Friday 28 November 2008

โอกาส "บิ๊กโฟร์" ในเวทียุโรปปีนี้ไม่ง่าย

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 5 สถานการณ์ของ "บิ๊กโฟร์" ที่เตะกันไปเมื่อวันอังคารและพุธที่ผ่านมาถือว่าสอบผ่านกันแบบ ฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียวแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของท่านหมื่นเฟอร์กี้ลงเล่นแบบชิวๆ ในการออกไปเยือนบีญาร์เรอัลที่สเปน ด้วยเงื่อนไขที่ทั้งคู่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากคะแนนนำโด่งแค่กอดคอกันก็เข้ารอบสบายแฮแล้ว ผลการแข่งขันที่ออกมาจึงถือว่าไม่ได้พลิกล็อกแต่อย่างใด เจ๊ากันไปแบบโนสกอร์ 0-0

อย่างไรก็ตามสิ่งนึงที่น่าสนใจคือทีมที่มีแนวรุกสุดหฤโหดอย่าง "ผีแดง" ออกอาการบ้อท่ายิงใครมาไม่ได้สองเกมติด ถือว่าผิดวิสัยแฟนๆ พอสมควร วยน์ รูนี่ย์ช่วงก่อนหน้านี้ฟอร์มร้อนดังสุกรพิโรธได้โอกาสสับไกจังหวะเจ๋งๆเป็นไม่ได้ ยิงเป็นหาย แต่สองเกมที่ผ่านมาดูฟอร์มและความเฉียบคมเหมือนจะดรอปลงไป วันอาทิตย์นี้ต้องออกไปเยือนคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแมนฯซิตี้หากยัง "ปิดบัญชี" กันไม่คมแบบนี้ไม่แน่เหมือนกันว่าแฟนผีอาจมีปวดใจได้

ด้าน "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซนอลที่ลงเล่นภายใต้ผู้นำทีมคนใหม่อย่าง เชสก์ ฟาเบรกาสถือว่าประเดิมสนามต่อหน้าแฟนๆ ในสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมได้ไม่เลว เมื่อโชว์สายตาเหยี่ยวฉวยจังหวะ ฟรีคิกเร็วเปิดบอลแม่นราวกับจับวางให้นิคลาส เบนด์เนอร์จับบอลลงมาแบบก้ำกึ่งจะแฮนด์บอลก่อนควบบอลเข้าไปในเขตโทษ ซัดด้วยอีซ้ายแบบเต็มเหนี่ยวฉลองสตั๊ดสีชมพูสวยสดให้ทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยสกอร์ไลน์สุดหวิว 1-0

ชัยชนะที่ได้มาส่วนนึงถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ขุนพลปืนโตชุดนี้จะใช้ฟื้นฟู สภาพจิตใจที่กำลังย่ำแย่ให้กลับคืนมาได้ไม่มากก็น้อย แต่หากใครได้ดูเกมนี้คงต้องบอกว่าลูกทีมของอาร์เซน เวนเกอร์ไม่ได้โชว์ฟอร์มได้เหนือกว่าดินาโม เคียฟผู้มาเยือนจากยูเครนสักเท่าไร อีกทั้งฟอร์มของวิลเลี่ยม กัลลาสกองหลังเจ้าปัญหาก็ยังดูแกว่งๆ ชอบกลมีจังหวะนึงโดนฉกบอลไปจากเท้าดื้อๆ เดชะบุญของเวนเกอร์ที่คงทำบุญมาเยอะจังหวะนี้อิสมาเอล บันกูร่าที่อุตส่าห์โชว์ลูกขยันยิงชนเสานอกออกไปอย่างน่าเสียดาย

ที่น่าห่วงยิ่งกว่าก็คือสไตล์เซ็กซี่ฟุตบอลที่ไหลลื่นเนียนตาดูจะหายไปตั้งแต่ วันโดนวิลล่าบุกมาส่องคาบ้านเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ลากยาวมาเรื่อยจนถึงเกมล่าสุดขณะที่ปัญหาเดิมๆ อย่าง "ความหนัก" ในแดนกลางที่ขาดหายไปก็ยังคงอยู่ (จนกว่าจะซื้อพวกมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนมาสักคน) และแนวรับที่ยังดูหละหลวมก็ไม่ได้หนีหายไปไหน อาทิตย์นี้เจอเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์หากไม่ท็อปฟอร์มจริงๆ บอกตามตรงว่าโอกาสชนะยากครับแม้ว่าสิงห์บลู 2 นัดที่ผ่านมา จะดูเนือยๆ ไปก็ตาม

เกมกับบอร์กโดซ์...หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ก็จัดทัพใหญ่ออกรบตามปกติเหมือนเช่นเคยก็จริงแต่การที่ผู้เล่นตัวหลักบางรายตัวอย่างเช่นจอห์น เทอร์รี่ที่ต้องลงบัญชาเกมรับแบบติดๆ ไม่ได้พักเลยทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีปัญหาเจ็บเล็กน้อย ขณะที่โอบี มิเกล, แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือนิโก้ อเนลก้าก็ถูกใช้บริการแบบ Non-Stop ทำให้ความสดดูจะลดน้อยลงไปและโดนตีเสมอในช่วงท้ายเกมด้วยสถานการณ์ถึงตอนนี้จึงยังเข้ารอบไม่ชัวร์ 100% แต่เกมหน้าดีหน่อยได้เล่นในบ้านเจอทีมที่ตกรอบแน่นอนแล้วอย่างเอฟซี คลูจ คงไม่น่ามีปัญหา
การจัดผู้เล่นชุดใหญ่ยืนพื้นลงสนามในทุกเกมมองเผินๆ แล้วถือเป็นเรื่องที่ดีครับ เพราะโอกาสจะทำแต้มตกหล่นมีน้อย อย่างไรก็ดีถือว่าเป็นดาบสองคมได้เหมือนกันหากว่าความเหนื่อยอ่อนและ ความล้าเข้ามาทำให้นักเตะฟอร์มหนืดไปซะดื้อๆ เหมือนอย่างที่ผมกำลังกลัวว่ามันอาจเกิดกับเชลซีได้หากว่า "บิ๊กฟิล" ไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหานี้ให้ดี

อย่าลืมว่าฟุตบอลนับจากนี้เป็นต้นไปจะเดินทางเข้าสู่ช่วงโปรแกรมหฤโหด แทบไม่มีเวลาให้นักเตะได้หายใจหายคอกันเลย ดังนั้นหาก "บิ๊กฟิล" ไม่เอาพวกตัวสำรองอดทนอย่างเวย์น บริดจ์, เปาโล เฟอร์ไรร่า, ซาโลมง กาลูหรือสกอตต์ ซินแคลร์ ลงมาสลับสับเปลี่ยนเกมละคนสองคนบ้างพวกตัวหลักมีหวังได้กรอบกันเป็นข้าวเกรียบทอดฮานามิแน่ๆ ครับ ^^

อีกอย่าง...สถานการณ์ของเชลซีในเวลานี้ไม่ใช่เศรษฐีที่มีแบงก์เป็นปึกเต็มกระเป๋าสตางค์อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าเจ้าของทีมอย่างโรมัน อบราโมวิชสูญเสียรายได้ไปเยอะจากพิษเศรษฐกิจที่เล่นงานซะจนอ่วมอรทัย หากตามข่าวกันดีๆ จะเห็นว่าพวกเค้าเริ่มทำการ Cut cost หรือตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกมาได้สักพักนึงแล้ว ไหนจะบอกเลิกสัญญาแมวมองสโมสรที่ฝังตัวอยู่ทั่วโลกเกือบสิบรายเห็นจะได้ ล่าสุดก็มีข่าวแฟรงค์ อาร์เนเซ่นหัวหน้าแมวมองและพัฒนานักเตะเยาวชนจะถูกปลดออกกับเค้าด้วย ผมว่างานนี้เชลซีเห็นทีจะเข้าขั้นลำบากจริงและเปิดตลาดเดือนมกราคม ดิดิเยร์ ดร็อกบาที่มีข่าวดอดไปคุยกับตัวแทนอินเตอร์เผลอๆ ก็ได้ย้ายทีมสมใจละครับหากว่าสิงห์บลูช่วงนี้เกิดหน้ามืดร้อนเงินขึ้นมาจริงๆ

มาถึงทีมสุดท้ายหงส์แดงขวัญใจมหาชนของแฟนบอลหลายคน (แต่โดนน้องไก่ผมจิกนะ ฮิฮิ) นัดล่าสุดได้ "ฮีโร่" คนเดิมอย่างสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดขวิดบอลสุดสวยตุงตาข่ายช่วยทีมคว้า 3 แต้ม เอาไว้ได้อีกแล้ว
เกมนี้ราฟา เบนิเตซส่งทีมลงเล่นด้วยระบบ 4-2-3-1 โดยใช้หัวขิงเป็นหน้าต่ำคอยสนับสนุนเกมรุกเฟร์นานโด ตอร์เรส รูปเกมเท่าที่ดูไฮไลต์ผมว่า โอเคพวกเค้ายังเก็บชัยชนะถูไถไปได้เรื่อยๆ ในเกมที่เจอทีมที่ไม่ได้มีอะไรดีเด่มากอย่างมาร์กเซย์ แต่รอบต่อไปซึ่งแน่นอนว่ามีแต่ทีมที่เขี้ยวและ จัดจ้านกว่านี้เยอะหากหงส์แดงยังเล่นได้มาตรฐานและรูปเกมอย่างที่เห็น ผมเกรงว่าพวกเค้าอาจจะโดนหมัดน็อกตากความไม่ดุดันที่มีมากพอในเกมรุก ร็อบบี้ คีนที่อุตส่าห์ไปสอยมาราคาแพงก็ทำท่าจะสอบตกในรั้วแอนฟิลด์

ครับ นี่คือสถานการณ์ล่าสุดจากที่ผมเห็นและวิเคราะห์ออกมาตามเนื้อผ้า ไม่ได้เลือกเชียร์ทีมไหนเป็นพิเศษเพราะลึกๆ แล้วหวังไว้ว่าวันนึงน้องไก่จะมาเล่นในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีกกะเค้าบ้าง (ป่านนั้นลูกคงโตแล้ว ฮา) เอาเป็นว่าผมเอาใจช่วยทุกทีมละครับที่มาจากเกาะอังกฤษไหนๆ ก็พำนักอยู่ที่ประเทศเค้าแล้วนี่ !

Thursday 27 November 2008

ความเชื่อ ?


รู้ถึงไหนอายถึงนั่นครับสำหรับเหตุบ้านการเมือง ของประเทศไทยเราที่นับวันจะวิกฤติเข้าไปทุกที ...นี่ล่าสุดหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ในอังกฤษก็ตีแผ่ข่าวนี้ให้ประชาชน ของเค้ารับทราบเพื่อที่จะได้เป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจ หากคิดจะมาพักผ่อนหย่อนใจก็ให้ระวังให้ดี เนื่องจากสนามบินแห่งชาติ ของเรากำลังถูกล้อมจากกลุ่มพันธมิตร

จะอ้างว่าเป็นการทำเพื่อชาติหรือทำเพื่อใครอันนี้ ไม่ขอออกความเห็นแต่การกระทำแบบนี้แน่นอนว่า "ภาพลักษณ์" ของประเทศเสียหายหลายแสน (ซึ่งจริงๆแล้วมิอาจประเมินเป็นราคาค่างวดได้เลย) ยิ่งเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเข้าสู่ช่วงถดถอยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่คาดการณ์กันว่าจะลดลงกว่า ครึ่งยิ่งมาเจอข่าวเสียแบบนี้ซ้ำเติมเข้าไปอีก ก็แน่นอนครับว่าพวกธุรกิจทัวร์, โรงแรม หรือสายการบินเตรียมปลดพนักงานที่ไม่จำเป็นรอได้เลย

ถึงตรงนี้ออกตัวก่อนว่าผมซึ่งจากประเทศไทยมาได้ 2 ปีกว่าๆแล้วไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายไหนทั้งสิ้นเนื่องจากเบื่อเรื่องการเมืองที่นับวันจะยิ่งเน่าเฟะขึ้นทุกที แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะขอเขียนถึงเนื่องจากเป็นห่วงอนาคตของประเทศที่ปัญหาการเมือง ยังไม่คลี่คลายปัญหาเศรษฐกิจก็กำลังจะเข้ามารุมเร้าอีก...อะไรกันนักหนาเนี่ย !!?

