กูสันมาตีก้น ให้เลิกประมาทสักทีสองที กับการเสีย สองแต้มหลุดมือไป ฟรีๆกับฤดูกาลที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นมากในปีนี้


นอกเหนือจาก “บทเรียน” ของแมนฯยูฯ ที่ชวดชัยไปแล้ว เราจะเห็นได้ว่า 3 ทีมที่เหลืออย่าง
เชลซี ลิเวอร์พูลและอาร์เซนอล ต่างก็ต้องดิ้นรนแบบ “เลือดตาแทบกระเด็น” กว่าที่จะเอาชนะทีมคุ่แข่งได้
นั่นแสดงให้เห็นกันตั้งแต่เกมแรกเลยครับว่า สมรภูมิการชิงชัยบน ฟลอร์ หญ้าในปีนี้ ไม่ใช่ง่ายแน่นอนสำหรับ “บิ๊กทีม” ทั้งหลาย


ลิเวอร์พูลที่เล่นในวันเสาร์กับการไปเยือน ก็ต้องรอถึงช่วงท้ายก่อนที่ “ความสามารถเฉพาะตัว” ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ยิงฟรีคิกสุดงาม ช่วยเอล ราฟา และพลพรรคหงส์แดงให้เก็บ 3 แต้มได้อย่างเฉียดฉิว


ก่อนที่วันอาทิตย์ ทีม “สิงโต พันล้าน” เชลซี มีคิวลงหวดกับเบอร์มิงแฮม ของสตีฟ บรู๊ซ ทีม น้องใหม่อีกทีมของพรีเมียร์ชิพในปีนี้และ กว่าที่เชลซี ในสภาพไม่เต็มร้อยนักจะเอาชนะเบอร์มิงแฮมไปได้ ก็เสียไปถึงสองประตูในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเอง แต่อย่างไรก็ดี ถึงเวลานี้ เชลซี รักษาสถิติไม่แพ้ใครในบ้านติดต่อกัน ปาเข้าไปถึง 64 นัดแล้ว และได้ทำลายสถิติเก่า ไม่แพ้ใครในบ้าน 63 นัด ที่ ลิเวอร์พูลทำเอาไว้เมื่อปี 1978-1980 ลงได้ด้วยในเกมนี้


ครับนี้ยังไม่รวมถึงสถิติ ส่วนตัวของ โจเซ่ มูรินโญ่ที่คุมทีมไร้พ่ายในบ้าน มาได้ถึง 99 นัดแล้ว (สถิติ ตั้งแต่คุม เอฟซี ปอร์โต้) และการเล่นนัดเหย้าแมตช์ต่อไปจะพบกับปอร์ทสมัธ ของ แฮร์รี่ เรดแนปป์ที่เสมอกับดาร์บี้ในนัดแรก 2-2
เป้าหมาย “ไร้พ่าย” นัดที่หนึ่งร้อยในบ้านของกุนซือโปรตุกีสรายนี้ ไม่เฉพาะจะส่งผลที่ดีต่อประวัติการทำงานของเจ้าตัวเท่านั้น แต่สโมสรอู่ข้าว อู่น้ำอย่างเชลซี ก็จะได้ “สัมปทาน ความโชคดี” ครั้งนี้ไปโดยปริยายครับ


พูดถึงเชลซีแล้ว แม้ว่าพวกเค้าจะเสียสองประตูในบ้านในเกมนี้ แต่นักเตะในทีมทุกคนก็ยังลงเล่นด้วยทัศนะคติ Win-Win หรือ ต้องชนะเท่านั้น โดยไม่สนว่ารูปเกมจะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ได้ตาม “เป้า” ของทีมเป็นใช้ได้


