Tuesday 30 December 2008

เคาท์ดาวน์@ลอนดอน...งานใหญ่ท้ายปีที่หลายคนถวิลหา

ใกล้เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แบบนี้ทีไร...หวนทำให้ผมคิดถึงบรรยากาศจิบเบียร์เย็นๆหน้าลานเบียร์ห้างเซ็นทรัล เวิลด์และซีคอน สแคว์เหลือเกินครับเพราะช่วงที่อยู่เมืองไทยเข้าหน้าหนาวแต่ละปีเพื่อนฝูงเป็นต้องชักชวนกันไปจิบเบียร์ เชียร์บอล+เหล่หญิงบ้างตามประสานักศึกษามหาลัยที่ชอบเฮฮาสังสรรค์แบบผม

ครั้นมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษด้วยอากาศที่มันหนาวเกือบทั้งปีอยู่แล้วอีกทั้งราคาเบียร์ต่อไพนท์(1 แก้วใหญ่) ก็ไม่ใช่ถูกๆตกแก้วละ3-4ปอนด์เป็นอย่างน้อยทำให้ผมกับน้องเบียร์ต้องห่างเหินกันไปจะมีบ้างตามงานพิเศษของเพื่อนอย่างวันเกิดหรือวันหยุดยาวๆจริงถึงจะได้‘ตักสุรา’ กันจนฟ้าสางและมานั่งเสียดายทีหลังทุกทีเพราะสตางค์เกลี้ยงกระเป๋าในตอนเช้า (ฮา)

ไม่กี่วันมานี่ผมเห็นหนังสือพิมพ์หลายฉบับเขียนถึง‘พฤติกรรมการดื่ม’ของลอนดอร์เนอร์แล้วตกใจครับเพราะว่าLondon Ambulance Service (LAS) หรือหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่ของกรุงลอนดอนต้องทำงานกันหนักมากจนไม่มีเวลาหยุดฮอลิเดย์เหมือนอาชีพอื่นๆในช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่เนื่องจากมีประชาชนโทรสายด่วนเข้ามาขอความช่วยเหลือกันเยอะมากโดยสาเหตุนั้นไม่ใช่เจ็บไข้ได้ป่วยเรื่องอุบัติเหตุแต่อย่างใด หากแต่โทรเรียกหน่วยพยาบาลเพื่อมาดูคนเมาที่อ้วกหรือหมดสติไปจนกลับบ้านไม่ได้จึงนอนหลับพริ้มกลางถนนบ้างตามสถานีรถไฟบ้างจนนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนอย่างคุณบอริส จอห์นสันถึงกับสั่งให้มีการนำเตนท์พักฟื้นและHelping pointไว้ในสถานี Liverpool Street ขนาดนั้นเลยทีเดียว !

นึกแล้วก็ขำนะครับเพราะกลับกันหากเป็นประเทศไทยคงไม่มีใครหน้าไหนมาพาคุณไปนอนพักหรือปฐมพยาบาลหากเมาเสียสติแน่เผลอๆจะโดนจับเอา อันนี้ผมว่าผู้ว่ากทม.คนใหม่ของเราน่าจะนำไอเดียนี้ไปต่อยอดบ้างเพราะคนไทยเราช่วงหลังก็กินเหล้าเก่งไม่แพ้พวกคอทองแดงอย่างชาวอังกฤษซะเมื่อไร อิอิ
ก็ว่ากันไปนะครับสำหรับเรื่อง ‘ดื่ม’ที่เขียนมาก็ไม่ใช่อะไรอยากให้ดื่มกันแบบมีสติมี&ลิมิตกันนิดนึงใครที่ขับรถขับราก็ต้องระวังกันเพิ่มขึ้นอีกหน่อยเพราะหากตัวเองไม่เจ็บก็สงสารคนอื่นที่อาจต้องเป็น ‘เหยื่อเคราะห์ร้าย’ของความเลินเล่อเราบ้าง อย่าลืมว่าชีวิตคนเรามันแสนสั้นอยู่แล้วจะหาเรื่องให้มันสั้นเพิ่มทำไมถูกมั้ยครับ?

สำหรับ ‘ลอนดอนคอร์นเนอร์’ วันนี้อยากนำเสนอเรื่องราวของการเฉลิมฉลอง New Year Eve (วันที่31มกราคม) ของผู้คนที่นี้มาให้ได้อ่านกัน : )

อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า ‘ลอนดอน’ เป็นอีกหนึ่งเมืองใหญ่ของโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องการจุดพลุเฉลิมฉลอง (Fireworks) ซึ่งอลังการงานสร้างเป็นอย่างมากตามประสาประเทศที่พัฒนาแล้วและนับตั้งแต่ปี2003เป็นต้นมาสถานที่ซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่ามาอังกฤษแล้วควรจะไปสักครั้งในชีวิตก็คือการดูพลุไฟสีสันสวยสดความยาวประมาณ 10-15นาทีที่ริมแม่น้ำเธมส์ (Thames River) ตรงแถวๆหอนาฬิกาบิ๊กเบนและชิงช้าสวรรค์ลอนดอนอาย

ผมเองเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้วในปีก่อน บรรยากาศของงานนี้บอกตามตรงครับว่าประทับใจมั่กๆ...ยอดผู้ร่วมงานเกือบ2แสนคนที่ไปแม้หลายคนจะเมาปลิ้นแต่ก็ไม่มีลูกเกเรให้เห็นแถมพอถึงเวลาเคาท์ดาวน์นับถอยหลังเสียงนับ 9 8 7...ดังกระหึ่มน่าขนลุกมาก จนกระทั่งเข็มนาฬิกาสั้น-ยาวเดินทางมาแตะที่เลข12เท่านั้นเสียงโห่โร่แสดงความปลื้มปิติยินดีแถมคู่รักหลายรายก็โชว์สวีทให้เห็นด้วยการยืนกอดหรือจุมพิตกันท่ามกลางเสียงพลุไฟที่ดังขึ้น ดังขึ้นพร้อมเสียงเพลงที่ทางเทศบาลกรุงลอนดอน (Mayor of London) ตระเตรียมไว้ก็ถูกนำมาเปิด ‘บิ๊ว’ อารมณ์ให้งานนี้มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ สำหรับปีนี้การเฉลิมฉลองที่ริมแม่น้ำเธมส์ก็จะจัดขึ้นตามปรกติแต่ที่ผมไปเช็คหาข้อมูลมาคาดว่าปีนี้พลุไฟอาจจะสวยเป็นพิเศษเพราะถือเป็นปีแรกที่อังกฤษยอมให้มีสปอนเซอร์รับหน้าที่จัดการแสง สี เสียงโดยงานนี้ LG ร่วมกับช่างทำดอกไม้ไฟระดับโลกอย่างคุณคริสตอฟ เบอร์ธอนโน (Christophe Berthonneau) และสำนักบริหารแห่งมหานครลอนดอนเป็น3ประสานผู้ดำเนินงานหลักของการเคาท์ดาวน์ในครั้งนี้

ไฮไลต์ของงานคร่าวๆจะมีบอริส จอห์นสัน นายกเทศมนตรีมหานครลอนดอนเป็นผู้อวยพรให้แก่ทุกคนด้วยการปรากฏตัวเป็นรูปภาพบนอาคารเชลล์ บิลดิ้ง (Shell Building) ริมฝั่งแม่น้ำเธมส์ผ่านการฉายภาพของเครื่องโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยคุณจอห์นสันได้คุยก่อนงานว่า

“เซ็นทรัลลอนดอนมีสุดยอดบาร์ ร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำระดับโลกผมว่าไม่มีเมืองใดที่เหมาะจะจัดงานฉลองปีใหม่เท่านี้แล้วและการแสดงดอกไม้ไฟก็จะทำให้ผู้คนในอังกฤษและทั่วโลกตระหนักถึงความมีเสน่ห์และความสุขของมหานครแห่งนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมอยากบอกให้นักธุรกิจทั่วโลกทราบว่าลอนดอนจะเปิดโอกาสครั้งสำคัญในการทำธุรกิจและใช้ชีวิตอย่างมีเอกลักษณ์ให้กับท่านแม้เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาก็ไม่อาจลดคุณค่าของสถาปัตยกรรม, วัฒนธรรม, อาหารและผู้คน ในมหานครที่ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งนี้ได้”

งานนี้ต้องมาดูครับว่าที่ท่านนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนคุยเอาไว้ว่าจะอลังการงานสร้างสุดๆนั้นจะแจ๋วจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า?

อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเคาท์ดาวน์ที่แห่งหนตำบลใดบนโลกใบนี้ ‘การนับถอยหลังสู่ปีใหม่จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข หวังว่าทุกคนจะทิ้งปัญหาเรื่องหนักอกทั้งการเมืองที่วุ่นวายก็ดี เรื่องของเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมาก็ดีไว้เบื้องหลังและเฉลิมฉลองให้กับปีใหม่ ที่สดใสและสวยงามกว่าเดิม’

‘Happy New Year’ ผู้อ่านที่เมืองไทยทุกคน+มีแต่ความสุขไร้ทุกข์โศก&พระคุ้มครองครับ: )

Monday 29 December 2008

‘SW6 Derby Match’ที่เชลซีเกือบเอาตัวไม่รอด



ช่วงนี้คิวเดินทางแน่นครับเนื่องจากพรีเมียร์ชิพเตะกันถี่มากไม่มีการเบรกหนีหนาวอย่างลีกอื่นในทวีปยุโรปเค้า...นักบอลอดฉลองคริสต์มาส+ปีใหม่กันแบบสนุกสุดเหวี่ยงไม่พอ นักข่าวที่อังกฤษต้องมารับกรรมฝ่าลมหนาวช่วงเข้าสู่จุดที่เรียกได้ว่า ‘พีคสุดๆ’ (ร้อนสุด3องศา&หนาวสุด-3องศา) ตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากช่วงนี้การชิงแชมป์กำลังดำเนินไปอย่างสนุกไม่แพ้โซนตกชั้นเลยทีเดียว

‘หงส์แดง’ลิเวอร์พูลของราฟาเอล เบนิเตซที่ผมพึ่งเขียนติงไปเรื่องไม่มีจิตวิญญาณนักฆ่า (Killer Instinct) เมื่อวันดวลกับอาร์เซนอลไม่รู้ใครไปซื้อ ‘คิกออฟ’ให้กุนซือสเปนอ่านรึเปล่าเพราะเกมล่าสุดออกไปเยือนนิวคาสเซิ่ลของคุณลุงโจ คินเนียร์แล้วยิงประชดกดไป5ดอกให้รู้ซะมั้งว่าทัพเรดแมชีนก็ไม่ได้กระสุนด้านหมดปัญญายิงคู่แข่งอย่างที่ผมหยามเอาไว้ว่าจะหมดลุ้นแชมป์เพราะปัญหาที่ว่า...

อย่างไรก็ดีทีมหงส์แดงมักจะเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆอารมณ์ประมาณสามวันดีสี่วันไข้เกมที่น่าจะปิดบัญชีเก็บ3คะแนนเน้นๆบางครั้งกลับปล่อยโอกาสให้มันหลุดลอยไปดังนั้นชัยชนะในนัดนี้จะเป็นแค่‘ภาพลวงตา’ให้แฟนๆฝันหวานกันเล่นอีกครั้งหรือไม่นั้นอันนี้ต้องคอยดูกันยาวๆครับ

แต่ที่ ‘ฝันร้าย’ และคงนอนไม่หลับ+กุมขมับในช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่นี้ คนนึงแน่ๆเชื่อว่าคงหนีไม่พ้นชายชื่อหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่กุนซือหนวดจิ๋มทีมเชลซีที่ไม่ได้ติดหนี้แชร์หรือปวดแผลผ่าตัดแต่เป็นผลงาน ‘สุดบู่’ ของลูกทีมในช่วงหลังจนเวลานี้ทีมสิงห์ไฮโซตามก้นหงส์แดงห่างออกเป็น3คะแนนแล้ว!

