Friday 27 February 2009

สัญญาณดีๆ

ไปดูฟุตบอลยูฟ่าคัพระหว่างสเปอร์ส-ชัคเตอร์ โดเน็ตส์ค ‘ทีมแกร่ง’ จากยูเครนมาเมื่อคืนครับ บรรยากาศที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลนยังคงเนืองแน่นไปด้วยแฟนบอลของทีมที่เข้ามาให้กำลังใจ ‘ยังบลัด’ ลงทำศึกเหมือนเช่นเคย

แม้ว่าสุดท้ายทีมเราต้องมีอันกระเด็นตกรอบไปอย่างน่าเสียดายก็ตาม...
การออกนำไปก่อน 1-0 จากลูกยิงผีจับยัดของจิโอวานี่ในนาทีที่55 ทำให้สเปอร์สดูมีความหวังขึ้นมาไม่น้อย เสียงแฟนบอลส่งเสียดังกระหึ่มเล้าไก่ของเรา สุดท้ายกลายเป็น ‘ดาบสองคม’ กดดันเด็กๆของเราเองอย่างช่วยไม่ได้ (ผมเชื่ออย่างนั้น)
เกมนี้โดยรวมถือว่านักเตะชุดบีของเราทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอดครับโดยเฉพาะในรายของเจมี่ โอฮาร่าซึ่งทำหน้าที่จอมทัพรักษาบาลานซ์ของทีมได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกันกับทอมมี่ ฮัดเดิลสตัน ‘กัปตันทีม’ ที่เกมนี้ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาฟแต่ก็วางบอลยาว ‘คิลเลอร์พาส’ สวยๆได้หลายครั้ง

ผมกล้าฟันธงแบบไม่กลัวหน้าแหกนะครับว่าฮัดเดิลสตันจะติดทีมชาติอังกฤษในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอนเพราะมีคุณสมบัติที่ทีมสิงโตคำรามกำลังต้องการ แม้ว่าเจ้าต้องเพิ่มความรวดเร็วและคล่องตัวให้มากกว่านี้ก็ตาม

อีกคนที่ไม่ชมไม่ได้เลยก็คือเจ้าหนูโจนาธาน โอบิก้า ไอ้เด็กโข่งร่างใหญ่ซึ่งทำผลงานยิงกระฉูดในทีมสำรอง ( ลงสนาม21นัดซัดไป14ประตู) เกมนี้ออกสตาร์ตตัวจริงเป็นครั้งแรกในทีมชุดใหญ่แล้วทำผลงานได้ดีเกินคาด ทั้งพักบอล เชื่อมเกมได้อย่างยอดเยี่ยมเกินอายุแค่18ปีเท่านั้น อนาคตหากโรมัน พาฟลิวเชนโก้ได้รับบาดเจ็บหรือเล่นไม่ออกจริงๆผมว่าเราก็มีตัวแทนที่ไม่น่าเกลียดเกินไปนัก
ครับ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเกมนี้ขุนพลตราไก่ชุดผสมจะโดนตีเสมอในช่วงท้ายเกมเพราะวิ่งจนหมดแรงแต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็น ‘สัญญาณดีๆ’ อย่างเช่น เรื่องทีมสปิริตที่เริ่มกลับมามีให้เห็นอีกครั้ง

วันอาทิตย์นี้ที่เจอแมนฯยูไนเต็ดในนัดชิงคาร์ลิ่ง คัพ หวังเหลือเกินครับว่าผู้เล่นชุดใหญ่ของเราจะวิ่งสู้ฟัดแบบนี้....
ปล. ซื้อสเปอร์สแม็กกาซีนฉบับเดือนมีนาคมมาแล้ว เดี๋ยวจะรีบลงให้อ่านกันนะครับ : )

Friday 20 February 2009

เตรียมตัว เตรียมใจ

ดีใจมากมาย วันนี้พรีเมียร์ฯอีเมลมาบอกว่าได้สิทธิ์ไปดูนัดชิงคาร์ลิ่งคัพระหว่างแมนฯยู VS สเปอร์ส (ทีมสุดเลิฟ อิอิ)ที่สนาม'นิวเวมบลีย์' !!