นี่แหละครับเป็นทัศนะคติที่นักเตะของทีม “ลุ้นแชมป์” ทุกทีมพึงมีไว้ แหละนี่ก็เป็นเหตุว่าทำไมใน
ซีซั่นก่อนๆ ทีมเชลซีของมูรินโญ่จึง โดนค่อนขอดว่าเล่นฟุตบอลได้น่าเบื่อ ชวนง่วงเหลือเกิน
แต่ใครจะสนละครับ ถ้าทีมคุณได้แชมป์? อย่างที่ กุนซือปากตะไกร อย่าง โจเซ่ เคยได้ออกมาเหน็บ กุนซือ ที่บ่นการเล่นที่น่าเบื่อ ผ่านทางสื่อมวลชนจนหน้าหงายว่า “พวกคุณว่า และบ่น แท็คติกส์ผม แล้วคุณได้แชมป์แบบผมหรือเปล่า?”
อย่างไรก็ดี ปีนี้มูรินโญ่จะกลับมาเล่น ระบบ 4-4-3 อีกครั้งครับ นั้นหมายความว่าเราจะได้เห็น การเล่นที่ตื้นเต้น เร้าใจ ไร้ความน่าเบื่อของทีม “สิง ไฮโซ” โฉมใหม่แน่นอน


“ท็อปโฟร์” อีกหนึ่งทีมที่ต้องพูดถึงเนื่องจาก “หืดขึ้นคอ เป็นที่สุด” ในการเฉือนเอาชนะ ฟูแล่มของ ลอรี่ ซานเชส ไป 2-1 โดยที่โดนนำไปก่อนตั้งแต่ไก่โห่แค่นาทีแรกของต้นเกม


อย่างไรก็ดี อาร์เซนอลก็ยังเป็นอาร์เซนอล ที่ “ตายยาก” และ พร้อมพลิกสถานการณ์กลับมาได้เสมออันนี้ต้องชม “สปิริต” ของทีมครับ ที่ไม่มี “หมดใจ” และมีวิญญาณ “เพชฌฆาต” ต่างกับ สเปอร์ส คู่แข่งร่วมกรุงลอนดอน ที่ประกาศตัวขอแย่ง “ท็อปโฟร์” ที่ไร้ซึ่ง “ความดุดัน” ในเกมนัดเปิดสนามกับ ซันเดอร์แลนด์


พูดถึงทีมรัก แล้วก็อดห่วงไม่ได้ว่าเพราะขณะที่ปั่นงานชิ้นนี้ อยู่ สเปอร์ส ยังไม่ลงเตะกับเอฟเวอร์ตัน..


แต่ในฐานะที่ถวายตัวและมอบใจให้ “น้องไก่” ไปนานร่วม 10 ปีแล้ว ผมจะยังขอดูการจัดทีมในนัดต่อๆไปของมาร์ติน โยลครับ ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนทีมหรือไม่ และจะทำการบ้านอย่างไรกับบรรดากองหน้า
“4 จตุรเทพ” ที่แผลงฤทธิ์กันไม่ออกซักคนเดียวในนัดเปิดสนาม


เอฟเวอร์ตันของเดวิด มอยส์ แม้จะไม่ได้เสริมตัวมากมายในปีนี้ แต่การที่นักเตะหลักๆอย่าง ทิม เคฮิลล์
มิเกล อาร์เตต้า และ “เอเจ” แอนดี้ จอห์นสัน ยังไม่หนีหายไปไหน ทีมที่เล่นกันมานาน + กึ๋น ของผู้จัดการทีมก็อาจจะทำ เซอร์ไพรส์ ได้เหมือนในปีนี้


ผมไม่ทราบว่า ผลจะจบลงด้วยสกอร์เท่าไร และทีมใดจะเป็นผู้ชนะ (แต่ฉบับวันนี้ ท่านผู้อ่านคงได้ทราบผลการแข่งขันกันไปเรียบร้อยแล้ว) แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะรู้สึกได้ก็คือ…
พรีเมียร์ชิพ ในปีนี้ไม่ใช้งานที่ง่ายๆสำหรับ “น้องไก่” และบรรดา “บิ๊กทีม” อย่างแมนฯยูไนเต็ด เชลซี ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล แน่นอนครับ !!