SW6 Derby Match คือชื่อเท่ห์ๆที่แฟนบอลใช้เรียกการโคจรมาพบกันของสองทีมจากตอนใต้ของกรุงลอนดอนอย่างฟูแล่มและเชลซีซึ่งสนามแข่งขันอยู่ใกล้กันเพียง 15นาทีเท่านั้น ส่วน ‘SW6’ ที่หลายคนอาจเกาหัวสงสัยจริงๆแล้วไม่มีไรมากมันก็แค่เป็นรหัสไปรณีย์ (Post code) ของทั้งสองทีมที่ตั้งอยู่ในเขตทำการของตำบล Hammersmith&Fulham เหมือนกันก็เลยใช้รหัส ‘โพสต์โคด’ เดียวกันนั้นเองครับ: )

11ผู้เล่นของทั้งสองทีมในเกมนี้เจ้าบ้านฟูแล่มขาดจิมมี่ บุลลาร์ดมิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติอังกฤษซึ่งเจ็บในเกมก่อนสเปอร์สแต่ยังดีวันนี้ได้ ‘ยักษ์ใหญ่นอร์วิเจี้ยน’ อย่างเบรเด้ ฮาเกแลนด์ลงสนามมายืนเป็นกำแพงเหล็กให้ทีม ส่วนทีมเยือนเชลซี ‘บิ๊กฟิล’ปรับหมากเลือกดร็อปดาวซัลโวนิโก้ อเนลก้าและส่งดิดิเยร์ ดร็อกบาลงมาเป็นหอกเดี่ยวแทนโดยมีโจ โคลและฟร็อง มาลูด้ายืนขนาบข้างในระบบเดิม 4-3-3


รูปเกมในแมตช์นี้ฟูแล่มแม้จะไร้จอมทัพอย่างบุลลาร์ดแต่หมากที่รอย ฮอดจ์สันจัดมาสู้กับเชลซีนั้นถือว่าทำการบ้านมาดีมาก สถิติไม่แพ้ใครก่อนหน้านี้มี8เกม+คลีนชีตนอกบ้านมา4เกมติดถือว่าไม่ได้มาอย่างโชคช่วยหรือฟลุ๊คแต่อย่างใด หากแต่ผมมองว่าเกิดจากโครงสร้างของทีมชุดนี้ที่ฮอดจ์สันเลือกคนให้เข้ากับงาน&ระบบของทีมซึ่งถึงเวลานี้ ‘ทีมเจ้าสัว’เป็นหนึ่งในทีมที่ผมยกให้เป็น‘ทีมจอมเซอร์ไพรส์ ‘ประจำครึ่งฤดูกาลแรกเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากปราบทั้งอาร์เซนอล, บุกไปยันเสมอลิเวอร์พูลและล่าสุดตีเสมอเชลซีได้ในนาทีชี้เป็นชี้ตายแบบนี้พร้อมเสียประตูน้อยสุดรองจากสามบิ๊กทรีอีกด้วย

นักเตะหลายคนในทีมอย่างแดนนี่ เมอร์ฟีย์, บ็อบบี้ ซาโมร่า, ไซม่อน เดวี่ส์หรือพอล คอนเชสกี้เคยเป็นแค่ ‘ใครบางคน’ ที่ไม่ได้มีประโยชน์หรือคุณค่ามากมายอะไรกับอดีตต้นสังกัดของพวกเค้า...แต่ฮอดจ์สันซึ่งเจนจันในโลกลูกหนังมาอย่างยาวนานรู้ดีว่านักเตะเหล่านี้ต่างก็ต้องการที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเองในเวทีระดับพรีเมียร์ชิพ

หากสังเกตดูกันให้ดีจะเห็นว่านักเตะที่ฮอดจ์สันส่งลงเป็น11ตัวจริงแต่ละรายนั้นเป็นนักเตะประเภทสปิริตเลือดนักสู้สูงและไม่ใช่พวกซูเปอร์สตาร์สอบตกแต่อีโก้แรงเกินฝีเท้าเหมือนอย่าซันเดอร์แลนด์ที่มีดิยุฟ, ซิสเซ่ หรือชิมบงด้าเป็นตัวถ่วงของทีม ส่วนเชลซี ‘รองจ่าฝูง’ที่ใครหลายคนยกให้เป็นเต็ง2รองจากแมนฯยูไนเต็ดในซีซั่นนี้ช่วงต้นฤดูกาลออกสตาร์ตได้ ‘แหล่มมาก’ เกมรุกหวือหวาเกมรับแน่นปึ๊กไร้ที่ติ...ถึงนาทีนี้ปัญหาของพวกเค้านั้นเริ่มมากมายจนตกใจ การลงเล่นแบบขาดจอห์น เทอร์รี่ในแนวรับไม่ได้เพราะกองหลังเป๋ + ไร้ผู้นำในสนาม, กองกลางอายุแตะเลข ‘3’ หลายรายแถมนักเตะอย่างโอบี มิเกลต้องยืนพื้นเป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์มาคนเดียวตลอด (เพราะเอสเซียงเจ็บ) นักเตะอย่างเดโก้, บัลลัคหรือแลมพาร์ดอายุที่มากขึ้นทำให้หมดก็อกสองทำให้แดนกลางเร่งเกมช่วงท้ายไม่ค่อยขึ้นอย่างที่เคยเรียนไป, โจ โคลฟอร์มตกรูด ฯลฯ
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ยังไม่รวมความเคลือบแคลงใจในความสามารถของนักเตะเชลซีที่มีต่อหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่เพราะท้ายเกมผมแอบเห็น ‘บิ๊กฟิล’เดินไปบ่นริกกี้ คาร์วัลโญ่ตอนเกมจบคาดว่าคงไปถามเรื่องการประกบตัวว่าทำไมปล่อยให้คลินท์ เดมพ์ซี่ย์โหม่งตีเสมอได้

ทราบมั้ยครับภาพที่ผมเห็นกองหลังเลือดโปรตุกีสแสดงออกมาโดยอ่านจากปากแกได้ว่า ‘I don’t know’ (ผมไม่รู้) พร้อมเดินส่ายหัวจ้ำๆเข้าอุโมงค์นักเตะไปปล่อยให้อดีตโค้ชทีมชาติบราซิลยืนเซ็งๆสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ลูกทีมไม่ฟังแกแบบนี้

น่าสงสารและหวั่นใจแทนแฟนๆเชลซีไม่น้อยครับว่าจากนี้จะเรียกฟอร์มเก่งแบบในช่วงต้นฤดูกาลกลับมาได้อีกหรือไม่พรีเมียร์ฯเกมหน้าวันที่11มกราคมปีหน้าพวกเค้าต้องออกไปเยือนแมนฯยูฯที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดคาดว่าเราคงได้รู้ชะตา+ความเป็นไปคร่าวๆของทีมสิงห์บลูกัน...

Sunday 28 December 2008

Boxing Day at ‘The Lane’

"วันบ็อกซิ่ง เดย์" (26ธันวาคม) อาจจะเป็นแค่วันเปิดกล่อง ของขวัญอยู่กับบ้านสำหรับชาวอังกฤษ ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้คลั่งไคล้ หรือหลงใหล ในเกมลูกหนัง...แต่ก็มีอิงลิชชนอีก จำนวนไม่น้อย ทีเดียวครับ ที่ใช้โอกาสนี้ออกจากบ้านพาครอบครัว ไปชมเกมฟุตบอลที่พวกเค้า ติดตามเชียร์กันพร้อมหน้า พร้อมตาหลังจากใช้เวลาทั้งวัน อยู่กับบ้านในวันคริสต์มาส (25 ธันวาคม)

แฮร์รี่ เรดแนปป์กุนซือสเปอร์สก็เป็นอีกคนที่ได้คอมเมนต์ถึง วันพิเศษนี้ไว้ใน หนังสือโปรแกรมคู่สเปอร์ส VS ฟูแล่มที่ผมไปชมเกมมาว่า "Boxing Day is a traditional and something that fans always enjoy. It is a big day for the family."

บรรยากาศรอบๆสนามไวท์ฮาร์ท เลนเกมนี้บอกความพิเศษ ของเกมบ็อกซิ่งเดย์ได้เป็นอย่างดีครับ เพราะแฟนบอลทั้งของท็อตแน่มและ ฟูแล่มซึ่งส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ใน ลอนดอนต่างก็เดินทางมาชมเกมกันจน ความจุของสนาม36,000ที่นั่งแทบ ไม่มีที่ว่างให้เห็น+อุณหภูมิของเกมแม้จะเดือดพล่านเท่าคู่ปืนโต VS ตราไก่ที่ผมเคยไปชมมาไม่ได้แต่ศักดิ์ศรีของ London Derby Game อย่างที่รู้กันอยู่ครับไม่ว่าใครเจอใครก็สนุกและ ตื่นเต้นกว่าเกมพรีเมียร์ฯธรรมดาแน่นอน

แม้ว่าสุดท้ายเกมนี้จะจบลงแบบไข่ไม่แตกก็ตาม!
11ผู้เล่นของทั้งสองทีมเกมนี้ถือว่าเต็ม สตรีมจัดตัวหลักลงสนาม ทุกคนโดยทีมตราไก่เจ้าบ้านยังใช้ระบบ 4-5-1 มี "สากพันล้าน" ดาร์เรน เบนท์ยืนเป็นหอกเป้า ตัวเดียวโดยเรดแนปป์จัดลูก้า โมดริชที่ยิงมาสองเกมติดเป็น มิดฟิลด์ตัวรุกลงบัญชาการเกมใน สนามขณะที่ฟูแล่มขาดแค่เบรเด้ ฮันเกลันด์ปราการหลังตัวแกร่งนอก นั้นฟิตลงสนามทุกคน

สเปอร์สออกสตาร์ตเกมได้ค่อนข้าง ดีครับโดยเฉพาะกองกลางที่มีโซโกร่า-ฮัลเดิลสตัน-โมดริชยืนดูลงตัวและคุมเกมช่วง 20นาทีแรกไว้ในมือได้ทั้งหมดจนกระทั่งทอม ฮัลเดิลสตันเจ็บและคนที่ลงมาแทนคือเจอร์เมน จีนัสที่แฟนบอลไก่ทั้งไทย&เทศเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว เพราะลงมาไม่ค่อยจะมีคุณประโยชน์ต่อทีมสักเท่าไรแถมเกมนี้เพื่อนเค้าเล่นกันอยู่ดีๆ พอตัวเองได้บอลกลับจ่ายพลาดง่ายๆทำเอาทีมเสียเสียจังหวะไปไม่น้อยเหมือนกัน

ดาวเด่นของสเปอร์สในเกมนี้ผมยกให้ อัตซู-เอก็อตโต้ที่วันนี้มาด้วยทรงผมแอฟโร่บาดตาแต่ขัดใจแม่ยกเล่นเกมรุกและรับได้อย่างโดดเด่นไฉไล มากโดยวิงแบ็กหมอผีวิ่งเติมเกมริมเส้นทางฝั่งซ้ายได้สวยๆหลายครั้ง ในนาทีที่30เปิดบอลเข้ามาให้แอร่อน เลนน่อนวิ่งมาซัดเต็มเท้าบอลจะเสียบมุมอยู่แล้วแต่มาร์ก ชวาร์เซอร์ประตูเจ้าสัวเซฟได้อย่างเหลือเชื่อจนฝรั่งนักข่าวข้างหลังผมถึงกับอุทาน "What a Save what a save" ซ้ำไปซ้ำมาจนผมแอบรำคาญว่าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา ^^

ก่อนจบครึ่งแรกฟูแล่มที่วันนี้ยืน มาแพ็กหลังกันแน่นบุกได้เสียวบ้างเมื่อคลินท์ เดมป์ซี่กระโดดโอเวอร์เฮดคิกแต่ฮูเรลโญ่ โกเมสที่ท้ายเกม "ลุงจ่า" ถึงกับออกปากชมว่าเริ่มคุ้มค่า ตัวกระโดดเซฟได้สวยไม่น้อยหน้าชวาร์เซอร์เช่นกัน


ครึ่งเวลาหลังยังเป็นสเปอร์สที่บุกกดดันได้ตลอดแต่ฟูแล่มที่เกมเยือน4นัดหลัง (รวมแมตช์นี้เข้าไปด้วย) เสมอรวด0-0บ่งบอกความเป็น "ทีมจอมอุด" และปรัชญาการทำทีมของรอย ฮอดจ์สันได้เป็นอย่างดีสุดท้ายแม้จะมีจังหวะเสียวๆ กันอีกแต่ทั้งสองทีมก็ทำอะไรกันไม่ได้เสมอกันไป 0-0 โดยสเปอร์สอันดับยังน่าเป็นห่วงอยู่ที่16แต่คะแนนเท่ากับสโต๊คทีมอันดับ18 + ปัญหาความเฉียบคมในแนวรุก (Cutting Edge) ยิงไม่ได้ในเกมลีกที่ไวท์ฮาร์ท เลนมา3นัดติดแล้ว (แพ้เอฟเวอร์ตัน0-1, เสมอแมนฯยูฯ0-0 และเสมอฟูแล่ม0-0)

ส่วนข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสเปอร์สในตลาดนักเตะนาทีนี้ชื่อของเคร็ก เบลลามี่ดูจะมาแรงแซงทางโค้งมากที่สุดแม้ว่าข้อเสนอ6ล้านปอนด์ที่ยื่นให้เวสต์แฮมจะถูกปฏิเสธไปแล้ว...