มาอยู่อังกฤษกำลังจะเข้าปีที่สามแหละ บอกตามตรงเคยไปเหยียบสนามฟุตบอลแห่งชาติของอังกฤษแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแถมคราวก่อนเป็นการโดนน้องที่บ้านบังคับฝืนใจไปเป็นเพื่อนเพื่อดูมันแข่งเกมโปร์ อีโวลูชั่น (วินนิ่ง)ชิงแชมป์เมืองผู้ดีเมื่อปีที่แล้ว
ประสบการณ์ก็น่าจดจำมากมาย เจ้าแมทธิว (เด็กที่ว่า) โดนพวกปีศาจวินนิ่งตัวจริง เสียงจริงอัดน้ำกระจาย !!! แพ้มัน3เกมรวด โดนยิงไม่ต่ำกว่า3-4เม็ดต่อเกม (ทั้งๆที่ผมเห็นมันซ้อมที่บ้านก็ว่าเทพแล้วนะ)

สต๊าฟสาวผมบลอนด์หุ่นขาวอวบหนึ่งในคณะกรรมการผู้ทำหน้าที่จดสกอร์เดินยิ้มเข้ามาหาผมซึ่งมาในฐานะ Guess ของแมทธิว ในใจแอบคิดนั่นแน่จะมาขอเบอร์ตรูป่าววะ (ฮาๆ)
'ไม่ทราบว่าเพื่อนคุณโดนไปกี่ดอกแล้วค่ะ??'.....

'อีนี้ มึงก็ถ่างตาดูเอาซิวะ' ผมแอบด่าในใจด้วยความอาย พลางชี้ไปที่ทีวีซัมซุงจอมหึมา

'แปดประตูต่อศูนย์' ไอ้แมทธิวน้องรักยืนจ๋อยแดกจับจอยเกมหน้าตาเหมือนเมาหมัดคู่แข่ง...

จำได้ว่ามีเด็กฝรั่งอายุไม่น่าเกิน10ขวบสะกิดถาม 'พี่มาจากประเทศไหนฮับ?'

ผมตอบไปว่า 'ไอ แอม คัม ฟรอม มาเลย์เซีย' (ไม่กล้าบอกบ้านเกิดอายเด็กมัน เดี๋ยวจะหาว่าฝีไม้ลายมือวินนิ่งเด็กไทยเราอ่อนหัด)

ครั้งนั้นผมจำได้ว่าทนดูน้องรักแข่งต่อจนจบทัวร์นาเมนต์ไม่ได้เพราะอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เจ้าแมทธิวอายุอานามมันก็แค่16 ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่าโดน 'ยำเละ' ขนาดนี้ยังจะกล้าเล่นต่อ เกสอย่างผมเห็นแล้วอายแทนรีบอาศัยจังหวะชุลมุนฝ่าวงล้อมพวกปีศาจวินนิ่งทั้งหลายนั่งรถไฟกลับบ้าน แล้วเอสเอ็มเอสไปหาว่าพี่มีธุระด่วนต้องรีบกลับ

เปิดประตูบ้านไป แม่เจ้าแมทธิวถาม 'อ้าว เอกเป็นไง แมทธิวแข่งเป็นไงบ้าง?'

'ผมว่าพี่ถามเจ้าตัวดูเองดีกว่านะครับ พอดีว่าคนเยอะมากผมเห็นสกอร์ไม่ถนัด' ผมทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเดินจั๋มเข้าห้องไป
ผมหวังเหลือเกินครับว่าการไปเวมบลีย์ หนนี้ผมจะไม่ต้องเอาปี๊บคลุมหัวกลับบ้านอย่างเดิมอีก...
แอบหวังเล็กๆว่าสเปอร์สจะหักปากกาเซียนได้อีกครั้งด้วยการหยุดไอ้ผีร้ายสุดเฮี้ยนให้อยู่หมัดเหมือนอย่างที่ปีก่อนก็ทำได้ในการเชือดเชลซีแบบช็อคซินีม่า
แต่ถึงจะแพ้ ผมก็ทำใจไว้ก่อนล่วงหน้าแต่เนิ่นๆแล้วละครับว่าจะเดินออกจากสนามนิวเวมบลีย์ครั้งนี้ด้วยความภาคภูมิใจ...สู้โว้ยยยย !!!!!