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2946

Wednesday 8 August 2007

วัน ซิตี้ ฟรีคอนเสิร์ต : งานเปิดตัว ซินาตรา กับทีมเรือใบ

เมื่อวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสในการนำพาตัวเองออกนอกกรุงลอนดอนอีกครั้ง หลังจากที่ครั้งก่อน ได้มีโอกาสไปเหยียบ กูดิสันปาร์คมาแล้ว ในฐานะ “นักเตะ”ของทีม ไทย-ยูเค ในการแข่งขันฟุตบอลการกุศล “Thai Community Charity Shield” เมื่อเดือนพฤษภาคมที่พึ่งผ่านพ้นไป
โดยในครั้งนี้ ผมได้ตบปากรับคำ การชักชวนของ คุณ“ใหม่ โมบาย”หรือ พอพล ศรีกัสสป คอลัมนิสต์หนุ่ม ของ“คิกออฟ”อีกคนที่ประจำการที่ประเทศอังกฤษมานาน ให้ไปดูการแข่งขันแมตช์ กระชับมิตร ของทีม แมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตท่านผู้นำบ้านเรา เข้าไปเทค์โอเวอร์ และได้สร้าง “ความตื่นตัว+ ปรากฏการณ์ใหม่” ให้ทีมจากย่านอีสต์แลนด์นี้พอสมควรหลังจากการเจรจาการเข้าครองกิจการเสร็จเรียบร้อยในช่วงเดือนเศษๆที่ผ่านมา

ทริปนี้ ผมและพี่ๆน้องๆจากทีม ไทย-ยูเค ทั้งหมด 9 ชีวิต ได้เช่ารถมินิ-แวน ซึ่ง พอเหมาะพอเจาะสำหรับพวกเรา หนุ่มโสดและมีบางรายที่น่าจะแถมคำว่า “โฉด” เพิ่มเข้าไปด้วยก็คงไม่ผิดนัก ^_^

เรื่องการเดินทางเราได้ “น้าหมาน” สมาน แสนทวีสุข โค้ชของทีมรับบทเป็น “โชเฟอร์” พาพวกเราไปชมความอลังการของสนาม ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ ภายใต้ ยุค Renovation หรือ ปรับโฉมทีมกันครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้จัดการทีมและนักเตะในทีม


แม้จะกินเวลาไปร่วม 4 ชั่วโมงในการเดินทาง เนื่องจากมีการแวะพักเติมน้ำมันและแวะ ชาร์จแบตเตอร์รี่ให้โชเฟอร์เราเป็นระยะๆ แต่ผมและทุกคนบนรถก็ไม่มีอาการเหนื่อยล้ากันให้เห็น เพราะใจจดใจจ่อกับเกมและปาร์ตี้ หลังเกม ซึ่งนั้นรวมไปถึงการแสดงของเหล่าดารา-นักร้อง ที่พวกเราได้ข่าวการ “โปรโมต” มาก่อนวันเดินทางมาสักพักนึงแล้ว


จากที่ได้ ซาวน์เสียงของคนไทยหลายๆคนที่นี้ “กระแส”การจัดงานในครั้งนี้ถือว่าค่อนข้าง “แรง” เพราะนักข่าวจากเมืองไทยไม่เฉพาะสายข่าวกีฬา แต่กระแสของเกมนี้ ยังสามารถดึงนักข่าวสายการเมืองให้มาทำข่าวถึงที่นี้ได้ด้วย โดยการประชาสัมพันธ์ของงานนี้มีบริษัท “ฮาวคัม”ของคุณ “โอ๊ค” พานทองแท้ ลูกชายหัวแก้ว หัวแหวน ของคุณทักษิณ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง “งาน” และ “สื่อมวลชน”


จากกระแสที่ได้รับมา ผมจึงปักเชื่อว่า นี้ไม่ใช่แค่“เฟรนล์ลี่แมตช์”ธรรมดาๆของทีมเรืบใบเสียแล้ว แต่นี้ยังเป็นถือเป็นการงานเปิดตัว “ท่านประธาน” คนใหม่ต่อหน้าสาธารณะชนอย่างเป็นทางการไปในตัว ต่อหน้าสักขีพยานร่วมสามหมื่นคนทั้งชาวไทยและแฟนบอลท้องถิ่นที่เดินทางมาชมเกมนี้ 27, 902 คน