อ่านะ อ่านแล้วก็อย่าอินตามผมมากล่ะแบบว่าอยากให้ท่านผู้อ่านใดที่ไม่ค่อยได้ตามข่าว บ้านการเมืองได้รับรู้ข้อตรงนี้เอาไว้บ้างว่าต่างชาติเค้ามองเราอย่างไร และสำหรับท่านใดที่ตามอยู่แล้วก็ไม่อยากให้ไปโฟกัสหรือซีเรียสกับมันมาก เอาเวลาไปใส่ใจเรื่องงานหรือเรื่องเรียนแบบเพียวๆเป็นหลักดีกว่า คิดซะว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดพวกเรามันคนนอกคงทำอะไรมากไม่ได้นอกจากทำวันนี้ให้ดีที่สุดกันไป เรื่องใช้จ่ายก็ต้องมัธยัสถ์กว่าเดิมขึ้นอีกนิดชีวิตบั้นปลายจะได้ไม่ลำบาก ส่วนเรื่องการเมืองหากมีการเลือกตั้งอีกที (ซึ่งคงเกิดขึ้นแน่) ก็อยากให้ไปออกสิทธิ์แสดงพลังประชาธิปไตยกันเลือกคนที่ท่านคิดว่า "ใช่" ที่สุดเข้ามารับใช้ประเทศ ชีวิตและปากท้องพวกเราขึ้นอยู่กับบุคคลกลุ่มนี้นะครับ

สำหรับคอบอล คอหวยที่ชอบเสี่ยงโชคทั้งหลายก็เพลามือเพลา ไม้ลงกันหน่อยนะฮะเข้าใจว่าเงินทองมันหายาก บางทีการเสี่ยงแบบนี้ก็ดูได้ผลตอบแทนเร็วดี (ไม่เหนื่อยด้วย) แต่จากการที่ผมลองมาหมดแล้วในอดีต (ฮา) ขอบอกว่าสุดท้ายแล้วมันไม่เวิร์กหรอกครับ เจ้ากับโต๊ะ มีแต่รวยกับรวยเล่นกันพอเป็นพิธีขำ ๆ ให้หัวใจได้ Exercise กันพอหายอยากก็พอแล้วเด้อ

ผมเองทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะเลิกขาดนะครับยังแอบวิ่ง ไปใส่บอลชุดที่ William Hill (ร้านรับพนันแบบถูกกฎหมายที่นี้) อยู่เรื่อยๆแต่เล่นที 1 ปอนด์กาทีเกือบสิบคู่กะว่าถ้าถูกก็รวยกันไปเลยทีเดียว ฮาๆแบบว่าถือคติชีวิตอยู่ได้ด้วยความฝัน ความหวัง และความเชื่อ

พูดถึงเรื่อง "ความเชื่อ" แล้วก็ขอวกเข้าเรื่องฟุตบอลสักนิดเถอะพอดีว่าอาทิตย์ก่อนอ่านเจอในเว็บ Four Four Two ซึ่งเป็นแม็กกาซีนฟุตบอลรายเดือนชื่อดังของอังกฤษได้ทำการวิจัย เรื่องความเชื่อและหลักปฏิบัติก่อนเกมของแฟนบอลผู้ดี (Pre-match ritual designed) จำนวนสองล้านคนปรากฏว่าพี่ไทยเราที่เชื่อเรื่องโชคลางคงต้องชิดซ้ายและอ่านทางนี้ครับ

1 ใน 3 ของแฟนบอลเชื่อว่าการที่พวกเค้าเลือกนั่งผับหรือบาร์ไหนแล้ว ทีมชนะสัปดาห์ต่อไปที่มีแข่งอีกก็จะนัดรวมตัวกันที่เดิมเพื่อ "ดื่ม" อีกแต่หากว่าแพ้ก็จะย้ายไปผับอื่น ขณะที่ 21% ถือเคล็ดเสื้อผ้า "นำโชค" อย่างเช่นการใส่ผ้าพันคอ ถุงเท้า และชั้นในสีเดียวกันจะทำให้ทีมชนะ 10% เชื่อเรื่องอาหารนำโชค ที่แปลกกว่าก็คือคู่รักบางคู่มีเซ็กส์กันก่อนเกมจะเริ่ม!! (อันนี้น่าสน 555)

ไม่ใช่เฉพาะแฟนบอลนะครับที่มีความเชื่อส่วนตัวแผลง ๆ ก่อนเกม จอห์น เทอร์รี่ที่หน้าตาไม่น่าจะงมงายเรื่องพวกนี้ก็จะมีสนับแข้งนำโชคส่วนตัวและ ฟังซีดีโปรดของตัวเองทุกครั้งในห้องแต่งตัว, ริโอ เฟอร์ดินานด์เอาน้ำราดหน้าตัวเองในอุโมงค์นักเตะก่อนเดินลงสนาม และเดวิด เบ็คแฮมก็เอากับเค้าด้วยต้องหาสัญลักษณ์หรือชื่อนำโชค (ชื่อกิ๊กหรือชื่อลูกเมีย หว่า?) มาแปะไว้ที่รองเท้าสตั๊ดตัวเอง

แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ อัจฉริยะสันหลังยาวอดีตฮีโร่ของ "นักบุญ" เซาแธมป์ตันได้ออกมาคอมเมนต์ถึงเรื่องความเชื่อพวกนี้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการฟุตบอลแต่อย่างใดเนื่องจากตัวเค้าเอง สมัยเป็นนักเตะก็เคยได้รับของขวัญปีใหม่เป็นถุงเท้า Mr Blobby (ตัวการ์ตูนชื่อดังในรายการทีวีอังกฤษ) สีชมพูสด ใส่ลงสนามมาแล้ว !

ครับ เรื่องพวกนี้ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่เพราะนักกีฬาดังๆ ที่เราเห็นหลายคนอย่างพี่บอลของน้องนาตาลีก็เคยมีเสื้อสีแดงแรงฤทธิ์ไว้เป็น "ท่าไม้ตาย" แต่ช่วงหลังชักไม่เวิร์กเลยเลิกไป ส่วนล่าสุดนี่ก็นิคลาส เบนด์ทเนอร์ใส่สตั๊ดสีชมพูหวานแหววได้อีกลงสนามให้สนาม ให้อาร์เซนอลนัดที่สองแล้วซัดประตูเคียฟได้ด้วยเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าพี่แกจะถือเคล็ดหรือประชดอะไรวิลเลี่ยม กัลล่าส์รึเปล่าที่ออกมาเรียกร้องให้แข้งปืนโตโชว์ความห้าวหาญในสนามมากกว่านี้ ฮา

ส่วนบางประเทศแบ่งความเชื่อออกเป็นสองขั้ว เหลืองกับแดงต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าทำ "เพื่อชาติเพื่อประเทศ" แต่ที่เห็นมีแต่ความป่นปี้และเสียหาย แบบนี้สู้ไม่แบ่งสีแบ่งข้างจะดีกว่ามั้ยตัวเอง ? เวรของกรรมพิมพ์ไปพิมพ์มาไหงมาจบลงที่เรื่องการเมืองฟร่ะตรู วันนี้พอเท่าแค่นี้ดีกว่าเดี๋ยวจะยาว ^^
Top 10 ความเชื่อของแฟนบอลในอังกฤษ
1. ผับนำโชค 35 %
2. เสื้อผ้านำโชค 21 %
3. ของกินนำโชค10 %
4. ใช้เส้นทางเดิมในการไปสนาม9%
5. พนันขันต่อทีมรักตัวเองทุกเกมที่ลงสนาม 4%
6. มีเซ็กส์กับคนรัก 3%
7. จอดรถที่เก่าเวลาเดิม3%
8. ฉี่ที่ห้องน้ำเดิม 3%
9. สวดมนต์ 3%
10. ฟังเพลงสุดโปรด 2%

Wednesday 26 November 2008

เวนเกอร์คิดไม่ผิดที่เลือกเชสก์

ปัญหาวุ่นและเยอะได้อีกครับสำหรับอาร์เซนอล ซีซั่นนี้ไหนจะฟอร์มการเล่นเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้, สไตล์และปรัชญาของเวนเกอร์ที่ถูกตั้งแง่หรือล่าสุดที่วิลเลี่ยม กัลลาสออกมาทิ้งขี้ก้อนใหญ่ให้ทีมจนถูกริบ ตำแหน่งกัปตันทีม ไปสดๆ ร้อนๆ ก่อนเกมกับแมนฯซิตี้ นั้นแหละ

สกอร์ 3-0 ที่โดนยำจนเละกลับออกมาจากสนามซิตี้ ออฟแมนเชสเตอร์เมื่อวันเสาร์ผมถือว่าไม่ผิดวิสัยมาก นักเนื่องจากนักเตะส่วนใหญ่ในทีมชุดนี้ "ความเป็นผู้ใหญ่" อย่างที่เคยเรียนไปว่ายังอ่อนชั้นนักหากจะเทียบ กับโคตรทีมอย่างแมนฯยูฯ หรือเชลซีที่นักเตะส่วนใหญ่ในทีมผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก และถึงแม้จะมีการทำแต้มตกหล่นไประหว่างทางแต่ก็ถือว่า "จิตใจ" และ "ประสบการณ์" ที่สั่งสมกันมาจากพวกรุ่นเก๋า ถ่ายทอดไปให้ยังเติร์กรายอื่นๆ ในทีมทำให้ภาพรวมของสองทีมนี้มีความสุขุม+นิ่งกว่าเมื่อไรก็ตามที่ต้องเล่นบทผู้ตาม ฉะนั้นปัญหา ฟอร์มแกว่งแบบติดๆ กันจึงไม่ค่อยจะเกิดขึ้น ผิดกับอาร์เซนอลทุกยุคที่มักจะพลาดยาวจนกระเด็น หลุดจากเส้นทางการลุ้นแชมป์มาให้เห็นกันเป็นภาพชินตา

สำหรับตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ชิพในปีนี้นั้นหากแมว ไม่ออกลูกเป็นนกหรือนักการเมืองไทยเลิกทำนิสัย "Dog Dog" ได้ภายในสามวันเจ็ดวันอาร์เซนอลก็คงจะ พอหวังอยู่บ้างที่จะลุ้นแชมป์กับหงส์ สิงห์และผี อย่างไรก็ดีสองเงื่อนไขที่ผมอ้างมามันไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ฉะนั้นปีนี้แฟนปืนโตทั้งหลายหากเป็นพวกที่ยอมรับ ความจริงได้ก็ต้องยอมรับแบบแมนๆ นะครับว่าปีนี้ทีมของพวกคุณไม่พร้อมจริงๆ

"ภายใต้วิกฤติยังมีโอกาส" คำพูดนี้ยังสามารถหยิบ เอามาใช้ได้อยู่เรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน รวมถึงเรื่องยุ่งๆ ในแคมป์อาร์เซนอล เพราะล่าสุดเมื่อกลางดึกวันจันทร์ที่ ผ่านมาอาร์แซน เวนเกอร์ได้ทำสิ่งที่ถูกที่ควรอีกครั้ง เมื่อตัดสินใจแต่งตั้งเชสก์ ฟาเบรกาสเป็นกัปตันทีม แบบถาวรของทีมก่อนเกมชนกับดินาโม เคียฟ

ถือเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม + เหมาะสมทุกประการเนื่องจาก เชสก์ถือเป็นนักเตะที่อยู่กับทีมตั้งแต่อายุ 16 ย่าง 17 และคาแรกเตอร์ "ผู้นำ" ชัดเจนมากทั้งในแง่ความสามารถและทรรศนะคติที่ดีกว่ากัปตัน คนเดิมอย่างกัลลาสหรือแคนดิเดตในตำแหน่งนี้อย่างมานูเอล อัลมูเนียที่ความเก๋าได้แต่บุคลิกไม่ให้หรือกาเอล คลิชี่ที่ความสามารถได้แต่ไม่เป็นที่ยอมรับมากพอจากเพื่อนร่วมทีม

ส่วนอนาคตของกัลลาสที่แฟนปืนรวมถึงคอบอลอังกฤษ ส่วนใหญ่เกลียดขี้หน้าหมอนี่เป็นที่สุดและ อยากให้เวนเกอร์ขาย ทิ้งไปซะในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคมนี้ ผมดูแล้วคิดว่าด้วยค่าเหนื่อยแพงระยิบ?90,000 ปอนด์/สัปดาห์น่า จะทำให้ทีมในลีกเอิงบ้านเกิดแม้จะเป็นทีมยักษ์ใหญ่อย่าง PSG, โอลิมปิก มาร์กเซย์หรือลียงคงไม่กล้าแหยมขอซื้อกัลลาสเร็ววันนี้ อย่างน้อยๆ คงรอให้เจ้าตัวอายุมากขึ้น ค่าตัว + ค่าเหนื่อยลดลงค่อย ยื่นข้อเสนอให้อาร์เซนอลอีกที มากไปกว่านั้นการ ที่อาร์เซนอล ยังคงมีปัญหาในแนวรับ และไม่สามารถหาใคร มาทดแทน ได้ประสบการณ์&ความสามารถของ กัลลาสก็จะยังพอมีประโยชน์กับทีมยังบลัดชุดนี้อยู่ อย่างไรเสียเวนเกอร์คง ต้องทู่ซี้ใช้งานไปก่อนหากเปิดตลาดเดือน มกราคมได้นักเตะที่มีข่าวอย่างแมทธิว อัพสันมาจริงๆ ก็ค่อยว่ากันอีกทีว่า จะเอาไงกับกองกลางเจ้าปัญหารายนี้

ขณะที่ข้อสงสัยที่ว่าฟาเบรกัสในวัยเพียงแค่ 21 ปี พร้อมแล้วหรือกับ ตำแหน่งที่ต้องแบกรับ ภาระอันสุดกดดันนี้ ผมว่าขนาดกัลป์ลาสวัย 31 ปี ยังทำตัวง่องแง่งเหมือนเด็ก ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมได้ขนาดนี้ เรื่องอายุกับตำแหน่งกัปตันทีมก็คงไม่เรื่อง สลักสำคัญอะไรแล้ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า คนคนนั้นมีคุณสมบัติ "ผู้นำ" เพียงพอหรือเปล่าที่จะนำ "สปิริต" กลับคืนมาสู่ทีมปืนโตอีกครั้ง

Monday 24 November 2008

สเปอร์สชนะก็จริงแต่จุดอ่อนยังมี


วันอาทิตย์ที่ผ่านมาขณะกำลังนอนหลับสบายๆใต้ผ้าห่มขนเป็ดสุดหนาของผมก็ต้องสะดุ้งโหยงลุกขึ้นมาจากเสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ ณ เวลา 9โมงตรง

‘โหย ยังไม่อยากตื่นเลย’ผมคิดในใจเนื่องจากคืนวันเสาร์นั่งดูหนังเรื่อง ‘Me myself ขอให้รักจงเจริญ’ จบเกือบตีสี่ เปิดตาขึ้นมาเห็นภาพหิมะโปรายปรายลงมาจากหน้าต่างบานใหญ่ทั้งสองในห้องนอน ความรู้สึกเซอร์ไพร์สปนตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะนานๆทีลอนดอนจะมีหิมะตก (ส่วนใหญ่จะมีในพื้นที่ทางเหนือของอังกฤษเช่นเมืองแมนเชสเตอร์หรือนิวคาสเซิ่ลซึ่งใกล้กับสก็อตแลนด์) จึงทำให้ตัดสินใจรีบดีดตัวเองลุกขึ้นมาเตรียมตัวไปดูเกมคู่สเปอร์ส-แบล็คเบิร์นที่ไวท ฮาร์ท เลนดีกว่าครั้งนี้ว่าจะไปเดินเล่นในสเปอร์สเมกะสโตร์ด้วยแบบว่าเลือดเศรษฐีเดือดอยากซื้อของสนองตัณหา !!(จริงๆแล้วก็ได้แค่เดินมองอ่ะครับไม่มีปัญญาซื้อ ฮา)