Thursday 19 February 2009

แมนฯซิตี้ มะเร็งลูกหนัง!?

ในทุกๆสังคมไม่ว่าจะไทย จีน แขกหรือฝรั่งมังค่า...ความอิจฉาริษยามีให้เห็นเหมือนกันหมดครับไม่เว้นแม้กระทั่งวงการฟุตบอล

เห็นคนโน้นคนนี้ได้ดีหรือเหนือกว่าเป็นไม่ได้ ต้องหาเรื่องซุบซิบนินทาว่าร้ายบ้างก็พยายามวางแผนคิดจะหยุดยั้ง 'ความยิ่งใหญ่'!?
การออกมาพูดจาเสียดสีในเชิงไม่สร้างสรรค์ของสตาเล่ โซลบัคเค่นโค้ชเอฟซี โคเปนเฮเก้นว่าแมนฯซิตี้เป็น 'มะเร็ง' ของวงการฟุตบอลเพราะจับจ่ายใช้สอยอย่างมือเติบนับตั้งแต่ได้'ชีคมานซูร์' มาเป็นเจ้าของ ทำให้ตลาดนักเตะปันป่วนและสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาอย่างหนักทั้งในยุโรปและอเมริกา

ประเด็นนี้บอกตามตรงเป็นเรื่องของ Mind Game หรือสงครามจิตวิทยาเพียวๆไม่มีอย่างอื่นมาผสม เพราะโคเปนเฮเก้นกำลังจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีเรือใบสีฟ้าค่ำคืนนี่ในศึกยูฟ่าคัพรอบ3นัดแรก !

การออกมาวิพากษ์วิจารณ์คู่แข่งแบบนี้จึงถูกตีตกและไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะบั่นทอนกำลังใจของนักเตะเรือใบและกุนซือผมสีดอกเลาอย่างมาร์ค ฮิวจ์แน่นอน

อย่างไรก็ดี มีบุคคลสำคัญของวงการฟุตบอลยุโรปอีกท่านนึงอย่างมิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่าวัย 53ปีกำลังอิจฉาตาร้อนความร่ำรวยของแมนฯซิตี้อย่างออกหน้าออกตาเกินไปหน่อย

ล่าสุดออกมาประกาศจะออกกฏ 'Salary Cap' หรือการควบคุมเพดานค่าเหนื่อยให้ได้หลังจากก่อนหน้านี้ ทำไม่สำเร็จเสียทีเพราะไปขัดกับกฏหมายแรงงานของสหภาพยุโรป(อียู)ที่ไม่มีข้อกำหนดควบคุมเรื่อง'ค่าแรง' ของลูกจ้างแต่อย่างใด...

ประเด็นนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการฟุตบอลครับ มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าควรมีการควบคุมเรื่องค่าใช้จ่าย(Expenditure)ของสโมสรฟุตบอลหรือไม่?

หายังจำกันได้ลีดส์ ยูไนเต็ดยุคนึงก็เคย 'ช้อป' จน 'ถังแตก' ไม่มีปัญหาหาเงินมาจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะตัวเองเพราะทีมร่วงตกชั้นในปี2004

ครั้งนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษออกมาประกาศกันปาวๆให้ทีมอื่นระวังให้ดี หากใช้จ่ายเกินรายรับแล้วจะมีอนาคตดับอนาถเหมือนทีมยูงทอง
เชลซี 'อดีต'พ่อบุญทุ่มในพรีเมียร์ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำท่าจะแพ้ภัยตัวเองในเร็ววันนี้ โรมัน อับราโมวิชขาดทุนจากการประกอบธุรกิจส่วนตัวยับเยิน 'สิงโตน้ำเงินคราม' ไม่มีเงินทุ่มซื้อนักเตะเหมือยอย่างเคย แถมผลประกอบการล่าสุดก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเลขแดงแจ๋แบบนี้ ต่อไปคงต้องขายนักเตะกินแน่นอน