คนไทยจากทั่วทุกภูมิภาคที่อาศัยในประเทศอังกฤษที่ทราบข่าวนี้ ได้เดินทางมาเมืองแมนเชสเตอร์โดยมิได้นัดหมาย และบังเอิญเหลือเกินที่ทริปนี้ ผมได้พบกับ “เพื่อนเก่า”สมัยเรียนที่สวนกุหลาบนนทบุรี ที่ไม่เจอมานาน เดินทางมาจากเมืองลีดส์ จึงเข้าไปทักทายและแลกเบอร์ติดต่อและอีเมลไว้แชตกันไปตามระเบียบ


ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้คาดหวังจะเห็นฟอร์มเริดหรู อลังการของทีมเรือใบสีฟ้า ลำนี้สักเท่าไหร่นักในการ พบกับทีมแกร่งจากสเปนอย่าง บาเลนเซียเพราะรู้อยู่ว่านักเตะหลายราย อาทิเช่น ฆาบี้ การ์ริโด้, เวดราน คอร์ลูก้า เอลาโน่ และวาเลรี่ โบยินอฟ เพิ่งจะย้ายเข้ามาก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้นได้ แค่ 2-3วัน ดังนั้น เมื่อรวมกับนักเตะใหม่ 4คนก่อนหน้านี้ เท่ากับว่า ครึ่งค่อนทีมแทบจะไม่ได้รู้จักและร่วมซ้อมกันมาก่อนเลย


เมื่อมาถึงสนาม ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศ “ความคึกคัก”รวมไปถึงการรับรู้และสัมผัสได้ถึง การวางแผนผังของงานและการนำเสนอ “ความเป็นไทย” ของเจ้าของทีมอย่างได้อย่าง “น่าชมเชย”

ทำไมน่ะหรอครับ? เพราะว่าบรรยากาศก่อนเกมจะเริ่มขึ้น มีการแสดงโชว์การรำแม่ไม้มวยไทยของเด็กๆชาวอังกฤษที่รำและไหว้ได้ “สวยงาม”และประทับใจผมเป็นอย่างยิ่ง ความอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นที่ผสมผสานกลมกลืนรวมไปถึงการยกมือไหว้ทุกครั้งที่จบกระบวนท่า นั้นทำให้ผมรู้สึก “ขนลุก”แปลกใจว่าทำไมเด็กๆพวกนี้ถึงได้ เข้าถึง “ความเป็นไทย.” ได้เพียงนี้

ในส่วนของผลการแข่งขันและรูปเกม อย่างที่ได้เรียนท่านผู้อ่านไปข้างต้นแล้วว่า ไม่ได้คาดหวัง เท่าไหร่และสกอร์ 0-1 ที่เจ้าบ้านโดน “เผาเครื่อง” ไปก็ไม่สามารถวัดอะไรได้มากจากเกมนี้ จึงขอไม่หยิบยกมาพูดและอยากจะข้ามไปที่ “ไฮไลท์” จริงๆของงานนี้กันดีกว่า


โดย จุด“ไคล์แมกซ์”ของงานนี้เริ่มขึ้นช่วงเย็นวันเดียวกัน โดยคุณทักษิณได้ใช้จตุรัส อัลเบิร์ตสแควร์เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองการเปิดตัวโดยมีชื่องานว่า “วัน ซิตี้ ฟรีคอนเสิร์ต” โดยมีการจัดอาหารไทยเสิร์ฟฟรี ตลอดทั้งงาน รวมทั้งการจัดรถโดยสารไว้ที่แอชตั้น นิว โรด ด้านข้างสนามเพื่อนำบรรดาแฟนบอลจากสนามซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ ไปยังสถานที่จัดงานฟรี อีกด้วย

ดารา-นักร้องจากเมืองไทยที่ขึ้นไปขับกล่อมบทเพลงก็มี ใหม่ เจริญปุระ, แอม เสาวลักษณ์ ลีลาบุตร,
“ฮาร์ท” สุทธิพงษ์ ทัดพิทักษ์กุล, “ลีเดีย” ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา และซอนย่า คูลลิ่ง