การเดินทางจากบ้านผมที่ Earl’s court ไปสนามของสเปอร์สซึ่งอยู่ใกล้กับสเตชั่น Seven Sisters ถือว่าไม่ใกล้เหมือนการไปสนามของเชลซีหรือฟูแล่มครับเพราะใช้เวลานั่ง Underground(รถไฟใต้ดิน) + รถเมล์ต่อกินเวลาร่วมๆชั่วโมงเหมือนกัน

วันนี้สภาพอากาศจัดเข้าขั้นหนาวมากแต่ยังไม่หนาวสุดเพราะวัดอุณหภูมิได้ประมาณ4องศาแต่ไอ้การที่มีฝนตกปรอยๆ + ลมพัดแรงๆเนี่ยสิครับท่านผู้อ่านเอกพลผู้กลัวความหนาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงหัวหดไม่กล้าเดินเล่นรอบสนามอย่างตั้งใจไว้เลยครับพี่น้อง 555
ไฮไลท์ที่น่าสนใจก่อนเกมนี้แฮร์รี่ เรดแนปป์มีการนำทอม ฮัลเดิลสตันกองกลางดาวรุ่งหุ่นเฮฟวี่ เวตไปเปรียบกับเกล็น ฮอดเดิ้ลอดีตตำนานในเล้าไก่ว่าเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถในการผ่านบอลสั้น-ยาวยอดเยี่ยมไม่แพ้กันนอกจากนี้ยังบอกว่าจะใช้หมอนี่เป็นเป็นจอมทัพของทีมในการขึ้นบอลและควบคุมจังหวะของเกม โดยตำแหน่งหากเปรียบกับอเมริกันฟุตบอลก็จะคล้ายๆกับควอเตอร์แบ็คที่คอยจ่ายบอลจากแนวหลังให้พวกกองหน้าหรือตัวจี๊ดอย่างเบนท์, พาฟลิวเชนโก้, เลนน่อลหรือแคมป์เบลล์ต้องพยายามวิ่งหาพื้นที่ว่างใช้ความได้เปรียบจากลูกจ่ายอันคมกริบของฮัลเดิลสตันเจาะแนวรับคู่แข่งแบบไม่ต้องเสียเวลาต่อบอลให้มากจังหวะเกินความจำเป็น

เกมนี้หากได้ดูกันก็คงจะเห็นพ้องตรงกันกับผมนะครับว่า ‘ลุงจ่า’ใช้ทอมมี่เป็นศูนย์กลางในการขึ้นบอลอย่างที่ว่าเอาไว้และวางบอลสวยๆที่มีให้เห็นอยู่เป็นระยะ โดยนัยแฝงของเรื่องนี้ก็คือ‘ที่ว่าง’ ในตำแหน่งมิดฟิลด์คู่กลางจะเหลืออีกเพียงที่เดียวสำหรับดิดิเยร์ โซโกร่า, เจอร์เมน จีนัสหรือลูก้า โมดริชที่จากนี้คงต้องเค้นผลงานออกมาให้ดีหากอยากลงเล่นอย่างต่อเนื่อง (งานนี้ผมแอบแช่งให้เจ้าจีนัสโดนดองเค็มครับเพราะจ่ายบอลเสียบ่อยมาก)

11ผู้เล่นที่ทั้งสองทีมส่งลงสนามในเกมนี้ถือว่าเป็นชุดใหญ่ที่จัดลงมาเลยก็ว่าได้ ‘เจ้าถิ่น’สเปอร์สลงเล่นในระบบ 4-4-2 มีเลดลีย์ คิงกับโจนาธาน วู้ดเกตลงคุมเกมในแนวรับโดยขณะที่ตำแหน่งแบ็คซ้าย แกเรธ เบลที่พักหลังฟอร์มออกทะเลโดนดร็อปไปเป็นตัวสำรองแต่ยังทำหน้าระรื่นและแลบลิ้นใส่ผมด้วยนะ ! (พอดีผมมองและยิ้มให้ขณะที่เจ้าตัวกำลังเดินมานั่งที่ซุ้มม้านั่งสำรอง)

ตำแหน่งปีกซ้ายวันนี้เรดแนปป์จับเดวิด เบนลีย์มายืนแทนโมดริชที่เดี้ยงส่วนแอร่อน เลนน่อลได้ลงประจำการทางกราบขวากองหน้าเป็นดาร์เรน เบนท์คู่โรมัน พาฟลิวเชนโก้

ทางฝั่งแบล็คเบิร์นดูแล้วก็น่าจะเป็นชุดที่ดีที่สุดเช่นกันขาดแค่คาร์ลอส บีญานูเอล่าและสตีเฟ่น วอร์น็อคส่วนตำแหน่งอื่นๆยังอยู่กันครบทั้งแกมต์ พีเดอร์เซ่น, เบร็ตต์ เอเมอร์ตันในตำแหน่งปีกทั้งสองข้างส่วนกองหน้าเกมนี้ใช้โรเก้ ซานตา ครูซ คู่เบนนี่ แม็คคาร์ธี่ย์

รูปเกมโดยรวมเป็นเจ้าถิ่นสเปอร์สที่เป็นฝ่ายเปิดเกมบุกใส่อยู่แทบจะวันเวย์เพราะกองกลางช่วยกันวิ่งบี้จนมิดฟิลด์แบล็คเบิร์นครองบอลกันไม่ถนัดและต่อบอลกันเสียเองบ่อยครั้ง ความผิดพลาดในนาทีที่ 9 ประตูขึ้นนำและประตูเดียวของเกมนี้ก็เกิดจากการวิ่งเข้ามาบีบเร็วของแอร่อน เลนน่อลที่วิ่งมาฉกบอลไปจากเท้าของมาร์ติน โอลส์สันแบ็คซ้ายทีมเยือนและใช้สปีดเร็วกว่านรกลากบอลไปจนสุดเส้นหลังตบกลับเข้ามาให้ ‘โรมัน 5หลา’ ที่ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับโจ้ห้าหลาของไทยเราแต่สไตล์การเล่นเหมือนกันยังกับก็อปกันมาปาดบอลเข้าไปง่ายๆ 1-0

ครับ ในจังหวะนี้จะยกเครดิตให้โรมัน พาฟลิวเชนโก้คนเดียวคงไม่ถูกเพราะ‘พระเอกตัวจริง’ของเกมนี้ที่ชื่อว่าแอร่อน เลนน่อลได้กลับมา Re-born จุติฟอร์มเทพอีกครั้งนึงแล้วหลังจากที่ภายใต้ยุคของฆวนเด้ รามอสปีกขวาเล็กพริกขี้หนูรายนี้เป็นแค่หนูถีบจักรที่ไร้ซึ่งอิสระภาพทางการเล่นและโดนจำกัดไอเดียในการสร้างสรรค์เกมไปพอสมควร แต่ฟอร์มแบบนี้การที่เรดแนปป์ออกมาสนับสนุนให้ฟาบิโอ คาเปลโล่ให้ชายตาแลเลนน่อลบ้างในตำแหน่งปีกขวาทีมชาติอังกฤษไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลยเพราะก่อนหน้านี้นักเตะหลายคนที่ฟอร์มอยู่ในช่วง ดาวน์สุดๆก็เรดแนปป์ก็สามารถพลิกฟอร์มพวกเค้าได้ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา...

ดาร์เรน เบนท์กลับมายิงกระจุยกระจายเหมือนในช่วงปรี-ซีซั่นอีกครั้ง, เลดลีย์ คิงลงเล่นติดๆกันได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เล่นนัดพักนัดมาตลอด, โรมัน พาฟลิวเชนโก้ถึงจะยังไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกม+ดูนุ่มนิ่มเกินไปสำหรับบอลหนักๆในอังกฤษเหมือนเดิมแต่อย่างน้อยเรดแนปป์ก็ดึง ‘จุดเด่น’ หมอนี่ออกมาได้ในการยืนหาตำแหน่งสวยๆพังประตูให้ทีม หรือ ทอม ฮัลเดิลสตันก็กำลังพัฒนาฟอร์มการเล่นได้อย่างต่อเนื่อง ฯลฯ
แต่ทว่าคนนึงที่ฟอร์มยังน่าเป็น
ห่วงเหมือนเดิมคือฮูเรลโญ่ โกเมสนายทวารแซมบ้าที่เกมนี้ดูแล้วทั้งสีหน้าและผลงานการออกมาคว้าลม+ทำบอลหลุดมือ(อีกแล้ว)

“It’s very sad. Sometimes at night I worry about it and can’t sleep. I just think: why am I so lonely on the pitch? I go to sessions with my psychiatrist . . . It’s lonelier for a goalkeeper than a striker, but I can cope with it because I’ve been playing football for a long time” - Edwin van der Sar

ประโยคนี้คือนิยามความรู้สึกของเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ซาร์ที่มีต่อตำแหน่งผู้รักษาประตูที่เค้าทำหน้าที่มาเนิ่นนานหลายปี...คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าตำแหน่งนี้ถือว่าอ้างว่างโดดเดี่ยวและเครียดกว่าตำแหน่งอื่นๆในสนามมากทีเดียว

ฮูเรลโญ่ โกเมสอาจจะดูเป็นตัวตลกในสายตาของทุกฝ่ายนะครับในเวลานี้แต่ลึกๆแล้วผมเชื่อว่าเมื่อไรก็ตามที่เรดแนปป์และโทนี่ ปาร์คโค้ชผู้รักษาประตูคนใหม่ของสเปอร์สสามารถหาทีเด็ดมาฟื้นฟูฟอร์มและความมั่นใจโกเมสให้กลับมาสูงเหมือนเดิมได้เมื่อไร เมื่อนั้นอดีตรองนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกฮอลแลนด์ปีที่แล้วจะเริ่มตอบแทนค่าตัว 7.8ล้านปอนด์ให้สเปอร์สคุ้มเกินคุ้มแน่นอน

สรุปภาพของทีมตราไก่ในเวลานี้นะครับ การที่สเปอร์สเล่นกับแบล็คเบิร์นซึ่งมีผู้เล่นเพียงแค่10คนตั้งแต่นาทีที่40 แต่กลับยิงประตูเพิ่มไม่ได้ประเด็นนี้ผมถือว่าน่าสนใจมากว่าหากเจอคู่แข่งที่เขี้ยวกว่าทีมกุหลาบไฟ ดีไม่ดีสเปอร์สอาจจะโดนตีเสมอถึงแพ้ได้อีกทั้งฟอร์มของกองหน้าที่แม้ผลงานส่วนตัวจะทำได้ดีแต่การประสานงานของทั้งเบนท์และพาฟลูยังถือว่า‘ไม่ผ่าน’เมื่อบวกกับประเด็นฟอร์มร่วงมหาราชของโกเมสแล้วถือว่า‘ลุงจ่า’แฮร์รี่ยังต้องปรับปรุงอีกหลายจุดทีเดียวครับ

Friday 21 November 2008

อังกฤษกับตำแหน่งแชมป์โลก...ฝันที่ไม่ไกลเกินจริง

ปิดฉากเกมทีมชาตินัดสุดท้ายของปีนี้ได้ สวยสดงดงามเหลือเกินครับสำหรับการทำหน้าที่ของฟาบิโอ คาเปลโล่กุนซือชาวอิตาเลียน ที่พาอังกฤษบุกไปเอาชนะทีมสุดเขี้ยว อย่างเยอรมันได้ถึงกรุงเบอร์ลิน 2-1 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปีเลยทีเดียวที่ทีมอินทรีเหล็กแพ้คาบ้านตัวเองแบบนี้ ทีมสุดท้ายที่บุกมายัดเหยียดความปราชัย ให้พวกเค้าได้คือสุดยอดทีมอย่างบราซิลในปี 1973...

จริงอยู่แม้แมตช์นี้จะไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมาก เนื่องจากเป็นแค่เกมกระชับมิตรธรรมดาแต่ในแง่ของ "ศักดิ์ศรี" ของเกมคู่นี้ที่เตะกันทีไรก็อย่างที่ผมได้เรียนไปใน คอลัมน์เมื่อวันพุธแล้วนะครับว่า อังกฤษและเยอรมันเป็นคู่รักคู่แค้นกันมานานเหลือเกิน ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีรายงานหลังเกมหรอกว่าแฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 70,000 คนใน โอลิมเปีย สตาดิโอนถึงกับโห่ไล่โยอัคคิม เลิฟและนักเตะตัวเองเสียอย่างนั้น

เข้าใจหัวอกแฟนบอลเยอรมันอ่ะนะครับที่ทีมรักตัวเอง เป็นถึงรองแชมป์ยูโรปีที่ผ่านมาแต่ต้องแพ้ให้กับคู่ปรับบ้านใกล้เรือน เคียงซึ่งไม่มีโอกาสไปเตะรอบสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ

อารมณ์มันก็คงมีนอยๆบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ : )

เกมนี้ 11 คนแรกที่คาเปลโล่ส่งลงสนามมาตามโผแล้วถือว่า ไม่ได้พลิกความคาดหมายจากที่ผมคาดการณ์ไว้สักเท่าไร ยกเว้นตำแหน่งคู่หูในแดนหน้า ที่เกมนี้ส่งกองหน้าจี๊ดคู่อย่างกาเบรียล อักบอนลาฮอร์และเจอร์เมน เดโฟลงพร้อมกัน ซึ่งถือว่าผิดวิสัยเล็กน้อยเนื่องจากปกติคาเปลโล่จะจัดกองหน้าตัวใหญ่คน ตัวเล็กคนลงสนาม