แต่ผมเชื่ออยู่ลึกๆครับว่าหากสเปอร์สกล้าจ่ายเพิ่มเป็น7.5ล้านปอนด์ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่ทีมขุนค้อนไปสอยมาจากลิเวอร์พูล โอกาสที่ทีมตราไก่จะคว้าหัวหอกความเร็วสูงเลือดเวลส์มาเสริมทีมก็มีไม่น้อยเช่นกันเนื่องจาก "เดอะ แฮมเมอร์" สถานะด้านการเงินอยู่ในช่วงถังแตกและNeed เงินอย่างหนักนั่นเองครับ

Wednesday 24 December 2008

โอกาสทองของแมนฯยูฯ?

สะดุดขาตัวเองล้มอีกจนได้ ครับสำหรับเชลซี ของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่กลางดึกวันจันทร์ ที่ผ่านมาเมื่อทำได้แค่เสมอ กับเอฟเวอร์ตันที่กูดิสันน์ ปาร์คไป 0-0 ทั้งที่ก่อนเกมมีโอกาส ดีเหลือเกิน ที่จะฉกฉวย "โอกาส" ขึ้นเป็นจ่าฝูงแทนลิเวอร์พูล ที่ทำ ได้แค่เจ๊ากับอาร์เซนอล ไปเมื่อวันอาทิตย์

ตอนนี้ปัญหาของทีมสิงห์บลูผมว่าไม่ใช่เฉพาะ ความมั่นใจยามลงเล่นในบ้านตัวเอง อย่างเดียวแล้ว ละครับเพราะฟอร์มนอกบ้าน (นับเฉพาะในลีก) ที่เคยเป็น "จุดขาย" ชนะรวดมาตลอดตั้งแต่เดือน มีนาคมก็ถูกเบรกไปแล้ว เรียบร้อยท่ามกลางปัญหาอีกเป็นกระบุงตามมาทั้ง "ใบแดง" ของจอห์น เทอร์รี่ซึ่ง จะพลาดลงเล่น 3 เกมกับเวสต์บรอมวิช, ฟูแล่มและเซาธ์เอนด์

นอกจากนี้ผู้จัดการทีมอย่าง "บิ๊กฟิล" ก็มีโอกาสสูงเหลือเกิน ที่จะถูกลงโทษ จากสมาคมฟุตบอลอังกฤษเมื่อปรี่เข้าไปหาฟิล ดาวน์ในช่วงพักครึ่งและปากไวถามว่า "คุณไม่กลัวเหรอที่ไล่เทอร์รี่ออก ?" ซึ่งประเด็นนี้นอกจากจะถือเป็นการขู่แล้วยังเป็น การไม่ให้เกียรติผู้ตัดสิน+ขัดต่อแคมเปญRespect ของยูฟ่าที่รณรงค์กันมานานแบบเต็มๆ

เท่านั้นไม่พอหลังเกมกุนซือหนวดจิ๋มเลือด แซมบ้ายังทำตัวเพี้ยน หนักขึ้นไปทุกวัน ด้วยการไม่ยอมออกมาให้สัมภาษณ์ท้าย เกมซึ่งตรงนี้นักข่าวอังกฤษที่เดินทาง มาไกลถึงเมืองลิเวอร์พูลหลายคนถึง กับว่าเขียนเหน็บแนมว่า กุนซือเชลซีเป็น พวกขี้ขลาดตาขาวไม่กล้าตอบคำถามนักข่าว...

ประเด็นนี้จากประสบการณ์ตรงที่ได้ดูการให้สัมภาษณ์แบบสดๆ ใน "เพรสคอนเฟอเรนซ์" ของบิ๊กฟิลมาหลายต่อหลายครั้งผมรู้สึกเห็นใจ อดีตกุนซือทีมชาติบราซิลไม่น้อยครับ เพราะแต่ละเกมต้องโดน พวกนักข่าวฝีปากร้ายพากันยิงคำถามยากๆ ต้อนคนที่ไม่ได้ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ต้องจนมุมได้แต่นั่งยิ้มงงๆ หรือบางทีแกฟังได้ไม่เคลียร์เท่าไรแต่จากการที่เจ้าตัว พยายามสื่อสารออกไปก็ดันทะลึ่งไม่ตรงกับที่ใจคิดแบบเป๊ะๆ และหลายทีก็ถูกนำไปตีเป็นข่าว ที่บิดเพี้ยนทางความหมายและ ส่งผลต่อสถานการณ์ของทีมให้เลวร้ายแบบไม่จำเป็น

อย่างไรก็ดีแม้ผมจะเห็นใจกุนซือมาดชิวๆ ของเชลซีรายนี้แต่ส่วนนึงก็มองว่าแกพลาดพอสมควร ที่ไม่ส่งใครสักคน ออกมาตอบคำถามแทนเพราะการที่หายหัว กันไปหมดทั้งโค้ชและทีมงานแบบนี้ถือว่ายิ่งเป็นการตอกย้ำปัญหาภายในของ ทีมสิงห์บลูว่ามีมูลความจริงมากขึ้นทุกทีเพราะ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่านักเตะ ซีเนียร์ในทีมหลายรายอย่างจอห์น เทอร์รี่และแฟรงค์ แลมพาร์ดไม่ค่อยพอใจ วิธีการฝึกซ้อม ที่สบายจนเกินไป, ระบบ+ปรัชญาของทีมหรือความกังขาในตัวเดโก้ ที่หลายคนมองว่า มิดฟิลด์เล็กพริกขี้หนูรายนี้เป็น "เด็กเส้น" ในทีมเล่นไม่ดีแต่ก็ไม่โดนเปลี่ยนออก ฯลฯ

ส่วนกรณี "ย่ำอก" ของอเล็กซ์ภาพช้าที่ออกมา ถือว่ามีสิทธิ์ถูกแบนย้อนหลัง เยอะมากและหากเอฟเอเอาผิดขึ้นมาจริงๆ ปัญหาของทีมรองจ่าฝูง จะเข้าขั้นวิกฤติเลยทีเดียว เพราะกองหลังจะขาดทั้งเทอร์รี่, อเล็กซ์และริกกี้ คาร์วัลโญ่ที่ยังเจ็บโดย เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจะเหลือเพียงบรานิสลาฟ อิวาโนวิช เพียงคนเดียวซึ่งไม่เพียงพอแน่นอน สำหรับโปรแกรมหนักช่วง "บ็อกซิ่ง เดย์" ลากยาวไป จนถึงต้นปีหน้า ไอ้การจะหวังลุ้นให้แข้งเชลซีงัด ฟอร์มดุออกมาเหมือนอย่างในช่วง ต้นฤดูกาลก็คงเป็นเรื่องยากเพราะอย่าลืมครับว่าช่วงนี้ "โมเมนตัม" ของทีมสิงห์บลูเริ่มกู่ไม่กลับแล้วอีกทั้ง Winning Mentality ที่เคยฝังรากอยู่ใน จิตวิญญาณนักเตะเชลซีชุดของโจเซ่ มูรินโญ่และอัฟรัม แกรนต์ก็เริ่มเจือจางและเหือดแห้งไปตามเวลา ชั่วโมงนี้จึงไม่มีทีมไหนที่จะแฮปปี้ ดิ๊ด๊ามากไปกว่าแมนฯยูไนเต็ดของป๋าเฟอร์กี้แล้วละครับ เพราะก่อนหน้าที่จะไปเตะบอลสโมสรโลกที่ญี่ปุ่นหลายๆ ฝ่ายเกรงกันว่าทีมผีแดง จะถูกทำแต้มทิ้ง ห่างออกไปไกล เมื่อกลับมาเล่นในเกม "บ็อกซิ่ง เดย์" อีกทีกับสโต๊ค ซิตี้วันที่ 26 ธันวาคมนี้

ที่ไหนได้ "บิ๊กทีม" ที่เหลือดันหยิบยื่นของขวัญวันคริสต์มาสอันล้ำค่าให้ทีม "แชมป์เก่า" ซะอย่างนั้น...อันนี้ต้องมาดูกันครับว่านักเตะปีศาจแดงจะฉกฉวยโอกาสเก็บ 6 คะแนนเต็มจาก 2 เกม ที่มีอยู่ในมือในการเจอสโต๊คและโบโร่ได้หรือไม่?

Tuesday 23 December 2008

หงส์จะไม่ได้แชมป์เพราะขาด "Killer Instinct"

แฮปปี้ซันเดย์"...ลมเย็น ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ของบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเดินทางไป สนามฟุตบอลทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน ที่ทั้งใหญ่โต, สวยงามและเพียบพร้อมไป ด้วยสิ่ง อำนวย ความสะดวก มากมาย อย่างเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมของ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซนอล

Wi-fi เร็วจี๊ด, อาหารของ Press ก็อร่อย ทุกอย่างสะอาด สะอ้านแถมรีเซฟชั่นเป็นกันเองนิสัยดี ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้ง ที่ได้มาสนามแห่งนี้ แม้มันจะเป็นสนามของทีมคู่ปรับตัว ฉกาจของทีมสุดโปรดผมก็เถอะ
การมาครั้งนี้สิ่งนึงที่แปลกตาไปก็คือ การแต่งตัว ของเจ้าหน้าที่และสตาฟฟ์ของทีมปืนโต ที่หันไปทางไหนก็มีแต่สีแดงให้เห็นเนื่องมาจากเทศกาลคริสต์มาสที่มีขึ้นในเร็ววันนี้นั่นเองครับ : )


นอกจากนี้อาร์เซนอลก็ยังได้จัดแคมเปญ "Be a Gooner. Be a Giver" ซึ่งเป็นโครงการที่สโมสรทำกิจกรรมเพื่อการกุศล ให้แก่ "Teenage Cancer Trust" หรือมูลนิธิที่ดูแลช่วยเหลือเด็กวัยรุ่นที่ป่วยโรคมะเร็งทั่วประเทศอังกฤษ โดยงานนี้พวกไดเรกเตอร์และนักเตะได้สละ "ค่าเหนื่อย" รวมกันได้ 300,000 ปอนด์เพื่อเป็นเงินสมทบทุนช่วยเหลือ โครงการนี้ให้มีเงินทุนนำไปดูแลน้องๆผู้ป่วยต่อไป ซึ่ง "ทีเด็ด" ที่ผมติดใจและอยากให้ลองไปหาดูก็คือหนังโฆษณาสั้นของโครงการที่ชื่อ "Do what I Say" นั้นฮามากเมื่อนักเตะปืนโตต้องรับบทเป็น "เบ๊" รับใช้พวกเด็กๆมีทั้งเป็นพนักงานต้อนรับ ช่างทาเล็บยันกะเทยใส่วิก! ยังไงลองเข้าไปดูที่เว็บไซต์ www.beagoonerbeagiver.org กันเองแล้วกันนะครับเพราะผมคงเล่าได้ไม่ฮาเท่าดูของจริง