ชณะที่คนดังในอังกฤษก็มาร่วมงานคับคั่ง อาทิเช่น ริกกี้ ฮัตตัน อดีตแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวต ดับเบิลยูบีซี และแชมป์ไอบีโอ ซูเปอร์ไลต์เวต และโคล เพจที่เอาใจท่านประธานคนใหม่ ด้วยการร้องเพลงโปรดของคุณทักษิณ อย่าง เพลง “มาย เวย์” โดยช็อตนี้เรียกร้อยยิ้มจากคุณทักษิณและเสียงปรบมืออย่างกึ่งก้องจากผู้เข้าร่วมงานในกว่า 8,000 คนได้อย่างยิ่งใหญ่ และปิดงานในเวลาสามทุ่มเศษๆด้วยความชื่นมื่นของทั้ง “ผู้จัด” และ “แขกในงาน”

ไฮไลท์ของเพื่อนๆผู้ร่วมเดินทางของผมในทริปนี้ อาจจะเป็นกับข้าวอร่อยๆจากร้านเจ๊หมวย หรือร้านAddie’s จากลอนดอน

แต่สำหรับผมแล้ว น้อง “ลิเดีย” นักร้องสาวหุ่นดีเท่านั้นครับ ที่ถือเป็น “ไฮไลท์” ส่วนตัว เนื่องจากแอบปลื้มความน่ารักเป็นทุมเดิมอยู่ก่อนแล้วจึงยืนเคลิ้มไปพักใหญ่ก่อนจะโดนขัดจังหวะเมื่อ “น้าหมาน” และ “ใหม่ โมบาย” เดินมาดึงให้ผมรีบไปขึ้นรถ เนื่องจากคืนนั้น พวกเรายังไม่มีที่พัก ทำให้วัยรุ่นอย่างผมเซ็งไม่น้อย ที่โดนขัดจังหวะห้วงความสุข “เล็กๆ” แบบนี้


พวกเราหาที่พักกันหลายต่อหลายที่ครับ ในคืนนั้น เนื่องจากว่าโรงแรมในเมืองแมนเชสเตอร์ห้องราคาประหยัด ได้ถูกจองไว้เกือบหมดแล้ว ขณะที่โรงแรมที่ยังไม่ได้ถูกจอง พวกเราก็ไม่อาจสู้ราคาแพงๆได้อีก สุดท้ายพวกเราจึงตัดสินใจใช้แผน “กองโจร” ด้วยการจองห้อง Double room (ห้องสำหรับสองคน) ในโรงแรม 4ดาวแห่งหนึ่ง 2 ห้อง ตกห้องละ 60 ปอนด์ต่อคืน แล้วแอบ “ลักลอบ” แอบเข้าไปนอนกัน 9 คนครับ (อันนี้ขอให้เป็นความลับ ระหว่างผม กับท่านผู้อ่านนะครับ ฮา)

ครับ ไม่ว่าแท้จริงแล้ว คุณทักษิณจะมีจุดประสงค์อันใดแน่ในการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในครั้งนี้…

แต่อย่างน้อยในเวลานี้ชาวเมืองแมนเชสเตอร์ ที่ Support ทีมเรือใบสีฟ้า ก็รักและเทิดทูนเจ้าของใหม่คนนี้ เยี่ยงวีรบุรุษผู้เข้ามาเพิ่ม “ความหวัง” ที่จะได้โอกาสลืมตาอ้าปากได้บ้าง หลังจากที่ต้องอยู่ใต้ร่มเงาทีม

ผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมานานร่วมทศวรรษ

และสามนักเตะทีมชาติไทยอย่าง เกียรติประวุฒิ สายแวว, ธีรศิลป์ แดงดา และ สุรีย์ สุขะ ที่จะได้ไปทดสอบฝีเท้ากับทีมระดับ พรีเมียร์ชิพเร็วๆนี้ รวมถึงนักเตะไทยรุ่นต่อๆไป ในอนาคตที่จะได้รับจาก “ประโยชน์” จากจุดนี้ แค่นี้ก็พอแล้วครับที่ทำให้ สาวกแฟนเรือใบสีฟ้า รวมทั้งผม ยกสองมือพร้อมเชียร์ แมน ซิตี้ เพิ่มอีกคน ในฤดูกาลใหม่ที่เริ่มขึ้นนี้


