รายแรกจากค่ายวิลล่าที่โดนผมสบประมาทไว้ว่าคงชั้นไม่ถึง ในระดับทีมชาติถึงตรงนี้ผมคง ต้องรีบถอนคำพูดแล้วละครับเนื่องจากเจ้าแก็บบี้เล่นได้เด่นมาก ในเกมกับเยอรมัน โดยแม้จะยิงประตูเองไม่ได้แต่การมีส่วนร่วมกับเกมโดยตลอด รวมถึงคอยใช้ความเร็วปั่นป่วนกองหลังเยอรมันได้เป็นระยะนั้น น่าจะทำให้อนาคตของไมเคิล โอเว่นที่ผมยังอยากให้ติดทีมชาติอยู่คงต้องร้องเพลง"รอ"ต่อไป

ผมนั่งชมเกมคู่นี้ที่บ้านครับซึ่งตรงกับเวลาหัวค่ำที่อังกฤษ (1 ทุ่ม 45 = ตี 2.45 เมืองไทย) ก่อนหน้านั้นออกไปกินพิซซ่าบุฟเฟต์มาหัวละ 5.99 ปอนด์กินได้ไม่อั้นจึงสอยไป 6 ชิ้นเนียนๆ

ดูไปก็ง่วงก็ง่วงไปครับเนื่องช่วงออกสตาร์ตของเกมนี้บอริ่งสุด ๆ ต่างฝ่ายต่างดูเชิงไม่กล้าผลีผลามเปิดเกมเข้าแลกเมื่อรวมกับความรู้สึก ผมที่มีต่อเกมกระชับมิตรทีมชาตินั้นค่อนข้าง "ไร้แรงจูงใจ" อยู่แล้วจึงเผลอหลับไปหลังอังกฤษขึ้นนำ 1-0 แบบโชคช่วยนิดๆจากแมตธิว อัพสัน

มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนน้องที่บ้านขำกันเสียงลั่นกับประตูตีเสมอของเยอรมันในนาทีที่ 63 ซึ่งผมตื่นมาดูภาพช้าทัน ปรากฏว่าเป็นความผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยของสกอตต์ คาร์สัน ซึ่งจอห์น เทอร์รี่อุตสาห์ยืนขวางกองหน้าเยอรมันไว้ให้ตั้งนานสองนานแต่นายทวาร จากเวสต์บรอมวิชก็มัวแต่เคี้ยวเอื้องโอ้เอ้อยู่ จึงโดนพาทริก เฮลเมสฉกบอลและปาดเข้าไปง่ายๆ

ชอตนี้แม้หลังเกมจอห์น เทอร์รี่จะออกมาโชว์แมนยืดอกขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวแต่ผมกลับมองว่า ความผิดครั้งนี้ต้องรับผิดชอบร่วมกันระหว่าง กองหลังและผู้รักษาประตูแบบ 50:50 ครับ อืม...ผมคิดว่าอนาคตในทีมชาติของนายทวาร ชื่อเหมือนถุงเท้ารายนี้จะดับลงและ คงไม่ได้เป็นตัวหลักอีกแน่นอนคอมเฟิร์ม !!! (ประโยคนี้ขออนุญาตฟันธงเลียนแบบหมอดูปากกล้าท่านนึงหน่อยนะครับ อิอิอิ)

ครับนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่คาร์สันทำ Big blunder หรือพลาดแบบสะเหล่อ ๆในนามทีมชาติอังกฤษเพราะเมื่อปีก่อนก็พลาดในลักษณะ "หมูหก"แบบนี้ในเกมกับโครเอเชียจนเป็นเหตุ ให้ทีมต้องกระเด็นตกรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโรมาแล้ว

การลงเล่นในระดับชาติแบบนี้ ไม่สมควรด้วยประการทั้งปวงครับที่จะผิดพลาดแบบนี้ยามได้รับโอกาสลงเล่นสนาม อย่าลืมว่าปกติแล้วคาร์สันก็เป็นมือสองต่อจากเดวิด เจมส์ซึ่งโอกาสมันน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาทำพลาดแบบนี้บอกได้คำเดียวครับว่า จบเห่ !!

ไหนๆก็พูดถึงข้อผิดพลาดแล้ว ดาร์เรน เบนท์สากพันล้านที่ทีมตราไก่ของผมส่งเข้าประกวดก็พลาดทำ "หมูหก" เช่นกันเลี้ยงหลบทิม วีเซ่ผู้รักษาประตูเยอรมันที่เปลี่ยนลง มาในครึ่งหลังไปแล้วแต่กลับยิงหลุดกรอบ ออกไปแบบน่าเขกกะโหลกเป็นที่สุด แหม... ทำเป็นคุยว่าถ้าได้ลงแล้วจะทำผลงาน ให้ดีปากเก่งเหมือนแอนดี้ โคล รุ่นพี่ในแก๊งสากกระเบือค่าตัวแพงจริงๆครับ ฮิฮิ

แม้ผู้เล่นบางรายจะมีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ให้เห็นกันบ้าง แต่โดยรวมผมถือว่าอังกฤษชุดนี้ที่ขาดตัวหลักไป เพียบทำผลงานได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานกันเกือบทุกคน (ไม่นับสองรายข้างต้น) โดยเฉพาะปีกทั้งสองข้างอย่างสจ๊วร์ต ดาวนิ่งและฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ที่อันตรายมากกับจังหวะพาบอลทำเกมรุก รายแรกนั้นช่วงหลังเริ่มคืนฟอร์มกับ ต้นสังกัดอย่างโบโร่และเท้าซ้ายที่เตะแม่น ได้อีกราวกับจับวางก็ผ่านบอลสวยๆให้เพื่อนได้หลายครั้ง และมีส่วนกับทั้งสองประตูของอังกฤษจากลูกเซตพีช

ส่วนเจ้าสั้นจากค่ายแมนฯซิตี้ก็ใช้ความเร็วฉีกทางฝั่งซ้ายของเยอรมันขาดเป็นริ้วๆ และสร้างโอกาสทำประตูให้ตัวเองได้ค่อนข้างดี เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่วางเท้ายิงบอลได้ดีมากและเกือบพังประตูให้ทีมได้ด้วยหาก บอลไม่พุ่งไปชนเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย

ขณะที่ตัวหลักในทีมชุดนี้อย่างจอห์น เทอร์รี่ ก็ยังเป็นบุคคลที่คาเปลโล่และอังกฤษจะขาดไม่ได้เลยเนื่องจาก เป็นศูนย์รวมจิตใจของเพื่อนร่วมทีมอย่างแท้จริงอีกทั้งยังเป็น "แมตช์วินเนอร์" ตัวจริงเสียงจริง ขึ้นมาพังประตูสำคัญๆให้ทีมได้เสมอ

ประตูชัยที่อังกฤษยิงได้ก็เหมือนกันครับ ผมจัดว่าเป็นลูกพุ่งโหม่ง ที่ดีที่สุดในรอบหลายปีของวงการฟุตบอลเลยทีเดียว (นักพากษ์ที่อังกฤษเองก็ชมเจ้า "เจที"ไม่ขาดปากเลยเช่นกันในจังหวะนี้)

เกือบจะครบปีแล้วนะครับที่คาเปลโล่เข้ามาคุมทีมชาติอังกฤษ ผลงานชนะ 8 จาก10นัดเสมอ 1แพ้ไปแค่ 1 พร้อมทำให้อังกฤษเป็นทีมที่แพ้ยากไปซะแล้ว

ความฝันแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้อยู่ไม่ใกล้เกินเอื้อมแน่นอนครับหากยังเล่นได้แบบนี้

Thursday 20 November 2008

เสือเตี้ยเอฟเฟกต์

สั่นสะท้านไปทั่ววงการฟุตบอลจริง ๆ ครับสำหรับการรีเทิร์นกลับคืนสู่วงการอีกคำรบของ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่าที่คราวนี้กลับมาในฐานะกุนซือทีมชาติอาร์เจนตินา

อดีตดาวเตะค้างฟ้าซึ่งฝากผลงานไว้มากมายบนฟลอร์หญ้า ทั้งการโชว์ลีลาในสนามที่หาตัวจับได้ยาก+เป็นสุดยอด นักเตะตลอดกาล ซึ่งพาอาร์เจนตินาเป็นแชมป์โลก รวมถึงช่วยนาโปลีคว้าสคูเต็ดโต้และยูฟ่า คัพมาแล้ว

ข่าวคราวความเคลื่อนไหวแต่ละย่างก้าว จึงนับได้ว่าโดดเด่นและถูกจับมาเป็น "ประเด็น" ให้นักข่าวได้เขียนกันสนุกมือเลยทีเดียวในช่วงนี้ ทั้งข่าวลือที่ว่าเจ้าตัวมีปัญหากับสมาคม ฟุตบอลทีมฟ้าขาวจนเกือบจะลาออกทั้งที่ยังไม่ได้คุมเลยสักนัด, การโดนเทอร์รี่ บุทเชอร์ผู้ช่วยโค้ชทีมชาติสกอตแลนด์ ออกมารำลึกความแค้นส่วนตัวถึงเหตุการณ์ "แฮนด์ ออฟ ก็อด" ที่เขี่ยอังกฤษตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเวิลด์คัพปี 86 ที่เม็กซิโก ก่อนที่ "อ้วนเตี้ย" จะตอกกลับอย่างเผ็ดร้อนถึงลูกยิงที่ก้ำกึ่งของเจฟฟ์ เฮิร์สท์ในเกมนัดชิงอังกฤษ-เยอรมันปี1966 (ซึ่งปีนั้นอังกฤษเป็นแชมป์)

เรียกได้ว่ายังไม่เตะก็ตกเป็นข่าวได้ไม่เว้นแต่ละวัน เลยทีเดียว...

ผลงานการคุมทีมนัดแรกจะเป็นอย่างไรอันนี้ผมยังไม่ทราบ เพราะเขียนก่อนเกมสกอตแลนด์-อาร์เจนตินาจะเริ่มขึ้น แต่ผมเชื่อว่าการที่สมาคมฟุตบอล ทีมชาติอาร์เจนตินาตัดสินใจ "เสี่ยง"แต่งตั้งมาราโดน่าในวัย 48 ปีซึ่งแทบไม่มีประสบการณ์ ในการคุมทีมเลยมีประเด็นหลักๆอยู่2ข้อคือ

1.ดึงความสนใจจากสื่อที่ปกติจะเพ่งเล็ง นักเตะมาโฟกัสที่ตัวกุนซือแทน ซึ่งตรงนี้จะทำให้นักเตะแข้งดังทั้งหลายลงเล่นแบบ ไร้ความกดดันและเป็นผ่อนคลายมากขึ้น อีกทั้งการมีกุนซือที่ประสบความสำเร็จถึงระดับ คว้าแชมป์โลกมาแล้วสมัยเป็นนักเตะน่าจะถ่ายทอด "ประสบการณ์"ตรงนี้ส่งต่อไปถึงตัวนักเตะได้ไม่มากก็น้อย

2.หวังว่า "เสือเตี้ย"จะมีปาฎิหาริย์ช่วยอาร์เจนตินา ให้มีผลงานที่ดีขึ้นหลังจากที่ช่วงหลังตกต่ำและ อยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรความสำเร็จของเพื่อน ร่วมทวีปอย่างบราซิลมานาน ลำพังความสามารถในการคุมทีมของเสือเตี้ยสมาคมบอลฟ้า-ขาวคงไม่ได้คาดหวังมากหรอกครับ แต่ในแง่ของ "อิทธิพล" ที่เจ้าตัวมีต่อคนรอบข้างเยอะน่า จะช่วยยกระดับความมั่นใจนักเตะได้มากขึ้น

ว่ากันว่านักฟุตบอลดังๆ เวลามาเป็นโค้ชมักจะสอบตกไม่เป็นท่า ตัวอย่างมีให้เห็นหลายรายทั้งเกล็น ฮอดเดิ้ล, รุด กุลลิทหรือคาร์ลอส ดุงก้าโค้ชทีมชาติบราซิลปัจจุบันซึ่ง เก้าอี้ชักร้อนอาจจะโดนปลดเร็ววันนี้

ผมหวังว่า "เสือเตี้ย" จะแหกกฎความเชื่อที่ว่านี้ให้ได้ด้วย การพาอาร์เจนตินาเป็นแชมป์โลกอีกสักสมัยครับ...

Wednesday 19 November 2008

อังกฤษชุดBต้องพิสูจน์ตัวเอง !

ไม่รู้ว่าเจ็บจริง เจ็บปลอมหรือเจ็บเล่นแต่ทว่าล่าสุดแข้งดังทีมชาติอังกฤษพากันถอนตัวออกจากแคมป์ทีมชาติอังกฤษกันระนาวก่อนเกมกระชับมิตรกับทีมชาติเยอรมนีค่ำคืนนี้

แกนหลักอย่างเวยน์ รูนีย์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, แอชลีย์&โจ โคลที่คาเปลโล่ไม่ได้เรียกมาก็ดูว่าเยอะแล้ว...เคราห์ซ้ำกรรมซัดแฟรงค์ แลมพาร์ดและสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดดันมาถอนตัวไปอีก อังกฤษชุดนี้จึงถือว่าเป็นทีมBเลยก็ว่าได้โดยมีแค่จอห์น เทอร์รี่ ‘กัปตันกระดูกเหล็ก’ คนเดียวเท่านั้นที่แม้จะเจ็บเท้าอยู่แต่เลือดรักชาติมันเข้มข้นเกินกว่าจะถอนตัว !