ความสลักสำคัญของเกมนี้อย่าง ที่ทราบกันดีนะครับว่ามีความหมาย ต่อทั้งสอง ทีมเหลือเกิน...อาร์เซนอลนั้นแพ้ไปแล้วถึง 5 ครั้งในซีซั่นนี้แต่การเอาชนะได้ทั้งแมนฯยูฯและเชลซี ทำให้พวกเค้ายังมีลุ้นกับการ "คัมแบ็ก" กลับสู่เส้นทางการลุ้นแชมป์อีกครั้งหากปราบลิเวอร์พูล ซึ่งเกมนี้ไร้เงาของราฟาเอล เบนิเตซผู้จัดการทีมคนเก่ง ที่พักรักษาตัวการผ่าตัดนิ่วอยู่ที่บ้านแต่ก็ "โฟนอิน" สั่งการแซมมี่ ลีและสตาฟฟ์อยู่ตลอด
เกมนี้ปืนใหญ่อาร์เซนอลขาดแค่ "นักเตะสตั๊ดชมพู" นิคลาส เบนด์ทเนอร์กองหน้าสำรองของ ทีมซึ่งไม่ได้กระทบ ทีมมากนักเนื่องจากฝีเท้าแค่เกรดบีแต่ความเด่นของรองเท้าเอาไปเลย A+ ส่วนลิเวอร์พูล "จ่าฝูง" เกมนี้นอกจากขาดผู้จัดการทีมสั่งการ ข้างสนามแล้วข่าวร้าย ยิ่งกว่าก็คือเจ้าลูคัส เลว่าได้ลงเป็นตัวจริงแทนฮาเวียร์ มาสเคราโน่ที่เจ็บซึ่งตรงนี้แฟนหงส์น่าจะเซ็งอารมณ์ยิ่งกว่าขาดผจก.เสียอีก (ฮา)


แม้จะเสียประตูไปก่อนจากลูกยิงที่การจับ, พลิก และปล่อยบอลออกจากเท้าชอตนี้ของ "โรบิน เดอะ แมน" ฟาน เพอร์ซี่ ถือว่าเวิลด์คลาสสุด ๆ แต่ เกมโดยรวม "หงส์แดง" ถือว่าไม่ได้เป็นรองเจ้าบ้านสักเท่าไร และเกมนี้จังหวะบอมบ์ยาวเข้ามาถือว่าได้ผลหลายครั้งเพราะแผงหลังอาร์เซนอลยืนกันค่อนข้างสูง... ในที่สุดกำแพงแนวรับของทีมปืนโตก็พังจนได้เมื่อร็อบบี้ คีนที่ค่อนข้างเงียบอาศัยจังหวะ "แขกดอย" จับบอลเด้งดึ๋ง ๆ หนึ่งทีก่อนซัดเปรี้ยงเต็มแรงบอลพุ่งวาบเข้าสามเหลี่ยมไปแบบที่แฟนบอลและ นักเตะหงส์แดงเองคงช็อกว่าคีนน้อยยิงเข้าไปได้ยังไง เพราะฟอร์มโดยรวมของเจ้าตัวยังถือว่า "ห่วย" และลูกขยันที่พยายามแสดงออกมาก็ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์ต่อทีมสักเท่าไรนัก

หลังตีเสมอได้ก็เป็นขุนพลเรด แมชีนครับที่เหนือกว่าเจ้าบ้านค่อนข้างเยอะก่อนหมดครึ่งแรกน่า จะแซงขึ้นนำได้ด้วยจากสองจังหวะของเจอร์ราร์ดและเดิร์ก เคาท์ ทว่า "หงส์แดง" ที่ผมถือว่าเล่นได้ดีมาตลอดตั้งแต่เปิดเกมก็เล่นได้ "น่าด่า" อย่างยิ่งครับหลังจากที่ได้เปรียบเรื่องตัวที่มีมากกว่าหนึ่งคน

ช็อตโดนไล่ออกของเอ็มมานูเอล อเดบายอร์นั้นขออนุญาตไม่หยิบยกมาพูดแล้วกันนะครับ เพราะว่าหากใครดูบอลเป็นก็คงรู้ว่าจังหวะหันหลังให้บอล และกางแขนกันแบบนี้ยังไงก็ถือเป็นการเล่นที่ "แฟร์" หาไม่แล้วลูกแบบนี้หากถือเป็นการฟาวล์ในเกมอื่น ๆ ละก็ เราคงไม่ได้เห็นมาร์ค วิดูก้าหรืออลัน เชียเรอร์ซึ่งขึ้นชื่อในการบังบอลแล้ว กลับตัวยิงซัดประตูกันถล่มทลายในอดีตเป็นแน่! (งานนี้ต้องให้เครดิตแบ็กหงส์ขี้สำออยและ กรรมการตาถั่วครับไม่อย่างนั้นใบเหลืองแบบนี้คงไม่เกิด)

อย่างไรก็ดีการที่ลิเวอร์พูลมีตัวผู้เล่นมากกว่า พวกเค้าก็ไม่ได้แสดงความกระหื่นกระหาย ที่จะเอาชนะเพื่อเก็บ 3 คะแนนเข้ากระเป๋าเลยซึ่งถึงตรงนี้แม้จะยังนำเป็น "จ่าฝูง" อยู่ เนื่องจากขณะที่ผมเขียนงานชิ้นนี้เชลซียังไม่ลงเตะกับเอฟเวอร์ตันแต่ผมเชื่อมั่นสุด ๆ ครับว่าถึงวันนี้เชลซีจะไม่ชนะเอฟเวอร์ตันและแซงหงส์แดงขึ้นนำจ่าฝูงไม่ได้ แต่ก็คงอีกไม่นานเกินรอ ครับที่ยอดทีมจากเมอร์ซีย์ ไซด์จะต้องถูกถีบลงจากบัลลังก์แน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ คอมเฟิร์ม!

ส่วนอาร์เซนอลการที่พวกเค้าไม่แพ้ในวันนี้ถือว่าน่าชมเชยเพราะการเล่น 10 คนร่วม ๆ ครึ่งชั่วโมงกับทีมระดับท็อป แล้วไม่เสียประตูแถมโชว์ความมุ่งมั่นที่มีมากกว่าให้เห็นนั่น ต้องบอกว่าพวกเค้ามีนักเตะและกุนซือที่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แม้ว่าทีมปืนใหญ่ในสายตา ผมปีนี้ยังเป็นทีมที่ไม่คู่ควรกับแชมป์ก็ตามเนื่องจากทำหมูหกบ่อยครั้งเกินไป

บทสรุปของเกมนี้ระดับความมันส์ยกให้เป็นเกมระดับ 5 ดาวเพราะดีกรีความร้อนแรง ทั้งในและนอกสนามจัดได้ว่า "ดุ" สุด ๆ ยิ่งช่วงหลังจากที่ฮาวเวิร์ด เวบบ์ไล่กองหน้าก้านยาวเลือดโตโกออกแล้ว แฟนปืนใหญ่ "โห่" ไม่ยอมรับคำตัดสินของกรรมการได้ดังสนั่นและน่าขนลุกมาก ในสนามนักเตะปืนโตก็เกือบจะควบคุม อารมณ์ไว้ไม่อยู่หลายจังหวะเช่นกันซึ่ง 6 ใบเหลืองกับอีก 1 ใบแดงน่าจะบอกเรื่องราวทุกอย่างได้ดี...

สถานการณ์ของทั้งสองทีมในเวลานี้ผมถือ ว่าลิเวอร์พูลเสียหายพอสมควรที่ทำได้แค่เสมอ ทั้งที่ดวงดีมีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งคนใน ช่วงเวลาเหลือเฟือที่น่าจะปิดบัญชีเจ้าบ้านได้แต่ก็ Lack of killer instinct หรือไม่มี "สัญชาตญาณนักฆ่า" ซึ่งตรงนี้จะมีผลต่อการลุ้นแชมป์ใน บั้นปลายของทีมอย่างแน่นอน

ขณะที่ "เดอะ กันเนอร์ส" เกมหน้าต้องออกไปเยือนแอสตัน วิลล่าในวัน Boxing day (26 ธันวาคม) ซึ่งจะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของ ทีมครับว่าลูกทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ที่มีดีพอที่จะยืนหยัดเป็นหนึ่งในสี่อรหันต์ "บิ๊กโฟร์" อยู่อีกหรือไม่เนื่องจากหากพลาดท่าเสียทีขึ้นมา นอกจากจะโดนทีมสิงห์ผงาดทิ้งไป 6 คะแนนแล้ว "ความมั่นใจ" ซึ่งเป็นปัญหาหลักของทีมอ่อนประสบการณ์ชุดนี้น่าจะ "ร่วง" ยิ่งกว่าตลาดหุ้นในอเมริกา และเผลอๆเวนเกอร์อาจจะถอดใจลาออกไปคุมเรอัล มาดริดอย่างที่ตกเป็นข่าวตอนจบฤดูกาลก็ได้
อันนี้แฟนปืนต้องตามข่าวกันให้ดี ๆ อย่าให้คลาดสายตา!

Thursday 18 December 2008

Welcome back "บิ๊กแซม!"

โดนเด้งไปตามคาดครับสำหรับกุนซือ เลือดผู้ดีผิวสีคนแรกของพรีเมียร์ชิพอย่างพอล อินซ์ หลังผลงานของ "กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์นกลายเป็นกุหลาบเฉาในช่วงหลัง 11 นัดไม่ชนะใครเลยแถม6นัดหลังสุดก่อนโดนปลดแพ้รวด ทีมหล่นไปอยู่รองบ๊วยสถานการณ์ ล่อแหลมต่อการร่วงตกชั้นเหลือเกิน

แปลกแต่จริงนะครับเพราะซีซั่นก่อนทีม กุหลาบไฟ ยังโชว์ฟอร์ม ได้แข็งแกร่งอยู่เลยทีมใหญ่ๆเจอเป็นหนาว +จบอันดับที่7ด้วยภายใต้การคุมทีม ของอดีตฮีโร่ผีแดงอีกคนอย่างมาร์ค ฮิวจ์สซึ่งภายหลังชิ่งไปนอนบนกองเงิน กองทองของเศรษฐีจากอาบู ดาบีแต่ถึงตรงนี้ยัง "สอบไม่ผ่าน" เช่นกันในชายคาซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์

การเข้ามาของอินซ์หลังจากพาทีมเล็กๆอย่างแม็คเคิลส์ฟิลด์ ทาวน์และเอ็มเค ดอนส์ประสบความสำเร็จน้อยนิด (เพราะความจริงยังไม่ได้พิสูจน์ฝีมืออะไรมากมาย) แต่จากการที่ชื่อเสียงเก่าๆสมัยเป็น นักเตะพอขายได้จึงบุญพาวาสนาส่ง ได้รับความไว้วางใจจากท่านประธานจอห์น วิลเลี่ยมส์ให้พาทีมลงฟาดฟันกับเหล่ากุนซือเสือ สิงห์ กระทิงแรดในพรีเมียร์ฯ + ประสบการณ์นั้นเชี่ยวกว่าอดีตดาวเตะ ผีแดงเยอะผลเลยออกมาอย่างที่เห็น

อินซ์จึงกลายเป็น "เหยื่อ" รายล่าสุดของกุนซือหนุ่มที่ผันจากนักเตะ มาเป็นกุนซือทั้งที่ยังไม่พร้อมที่โดนปลดออกไปต่อจากรอย คีนอดีตกุนซือซันเดอร์แลนด์ที่พาทีม แมวดำผลงานดิ่งลงเหวแม้ว่าจะSpend เงินไปถึง70ล้านปอนด์ก็ตามในช่วงสองซีซั่นที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามในเคสของอินซ์ผมมองว่า "น่าเห็นใจ" มากกว่ารอย คีนเยอะเพราะว่ามาคุมทีมปุ๊บสองกำลังหลักของทีมอย่างแบร๊ด ฟรีเดลและเดวิด เบนท์ลีย์ก็ถูกขายออกไปเลยที่สำคัญเงิน 20ล้านปอนด์ที่ขายนักเตะได้ก็ไม่ได้ถูกนำมาเสริมทัพให้มันดีขึ้น (ผมไม่ขอนับพอล โรบินสันและร็อบบี้ ฟาวเลอร์ที่ย้ายเข้าในช่วงที่เลย "จุดพีก" ตัวเองไปแล้ว)