กลับมาที่แมนฯซิตี้ การที่พวกเค้าทำตัวเปรี้ยวยื่นเงินกว่า 100ล้านปอนด์ขอซื้อริคาร์โด้ กาก้าจากเอซี มิลานสร้างความแตกตื่นและถูก'สปอร์ตไลท์'ส่องให้โดดเด่นจากคนรอบข้างอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

การเป็นทีมที่รวยกว่ามีเงินทุนเยอะกว่า บางครั้งการจะย่างก้าวแต่ละทีก็เหมือนมีอุปสรรคขวากหนามตามรังขวาน (ครั้งนึงผู้คนก็เคยประนามเชลซีว่าทำลายเสน่ห์ของฟุตบอลเพราะอยากซื้อใครก็ได้และคว้าแชมป์ลีกมาได้ก็เพราะ 'เงิน')

มุมมองผมแล้วในเมื่อพรีเมียร์ฯเป็นองค์กรที่รู้เห็นทุกอย่างดีกว่าใครและยอมให้ชีคมันเซียร์เข้ามาเทคโอเวอร์ต่อจากคุณทักษิณเอง องค์กรฟุตบอลรวมทั้งยูฟ่าก็น่าจะต้องยอมรับให้ได้ว่าพวกเค้าต้องเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว

ไม่ใช่เห็นใครมีแนวโน้มดีหน่อย ก็คิดจะสกัดดาวรุ่งกันง่ายๆแบบนี้!?
แมนฯซิตี้เองถึงตอนนี้ต้องรีบพิสูจน์ตัวเองให้ได้ครับว่าไม่ใช่'มะเร็งลูกหนัง'อย่างที่ใครเค้ากล่าวหา....ระบบปั้นเยาวชนและส่งแมวมองไปตามพื้นที่ต่างๆทั่วโลกต้องพรีเซนต์ออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง
ส่วนจะซื้อใคร จ่ายค่าเหนื่อยเท่าไรมันก็เรื่องของเค้า ไม่ได้ไปหนัก(หัวกบาล)หรือเบียดเบียนใครสักหน่อย!!?

Tuesday 17 February 2009

จิ๊กซอร์ที่หายไป

หัวค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา ตัดสินใจออกไปดูฟุตบอลอีกครั้งครับหลังจากที่ 'คิกออฟ' นสพ.ที่ผมเขียนอยู่มีอันต้องปิดฉากลงไปแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวสักเท่าไร...

อารมณ์ทันทีที่ทราบข่าวจากเมืองไทย บอกตรงๆครับว่า'ช็อค'พอสมควรไม่คิดว่าอาชีพคอลัมนิสต์ฟุตบอลของผมจะสั้นขนาดนี้ มาเขียนแบบฟูลไทม์จริงๆก็ฤดูกาลนี้เอง !

ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมจึงไม่ได้ติดตามข่าวฟุตบอลที่ตัวเองเคยต้องนั่งปั่นทุกเช้าแต่อย่างใด ความรู้สึกมันประมาณเหมือน 'อกหัก' รับไม่ได้กับสิ่งที่ฝันอยากทำมาตลอดต้องมาพังทลายไปต่อหน้าแบบทำอะไรไม่ได้ นอกจาก 'ทำใจ'
แต่ด้วยเหตุผลและสิ่งดลใจหลายอย่างครับทำให้ผมเลิกนอยชีวิต ตัดสินใจกลับมาอัพบล็อคเขียนสิ่งที่ผมชอบเพื่อ 'เติมเต็ม' สิ่งที่มันขาดหายไปอีกครั้ง
การหันมองเพื่อนร่วมอาชีพด้วยกันซึ่งอายุงานเยอะกว่าผมหลายปีต้องตกอยู่ในสถานะ 'Unemploy' เหมือนกันหรือเห็นคนที่ลำบากหรือมีปัญหามากกว่าผมเยอะ พวกเค้าเหล่านี้ยังสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมี 'ความหวัง' ซึ่งเป็นสิ่งนึงที่ยึดเหนี่ยวให้มนุษย์อย่างเราๆที่ไม่ได้รวยล้นฟ้าพอจะยิ้มสู้ + รับมือกับโลกเพี้ยนๆเบี้ยวๆใบนี้ได้
บรรทัดนี้ก็ขอบคุณทุกคนที่มีแวะเข้าอ่านทั้งขาประจำอย่างคุณธาน,คุณเป้า,คุณTummyหรือคุณ Tim duncan จากบอร์ดสเปอร์สและอีกหลายท่านที่มาจากลิ้งค์ http://www.thaicentre.co.uk/directory/ ซึ่ง 'จ็อบ' เพื่อนที่น่ารักของผมอีกคนที่นี้ช่วยโปรโมตให้ (อยากบอกว่าซึ้งและเป็นสาเหตุสำคัญเลยล่ะที่ทำให้ผมกลับมา! ^^)
ก็เกริ่นเรื่องตัวเองซะเยอะครับ จริงๆจะบอกว่าไปดูเกมอาร์เซนอล VS คาร์ดิฟฟ์ ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมในเกมเอฟเอ คัพรอบ5มา ความน่าสนใจของเกมนี้สำหรับผมแล้วมีอยู่อย่างเดียวครับคือต้องการไปยลฟอร์มของเอดูอาร์โด้ ดาซิลวาหัวหอกโครแอตเชื้อสายบราซิลให้เห็นกับตาสักครั้งว่าเจ็บหนักถึงขั้นแข้งหักเป็น2ท่อนแล้วยังจะเล่นได้เหมือนเอดูดาร์โด้คนเดิมที่เคยยิง 'กระฉูด' เหมือนสมัยยังเล่นให้ดินาโม ซาเกร็บที่กดไป 73ประตูจาก 111 หรือไม่!?

อย่างที่คงทราบผลการแข่งขันไปแล้วอ่านะครับ เกมนี้เจ้า 'ดูดู้' กดไป2ตุงฉลองการคัมแบ็คกลับมาลงสนามอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเกมที่อาร์เซนอลต้อนคาร์ดิฟฟ์ไปสบายเท้า 4-0

ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีชจริงๆสำหรับคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สยดสยองอะไรแบบนั้นมา...ภาพเหตุการณ์วันที่หมอนี่โดนมาร์ติน เทยเลอร์ของเบอร์มิงแฮมยันเมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว หากเป็นนักฟุตบอลราบอื่นที่ใจตุ๊ดหน่อย เชื่อได้เลยครับว่าคงใช้เวลานานเลยละตัดสินใจว่าจะเอาไงกับชีวิตค้าแข้งดี เล่นต่อหรือแขวนเกือกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดี

แต่นี้กลับมาได้เร็วเกินคาดแถมยิงประตูได้ด้วย คงหาอะไรมาบรรยายการคัมแบ็คครั้งนี้ของ 'ดูดู้' ไม่ได้แล้วละครับนอกจากคำว่า 'The Perfect comback' หรือการกลับมาที่สมบูรณ์แบบที่สุดครั้งนึงในเกมฟุตบอลเลย
อาร์เซนอลถึงตอนนี้ผมเรตพวกเค้าไว้สูงมากนะครับ โอกาสคว้าแชมป์ลีกแม้แทบจะหมดลุ้นไปแล้วแต่โควต้าไปแชมเปี้ยนส์ลีก (อันดับ1-4)หากเล่นได้แบบนี้รับรองไม่หนีหายไปไหน วิลล่าที่ว่าแรงๆก็เถอะ โอกาส 'ปิ๋ว' เยอะมากขอบอก อย่าลืมพวกตอนนี้พวกเค้า 'จิ๊กซอร์เก่า' ที่ขาดหายไปอย่างเอดูอาร์โด้ กลับมาและ'จิ๊กซอร์ใหม่'ขั้นเทพนำเข้าจากรัสเซียนามว่า อังเดร อาร์ชาวิน !!

Friday 13 February 2009

I'll be back

มรสุมชีวิตเข้า...หยุดเขียนขอเวลาทำใจสักพัก แล้วจะกลับมาครับ สัญญา : )