Wednesday 1 August 2007

ฟ้าหลังฝน ของอาร์เซนอล



จบลงไปอย่างชื่นมื่นครับสำหรับแฟนบอล และขุนพล นักเตะทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล กับฟุตบอลสี่เส้า เอมิเรตส์ คัพที่อาร์เซนอล "ทีมเจ้าภาพ" เอาชนะแชมป์กัลโช่ เซรี่ อา ในฤดูกาลที่ผ่านมาอย่าง อินเตอร์ มิลานด้วยสกอร์ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา


จริงอยู่ที่ว่า หลายคนอาจจะมองว่านี่เป็นเพียงแค่ บอลสี่เส้าเล็กๆ ก่อนที่ฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นขึ้น และ ก็เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมของพวกเค้า เองจึงไม่แปลกอะไร ที่พวกเค้าจะได้แชมป์นี้มานอนกอด


แต่หากมองกันให้ลึกลงไป มินิ ทัวร์นาเมนต์แบบนี้ถือเป็น การสร้างขวัญ และกำลังใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน สำหรับเด็กๆ ของอาร์แซน เวนเกอร์ ความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นน่าจะเป็น สิ่งที่เวนเกอร์ต้องการเห็น จากทีมในเวลานี้ก่อนที่การแข่งขัน ที่เข้มข้นและ ยาวนานจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า


จากที่มีโอกาสได้ดูไฮไลต์การแข่งขัน+การบอกเล่า ของเพื่อนคนนึงที่มีโอกาสได้ไปดูเกมคู่นี้ถึงขอบสนาม ภาพรวมของทีมชุดนี้ดูลงตัวขึ้น และแฟนๆ น่าจะลืมการจากไปของซีเนียร์ ในทีมอย่าง เธียร์รี่ อองรี และ เฟรดริค ยุงเบิร์กได้ในเวลาไม่นานนัก


การกลับมาของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้าพรสวรรค์สูง ที่เล่นได้ "เทพ" มากในเกมนี้ โดยเฉพาะจังหวะที่เจ้าตัวยิงประตูชัยแสดงให้เห็นถึง "คลาส" ที่ยกระดับขึ้นมาได้อย่างก้าวกระโดด หลังจากได้รับการขัดเกลาจากสตาฟฟ์โค้ชของอาร์เซนอล ชุดนี้


โดยหัวหอกดัตช์วัย 23 ปีรายนี้เป็นดาวซัลโวประจำทีม ในฤดูกาลก่อนด้วยนะครับโดยสังหารไปถึง 13 ประตูก่อนจะกระดูกเท้าแตกหลังเล่นไปได้แค่ครึ่งฤดูกาล (เจ็บไปตั้งแต่ช่วงปีใหม่)
หลังเกมวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฟาน เพอร์ซี่ ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวพร้อมแล้ว สำหรับการเข้ามาเติม "ส่วนที่ขาดหายไป" ของอองรี อดีตกัปตันทีมที่เสมือนเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ของทีมในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา


นอกเหนือจากสัญญาณที่ดีขึ้นในแดนหน้าแล้ว ยังกันส์อีกรายที่อยากพูดถึงคือ บาคารี่ ซาญ่า ฟูลแบ็กฝั่งขวาทรงผมทรมานใจสาวรายใหม่ที่ผลัดกันเติมสลับกับ เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ ได้ถูกใจผมหลายๆ ครั้งในเกมนี้


การเข้ามาของอดีตแบ็กขวา ยู-21 ของฝรั่งเศสค่าตัว 6 ล้านปอนด์รายนี้ เล่นเกมรับได้เหนียวแน่น และมีความเร็วอัน ทำให้เอบูเอ้ เติมเกมรุกทางขวาได้โดยไม่ต้อง พะวงหน้าพะวงหลัง และฤดูกาลหน้าเวนเกอร์ก็จะ มีทางเลือกในการจัดตัวทางริมเส้นเพิ่มมากขึ้น