ฉะนั้นจังหวะการเข้ามาคุมทีมของอินซ์จึงถือว่า "เสี่ยง" ตั้งแต่ต้นเพราะเข้ามาในช่วงที่ถือว่า สโมสรกำลังกระเป๋าแห้งแต่ สโมสรดันเลือกคนอ่อนประสบการณ์มาคุมทีม งานนี้ "แพะตัวจริง" ผมขอชี้ไปที่จอห์น วิลเลี่ยมส์ครับโทษฐานที่เลือกกุนซือ ไม่เข้ากับสถานการณ์ของทีม

แต่น่าเสียดายครับว่าประธานสโมสร นั้นก็เปรียบได้กับเจ้าของกิจการ... ทำผิดก็ถือว่าไม่ผิดและหากตัดสินใจพลาดก็แค่ "หาแพะ" มารับเคราะห์ไปเรื่องก็จบง่ายเหมือนในกรณีของอินซ์นี่แหละ

ส่วนข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดของ กุนซือใหม่แบล็คเบิร์นเนี่ยในที่สุด ก็ได้ประกาศกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า "บิ๊กแซม" แซม อัลลาร์ไดซ์จะเข้ามากู้วิกฤติในถิ่นอีวู้ด ปาร์คเป็นที่แน่นอนหลังจากปล่อยให้หลายฝ่ายคาดเดากันอยู่ไม่ถึง24ชั่วโมง

งานนี้ถือว่าจอห์น วิลเลี่ยมส์ปฏิบัติการเดินเรื่องได้เงียบ+รวดเร็วกว่าไนออล ควินน์ประธานซันเดอร์แลนด์มากเพราะก่อนหน้านี้อย่างที่เห็นข่าวกันอยู่ว่าเป็นซันเดอร์แลนด์ ที่ติดต่อกับบิ๊กแซมก่อนแต่สุดท้ายเป็นทีมกุหลาบไฟที่ตัดหน้าคว้าบิ๊กแซมไปได้สำเร็จ ฉะนั้นชอยส์ของซันเดอร์แลนด์นับจากนี้ก็จะเหลือน้อยลงแล้ว ซึ่งโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเองเพราะไม่รีบตัดสินใจยื่นข้อเสนอ ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวผิดกับแบล็คเบิร์นที่ปลดอินซ์ไปคืนวันอังคารและสอยอัลลาร์ไดซ์ได้ในวันรุ่งขึ้น

อย่างไรก็ดีก่อนหน้าที่จะมีการแต่งตั้ง อัลลาร์ไดซ์ขึ้นแทบทุกสื่อที่อังกฤษเทน้ำหนักไปทางแกรม ซูเนสส์ซะเยอะครับแต่ทว่า เป็นอดีตกุนซือหนวดหินที่ออกมาประกาศ ไม่ขอหวนกลับไปคุมทีมเก่าที่เค้าเคยคุมอยู่เมื่อปี 2000-2004

ขณะที่ "บิ๊กแซม" อดีตกุนซือนิวคาสเซิลและโบลตัน ที่ว่างงานมาตั้งแต่มกราคมปีที่แล้ว ก็กำลังกระสันอยากแก้มือหลังทำผลงานได้ไม่แจ่มในถิ่นเซนต์เจมส์ ปาร์ค+คงทนกลิ่นสาปลูกหนังไม่ไหวมีข่าวไป ทั่วทั้งกับซันเดอร์แลนด์และล่าสุดกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส

และสุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดด มาคุมทีมแบล็คเบิร์นแบบสายฟ้าแลบได้อีก !

ส่วนตัวผมยังเชื่อนะครับว่าการ กลับสู่วงการในครั้งนี้อัลลาร์ไดซ์จะไม่สอบตกรอบ2 อย่างแน่นอนเพราะ8 ปีกับโบลตันแสดงให้เห็นกันไปแล้วว่าเจ้าตัวเหมาะสมขนาดไหน ที่จะคุมทีมเล็กๆซึ่งไม่ได้มีความคาดหวังสูงจนเกินตัวแบบนิวคาสเซิล

จากนี้จับตามองทีมกุหลาบไฟกันให้ดีละกันครับ ผมว่าพวกเค้าจะมีพัฒนาการเขย่งก้าวกระโดดได้พอๆกับสเปอร์สหลังได้แฮร์รี่ เรดแนปป์มาคุมทีมเลยล่ะ

เชื่อไม่เชื่ออันนี้อยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละคนนะครับแต่เสาร์นี้พวกเค้าเล่นในบ้านพบสโต๊ค ซิตี้ซึ่งผมว่าจะไปแทงแบล็คเบิร์นรอไว้เลยเพราะว่าได้เงินชัวร์ อิอิ

Tuesday 16 December 2008

จุดอ่อนของเชลซี ?


หลังจากติดต่อกันมาทางอินเตอร์เน็ตได้สักระยะ ในที่สุดผม ก็ได้เจอหน้าเจอตา "นาฬิกาทราย" นักข่าวคิกออฟ รายล่าสุดที่มาประจำการที่อังกฤษต่อจากรุ่นของ "เฮียไข่มุกดำ" และพี่ "ใหม่ โมบาย" ซึ่งได้กลับไทยไปก่อนหน้านี้ซักระยะแล้ว หลังๆ จึงเหลือแต่ผม ซึ่งเป็นหัวเดียวกระเทียบลีบอยู่ที่นี้ก็ดีครับที่จะได้มี "คู่ขา" คนใหม่เสียทีหลังจากเหงาเปล่าเปลี่ยวมานาน
นั่นแน่...แอบรู้นะว่าคิดลึกกันอยู่ : p
"คู่ขา" ที่ว่านี่ผมหมายถึงคู่หูในการ ทำข่าวครับ (ไม่ใช่หนุ่มฟ้าผ่านะตัวเอง) เพราะจากนี้เราสองคนจะได้แยกย้ายกันไป เก็บตกภาพ+บรรยากาศพร้อมด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจสดๆ จากขอบสนามมาให้ท่าน ผู้อ่านได้เห็นแง่มุมที่ต่างออกไป รวมไปถึงเก็บตกหลังเกมหรือ บางช่วงที่พวกเราหมดมุกก็คงมีแซมๆ เรื่องไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต สถานที่ท่องเที่ยวมาให้ได้อ่านกันหลังจากคอลัมน์ London Conner ของผมหายหน้าไปนานเพราะคนเขียนมัวแต่ยุ่งจนไม่มีเวลาออกไปชิวเที่ยวเตร่นอกบ้าน ในช่วงหลังแต่รับประกันครับว่าหลังจากนี้จะคัมแบ็กกลับมาแน่นอน คอมเฟิร์ม !
กลับมาที่เรื่องการนัดพบของผมและ "วิด นาฬิกาทราย" กันต่อ...เรานัดเจอกันที่สถานี Victoria ตอนบ่ายสองครึ่ง เรื่องของเรื่องที่ได้เจอกันในวันนี้ก็คือเจ้าวิดขึ้นมาเอาบัตรนักข่าว ที่อยู่กับผมเพราะว่ารุ่งขึ้นมีคิวต้องไปชมเกมปอมปีย์ VS สาลิกาดง จากนั้นผมก็ลากน้องใหม่ ของเราไปประเดิมอาหารมื้อแรกในลอนดอน ให้เจ้าตัวด้วยร้านจีนอันเลื่อง ชื่อในหมู่คนไทยอย่าง "ไอ้เลว"
วิดถามผม "ทำไมต้องเรียกร้านไอ้เลวด้วยพี่" (จริงๆ ผมแก่กว่าปีเดียว แต่วิดเรียกพี่ แม้ผมจะหน้าอ่อนกว่าเยอะก็ตาม ฮา) ผมบอกไป "เดี๋ยวรู้" ยังไม่ขาดคำอาหารที่เราสั่ง ไปก็มาครับ เด็กเสิร์ฟ กระแทกจานลง มาที่โต๊ะ ซึ่งคาดว่าวิด น่าจะตกใจ (แต่เก็บอาการ) ผมเลยถามไปว่า "รู้ยังว่าทำไม" เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบครับ เพราะคงถึงบางอ้อไปเรียบร้อย อิอิ

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเด็กเสิร์ฟมารยาทไม่ดี (ทั้งในแง่การพูดจาที่ห้วนๆ และการกระทำที่โผงผางเสียงดัง) แต่ยอดลูกค้าก็ยังแน่นสม่ำเสมอ คืออย่างนี้ครับผมมองว่าร้าน "ไอ้เลว" หรือ "Wongie" เนี่ยมีจุดเด่นในตัวเองหลายอย่าง...หนึ่งอาหารที่ทางร้าน ให้ลูกค้าจัดว่าเยอะมากๆ แถมรสชาติก็โอที่สำคัญคือราคาถูกมากอาหารจานเดียวตกประมาณ 4 ปอนด์เศษๆ เท่านั้น สอง Location ของร้านอยู่ในฮวงจุ้ยที่แหล่มเพราะเดินเลี้ยวจากถนนเส้นหลักมาก็เจอเลย และประการสุดท้ายคือคนที่มาอังกฤษเป็น ครั้งแรกหรือเพิ่งมาจะอยากรู้อยากลองว่า "เลวยังไง" แบบที่ครั้งนึงผมก็โดน "ใหม่ โมบาย" พามาเปิดซิงอาหารจีนที่ร้านนี้เพราะความอยากรู้นี่แหละ !?
เล่าเรื่องนอกสนามกันพอเป็นพิธีแล้ววกเข้าเรื่องฟุตบอล ที่ผมไปชมมาเมื่อวันอาทิตย์กันบ้างดีกว่าเนอะ ^_^

วีกเอนด์ที่ผ่านมาหลังย้ายบ้านจัดของเสร็จ ผมก็รีบตรงดิ่งไปสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์เพื่อชมเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์ระหว่างเชลซี-เวสต์แฮมโดยที่ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งสำหรับพลพรรคสิงห์บลูที่จะ ทำแต้มแซงจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลหากว่าเก็บชัยในนัดนี้ได้
ก่อนเกมนี้โดยส่วนตัวเชื่อมั่นครับว่าทีมสิงห์บลูน่าจะเก็บสาม คะแนนแบเบอร์เข้า กระเป๋าเพราะจันทร์ก่อน ที่ไปดูเวสต์แฮมลงเล่นในอัพตัน ปาร์คพวกเค้าแพ้แบบหมด รูปต่อสเปอร์สไป 0-2 เกมนี้ออกไปเยือนด้วยจึงไม่น่ารอดสันดอนด้วยประการทั้งปวง

อย่างไรก็ดี "ผลการแข่งขัน" ที่ปรากฏออกมามันไม่เป็นอย่างที่หลายคนคิด เมื่อพวกเค้าทำได้แค่เสมอ เวสต์แฮมไป 1-1 ตอกย้ำ "ปัญหา" ฟอร์มในบ้านที่ตอนนี้ชักจะกลายเป็น ปัญหาลุกลามใหญ่โตมากขึ้นทุกวัน

เกือบตลอดทั้งเกมนะครับที่ลูกทีมของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ทั้งบุกทั้ง นวดเวสต์แฮมอยู่นานสองนานแต่จังหวะทีเด็ดทีขาดนั้นไม่มี + โชคร้ายมาเสียประตูไปก่อนจากการโต้กลับ แทบจะ ครั้งเดียวในครึ่งแรกของเวสต์แฮมและเป็นเคล็ก เบลลามี่ที่เกมนี้ "ดีด" มากวิ่งไม่มีหมดยิงอัดเสาแรกเข้าไปอย่างเด็ดขาด

จากนั้นครึ่งเวลาหลัง "บิ๊กฟิล" ตัดสินใจส่งดิดิเยร์ ดร็อกบาลงมาเป็นหอกคู่พร้อมกับนิโก้ อเนลก้าดาวซัลโวของลีกและยิงได้เร็วครับเพราะเล่นไปได้ 6 นาที ก็ตามตีเสมอได้จากการประสานกันสามจังหวะจากมิเกล-ดร็อก-แลมพาร์ดแล้วส่งต่อให้อเนลก้าวิ่งมาปิดบัญชีเข้าไป ตามสไตล์อย่างไรก็ดีหลังจากนั้น พวกเค้าบุกแทบตาย แต่ไม่มีปัญญายิงทีมเยือน ซึ่งเกมนี้ผมเห็นได้ชัดว่า "จุดอ่อน" สิงห์บลูชุดนี้นอกเหนือจากความมั่นใจยามเล่นในบ้านแล้ว แผงมิดฟิลด์ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่หลายคนอาจยังมองไม่เห็นหรือไม่ได้สังเกต