ประเด็นนี้ผมไม่ได้มองว่า ‘ความผิด’อยู่ที่นักเตะหรอกนะครับเพราะลึกๆแล้วเชื่อว่านักเตะทุกคนอยากที่จะลงเตะในนามทีมชาติตัวเองทั้งนั้น (ไม่นับเดวิด เบนท์ลีย์ที่เคยอ้างเหนื่อยไม่เตะทีมชาติชุดยู-21)
หากแต่ว่าเป็นพวกกุนซือจิตใจคับแคบบางรายที่มองว่าโปรแกรมทีมชาติแบบนี้ถือว่าไร้สาระและไม่สมควรมีเนื่องจากมองแต่ประโยชน์ส่วนตัวกลัวจนตัวสั่นว่านักเตะจากค่ายตัวเองจะเจ็บกลับมา

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, ราฟา เบนิเตซ, อาร์เซน เวนเกอร์ หรือแฮร์รี่ เรดแนปป์ ฯลฯ ต่างก็เคยออกมา ‘บ่น’โปรแกรมที่เตะชุกไม่เข้าท่า บางรายบารมีเยอะหน่อยอย่างท่านเซอร์ก็เคยมีข่าวว่าถึงกับต่อสายตรงกริ๊งกร๊างไป‘กดดัน’มากกว่าที่จะออกมาในแนว‘ขอร้อง’ให้กุนซือทีมชาติให้เลี่ยงใช้งานนักเตะตัวหลักหากไม่ใช่เกมสำคัญ

‘ประเด็นทีมชาติVSสโมสร’ จึงเป็นสงครามที่มีไม่รู้จักจบจักสิ้นพอๆกับฝ่ายพันธมิตรVSฝ่ายรัฐบาลบ้านเราที่ยืดเยื้อเรื้อรังกลายเป็นปัญหาหลักของประเทศไปแล้ว

ชาวบ้านชาวช่องอย่างอเมริกา อังกฤษหรือญี่ปุ่นเค้าเตรียมรับมือกับพิษเศรษฐกิจที่จะเริ่มส่งผลกระทบกันแล้ว(เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่อย่าง BT หรือ British Telecomก็กำลังจะปลดพนักงาน10,000คน) ไทยเราที่ล้าหลังหลายปียังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกัดกันอยู่ได้ไม่สงสารในหลวงท่านบ้างเลย เฮ้อ !!

สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่า ‘การปราณีประนอม’คือทางออกของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ครับ หากทุกฝ่ายมองถึง ‘ประโยชน์ส่วนรวม’ให้มากกว่า‘ประโยชน์ส่วนตัว’ ทุกอย่างก็น่าจะจบลงด้วยดี

วันนี้มาแนวเครียดได้อีกไม่ว่ากันนะครับ แบบว่าผมมันคนหลายอารมณ์แต่ไม่หลายใจน่ะ ฮ่า ฮ่า

สำหรับรายชื่อนักเตะที่ฟาบิโอ คาเปลโล่เรียกเข้ามาในครั้งนี้ชื่อของไมเคิ่ล โอเว่นยังคงถูกหมางเมินอยู่เช่นเดิมแม้จะเคยทำแฮตทริกในเกมกับทีม‘อินทรีเหล็ก’เมื่อปี2001ก็ตาม

ยอมรับตามตรงนะครับว่าผมแอบลุ้นให้ไมเคิ่ล โอเว่นติดทีมของคาเปลโล่ก่อนการประกาศรายชื่ออยู่เรื่อยๆเพราะส่วนตัวแอบปลื้มความเป็นมืออาชีพและสัญชาติญาณการสังหารประตูที่หาได้ยากจากกองหน้าอังกฤษยุคนี้

ที่เห็นก็มีแต่เจอร์เมน เดโฟเพียงแค่คนเดียวที่ความไวและความคมพอจะมีหวังทาบรอยเท้าโอเว่นได้แม้ว่าที่ผ่านมายามได้รับโอกาสในทีมชาติอดีตเด็กสร้างของเวสต์แฮมรายนี้จะยังไม่สามารถ‘อิมเพรส’กุนซือได้มากเท่าที่ควรก็ตาม

ขณะที่‘แก็บบี้’อักบอนลาฮอร์’หอกตีนจวรดจากค่ายวิลล่าที่ฟอร์มแหล่มกับสโมสรนั้นดูผิวเผินแล้วหมอนี่คงเป็นได้แค่ปรากฏการณ์ระยะสั้นเท่านั้นฝีเท้ายังดาดเกินไปที่จะก้าวมาเป็นตัวหลักในทีมชาติ

อีกประเด็นที่ผมให้ความสนใจก็คือตำแหน่ง‘ปีกซ้าย’ในทีมชาติอังกฤษยามที่ไร้เงาของโจ โคล เนื่องจากที่ผ่านมาสจ๊วต ดาวนิ่งยังไม่ได้โชว์ฟอร์มให้เห็นว่าคู่ควรกับการเป็นอะไหล่สำรองคุณภาพดี ฉะนั้นคนที่ผมอยากเห็นลงสนามในคืนนี้ก็คือแอชลีย์ ยังซึ่งผมคิดว่ามีดีพอแน่นอนหากได้รับโอกาสเผลอๆคุณภาพจะใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับโจ โคลเลยด้วยซ้ำ

ข้อดีหมอนี่มีเพียบครับทั้ง ลีลาการกระชากลากเลื้อย, ทีเด็ดจากลูกเซตพีชรวมถึงทักษะชั้นเลิศอันเกิดจากพรสวรรค์ซึ่งนักข่าวอังกฤษที่นี้จัดให้หมอนี่อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดของวงการบอลยุโรปเลยนะจะบอกให้ : )

ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางที่เกมนี้จะขาดทั้งแลมพาร์ดและเจอร์ราร์ดคงทำให้คาเปลโล่ไม่ต้องคิดเยอะให้ปวดหัวสมองเพราะชอยส์มีให้เลือกไม่มากโดยโควต้าสองตำแหน่งที่ว่างอยู่น่าจะเป็นโอกาสของไมเคิ่ล คาร์ริคที่โชว์ฟอร์มได้ดีในสีเสื้อแมนฯยูไนเต็ดลงสนามจับคู่กับแกเรธ แบร์รี่ที่คาเปลโล่ชื่นชอบเป็นทุนเดิมอยู่
ขณะที่คู่กองหน้ายามไร้ตัวจริงอย่าง เอมิล เฮสกีย์และเวยน์ รูนีย์ คืนนี้ต้องมาเดาใจคาเปลโล่ครับว่าในการออกไปเล่นเป็นทีมเยือนแบบนี้จะเอาระบบ4-5-1มาใช้อีกหรือไม่

หากใช้กองหน้าเป้าคนเดียวคาดว่ากุนซือหน้าหงิกคงต้องใช้กองหน้ารูปร่างสูงใหญ่อย่างปีเตอร์ เคราช์หรือดาร์เรน เบน์คนใดคนนึงมายืนค้ำคอยเก็บบอลแต่หากว่าตัดสินใจใช้ระบบ4-4-2ก็ต้องดูกันละครับว่าแกจะจัดใครลงสนามระหว่างคู่เดโฟ-เคราช์/ เดโฟ-เบนท์/ อักบอนลาฮอร์-เคราช์ หรือ อักบอนลาฮอร์-เบนท์

ความเห็นของผมต่อเกมนี้เชื่อว่าการไปออกไปเยือนเยอรมนีซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงรองแชมป์ยูโร2008แม้จะเป็นลงเตะกระชับมิตรธรรมดาแต่แน่นอน 1000%ว่าเมื่อไรก็ตามที่อังกฤษพบเยอรมนีซึ่งถือเป็นคู่รักคู่แค้นกันมาเรื่องของ‘ศักดิ์ศรี’มันจะมาค้ำคอกันอยู่และต่างฝ่ายต่างก็ไม่อยากแพ้

เยอรมนีชุดนี้แม้จะขาดตัวหลักอย่างมิชาเอล บัลลัค, ฟิลิปป์ ลาห์มหรือทอร์สเท่น ฟริงก์สแต่โดยรวมยังถือว่าน่ากลัวโดยเฉพาะแนวรุกที่มีมิโรสลาฟ โคลเซ่มาริโอ โกเมซ, ลูคัส โพโดลสกี้เป็นความหวังในแนวรุก หากแผงหลังอังกฤษเผลอหรือไม่คอยประกบให้ดีรับรองว่าน้ำตาตกในแน่นอน

บอลคู่นี้ผมคิดว่าออกได้ทั้งสามหน้าโดยผล‘เสมอ’ มีโอกาสเกิดขึ้นสูงสุดแต่ถ้าหากมีทีมที่ชนะผมคิดว่าน่าจะเป็นเจ้าถิ่นเยอรมันครับที่น่าจะได้เปรียบจากเสียงเชียร์ในบ้าน

Sunday 16 November 2008

อิทธิฤทธิ์ลุงจ่าจบลงที่คราเวน ค็อตเทจ

ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพคู่วันเสาร์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสี่อรหันต์ ‘บิ๊กโฟร์’ที่ผมคาดหมายไว้ว่าจะพากันเก็บ3คะแนนเต็มกันได้หมดปรากฏว่าดันหลุดคู่อาร์เซนอลVSแอสตันวิลล่าไปเสียฉิบหลังโดนแอสตัน วิลล่าบุกมาหยามถึงถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม2-0โดยงานนี้ลูกทีมของอาร์เซน เวนเกอร์ได้ทิ้งเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คตัวโตเรื่อง‘ความสม่ำเสมอ’ให้แฟนบอลได้สังกะสัยกันต่อไปว่าสุดท้ายปีนี้พวกเค้าพร้อมแน่หรือยังกับการไล่ล่าตำแหน่งแชมป์อย่างที่ปากว่า
เกมก่อนที่ป๋อแป๋ๆมาก็เกิดเล่นดีมีชัยเหนือ‘ปีศาจแดง’ของท่านหมื่นเฟอร์กี้ไปได้อย่างแสบสันต์2-1...ถามว่าวันก่อนนู้นฟลุ๊กหรือเปล่าคงบอกได้เต็มปากว่าไม่ แต่ไอ้อาการสามวันดีสี่วันร้ายเนี่ยสิครับบอกตามตรงว่ากลัวเหลือเกินว่าคำว่า ‘พวกเราดี/มีคุณภาพพอจะเป็นแชมป์’จะเป็นแค่คำพูดนักการเมืองของอาร์เซน เวนเกอร์...
ด้านแมนฯยูไนเต็ดยังโชว์ฟอร์มได้สมราคาแชมป์เก่าเมื่อไล่ยำสโต๊คซะจนกลับบ้านแทบไม่ถูกไป 5-0พูลสวัสดิ์ ขณะที่หงส์แดงแรงฤทธิ์ปีนี้ดูสม่ำเสมอกว่าที่แล้วมาบุกไปเชือดโบลตันสบายเท้า2-0 ‘สิงห์ไฮโซ’เชลซีก็เช่นกันยังแสดงให้เห็นว่าเป็นทีมที่ชอบรังแกทีมที่อ่อนชั้นกว่าเมื่อชนะเวสต์บรอมวิชไป3-0(แม้ว่าโจทย์ในเรื่องการเอาชนะทีมที่มีแผงหลังยืนออแกไนซ์กันดีๆยังคงอยู่ก็ตาม)
สำหรับคู่ฟูแล่ม-สเปอร์สที่ผมไปชมติดขอบสนามมาที่คราเวน ค็อตเทจเกมนี้ถือเป็นลอนดอนดาร์บี้แมตช์ครั้งที่3ของตัวเองในซีซั่นนี้ต่อไปจากเกมฟูแล่ม-เวสต์แฮมและอาร์เซนอล-สเปอร์ส
ความน่าสนใจก่อนเกมนี้ก็คือกราฟชะตาชีวิตของทีมเยือนในช่วงหลังที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นภายใต้การคุมทีมของ‘ลุงจ่า’แฮร์รี่ เรดแนปป์ที่ยังไม่พานพบกับความปราชัยเลยตั้งแต่กระโดดเข้ามารับงานในถิ่นไวท์ฮาร์ทเลนส่วนฟูแล่มฟอร์ม3นัดหลังสุดในบ้านก็ถือว่ายอดเยี่ยมกระเทียมเจียวไม่แพ้เลยเช่นกัน

11ผู้เล่นของสเปอร์สที่ถูกส่งลงสนามเกมนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายตำแหน่งเลยทีเดียวจากชุดคาร์ลิ่ง คัพเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน ไมเคิ่ล ดอร์สัน, อลัน ฮัตตัน, แอร่อน เลนน่อล, เจมี่ โอฮาร่า, และสองกองหน้าที่เพิ่งทำผลงานร่วมกันได้ดีอย่างโรมัน พาฟลูเชนโก้&เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ถูกดร็อปไปเป็นสำรองอย่างน่าเสียดายในเกมนี้
อย่างไรก็ดีทีมชุดแรกที่จัดลงมาหากนับนิ้วดูปรากฎว่าเป็นนักเตะเลือดอังกฤษแท้ๆถึง6หน่อ(ไม่นับแกเรธ เบลที่เป็นเด็กเวลส์) ตรงนี้ถือว่าน่าสนใจมากภายใต้ยุคใหม่ของสเปอร์สที่มีเฮดโค้ชเป็นชาวอังกฤษอีกครั้ง (3คนก่อนหน้านี้ฌักส์ ซองตินี่-ฝรั่งเศษ,มาร์ติน โยล-ดัตช์, ฆวนเด้ รามอส-สเปน)

ขณะที่เจ้าถิ่นฟูแล่มมาเต็มสูบหวังจะเก็บ3แต้มให้ได้เช่นกันโดยขุนพลฟูแล่ม4รายอย่างไซม่อน เดวี่ส์ แดนนี่ เมอร์ฟี่ พอล คอนเชสกี้และบ๊อบบี้ ซาโมร่าต่างก็เคยค้าแข้งกับทีมตราไก่ในอดีตแต่โดยรวมถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรโดยเฉพาะบ๊อบบี้ ซาโมร่าที่สอบตกอย่างสิ้นเชิงในถิ่นเดอะเลนซัดไปแค่ประตูเดียวเท่านั้นหลังจากที่เกล็น ฮอดเดิ้ลอุตสาห์ไปลงทุนซื้อตัวมาจากไบรจ์ตันด้วยค่าตัว1.5ล้านปอนด์กลางปี2003