ขณะที่ดาวรุ่ง คีแรน กิ๊บบ์ส ดาวรุ่งหน้าละอ่อนเลือดผู้ดีวัย 17 ปีที่กุนซือ "เหี่ยวฟ้า" ออกมายกยอว่าอาจจะก้าวไปเป็น ไรอันส์ กิ๊กส์ คนใหม่หลังได้ลงมาปรากฏตัวใน ทีมชุดใหญ่เป็น ครั้งแรกก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ไม่เลว และดูมี "แวว" คู่ควรกับคำกล่าวที่ว่าไม่น้อย ทีเดียวจากการ ที่ได้เห็นลีลาวูบวาบในเกมนี้


อย่างไรก็ดีแนวรับ ของอาร์เซนอลยังดูมีปัญหาเล็กน้อยในมุมมอง ของผมเนื่องจากกองหลังตัวกลางทั้งสองคนไม่ว่าจะโคโล่ ตูเร่ หรือวิลเลี่ยม กัลลาส รองกัปตันทีมยังมีปัญหาในการรับมือกับลูกกลางอากาศ
สาเหตุหลักๆ เลยก็คือ เรื่อง "สรีระ" ของทั้งคู่ครับ ที่แม้จะทั้งคล่อง แกร่ง และมีความเร็ว แต่ส่วนสูง 5 ฟุต 11 นิ้วของกัลลาส และ 6 ฟุต เป๊ะๆ ของตูเร่ นั้นถือว่าค่อนข้างเล็กหากเทียบกับกองหลัง ส่วนใหญ่ในพรีเมียร์ชิพ


ดังนั้นหากเจอกับกองหน้าตัวเปรตๆ อย่างปีเตอร์ เคร้าช์ หรือดิดิเยร์ ดร็อกบา คู่หูแนวรับที่ฟังชื่อแล้วดูเหมือนจะ แกร่งอาจจะเจอปัญหาได้ในซีซั่นใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นครับ
โดยตรงจุดนี้ อาร์แซน เวนเกอร์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด และออกมายอมรับด้วยว่า แนวรับจำเป็นต้องมีประสิทธิภาพมากกว่านี้
ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีครับที่อย่างน้อย กุนซือมาดละเมียดมองเห็นปัญหา และพร้อมจะปรับปรุง (อยากให้ทีมชาติไทยของเราเป็นอย่างนี้บ้างจังครับ)


ขณะที่ภาพรวมในแต่ละตำแหน่งของอาร์เซนอลในปี นี้ก็จัดได้ว่ามีขุมกำลังที่ไม่ได้ขี้เหร่อย่างที่ เฟรดริค ยุงเบิร์ก ออกมาอ้างว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจย้ายออกมาซะทีเดียว


ตำแหน่งผู้รักษาประตู เยนส์ เลห์มันน์ ที่แม้จะแก่ แต่ก็ มีประสบการณ์ที่เข้ามาทดแทนน่าจะทำให้แนวรับ อุ่นใจได้พอสมควร อีกทั้งการเข้ามาของ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ประตูคนใหม่ก็น่าจะทำให้ เลห์มันน์ และมานูเอล อัลมูเนีย ต้องสม่ำเสมอเมื่อได้รับโอกาส ถ้าไม่อยากถูกประตูโนเนมรายนี้ แย่งตำแหน่งมือหนึ่งไปครอง


แนวรับ ถ้าไม่รวมปัญหา "ลูกกลางอากาศ" ที่ผมเห็นในเกมล่าสุด ก็ถือว่ามีตัวที่ทดแทนกันในทุกๆ ตำแหน่ง การที่โคโล่ ตูเร่ ต้องไปเล่นให้ไอวอรีโคสต์ในศึก แอฟริกัน เนชั่นคัพ ช่วงเดือนมกราคมก็ยังมี โยฮัน ฌูรู และฟิลิปป์ เซนเดอรอส ที่พร้อมรอเสียบในกรณีฉุกเฉินอยู่แล้ว


ในตำแหน่งกองกลาง การหายไปของยุงเบิร์ก ผมไม่คิดว่าอาร์เซนอลจะได้รับผลกระทบอันใด จากการขาดหายไปของกัปตันทีม ชาติสวีเดนคนนี้เนื่องจากผมมองว่าเจ้าตัวไม่ใช่ตัวหลักในใจของเวนเกอร์มานานแล้ว อีกทั้งการก้าวขึ้นมาของ เชสก์ ฟาเบรกาส เมื่อผนึกกำลังกับ จิลแบร์โต้ ซิลวา ก็ทำได้ดี ไม่แพ้คู่กองกลางทีมไหนในยุโรป ณ เวลานี้ ดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาอย่าง เดนิลสัน และดิยาบี้ก็เข้ามามีส่วนร่วม บ้างแล้วในซีซั่นที่ผ่านมา ที่ทำให้ขุมกำลังในแดนกลางของทีมค่อนข้าง "ลงตัว" และมีทางเลือกหลากหลาย