กองกลางเชลซีชุดนี้หากดูรายชื่อ 11 คนแรก ที่ส่งลงมาเดโก้, บัลลัค, แลมพาร์ดและโอบี มิเกล สามรายแรกถือว่าอายุอานามแตะเลข 3 กันแล้วขณะที่จอห์น โอบี มิเกลแม้อายุน้อยแต่อย่าลืมว่าลงเล่นมาแทบทุกเกมให้ทีมฉะนั้นความล้า ความเหนื่อยอ่อนเริ่มจะเข้ามามีเอฟเฟกต์ทำให้แดนกลาง Spark หรือเร่งกันไม่ค่อยจะ ขึ้นในช่วงหลังซึ่งตรงนี้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเคยหยันทีมเชลซีชุดนี้เอาไว้แล้ว ว่าเป็นทีมที่อายุโดยเฉลี่ย ค่อนข้างสูงหากเทียบกับทีม ที่มีลุ้นแชมป์อยู่ด้วยกัน

ส่วนปัญหาเมนหลักอย่างฟอร์มในบ้านจากที่เคยแข็งแกร่งและ ยากที่จะเสียท่าให้ใครถึงเวลานี้เชื่อว่า ทีมที่มาเยือนไม่ได้เกรงกลัว พวกเค้าเหมือนอย่างเคยแล้ว...ที่สำคัญสภาพจิตใจ ของนักเตะเชลซีเอง ที่กดดันและพลาดกันไปเองอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับทีมชุดนี้

นี่แหละครับอะไรที่ว่าแน่ๆ ก็ชักจะไม่แน่แล้ว สำหรับพรีเมียร์ชิพปีนี้ "บิ๊กโฟร์" ทุกทีมต่างก็มีปัญหาแตกต่างกันไป... กุนซือทีมไหนรู้ตัว + แก้ปัญหาได้ถูกจุดก่อน ทีมทีมนั้นน่าจะมีโอกาสเป็นแชมป์ในบั้นปลายสูงที่สุด


Tuesday 9 December 2008

นิราศอัพตัน ปาร์ค

สองอาทิตย์นับจากนี้คอลัมน์ Viva Londonของผมอาจจะหายหัวไปบ้างนะครับเนื่องจาก‘งานเข้า’ช่วงเบจเพศอยู่ดีๆก็มีเกณฑ์ต้องย้ายที่อยู่แบบสายฟ้าแลบเลยต้องตระเวนดูบ้าน + เรียนไปด้วยทำให้มาพบกันได้แค่3วันในช่วงนี้

อย่างไรก็ดี...คิดว่าอีกไม่นานครับทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง: )

วันจันทร์ที่ผ่านมาชีพจนลงเท้าหนุ่มหัวฟูอย่างผมอีกครั้งเพราะได้เดินทางไปดูทีมโปรดอย่างน้องไก่เตะกับขุนค้อนเวสต์แฮมที่ย่าน East Londonบรรยากาศก่อนเกมนี้จะเริ่มนั้นแฟนเวสต์แฮมรวมตัวกัน ‘บิ๊ว’อารมณ์ให้พลุพล่านรอบดึกด้วยการตักสุราส่งเสียงร้องเพลงเชียร์ ‘I’m forever blowing bubble’กันลั่นผับThe Queensสถานที่เชียร์บอลสำหรับแฟนเวสต์แฮมรุ่นเดอะที่ขืนเด็กไก่อย่างผมสะเออะใส่เสื้อทีมตราไก่เข้าไปละก็มีหวังได้รับประทานยำปลาTeenฟรีแน่ ^^

ไม่เฉพาะบรรยากาศนอกสนามหรอกนะครับที่มาคุและดุเดือดเลือดพล่านทว่าในสนามดีกรีความร้อนแรงของลอนดอนดาร์บี้แมตช์ครั้งนี้ก็สูงปรี๊ดและได้อารมณ์การเชียร์บอลไม่แพ้ครั้งที่ผมไปชมเกมอาร์เซนอล VS สเปอร์สที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมเมื่อเดือนก่อนเลยละ

ส่วนผลการแข่งขันอย่างที่คงทราบกันไปได้2วันแล้วว่าทีมตราไก่เป็นฝ่ายบุกไปยัดเหยียดความปราชัยให้ทีมของจิอันฟรังโก้ โซล่าได้ถึงอัพตัน ปาร์ค 2-0ทั้งที่สัปดาห์ก่อนเวสต์แฮมพึ่งจะหักปากกาเซียนทุกสำนักด้วยการยันเสมอลิเวอร์พูลได้0-0แถมเล่นได้อย่างไม่เป็นรองเท่าไรด้วย ก่อนเกมนี้แฟนบอลรวมทั้ง ‘สื่อ’อย่างผมจึงประเมินทีมขุนค้อนไว้ค่อนข้างสูงและไม่คิดว่าพวกเค้าจะหมดฟอร์มได้ขนาดนี้ในวันที่ ‘โมเมนตัม’น่าจะอยู่ที่เจ้าบ้านมากกว่าทีมเยือน (เกมก่อนสเปอร์สพึ่งโดนพลพรรคเอฟเวอร์โตเนี่ยนบุกมาสอยคาบ้าน 0-1)
โอกาสในครึ่งแรกของทั้งสองทีมถือว่าสูสีและบี้กันได้ค่อนข้างสนุกครับ เจ้าบ้านมีโอกาสสองจังหวะที่หวังผลได้จากเคร็ก เบลามี่แต่ทว่าหอกตีนจรวดไม่เน้นพอยิงหลุดกรอบออกไปหมดขณะที่สเปอร์สได้ลุ้นเหมือนกันจากเดวิด เบนท์ลีย์ (ซึ่งเงียบเหลือเกินในเกมนี้) ฮาฟวอลเลย์เต็มเท้าโดน ‘นายเขียว’ ร็อบ กรีนโชว์ความไวพุ่งปัดออกไปได้อย่างเหลือเชื่อครึ่งแรกไข่จึงยังไม่แตกเสมอกันอยู่ 0-0

ครึ่งหลังเป็นลูกทีมของแฮร์รี่ เรดแนปป์ครับที่เล่นได้แน่นอนและดูมีจินตนาการในเกมรุกมากกว่าโดยเฉพาะระบบ 4-4-1-1ซึ่งเอื้อให้บทบาท ‘เพลย์เมคเกอร์’ของลูก้า โมดริชดูมีประโยชน์ต่อทีม+และค่อยดูคุ้มค่าตัวขึ้นมาหน่อยหลังในยุคของฆวนเด้ รามอสกองกลางโครแอตรายนี้ต้องเล่นมิดฟิลด์ตัวกลางที่ต้องคอยช่วยวิ่งไล่บอลซึ่งจำกัดทั้งพรสวรรค์เจ้าตัวและถือว่าเสียดายของอย่างแรง !

เกมนี้หากไม่นับMan of the matchเลดลีย์ คิงที่ยิงประตูแรกในรอบสามปีได้ก็มีโมดริชและนายทวารฮูเรลโญ่ โกเมสนี่แหละครับที่ผมว่าสมควรได้รับตำแหน่งคู่กันเพราะรายแรกนั้นทั้งพลิ้วและโชว์คลาสนักเตะมีระดับออกมาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆส่วนนายทวารหูกางเลือดแซมบ้าก็เล่นอย่างมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่เสียผู้เสียคนไปพักใหญ่ก่อนหน้านี้

ช่วงที่สเปอร์สนำอยู่1-0และกำลังโดนบี้อย่างหนักจากเจ้าบ้าน...ในใจผมเริ่มตุ้มๆต่อมๆเสียวสันหลังวาบกลัวทีมรักจะเสียประตูยิ่งเจ้าอัตซู-เอก็อตโต้ดันไปแฮนด์บอลแต่เดชะบุญจังหวะคริส ฟอยมองไม่ทัน (ไม่อย่างนั้นโดนจุดโทษแน่) เวสต์แฮมก็ได้โอกาสสองครั้งที่ ‘จะแจ้ง’และน่าจะเป็นประตูอย่างที่สุดจากโอกาสของลูคัส นีลล์และดาวิด ดิ มิเคเล่ในสองจังหวะต่อเนื่องที่โกเมสโชว์ให้เห็นว่าไอ้ฉายา‘นายทวารมือปลาหมึก’ที่ได้มาจากสมัยเล่นในลีกบราซิลนั้นไม่ใช่คำยกยอที่เกินกว่าเหตุสักเท่าไร

ก็อย่างที่ผมเคยเรียนไปในคอลัมน์นะครับว่าแม้ในช่วงที่แฟนบอลทีมอื่น (รวมถึงแฟนสเปอร์สเอง) จะเห็นโกเมสเป็นตัวตลกแต่ผมยืนยันมาตลอดว่าด้วยฝีไม้ลายมือที่ผมได้อ่านประวัติเจ้าตัวมาและเห็นฟอร์มเก่าๆสมัยที่คุมพีเอสวีหมอนี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายทวารผู้ยิ่งใหญ่ได้เพราะทั้งใหญ่ ยาว (อย่าคิดลึก!!) เซฟจุดโทษดีแถมขว้างบอลได้ไกลกว่าเตะอีกตังหากไม่เชื่อลองสังเกตุดู กลับมาที่จังหวะที่เวสต์แฮมน่าจะตีเสมอได้กันต่อ พอยิงไม่ได้เสร็จก็แย่สิทีนี้โดนสเปอร์สCounter Attackสวนกลับและเป็นเจ้าหนูเจมี่ โอฮาร่าซูเปอร์ซับเลือดเดือดยิงไกลจากระยะ20หลาเสียบมุมตอกย้ำชัยชนะให้ทีมเยือนตอกฝาโลงคู่ปรับกรุงลอนดอนได้สำเร็จแฟนเวสต์แฮมที่ ‘บิ๊ว’สุรากันมาถึงกับหน้าสร่างเมากันเป็นแถบๆด้วยจรรยาบรรณนักข่าวที่ควรเป็นกลางจึงทำให้ผมทำได้แค่แอบยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวแบบซะใจแต่แบบทำไรไม่ได้มากกลัวโดนตื้บ ฮา

เกมจบลงไปเวลาประมาณเกือบสี่ทุ่มเวลาอังกฤษครับ จากตอนแรกตั้งใจว่าจะดิ่งรถไฟสายหวานเย็น (District Line เส้นสีเขียว) กลับบ้านเลยเนื่องจากต้องเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงขากลับแต่ด้วยอารมณ์หิวจึงวกกลับเข้าไปใน Press room หาของกินแบบไม่เสียเงิน (จริงๆแอบงก ^^) ระหว่างที่จ้วงแซนด์วิชอยู่นั้นก็เห็นตาแก่คนนึงหน้าง่วงๆเดินผ่านหน้าไป...