ช่วง 20นาทีแรกของเกมเป็นเจ้าบ้านที่ถือว่าเริ่มต้นออกสตาร์ตได้ดีกว่าเมื่อเน้นบอลเรียดกับพื้นและกดดันสเปอร์สจนหาบอลไม่เจออยู่ช่วงนึงจนกระทั่งเข้านาทีที่21-35เป็นทีของทีมตราไก่บ้างที่เริ่มตั้งหลักได้ดีขึ้นและ‘โมเมนตัม’ในช่วงนั้นหากใครได้ดูอยู่ต้องบอกว่าน่าจะเป็นสเปอร์สที่ออกนำไปก่อนได้จนกระทั่ง...
ลูกโยนกึ่งยิงกึ่งผ่านสุดแสนจะธรรมดาของไซม่อน เดวี่ส์จากทางฝั่งซ้ายของสนาม โจนาธาน วู้ดเกตกระโดดสุดตัวพยายามโหม่งสกัดไว้และบอลตกลงพื้นหนึ่งจังหวะและฮูเรลโญ่ โกเมสน่าจะรับมันเอาไว้ได้ง่ายๆทว่าดันปล่อยบอลปลิ้นเข้าประตูแบบอึ้งกันทั้งสนาม ! 1-0ฟูแล่มนำหน้าตาเฉยทั้งที่เกมช่วงนั้นกำลังถูกกดันอย่างหนักจากสเปอร์ส
เสน่ห์ของเกมฟุตบอลอย่างนึงที่ผมชอบก็คือความผิดพลาดจังหวะเดียวเพียงแค่ช่วงเสี้ยววินาทีก็สามารถเปลี่ยนหน้าตาของเกมได้เลยแต่จังหวะนี้ยอมรับตามตรงครับว่าเวลามันเกิดขึ้นกับทีมรักของคุณแล้วมันเจ็บกระดองใจสิ้นดี พับผ่าเถอะ ! (Y.Y)

หลังจากที่ฟูแล่มออกนำไปได้ในนาทีที่ 35 สเปอร์สก็รวนและหาทางกลับมาสู่ทีมเกมแทบไม่ได้เลยจนครึ่งเวลาหลังแฮร์รี่ เรดแนปป์ต้องเปลี่ยนแปลงทีมอีกด้วยการจัดโรมัน พาฟลิวเชนโก้และแอร่อน เลนน่อลลงมาแทนลูก้า โมดริช (ซึ่งเด่นใช้ได้ทีเดียวแต่ไม่รู้ว่าเจ็บอะไรรึเปล่า) และทอมมี่ ฮัลเดิลสตันที่วันนี้จ่ายบอลเสียค่อนข้างเยอะ

การปรับเปลี่ยนระบบมายืนเป็นหน้าเป้าสองตัวไม่ได้ช่วยอะไรสเปอร์สเท่าไรพราะคู่เซ็นเตอร์ฮาฟของฟูแล่มอย่างเบรเด้ ฮันเกลันด์และแอร่อน ฮิวจ์สเล่นได้โคตรเทพประกบเฮียสากพันล้านดาร์เรน เบนท์ซะจนเป็นไก่ดำสุดเชื่องไปเลยในเกมนี้

เด็กเก่าอย่างบ๊อบ ซาโมร่าและไซม่อน เดวี่ส์ก็ดันทะลึ่งเล่นดีอีก รายแรกตัวใหญ่เก็บบอล+ผ่านบอลสวยๆให้เพื่อนเล่นได้หลายครั้ง นอกจากนี้ยัง‘หักเหลี่ยม’ป่วนเลดลีย์ คิงกัปตันสเปอร์สจนออกลูกเหวอเผลอทำแฮนด์บอลอีกตังหาก ยังดีที่อลัน ไวลี่ย์ตาถั่วไม่เป่าเป็นจุดโทษ

พูดถึงคิงแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้จริงๆครับเพราะจากที่ผมสังเกตดูเวลาแกวิ่งหรือเคลื่อนตัวแต่ละทีสีหน้าแกดูไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไรเหมือนกับว่าฝืนลงเล่นทั้งที่หัวเข่ายังเจ็บอยู่ หลายครั้งหลายหนทีเดียวในเกมนี้ที่แอบเห็นเจ้าตัวยืนหอบแดกเหงื่อแตกผลั่กยามที่ทีมเปิดเกมรุกใส่ฟูแล่ม

ใจผมลึกๆแล้วกลัวเหลือเกินว่าเส้นทางการค้าแข้งของคิงอาจจะต้องจบลงเร็ววันนี้หากอะไรๆยังไม่ดีขึ้นมา...และก็จะเป็นเรื่องน่าเสียดายมากต่อทั้งสเปอร์สและทีมชาติอังกฤษหากต้องเสียหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในประเทศไปก่อนวัยอันควร

ฟูแล่มมาทำให้งานของสเปอร์สหนักอึ้งเป็นสองเท่าเมื่อ‘เอเจ’แอนดี้ จอห์นสันกดเต็มเท้าในกรอบเขตโทษเข้าประตูไปแบบตาข่ายแทบขาด จากนั้นแม้ว่าทีมตราไก่ของผมจะได้ประตูตีไข่แตกในช่วง10นาทีสุดท้ายจากเฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ที่ยิงปาดเรียดเข้าไปอย่างเยือกเย็นแต่เวลาที่เหลือยู่นั้นมันช่างน้อยเหลือเกินแม้ว่าซุ้มม้านั่งข้างสนามสตาฟโค้ชของทั้งฟูแล่มและสเปอร์สต่างก็พร้อมใจเป็นฤทธิ์สีดวงนั่งเก้าอี้กันไม่ติดแล้ว ^^
แต่แทนที่สเปอร์สจะบุกกดดันได้กลับเป็นฟูแล่มด้วยซ้ำครับที่น่าจะได้ประตูปิดกล่องเกมนี้หลายครั้งหลายหนโดยเฉพาะลูกกดเต็มเท้าของจิมมี่ บูลลาร์ดจากฟรีคิกระยะประมาณ25หลาที่บอลพุ่งเป็นจรวดจะเสียบเข้าสามเหลี่ยมอยู่แล้วแต่โกล์สุดเอ๋ออย่างโกเมสก็แก้ตัวได้อย่างเหลือเชื่อ !!?

‘ลูกง่ายๆไม่รับแต่ลูกยากเนี่ยเอ็งเสือกเซฟนะ’ ผมอุทานด่านายทวารค่าตัว7.8ล้านปอนด์ที่พึ่งย้ายจากพีเอสวีเสียงดังไปหน่อยจนนักข่าวฝรั่งข้างๆหันมาถาม ‘มีอะไรรึเปล่า?’

ผมหันไปตอบ ‘โน โน น็อตติง’แม้ว่าจริงๆแล้วผมกำลังองค์ลงโกรธเจ้าโกเมสมากที่เป็นสาเหตุให้ปาฏิหารย์ไม่แพ้ใครมา6นัดรวดของลุงจ่าแฮร์รี่ต้องมาจบลงกับทีมที่ไม่สมควรจะแพ้เลยอย่างฟูแล่ม (จริงๆก็อยากเมาท์หาคนระบายอยู่แต่ขี้เกียจอธิบายเป็นภาษาปะกิตอ่ะครับ นึกคำพูดม่ายออก ฮ่า)
แหม อุตสาห์ไม่แพ้ทีมอย่างอาร์เซนอลและลิเวอร์พูลแต่ทะลึ่งแพ้ทีมอย่างฟูแล่ม...
ตลกร้ายสิ้นดีว่ามั้ยฮะ?

Friday 14 November 2008

สเปอร์สยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิม

เดินทางเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยครับ สำหรับศึกฟุตบอลคาร์ลิ่ง คัพประจำฤดูกาล 2008-2009 ปรากฏว่าทีมที่ประกาศจะคว้าแชมป์ให้ได้ทุกถ้วยในปีนี้อย่าง "สิงห์ไฮโซ" เชลซีกระเด็นตกรอบท่ามกลางความอึ้ง ทึ่ง ไม่มีเสียว แต่เล่นเอาท่านต่อกระเป๋าฉีกกันไปทั้งบาง แถมอ่อนซ้อมจุดโทษพ่ายให้ทีมต่ำชั้น กว่าหลายขุมอย่างเบิร์นลี่ย์ หลังเสมอกันไปในเวลา 1-1 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

ขณะที่ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ของกุนซือฮาร์ดคอร์อย่างรอย คีน ช่วงนี้ไม่รู้เจออากาศหนาวแล้วเป็นไข้หวัด แมวหรือเปล่าเล่นได้หมูตู้สุดๆ พ่ายให้ทีมชุดผสมตัวจริง / สำรองของแบล็คเบิร์นปราบพยศคาถิ่นสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ไป 1-2 โดนแฟนตัวเองโห่ไล่หลังจบเกมและจากนี้พนัน 100 บาท แลกขี้หมาก้อนเดียวได้เลยว่าสถานการณ์ เก้าอี้กุนซือของคีนเริ่มเปิดสวิตช์สั่นคลอนอย่างเป็นทางการแล้ว หลังสองซีซั่นที่ผ่านมาถลุงตังค์สโมสรไปเพียบแต่กลับเล่นได้ไม่เอาอ่าวเอาทะเลสักกะนิด

ขณะที่เกมคู่สเปอร์ส VS ลิเวอร์พูลที่ผมนั่งชมเกมอยู่ที่ผับแถวบ้านเนื่องจากโดน Reject โควตาที่นั่งนักข่าวเป็นครั้งที่สองในซีซั่น บอกได้คำเดียวว่าไม่เซอร์ไพรส์ผมสักเท่าไรนัก ทันทีที่เห็นการประกาศตัวผู้เล่น 11 คนแรก ที่จะลงสนาม

จริงอยู่ครับที่เกมนี้สเปอร์สจะพักผู้เล่นตัวหลักที่ฟอร์มดีอย่างดาร์เรน เบนท์ ลูก้า โมดริช เดวิด เบนท์ลีย์ และโจนาธาน วู้ดเกต แต่ลิเวอร์พูลเนี่ยซิครับจัดตัวมาแบบนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติอิทธิฤทธิ์ของลุงจ่าแฮร์รี่ "ฮูดินี่" เรดแนปป์แม้แต่น้อย เพราะเล่นส่งชุดสำรองลงเล่นทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าฟอร์มของทีมไก่เดือยทองของผมช่วงนี้นั้นฟอร์มแหล่มได้อีกน้า (นานๆ ได้โม้แบบนี้สักที ขอเหอะ!! อิอิอิ)

ดูจากการจัดตัวของสเปอร์ส ในเกมนี้แล้วมองได้ว่าเรดแนปป์ไม่ได้ประมาท ทีมผู้มาเยือนจากแดนไกลเลยนะครับ เพราะมีแค่ 3 รายเท่านั้น ที่ไม่ใช่พวกขาประจำในทีมชุดใหญ่ อย่างเฟร์เซอร์ แคมป์เบลล์, เจมี่ โอฮาร่า และไมเคิล ดอว์สัน สามดาวเตะเลือดผู้ดีอังกฤษที่เรดแนปป์ ให้โอกาสในการลงเล่นเพื่อ เพิ่มพูนประสบการณ์ที่ยังถือว่าไม่เยอะ ในเกมระดับนี้

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงอย่างนึง ที่ถือว่าน่าสนใจมากในมุมมองของผม ก็คือการมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ไมเคิล ดอร์สันที่ฟอร์มรูดมโหฬารในช่วง 2 ปีหลัง นับตั้งแต่ย้ายจากน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์มาหากินกับสเปอร์สพร้อมกับเพื่อนซี้ร่างอวบอั๋นอย่างแอนดี้ รีดในปี 2005 ด้วยแพ็กเกจคู่ประมาณ 8 ล้านปอนด์

ช่วงแรกที่ดอว์สันย้ายมาเล้าไก่ใหม่ๆ กองหลังหน้าตาคล้ายเจ้าหนูที่แสดง Home Alone ในภาคแรกๆ โชว์ฟอร์มเข้าคู่ยืนเป็นปราการหลังกับเลดลีย์ คิงได้อย่างแข็งแกร่งสุดๆ จนตำนานหลายคนในถิ่นไวท์ฮาร์ทเลนมองว่านี้แหละคือคู่หูในแนวรับ ที่ทีมตราไก่รอคอยมาแสนนานนับตั้งแต่หมดยุคของโซล แคมป์เบลล์ไป

อนิจจาปีถัดมาหัวเข่าของเลดลีย์ คิงดันเปราะบางไม่สมกับหน้าตา ทำให้ดอร์สันต้องรับผิดชอบภาระในแนวรับเยอะจนเกินอายุที่ยังน้อยนิด เหลือเกินในช่วงนั้นจึงทำให้เจ้าตัวฟอร์มเริ่มหดหาย และเดเมี่ยน โคโมลี่อดีต ผอ.กีฬาของสเปอร์สที่บ้าซื้อกองหลังและแบ็กซ้าย-ขวาเป็นชีวิตจิตใจก็เริ่มมามองหาคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟใหม่ ด้วยการไปถอยยูเนส คาบูล ริคาร์โด้ โรช่าและโจนาธาน วู้ดเกตมาเสริมทีม

นับจากนั้นมาความมั่นใจของดอร์สันก็เริ่มหดหาย และฟอร์มถดถอยอย่างต่อเนื่องแม้จะได้ลงสนามอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เจ้าตัวเรียกฟอร์มการเล่นเดิมๆ กลับมาพีกได้อีกเลย จนกระทั่งการเข้ามาของแฮร์รี่ เรดแนปป์เมื่อประมาณ 20 วันก่อน....