อย่างไรก็ดีในรายของ อเล็กซานเดอร์ คเล็บ และโทมัส โรซิคกี้ ที่เล่นในตำแหน่งกองกลางตัว กลางมาเกือบตลอดชีวิตค้าแข้งพวกเค้า แต่ต้องโดนจับไปยืนริมเส้นบ่อยครั้งในฤดูกาล ที่ผ่านมาจนอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่สองคนนี้ยังไม่สามารถรีด "ฟอร์มเทพ" ออกมาโชว์แฟนๆ ปืนใหญ่ได้อย่างที่หวังนักก็ถือว่าน่าติด ตาม อย่างยิ่งครับว่าจะงัดฟอร์มเก่งออกมา ได้มากขึ้นหรือไม่ในฤดูกาล ใหม่ที่จะเริ่มขึ้น
พูดถึงเรื่องการงัดฟอร์มเก่งก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืม เจ้าหนู ธีโอ วัลคอตต์ ที่ซีซั่นนี้น่าจะถึงเวลาเสียทีที่จะ "พิสูจน์" ว่าไข่ในหินของเวนเกอร์รายนี้จะเป็น "เพชรในโคลนตม" หรือ "ขี้ดินในโคลนตม" กันแน่ เพราะเท่าที่ดูๆ มา เวนเกอร์พยายามเหลือเกินที่จะ "ปั้น" เด็กหนุ่มผู้ที่ผมมองว่า เจ้าตัวได้รับการสรรเสริญเยินยอจาก "สื่อ" มากเกินจริงไปหน่อย


ขณะที่ในกองหน้าของทีม ปืนใหญ่ชุดนี้ก็ประกอบไปด้วย ฟาน เพอร์ซี่ และอเดบายอร์ เป็นตัวหลัก โดยมี เอดูอาร์โด้ ดาซิลวา ดาวยิงตัวใหม่ที่คาดว่าจะได้ Work permit (ใบอนุญาตทำงาน) เร็วๆ นี้ และ นิคลาส เบนดท์เนอร์ เป็นตัวสอดแทรกที่ยังไม่รวม ธีโอ วัลคอตต์ที่เล่นในตำแหน่งกองหน้าได้ด้วย (ในกรณีที่เวนเกอร์ไม่จับเจ้าตัวไปยืนริมเส้นแล้วในปีหน้า)


ดังนั้นการที่มีข่าวออกมาว่าเวนเกอร์อาจ จะกระโดดเข้าตลาดนักเตะเพื่อหากองหน้าเพิ่มอีก หลังจาก โฮเซ่ อันโตนิโอ เรเยส กำลังจะย้ายไปซบ แอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ ผมจึงมองว่า น่าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากตัวผู้เล่นที่เพียบพร้อม+ศักยภาพของเด็กๆ ยังกันส์ชุดนี้พร้อมแล้วที่จะท้าชิงความ ยิ่งใหญ่จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซี และลิเวอร์พูล


การเสียอองรีไปรวมถึงการออกมาพูดว่า "End of Era" ของ ยุงเบิร์กในวันที่เจ้าตัวใจ เป็นอื่นดูเหมือนอะไรๆ ก็ดูช่างอึมครึมเสียเหลือเกินในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม


แต่ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า แรงผลักดันตรงนี้จะ ทำให้ เด็กๆ ของอาร์เซนอล มี "แรงฮึด" สำหรับซีซั่นใหม่ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้น และการได้แชมป์ เอมิเรตส์ คัพ ของทีมก็น่าจะ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "ฟ้าหลังฝน" และ อนาคตของทีมปืนโตก็น่าจะดู "สดใส" ขึ้นนะครับ...



Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2932