‘อ้าว เฮ้ยนี่มันลุงจ่าแฮร์รี่เดินมาให้สัมภาษณ์นี่หว่า !’ ผมพูดคนเดียวในใจพลางวางน้ำและแซนด์วิชที่เหลือไปนั่งฟังแกให้สัมภาษณ์ซะเลย

ความเห็นผมหลังจากฟัง‘ลุงจ่า’ แกให้สัมภาษณ์ยอมรับเลยว่าแกเป็นคนที่เก๋า เจนจัด +ฉลาดมากเพราะมีลูกอ้อนที่แฟนเวสต์แฮมได้ยินแล้วคงโกรธและเกลียดแกไม่ลงเพราะกุนซือพ่อบังเกิดเกล้าของเจมี่ เรดแนปป์บอกว่าทุกวันนี้ยังตามเชียร์เวสต์แฮมอยู่เสมอ (แต่แฟนจะรู้มั้ยครับว่าทุกครั้งที่แกกลับมาในฐานะกุนซือคู่ปรับจะพาทีมปราบเวสต์แฮมได้ทุกครั้ง!) พร้อมกันนี้ยังได้ออกมาพูดถึงเลดลีย์ คิงปราการเหล็กของทีมว่าเป็นนักบอลที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และเป็นผู้นำของสโมสรอย่างแท้จริงแต่โชคร้ายเหลือเกินที่เจ้าตัวต้องมาประสบกับปัญหาเจ็บเข่าเรื้อรังตามรังควานมาตลอดช่วงหลังๆ ส่วนพาร์ทที่ผมฟังแล้วอึ้งไปเลยก็คือคิงลงซ้อมกับทีมแค่ 15นาทีเท่านั้นหนึ่งวันก่อนเตะเนื่องจากซ้อมๆแล้วเข่าบวมแต่ทว่าวันแข่งคิงเดินมาขอเล่นในเกมนี้เนื่องจากเจ้าตัวห่วงฟอร์มในลีกของทีมซึ่งตอนนี้ถือว่ายังอยู่ในช่วงดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่

ด้วยวัยเพียงแค่28ปีผมไม่รู้หรอกนะครับคิงจะฝืนลงเตะแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน...รู้แต่เพียงว่านักเตะคนนี้ถือเป็นนักสู้คนนึงที่แฟนบอลรุ่นหลังควรยึดไว้เป็น Role model ทำทุกอย่างด้วยใจแม้เข่าจะปวดแทบตาบก็ยอมแบบนี้ หาแทบไม่มีแล้วละครับนักกีฬาสปิริตสูงแบบนี้ King by name and by natureจริงๆผมขอนับถือ



Monday 8 December 2008

Winning Mentality เรื่องง่ายๆที่เรือใบไม่มี



ไม่มีพลิกล็อกครับสำหรับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ คู่วันเสาร์ที่ผ่านมา...สี่ทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซนอล และแมนฯยูฯต่างก็พากันเก็บ 3 คะแนนกันได้ถ้วนหน้าแม้ว่าบางทีมจะพากัน หืดขึ้นคอเล็กน้อยถึงปานกลางเลยทีเดียวกว่าจะเอาชนะได้

อาร์เซนอลที่อาทิตย์ก่อนเพิ่งบุก ไปเอาชนะเชลซีได้ถึงแสตมฟอร์ด บริดจ์ 2-1 วีกนี้ได้เล่นในบ้านเจอวีแกนหลายคนคิดว่าปืนโต น่าจะยิงได้มากกว่าหนึ่งเม็ด แต่สุดท้ายก็ได้ประตูโทนของเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ที่ยิงไว้ตั้งแต่นาทีที่ 16 ทำให้แฟนบอลเดอะ กันเนอร์สยิ้มได้ที่ไม่ทำแต้มหล่น เช่นเดียวกันกับแมนฯยูไนเต็ดที่ทำเสียวซี๊ด มาได้ประตูชัยเอานาทีสุดท้ายจากเนมันย่า วิดิชเล่นเอาแฟนผีเกือบรอเก้อ แถมทำท่านต่อทั้งหลายกระเป๋าฉีกกันทั้งบางเลย ทีเดียวที่ดันมาทะลึ่งยิงน้อยเอาเกมนี้ !

สำหรับผมวีกเอนด์ที่ผ่านมาเลือกไปดูเกมที่ใช้ เวลาเดินทาง น้อยที่สุดอย่างคู่ฟูแล่ม VS แมนฯซิตี้ เพราะช่วงนี้รายงานป.โท ที่มหาวิทยาลัยเข้าเยอะได้อีก จึงต้องแบ่งตารางเวลาทำอะไรให้ดี ไม่งั้นมีหวังเป็นคุณปู่ประจำยูแน่ๆ ^^’

ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมานี้ถือเป็นครั้งแรก ของผมที่จะได้เห็นฟอร์มทีมเรือใบ เล่นแบบติดขอบสนาม ระหว่างการเดินทางจึงแอบมีตื่นเต้นเล็กๆ คิดว่าจะได้เห็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดใน พรีเมียร์ชิพ อย่างโรบินโญ่ (32.5ล้านปอนด์) ลงร่ายมนต์แข้งให้เป็นขวัญตา แต่ทว่าเจ้าเล็กพริกขี้หนูชาวแซมบ้าดันทะลึ่ง เจ็บซะ เซ็งอารมณ์ครับ
สภาพอากาศในเกมนี้ถือว่ากำลังดีและ ไม่ค่อยหนาวอย่างที่คิด อุณหภูมิอยู่ราว ๆ 10 องศา แต่การมีแสงแดดช่วยได้เยอะแม้ว่า ที่นั่งของนักข่าวแถวผมจะโดนแดดแยงตา เกือบตลอดดูเกมไปต้องยกเอามือมาบังเหลี่ยม แดดจนเมื่อยแขนสุดๆ

เจ้าถิ่นฟูแล่มฟอร์มช่วงหลังถือว่าโอใช้ได้ รอย ฮอดจ์สันจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามขณะที่แมนฯซิตี้ ขาดทั้งเอลาโน่, โรบินโญ่และไมคาห์ ริชาร์ดส์มาด้วยระบบ 4-2-3-1ทิ้งเบนจานี่ไว้เป็นหน้าเป้าคนเดียว โดยมีสตีเฟ่น ไอร์แลนด์, ดาริอุส วาสเซลล์ และฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง

ช่วงต้นเกมเริ่มได้อย่างสุดจืด โดยเฉพาะเจ้าบ้านที่เล่นยังกับว่าไม่ได้ทาน Breakfast กันมาจากบ้าน + เสียงเชียร์ของแฟนบอลฟูแล่มจำนวน 24,012 คน ไม่ได้เร้าอารมณ์เหมือนแฟนบอลทีมอื่นในลอนดอน (ผมยกให้แฟนอาร์เซนอลเชียร์บอลมันโดนใจเป็นที่สุด)

เล่นกันเหม่อ + เครื่องเหมือนยังไม่ร้อนก็โดนไปก่อนเลยครับสำหรับทีมเจ้าสัวในเกมนี้ โดยเป็นปาโบล ซาบาเลต้าแบ็กขวาอาร์เจนไตน์ที่เติมเกมรุกได้เยี่ยมหลายจังหวะเปิดบอลจากทางด้านขวา สุดแม่นให้เบนจานี่กระโดดเขกแบบเต็มกบาลเข้าไปตั้งแต่นาทีที่ 6 ปล่อยให้นักเตะฟูแล่มยืนมองหน้ากันเลิกลั่กประมาณว่าพยายามมองหาคนผิด ซึ่งจริงๆตัวที่ต้องรับผิดชอบในจังหวะนี้คือแบ็กซ้ายคอนเชสกี้ที่ไม่ได้ พยายามบล็อกการเปิดของซาบาเลต้าเลย 1-0 ทีมเยือนนำ

หลังโดนไปก่อนสองมิดฟิลด์คู่กลางฟูแล่มอย่างแดนนี่ เมอร์ฟี่กัปตันทีมและจิมมี่ บุลลาร์ด ก็พยายามเร่งฟอร์มทำเกมตามช่องได้สวยๆ หลายจังหวะโดยเฉพาะบุลลาร์ด ที่เกมนี้วิ่งพล่านไปทั่วสนามหวังจะมัดใจฟาบิโอ คาเปลโล่ที่เข้ามาชมเกมนี้ด้วย

และแล้ว...ความพยายามของมิดฟิลด์ ทรงผมคุณป้าก็สำฤทธิ์ผลในนาทีที่ 27 เมื่อเป็นบ็อบบี้ ซาโมร่าที่เปิดบอลทะลุช่องให้บุลลาร์ดซึ่งวิ่งทำทาง มารอในกรอบเขตด้านขวาโทษ มีเวลาเหลือเฟือที่จะเลือกมุมยิงและ ก็ไม่เหลือครับหมอนี่ยิงได้ดีจริงๆในจังหวะนี้

ก็ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมที่ซิตี้ต้องชดใช้ไปในเกมนี้นะ ครับเพราะว่ามีจังหวะนึงก่อนหน้านี้ริชาร์ด ดันน์กัปตันร่างอวบทำแฮนด์บอลแบบชัดเจนแต่ร็อบ สไตล์สไม่เป่าจ้า (ผิดพลาดได้อย่างสม่ำเสมอและคงเส้นคงวาสุดๆ สำหรับผู้ตัดสินรายนี้ ฮา)

พูดถึงดันน์แล้วก็ห่วงแมนฯซิตี้ไม่ได้ครับว่าการที่มีกองหลังตัวอ้วนเชื่องช้าเป็นผู้บัญชาการเกมรับ ซึ่งช่วงหลังก็มักจะเป็นเค้าเองนี่แหละที่เป็นบ่อเกิดให้ทีมต้องเสียประตูแบบง่ายดายอยู่บ่อยครั้ง ผมคิดว่าทางที่ดีเปิดตลาดเดือนมกราคมนี้ไหนๆซิตี้ก็รวยพอที่จะซื้อกาก้าและบุฟฟ่อนในราคามหาโหดแล้ว พวกเค้าก็จำเป็นอย่างยิ่งเลยที่จะหาเซ็นเตอร์ฮาล์ฟและกลางรับแจ๋วๆอีกสักตัวสองตัวมาเสริมทีม เพื่อทำให้บาลานซ์ของทีมมันดีขึ้นและโครงการสานฝันทำ อันดับไปเล่นบอลยุโรปก็น่าจะพอเป็นจริงได้อยู่บ้าง...

หลังจากตีเสมอได้เกมในครึ่งเวลาหลังแทนที่ทั้งคู่จะบู๊สู้ตายเพื่อ 3 แต้ม แต่เปล่าเลยครับ Winning Mentality ไม่ได้ถูกฝังอยู่โสตประสาทของทั้งนักเตะฟูแล่มและแมนฯซิตี้รวมทั้ง ผู้เป็นกุนซือเลยเมื่อตลอด90นาทีมีการเปลี่ยนตัวเพียงแค่คนเดียว! เท่านั้นไม่พอยังเล่นแบบดึงเช็งพอใจกับหนึ่งแต้มทั้งคู่อีกเกมจึงจบลงไปแบบเนือยๆ 1-1

เวลาเจอทีมใหญ่ก็พอใจแค่เสมอ พอออกไปเยือนก็ไม่กล้าแลกแล้วอย่างนี้เมื่อไร ละครับที่แมนฯซิตี้จะยิ่งใหญ่เท่า "บิ๊กโฟร์" อย่างที่กลุ่มนายทุนจากอาบูดาบีโม้เอาไว้ช่วงเทกโอเวอร์?