ฟอร์มของผู้เล่นสเปอร์สหลาย รายพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า โมดริชที่ดูว่าจะสอบตกในบอลอังกฤษก็ดูเทพขึ้นมาดื้อๆ ในช่วงหลัง ทอมมี่ ฮัลเดิลสตันก็กำลังก้าวมาเป็นไมเคิล คาร์ริคเวอร์ชันบึกบึน เพราะจ่ายบอลสั้น-ยาวแม่นได้ใจผมมาก หรือรายของดาร์เรน เบนท์ที่ผมเพิ่งเชียร์ให้ติดทีมชาติอังกฤษ ไปเมื่อวันก่อนก็แปรสภาพ จากสากพันล้านมาเป็นไก่ดำผู้กระหายประตู

ถึงตอนนี้ผมเดาใจเรดแนปป์ว่าคงหมายมั่นจะฟื้นฟูฟอร์มการเล่นเดิมๆ ของดอว์สันให้กลับมาเหนียวแน่นดังเดิมอีกครั้งด้วยการมอบความมั่นใจ ให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมในนัดเปิดบ้านถล่มหงส์แดงนัดที่ผ่านมา
หลายคนอาจจะชอบโจนาธาน วู้ดเกตให้จับคู่กัปตันไก่ตัวจริงอย่างเลดลีย์ คิงนะครับ แต่สำหรับผมแล้วขอบอกความลับส่วนตัว (ที่ไม่ลับอีกต่อไป) เลยว่าผมตราตรึงติดใจฟอร์มการเล่นของดอว์สันมาตั้งแต่แรกพบ อารมณ์ประมาณว่า Love at first sight หรือรักแรกพบอย่างงัยอย่างงั้นเลยทีเดียว ^^’

บอกตามตรงครับว่าผมชอบทรรศนะคติ Never say die ของหมอนี่ที่บู๊แบบไม่มีกลัวเจ็บตัว เข้าถึงบอลทุกครั้งแม้บางทีอาจจะโฉ่งฉ่างไปบ้างแต่ความทุ่มเทมีเกิน100 % ให้ทีมเสมอ

เจมี่ คาร์ราเกอร์ หรือ เวส บราวน์แต่แรกเดิมทีที่ก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ให้ลิเวอร์พูลและแมนฯยูฯใหม่ก็มีแต่ "ความทุ่มเท" นี่แหละเป็นจุดเด่น ทว่าทั้งคู่ก็มักจะพลาดแบบสะเหร่อๆ และเป็นตัวตลกโปกฮาของแฟนบอลทีมอื่นมาตลอด

แต่เดี๋ยวนี้ดูสิครับดู...ทั้งคู่สามารถก้าวเป็นตัวหลักของสองทีมยักษ์ ได้อย่างเต็มภาคภูมิจากการที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้จัดการทีม

ผมภาวนานะครับให้ดอว์สันกลับมาสู่เส้นทางการค้าแข้งที่สดใสอีกครั้ง หลังจากผ่านช่วงที่ยากลำบากในอาชีพนักเตะมาสองฤดูกาลที่ผ่านมา และด้วยวัยกำลังจะย่างเข้า 25 (ในวันที่ 18 พ.ย.ที่จะถึงนี้) ผมคิดว่าไม่แน่เหมือนกัน หมอนี่อาจจะเป็นกัปตันทีมสเปอร์สในอนาคตก็ได้ใครจะไปรู้ (อีกคนที่ผมเชียร์ก็คือทอม ฮัลเดิลสตันครับเพราะดูมีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ดี ที่สำคัญเป็นนักเตะอังกฤษและอยู่กับทีมมาหลายซีซั่นแล้ว)

สำหรับสองฮีโร่ของสเปอร์สในเกมนี้อย่างเฟร์เซอร์ แคมป์เบลและโรมัน พาฟลูเชนโก้ที่สอยไปคนละ 2 ตุง ก็ถือว่า "สอบผ่าน" สบายในช่วงที่ทั้งทีมกำลังเข้าฝักแบบนี้ และถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่กองหน้าแต่ละรายในทีมยิงประตูกันได้ทุกคนซึ่งตรงนี้จะทำให้ดาร์เรน เบนท์กดดันและเค้นฟอร์มยิงประตูได้ต่อไปเรื่อยๆ

ภาพรวมตอนนี้ถือว่าสเปอร์สดูดีหมดเกือบทุกตำแหน่งครับยกเว้นอย่างเดียว ตำแหน่งนายทวารด่านสุดท้ายนี่แหละ ฮูเรลโญ่ โกเมสนายทวารที่อุตส่าห์ไปถอยมาจากพีเอสวีเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาผิดพลาดง่ายกว่าพอล โรบินสันอดีตนายประตูคนเดิมซะอีก ก็ไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมอะไรนักหนาทีมตราไก่ถึงได้มีปัญหาที่ตำแหน่งประตูไม่จบสิ้นเสียที...

หากเร็วๆ นี้ได้ผมได้มีโอกาสเจอแฮร์รี่ เรดแนปป์ใน Press conference ผมละอยากลองถามลุงจ่าแกดูจังครับว่าสนใจดึงอดีตนายทวารทีมชาติไออย่างชัยยงค์ ขำเปี่ยมไปเป็นหนึ่งในโกล์คีปเปอร์สตาฟฟ์อีกสักคนมั้ยฮะ??!!

Thursday 13 November 2008

"ยังกันส์" ยิ่งดูยิ่งน่าเชียร์


ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังตกสะเก็ดกระทบกระเทือน ธุรกิจไปทุกแขนงรวมถึงวงการฟุตบอลทั่วโลก เป็นเรื่องที่ดีครับที่เห็นสโมสรอย่างอาร์เซนอล มีนโยบายเตรียมรับมือกับปัญหานี้อย่างจริงจังด้วยการ เน้นการปั้นดาวรุ่งเลือดใหม่มาทดแทนตัวหลัก ที่เริ่มโรยราไปอยู่เรื่อยๆเป็นเวลาร่วม 12 ปี นับตั้งแต่อาร์แซน เวนเกอร์เข้ามารับงานที่ประเทศอังกฤษ


จากยุคของเอียน ไรท์ที่พีกสุดขีดยิงน้ำกระจายจนหลายคนบอกว่าคงหาใคร มาแทนไม่ได้แล้ว เวนเกอร์ก็ปั้นดาวรุ่งโนเนมอย่างนิโกลาส์ อเนลก้าจนดังเป็นพลุแตกก่อนขายไปให้เรอัล มาดริดด้วยกำไรมหาศาล (ซื้อมาเพียง 500,000 ปล่อยไป 22 ล้านปอนด์)

จากนั้นก็เซ้งอองรีที่ตกอับกับตำแหน่งปีกซ้ายใน อิตาลีมาจากยูเวนตุสและดันขึ้นเป็นเล่นกองหน้าจนภายหลัง "คิงอองรี" สถาปนาตัวเองจนเป็นหนึ่งในกองหน้าที่น่าเกรงขาม ที่สุดในโลกอยู่ช่วงนึงก่อนวัยแตะหลัก 30 และได้ย้ายไปหากินที่สเปนเหมือนในเคสของอเนลก้า รายนี้แม้จะไม่ได้กำไร มหาศาลเท่าแต่ผลงานที่พี่ห้อยฝากไว้นั้นถือว่าคุ้มเกินคุ้ม

กองกลางก็เช่นกันหมดจากยุคเรืองรองของมาร์ก โอเวอร์มาร์ส,เอ็มมานูเอล เปอตีต์,ปาทริค วิเอร่า และเฟรดริก ยุงเบิร์ก แดนกลางอาร์เซนอลก็ถ่ายเลือดและเปลี่ยนหน้าตาไปหลายครั้งหลายคราจนตอนนี้ก็ได้สูตรผสมที่ลงตัวอย่าง ซามีร์ นาสรี่,เชสก์ ฟาเบรกาส,เดนิลสัน และธีโอ วัลคอตต์ ซึ่งแม้ยังบลัดชุดนี้จะยังไม่ประสบความ สำเร็จแบบเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ Potential หรือศักยภาพที่จะไปถึงจุดนั้นหากมอง แบบไม่มีอคติคงต้องยอมรับว่าขุนพล ชุดนี้มีคุณภาพพอแน่นอนที่จะพาทีมเป็น แชมป์รายการใหญ่อย่างพรีเมียร์ชิพ,แชมเปี้ยนส์ลีก หรือเอฟเอ คัพ เพียงแต่ต้องรักษาสมาธิและความสม่ำเสมอ ให้คงเส้นคงวามากกว่าที่เป็นที่อยู่

ขณะที่รายการคาร์ลิ่ง คัพหรือถ้วย "มิกกี้เมาส์" ของทีมใหญ่และเป็นถ้วยลูกเมียน้อยของทีมระดับกลาง (เนื่องจากถ้วยหลักคงเน้นเอฟเอ คัพเพราะดูมีคุณค่ามากกว่า) ทำให้บอลรายการนี้ดูเหมือนจะหมดสนุกไป โดยปริยายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ปีนี้ก็เช่นกันแม้ว่าบิ๊กโฟร์ยังอยู่กันครบในรอบ 16 ทีมสุดท้ายแต่จากที่ดูการจัดตัวในรอบที่ผ่านๆ มาคงต้องบอกว่ามีเพียงเชลซีทีมเดียว ที่ส่งผู้เล่นดูเหมือนจะเน้นหน่อยกับบอลรายการนี้ หลังบิ๊กฟิล สโคลารี่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าขอกวาดทุกถ้วยที่ลงเตะ

"ปิศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ดนั้นเกือบเอาตัวไม่รอดในการลงเล่นกับ "ทหารเสือราชินี" ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์อดีตทีมดังชนะหืดจับได้เพียง 1-0 จากลูกจุดโทษในนาทีที่ 76 ของคาร์ลอส เตเบซ

ขณะที่อาร์เซนอลในถ้วยใบนี้อาร์แซน เวนเกอร์ผู้หลงรักเด็กหนุ่มเป็นชีวิตจิตใจ (จนคนเอาไปแซวว่าเป็นเกย์จากท่าทางที่นุ่มนวลและสุภาพผิดผู้ชาย^^)

ก็ยืนหยัดนโยบายเดิมด้วยการจัดเด็กนรก ชุดนี้ลงสนามอย่างต่อเนื่องเช่นเคยหลัง จากรอบที่แล้วโชว์ผลงานอลังการงานสร้างยิงทีม"ดาบคู่" เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดไป 6-0
เกมนี้เด็กยังกันส์ได้ลงเล่นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมซึ่งจุผู้ชมได้กว่า 60,000 ที่นั่งก็ไม่มีอาการลนลานหรือ "ตื่นคน" ให้เห็นแม้แต่น้อย นับเป็นเรื่องแปลกแต่จริงครับที่เด็กดาวรุ่งบางคนอย่างแจ็ค วิลเชียร์ (16 ขวบ) หรือแอร่อน แรมซีย์ (17 ขวบ) กลับเล่นได้นิ่งกว่าผู้ใหญ่หลายคนในพรีเมียร์ชิพเสียอีก

ผมจำได้ว่าสมัยตัวเองอายุ 16-17 เท่าสองคนนี้แข่งบอลกีฬาสีในโรงเรียนพอเข้ารอบลึก ๆ แต่ละทีนั้น ทั้งสั่น เขิน เกร็ง เดินไปฉี่สองสามรอบได้ก่อนจะลงสนามแต่ ละทีทั้งที่คนดูก็ไม่ได้เยอะอะไรเลยหากเทียบกับสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม! : p

ฉะนั้นจึงขอซูฮกความนิ่งเกินพิกัดของทั้งเจ้าหนูวิลเชียร์และแรมซีย์จริงๆครับ ที่นอกจากจะดูไม่ประหม่าแล้วยังผลิตผลงานได้แหล่มสุด ๆ โดยเฉพาะรายแรกแจ็ค วิลเชียร์ที่หลายคนนำเค้าไปเปรียบเทียบกับเชสก์ ฟาเบรกาสจอมทัพรุ่นพี่ในทีม เพราะมีคุณสมบัติหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันทั้งลูกจ่ายคิลเลอร์พาสที่เด็ดขาดและ พรสวรรค์ที่ดูแววแล้วอีกไม่นานหนุ่มแจ็คดังเป็นพลุแตกแน่นอน

ขณะที่รายของคาร์ลอส เบล่าหัวหอกชาวเม็กซิกันวัย 19 ปีคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้เสียเวลา เพราะแฮตทริกในเกมกับเชฟฯยูฯและลูกชิพสุดงามในเกมนี้น่าตอกย้ำให้เวนเกอร์ เห็นชัดเจนครับว่าหมอนี่พร้อมแล้วที่ก้าวขึ้นไปเป็น "ไพ่เด็ด" ให้แนวรุกอาร์เซนอลหากว่าวันไหนเกมรุกตื้อไป หรือต้องการมิติใหม่ในแนวรุกเพราะสไตล์หมอนี่ออกแนวโฮเซ่ เรเยสที่ยืนได้ทั้งทางริมเส้นหรือจะโยกไปยืนหน้าเป้าก็ไม่น่าเกลียด

สกอร์ไลน์ 3-0 ที่สอนบอลผู้ใหญ่อย่างวีแกนไปในเกมนี้นอกจากจะทำให้พวกเค้าถูกยกให้เป็นตัวเต็งแชมป์คาร์ลิ่ง คัพรองจากเชลซีในปีนี้ไปอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว ยังมีสัญญาณดีๆหลายอย่างว่าปีนี้เราอาจได้เห็นผลผลิตของเด็กนรกชุดนี้ก้าว ขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมอย่างที่เดนิลสัน มิดฟิลด์ชาวแซมบ้าทำสำเร็จในซีซั่นนี้ก็เป็นได้

นี่ล่าสุดโทมัส โรซิคกี้เพิ่งจะผ่าตัดไปอีกรอบและคงต้องพักยาวไปอีกสักระยะ เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวาก็ยังต้องใช้เวลาเรียกความฟิตกลับมา หรือหากอาร์เซนอลเกิดทะลึ่งมีตัวเจ็บหรือแบนเพิ่มขึ้นมาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน

เมื่อถึงเวลานั้นหากเวนเกอร์ยังรักษาอุดมการณ์ของตัวเองด้วยการไม่ซื้อใครเข้ามาเสริมในช่วงปีใหม่นี้ เราก็จะได้เห็นกันละครับว่าแข้งยังกันส์ชุดนี้จะตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจที่ "ป๋าดัน" ของพวกเค้ามอบให้ได้มากน้อยขนาดไหน...

Wednesday 12 November 2008

เบนท์จะพาไก่กะต๊ากเหนือหงส์!