หลังเดือนมกราคมนี้ที่แมนฯซิตี้คงได้นักเตะเกรด B เป็นอย่างน้อยร่วมทีมมากขึ้น เราต้องมาจับตามองกันให้ดีว่าสไตล์การทำทีมของมาร์ค ฮิวจ์สจะเปลี่ยนไปมั้ย หากว่าทีมแจ่ม+ลงตัวมากขึ้นแล้ว ยังสั่งให้ลูกทีมเล่นแบบกั๊กๆแบบนี้อยู่ผมว่า บางทีฮิวจ์สอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสม สำหรับตำแหน่งกุนซือแมนฯซิตี้ที่สุดก็ได้
ส่วนฟูแล่มของรอย ฮอดจ์สันไม่มีอะไรต้องติมากมายครับ แม้ว่าเป็นเจ้าถิ่นแท้ๆแต่ก็พอใจกับหนึ่งคะแนน อย่าลืมว่า "เป้าหมาย" ของแต่ละทีมนั้นแตกต่างกันไป

ฮัลล์ ซิตี้นั้นอาจพอใจแล้วที่ตัวเองไม่ตกชั้น ขณะที่ฟูแล่มก็ขอจบให้สวยที่สุดในลีกไม่ดิ้นรนหนีตกชั้นเป็นพอ ...แต่ซิตี้กับโครงการยักษ์ที่กลุ่ม ADUG แพลน+ลงทุนไปผมคิดว่าหากทีมจบซีซั่นด้วยอันดับต่ำกว่า10เนี่ย สถานะของฮิวจ์สอาจตกที่นั่งลำบาก

และเพื่อเป็นการเซฟหน้าที่การงานตั้งแต่เนิ่นๆจากนี้ไป ฮิวจ์สควรต้องฝังรากเรื่อง "ความกระหาย" ที่จะเอาชนะคู่แข่งให้มากขึ้นแล้วละครับหากคิดจะพาเรือใบลำนี้ไต่อันดับให้สูงกว่าที่เป็นอยู่

Tuesday 2 December 2008

เป็นแชมป์/ตกชั้นปีนี้...เบียดกันมันหยด

ฝนเบา ๆ ปนอารมณ์หนาว ๆ ของเช้าวันอาทิตย์ที่ ผ่านมานอกจาก จะทำให้ผมไม่อยาก จะแหกขี้ตาออกจาก บ้านไปไหนแล้ว ยังมี "ข่าวร้าย" ที่ทำให้ผมต้องหงุดหงิด หัวใจเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อ ได้ทราบก่อนเกม เพียงแค่สี่ชั่วโมงว่า เกมเชลซี VS อาร์เซนอลต้องอดดู

อะจ๊าก!...นี้ถือเป็นครั้งที่สองในฤดูกาลแล้วครับที่ผมโดน Press Office ของทางเชลซีบอกปฏิเสธ
จริง ๆ ก็ไม่ได้อยาก อารมณ์เสียแต่เช้าหรอกนะฮะหากได้รู้ตัวก่อน แต่นี่อะไรโทร.ไปตั้งแต่เที่ยงวันศุกร์ต่อด้วย วันเสาร์เกือบทั้งวันแต่ก็ไม่มี He หรือ She ที่ไหนรับสายผมเลย ไอ้ครั้นจะให้เสี่ยงทนหนาวตรงดิ่งไป ถามถึงสนามก็กลัวหน้าแหกแบบคราวก่อน ครั้งนี้จึงโทร.เข้าสนามแล้วโอเปอเรเตอร์ต่อสายตรง เข้าไปถามให้รู้เรื่องจนได้ความอย่างที่เล่าไป แถมยังโดนกัดอีกนะว่ามาโทร.อะไรเอาป่านนี้! (แหม คนเราช่างกล้าแถไปเรื่อยไม่ดูตัวเองเลยว่าอยู่ออฟฟิศบ้างอ่ะป่าว) ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรคืนหรอกนะครับ แบบว่าเป็นปัญญาชนที่ไม่ชอบต่อล้อต่อเถียงกะใคร ก็แค่เกมที่ผ่านมาแอบแช่งให้พวกเค้ามีอันต้อง พ่ายแพ้คาบ้านต่อปืนโต แถมดันได้ผลด้วยสิ ! (อันนี้ไม่ได้โม้นะฮะแต่มันบังเอิญจริงๆ อิอิ)

เข้าเรื่องกันดีกว่าฟุตบอลอังกฤษ ช่วงนี้ถือว่าเป็นไปอย่างเข้มข้น ดุเดือดจริง ๆ ทั้งในกลุ่มของทีมหัวตารางและ โซนตกชั้น ที่บี้กันมันส์พะยะค่ะ

ไฮไลต์วันเสาร์ที่น่าสนใจ ก็คือคู่ของซันเดอร์แลนด์เปิดบ้าน รับการมาเยือนของโบลตันที่สนามสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ ที่แฟนบอลในสนามเท่าที่ดูด้วยตาเปล่าถือ ว่าโหรงเหรงไปพอสมควรเนื่องจาก ผลงานช่วงหลังของทีมไม่ค่อยจะได้เรื่อง แถมการถ่ายทอดสดที่เดี๋ยวนี้กระจายไป ทั่วทุกมุมโลกตามทฤษฎีของ Globalisation+เศรษฐกิจที่นี่กำลังตกสะเก็ดอย่างหนัก ทำให้ทีมเล็กๆที่ไม่ได้มีความน่าดึงดูดใจอย่าง "แมวดำ" และทีมเล็กหลายรายนับ จากนี้เตรียมเผชิญปัญหานี้กันได้เลย

ซันเดอร์แลนด์นั้นเหมือนจะมาดีในเกมนี้เมื่อเป็น ฝ่ายออกนำไปตั้งแต่ไก่โห่จากฌิบริล ซิสเซ่ในนาทีที่ 11 แต่นับจากนั้นแนวรับอันอ่อนปวกเปียกยิ่งกว่า ทิชชู่ชุ่มน้ำก็เริ่มออกอาการเป๋ให้เห็นหลายต่อ หลายจังหวะทีเดียว...ผลลัพธ์ก็คือพวกเค้า โดนลงโทษอย่างสาสมจาก 4 ประตูรวดของโบลตัน ซึ่งได้ถีบให้พวกเค้าลงไปกองอยู่อันดับ 18 ท่ามกลางความหวั่นใจจากหลายฝ่ายว่ารอย คีนจะถอดใจไขก็อกลาออกไป หลังได้ยินคอมเมนต์แบบปลงโลก จากปากของอดีตมิดฟิลด์ฮาร์ดคอร์คนนี้

ผมเองโดยส่วนตัวชอบบุคลิกของคีน สมัยยังเป็นนักเตะมากนะครับเพราะ ความเป็นผู้นำและสปิริตอันแรงกล้าที่เจิดจ้าเหลือเกิน นำพาแมนฯยูไนเต็ดประสบความสำเร็จ มาสู่ทีมมากมายนำไม่ถ้วน แต่เรื่องแปลกแต่จริงก็คือคีโน่กลับไม่สามารถ นำคาแรกเตอร์เหล่านี้ถ่ายทอดไป ถึงแข้งแมวดำได้เลยสักคนเดียว ตรงจุดนี้ถือว่าน่าคิดมากๆว่าทำไมและเพราะอะไร ?

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ "ผลการแข่งขัน" ซึ่งถือเป็นตัววัดความสามารถของกุนซือ ถ้าถามถึงตรงนี้ผมว่าการที่ซันเดอร์แลนด์ใช้จ่ายเงินไปเยอะมาก ในช่วงสองปีหลังและ ทำผลงานได้เพียงเท่านี้ถือว่าสอบตกอย่างแรง จึงน่าติดตามเหลือเกินครับว่าอนาคต ของคีนกับทีมแมวดำจะจบลงอย่างไรหากว่าผลงานยังตกต่ำอยู่แบบนี้ คีนจะโชว์แมนลาออกเองหรือว่าหน้าด้านหน้าทนรอให้สโมสรปลดออกไป (อันนี้ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่าหากดูจากอุปนิสัยของเจ้าตัว)

ขณะที่เกมวันอาทิตย์คู่แรกแมนฯซิตี้เปิดบ้าน รับการมาเยือน ของอริร่วมเมืองอย่างแมนฯยูไนเต็ด ผลลัพธ์ที่ออกมาว่า เจ้าบ้านโดนสอยไปคารัง 1-0 นั้นถือว่าแฟร์ดีแล้วเพราะ ซิตี้อย่างที่ผมเรียนมาตลอดว่า "รุกแจ่มหลังรั่ว" จึงต้องโดนทีมผีแดงที่เล่นได้ดี+คู่ควรกับ สามคะแนน ในเกมนี้มากกว่าสอนบอลไป เปิดตลาดเดือนมกราคมนี้เห็นทีมาร์ค ฮิวจ์สจะเล็งเฉพาะ นักเตะในแนวรุก อย่างที่ตกเป็นข่าวรายวันอย่างเดียวไม่ได้ครับ เพราะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ มีระดับและกลางรับดีๆอย่างละคนน่าจะ ช่วยให้ผลงานหลังบ้าน ของทีมดูหนาแน่นกว่าที่เป็นอยู่

ส่วนคู่ดึกอย่างเชลซี VS อาร์เซนอลที่ผมหน้าแหก ไปฟันธงว่าสุดท้าย น่าจะเป็นสิงห์บลูอาศัยความเป็นเจ้าบ้านเอาเฉือนเอาชนะไปได้ ปรากฏว่ามองผิดไปถนัดเนื่องจากดันลืมนึกไป ว่าฟอร์มสุดแกร่งในบ้านของเชลซีช่วงหลัง ๆ ไม่ได้ยืนยงคงกระพันอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งประวัติการเล่นกับบิ๊กทีมด้วยกันทีไรมักจะเป็นเชลซีเรื่อยมาที่ "บ้อท่า" พลาดเองตลอด (ก่อนหน้านี้ก็โดนหงส์แดงบุกมาปราบ1-0)

เกมนี้ก็เช่นกันครับอุตส่าห์ออกสตาร์ตเกมได้ดีกว่าและตึงสกอร์ไลน์นำอยู่หนึ่งลูกในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังดันหมดมุขจะเข้าทำเหมือนเคยแถมแนวรับช่วงนี้ที่จำต้องใช้บรานิสลาฟ อิวาโนวิช (ริกกี้ คาร์วัลโญ่&อเล็กซ์เจ็บ) ยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กคู่จอห์น เทอร์รี่ดูจะไม่ค่อย "คลิก" เพราะมองตาแต่ดันไม่รู้ใจยืน Marking ผิดคนตลอดจึงโดนทีเด็ดฟาน เพอร์ซีซัดเบิ้ลไป 2 ตุงรวดภายในเวลาห่างไม่ถึงสี่นาที "ตอกย้ำ" ปัญหาความมั่นใจยามลงเล่นในบ้านตัวเองพร้อมเผย "จุดอ่อน" ให้ทีมอื่นได้เห็นกันบ้างแล้วหลัง ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายรวมทั้งตัวผมเองมองเห็น แต่ความไร้เทียมทานของทีมชุดนี้

ส่วน Unpredictable อาร์เซนอลที่ฟอร์มสามวันดีสี่วันร้าย ชัยชนะในนัดนี้ทำให้ต่อลมหายใจ การชิงแชมป์ต่อไปได้อีกเฮือกแต่ก็นะ...อย่างที่รู้ ๆ กันครับว่าทีมปืนโตมักจะชนะในวันที่หลายคนมองว่าพวกเค้าแพ้แน่ แต่เกมที่สามแต้มเห็น ๆ ดันปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ตรงนี้อยู่ที่ "กึ๋น" ของเวนเกอร์แล้วละครับว่าจะทำให้ฟอร์ม ของทีมมีความสม่ำเสมอได้มากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ ลึกๆผมเชื่อครับว่า "ศักยภาพ" แข้งยังกันส์ชุดนี้มีดีพอแน่นอนเพราะปราบทั้งผีแดงและสิงห์ไฮโซให้เห็นกันแล้ว

ครับ ขณะที่เขียนงานชิ้นนี้อยู่คู่ Monday night อย่างลิเวอร์พูล VS เวสต์แฮมยังไม่เริ่มเตะ แต่คาดว่าทัพเรด แมชีนไม่น่าจะปล่อยให้โอกาสการขอขึ้นไปยืนแบบเดี่ยวๆบนหัวตารางต้องหลุดลอยไป (ป่านนี้คงทราบผลกันแล้วว่าน้องหงส์จะทำได้มั้ย) ถ้าทำได้การลุ้นแชมป์ปีนี้สนุกเข้มข้นแน่นอน เพราะสิงห์บลูฟอร์มโดยรวมกำลังวูบโดยเฉพาะการลงเล่น ในบ้านขณะที่ผีแดงและปืนโตก็กำลังไต่อันดับ ขึ้นมาทำคะแนนกดดันได้อยู่เป็นระยะๆ

ส่วนโซนตกชั้นก็เช่นกันกำลังมันเลยทีเดียวนี่ล่าสุด น้องไก่ของลุงจ่าแฮร์รี่ก็เสียซิงสถิติใน บ้านต่อ เอฟเวอร์ตันไปแล้ว ทำให้คะแนนยังแช่อยู่ที่ 15 แต้มเท่ากับนิวคาสเซิลและซันเดอร์แลนด์ (อันดับ 17 และ 18 ) และมีแต้มเหนือเวสต์บรอมวิชทีมบ๊วยเค็มอยู่แค่ 4 คะแนนเท่านั้น !

งานนี้ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้ว ทีมใดจะเป็นแชมเปี้ยนและ ทีมใดจะมีอันต้องร่วงตกชั้น ยิ่งดูยิ่งมันจริง ๆ ครับพรีเมียร์ชิพปีนี้