หลังย้ายจากชาร์ลตันมาสเปอร์สด้วยค่าตัว แพงระยิบกว่า 16.5 ล้านปอนด์ ในที่สุดดาร์เรน เบนท์ก็เริ่มตอบแทน "ความคุ้มค่า" ให้แฟนบอลไก่เดือยทองได้มีรอยยิ้ม กันบ้างแล้วนะครับ
หลายคนอาจมองว่าเครื่อง ร้อนช้าไปรึเปล่า ? แต่ตอนนี้ผมขอเลือก คิดตามทฤษฎีของการหมักเหล้า ที่ว่าถ้าคุณอยากได้เหล้ารสดีและ กลมกล่อมก็ต้องบ่ม กันนานหน่อย... ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าอยากได้ไก่ดำรสชาติเยี่ยมยิ่งอร่อยเหาะ แบบเบนท์มันก็ต้องรอกันเป็นธรรมดาถูกมั้ยครับ ?!! ^^

จำได้ว่าครั้งนึงพงศาวดารลูกหนังอังกฤษก็เคยมีแอนดี้ โคลเป็นต้นตำหรับ "สากกระเบือ" จอมถล่มประตูที่แฟนบอลเห็นแล้วเป็น ร้องยี้เพราะเฮียแกมักจะยิงนกตกปลาเป็นว่าเล่น

แต่โคลก็เป็นราชันแห่งสากที่มีผลงานการยิงประตูถึง 187 ประตู ในลีกเป็นอันดับสองของสถิติยิงประตูตลอดกาลของพรีเมียร์ชิพ เป็นรองก็แค่ดาวยิงค้างฟ้าอย่างอลัน เชียเรอร์ที่สอยไปทั้งสิ้น 261 ประตู เท่านั้น

วันนี้ "คิงโคล" ในวัย 37 ปี ได้ยุติเส้นทางการเป็น สากเลี่ยมทองอย่างเป็นทางการแล้วหลัง ประกาศแขวนสตั๊ดเลิกเล่นหลังโดนโคลิน คัลเดอร์วูด (อดีตกองหลังของสเปอร์ส) ผู้จัดการทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ขอยกเลิกสัญญาแบบหักดิบไปเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

การจบอาชีพค้าแข้งแบบไม่ค่อยสวยหรูของโคลอ่านแล้วก็รู้สึกเห็นใจ+เสียดายไม่น้อยครับ ที่จากนี้อดีตฮีโร่ของทีมปิศาจแดงจะไม่ได้ลงวาดลวดลายและเรียกเสียงฮาจากแฟนๆ อีกต่อไปแล้ว
บรรทัดนี้ก็ขอขอบคุณ +สั่งลา "คิงโคล" จากใจจริงนะครับที่อยู่เป็นสีสันของวงการฟุตบอลอังกฤษมาอย่างยาวนาน

ทีนี้เมื่อเจ้าพ่อแห่งสถาบันสากเลี่ยมทองได้อำลาวงการไป ผมมองดูแล้วทายาทอสูรที่เหมาะสม ทั้งเรื่องสีผิวและสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงก็มีแต่กระทาชายนามว่า ดาร์เรน เบนท์เท่านั้นครับที่สมควรจะได้รับตำแหน่งที่ว่านี้ไปครอง การยืนหาตำแหน่ง, สัญชาตญาณในกรอบเขตโทษรวมถึงความไวคือ สิ่งที่เบนท์และคิงโคลมีซ่อนอยู่ในตัวเหมือนๆ กัน

หากแต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ทั้งคู่ขาดการสนับสนุนที่ดีจากผู้จัดการทีม สองคนนี้ก็จะเป็นแค่สากกระเบือไร้ค่าที่เหมาะแก่การตำน้ำพริกกินเท่านั้น ฉะนั้น "ศักยภาพ" ที่มีอยู่ในตัว กุนซือที่เก่งและเจ๋งจริงเท่านั้นครับที่จะดึงมันออกมาใช้ได้ แฮร์รี่ เรดแนปป์และเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันคือสองคนที่ว่า...เพราะมอบความไว้วางใจ ให้เบนท์และโคลโดยไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไง

สมัยที่ฆวนเด้ รามอสยังอยู่เบนท์เป็นเพียง หัวหอกตัวเลือกอันดับสุดท้ายรองจาก ดิมี่ เบอร์บาตอฟ,ร็อบบี้ คีน และเจอร์เมน เดโฟมาโดยตลอด จนกระทั่งสามรายข้างต้นย้ายออกไป ฆวนเด้ รามอสก็ไม่เคยที่จะแสดงความเชื่อมั่นในตัว "ไก่ดำ" รายนี้แต่อย่างใดเพราะกุนซือเลือดสเปนพยายามอย่างหนักในการหาหัวหอกมีระดับมาทดแทน การขาดหายไปราวว่าเบนท์ไม่ดีพอในตำแหน่งนี้

เมื่อตัวผู้จัดการทีมเองยังไม่ได้มั่นใจใน ตัวลูกทีมและ เข็นลงสนามไปเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ผลงานและความมั่นใจของนักเตะมันก็ชัดเจนอย่างที่เราเห็นนะ ครับว่าเบนท์ช่วงต้นฤดูกาลเล่น ได้ซังกะตายดูไร้พิษสงสิ้นดี

กลับกันเมื่อเรดแนปป์เข้ามา ฟอร์มการถล่มประตูของเบนท์และสเปอร์สกลับ พุ่งดิ่งขึ้นเป็นเส้นขนานไปพร้อมกันได้อย่างน่าแปลกใจ ล่าสุดการสอยไปทั้งสิ้น 11 ประตู ทุกรายการทำให้หลายฝ่ายเริ่มกลับมาพูดเรื่องความเป็นไปได้ของเบนท์กับทีมชาติอังกฤษอีกครั้ง

ครับ เกมคาร์ลิ่ง คัพรอบ 4 ที่สเปอร์สจะลงดวลกับลิเวอร์พูลคืนนี้เป็นครั้งที่สองในรอบไม่ถึงสองอาทิตย์ ฟาบิโอ คาเปลโล่จะเข้ามานั่งชมเกมด้วยเพื่อดูฟอร์มของนักเตะ สัญชาติอังกฤษในทีมไก่เดือยทอง ที่ตุนเอาไว้หลายหน่อ ทั้งเดวิด เบนท์ลีย์, โจนาธาน วู้ดเกต, ทอม ฮัดเดิลสตัน, เจอร์เมน จีนาส และแอร่อน เลนน่อน เพื่อทำการคัดตัวครั้งสุดท้ายก่อนการประกาศรายชื่อ ที่จะลงเตะนัดกระชับมิตร กับเยอรมนีในวันพุธหน้า (19 พ.ย.)

สำหรับความเห็นของผมก่อนเกมคืนนี้ สเปอร์สซึ่งมีศักดิ์เป็นแชมป์เก่า อยู่คงจัดตัวผู้เล่นชุดใหญ่ลงแบบเต็มสูบ + พวกแข้งดีกรีทีมชาติอังกฤษคงต้อง พยายามโชว์ฟอร์มให้ดีเพื่อโอกาสลุ้นติดทีมชาติ
ตรงกันข้ามกับฝั่งหงส์แดงที่มีข่าวว่า อาจจะพักสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดและอาจยังไม่เสี่ยงให้เฟร์นานโด ตอร์เรสลงสนามซึ่งนั้นจะทำให้ทีมเยือนอ่อนยวบไปเยอะ

ซึ่งหากข่าวที่ออกมา ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม คืนนี้แฟนไก่เตรียมเฮดังๆ ได้เลยครับ!

Sunday 9 November 2008

เกาะขอบสนามเกมอาร์เซนอล-แมนฯยูฯ : กับอีกวันที่เวนเกอร์ชนะเสียงวิจารณ์จาก‘สื่อ’



วันเสาร์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปชม ‘บิ๊กเกม’อย่างอาร์เซนอล VS แมนฯยูไนเต็ดถึงสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมมาครับ : )

จะว่าไปแล้วเกมนี้ถือเป็นGame of the seasonกลายๆเลยก็คงไม่ผิดเพราะหากอาร์เซนอลเกิดพลาดพลั้งเสียทีต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในบ้านตัวเองครั้งนี้ พวกเค้าอาจจะหลุดจากวงโคจรการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ชิพตั้งแต่ไก่โห่เลยก็เป็นได้

ก่อนเกมนี้อย่างที่ทราบกันว่าพลพรรคปืนโตกำลังพบเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและกดดันสุดๆหลังจากควานหาชัยชนะไม่เจอมา3นัดติด...ความเชื่อมั่นทั้งจากสื่อและแฟนบอลที่มีต่ออาร์เซน เวนเกอร์เริ่มมีเสียงวิจารณ์เล็ดลอดออกมาให้เราเห็นกันบ้างตามหน้าหนังสือพิมพ์หรืออินเตอร์เนต

ทั้งเรื่องสไตล์บอลที่สวยงามแต่ขาดความหนักหน่วง อาการจิตตกของเวนเกอร์ที่ออกมาคอมเมนท์เรื่องนักเตะทีมอื่นจ้องจะทำร้ายลูกทีมของเค้าอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์กับโทนี่ พูลิสกุนซือสโต๊คหรือนโยบาย‘อยู่แบบพอเพียง’ของเวนเกอร์ที่เน้นการปั้นดาวรุ่งไม่ค่อยจะทุ่มเงินซื้อความสำเร็จสักเท่าไรจนหลายคนรวมทั้งผมเองเริ่มมองเห็นสัญญานอันตรายเกรงว่าอาร์เซนอลจะไปไม่ถึงฝั่งฝาอีกครั้งนึงในปีนี้

ก่อนเกมนี้กับแมนฯยูไนเต็ดหลายฝ่ายเชื่อว่าอย่างเก่งอาร์เซนอลคงทำได้แค่เสมอเนื่องจากจากการขาดหายไปของตัวหลักอย่างเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่สองกองหน้าตัวความหวังของทีม ส่วนพวก ซิลแวสต์, กัลลาส, ซานญ่าและธีโอ วัลค็อตต์ก็ต้องรอทดสอบความฟิตกันจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนจะโชคดีมีโอกาสได้ลงสนาม
เกมนี้อาร์เซนอลลงเล่นแบบในระบบ 4-5-1ห้อยกองหน้าร่างโย่งอย่างนิคลาส เบนด์ทเนอร์ไว้เป็นหน้าเป้าเพียงคนเดียวโดยกองกลางตัวกลางยืนเป็นสามเหลี่ยมไดมอนด์มีเชสก์ ฟาเบรกาสและอาบู ดิอาบี้ยืนสูงหน่อยและให้เดนิลสันยืนเป็นโฮลดิ้งมิดฟิลด์อยู่หน้าแบ็คโฟร์คอยทำหน้าที่เชื่อมเกมจากหน้าไปหลัง

ขณะที่ทีมเยือนอย่างแมนฯยูไนเต็ดความมั่นใจกำลังดีมีสามตัวรุกอย่างดิมี่ เบอร์บาตอฟ, เวยน์ รูนี่ย์และคริสติอาโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวชูโรงเช่นเคย

เกมเริ่มต้นด้วยความสูสีและเปิดเกมรุกใส่กันแบบไม่มีกั๊กสมเป็นกับการรอคอยของหลายๆคนครับแมนฯยูไนเต็ดเกมนี้โอกาสนั้นมีจะแจ้งอยู่สองสามถึงครั้งที่ควรจะเป็นประตูแต่ก็ทำกันไม่ได้ นัยว่าสวรรค์จะยังไม่ต้องการให้อาร์เซนอลหลุดจากโอกาสลุ้นแชมป์...

เวยน์ รูนีย์ที่ก่อนหน้านี้ยิงเป็นหายเกมนี้ดูเหมือนลืมพกเรดาห์ไว้ที่รองเท้าขนาดได้โอกาสยิงโล่งในกรอบเขตโทษกลับซัดข้ามคาน ขณะที่โรนัลโด้ที่เกมนี้ดูค่อนข้างเงียบได้โอกาสจากการครอสบอลของปาร์ค จี ซุงก็อัดหลุดกรอบหน้าตาเฉย

หรือจังหวะที่กาแอล คลิชี่แฮนด์บอลค่อนข้างชัดเจน กรรมการในเกมนี้อย่างฮาวเวิร์ด เว็บบ์ก็ดันโดนบังมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น !?

นั้นคือความผิดพลาดในแนวรุกของแมนฯยูฯที่เกมนี้ขาดความเฉียบคมไปพอสมควร ขณะที่เกมรับการใส่ชื่อแกรี่ เนวิลล์กัปตันทีมในตำแหน่งแบ็คขวาดูตามไลน์อัพ + ชื่อเสียงเก่าๆที่สะสมมาถือว่าดูดีทีเดียว ผิดกับ ‘เรื่องจริง’ที่เกิดขึ้นในเกมนี้ การโดนซามีร์ นาสรี่ปีกซ้ายเจ้าบ้านที่คล่องและไวกว่าเยอะพาทัวร์และหลอกล่อจนเสียผู้ใหญ่ไปหลายครั้งหลายหนทีเดียวในเกม

สุดท้ายเฟอร์กี้คงทนไม่ได้เพราะโดนบุกทางขวาเยอะเหลือเกินจึงจัดการถอดลูกรักกัปตันทีมออกแล้วใส่เลือดใหม่อนาคตไหลอย่างราฟาเอล ดา ซิลวาลงไปแทนซึ่งจากนั้นเกมฝั่งขวาของแมนฯยูฯดูคึกคักขึ้นเยอะและสุดท้ายก็ยิงประตูตีไข่แตกให้ทีมได้ด้วยในช่วงนาทีสุดท้ายของเกม

ประตูนี้ของราฟาเอลตอกย้ำชัดเจนครับว่าวันเวลาของเนวิลล์ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดได้เริ่มนับถอยหลังอย่างเป็นทางการแล้ว...

กลับมาพูดถึงอาร์เซนอลผู้ชนะในเกมนี้กันต่อ จริงอยู่ที่เกมนี้พวกเค้าสามารถตอบโจทย์ข้อสงสัยที่ว่าพวกเค้ามีดีพอหรือยังสำหรับการลุ้นแชมป์ในปีนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนด้วยการปราบยอดทีมอย่างแมนฯยูไนเต็ดได้สำเร็จทั้งที่สภาพทีมพิกลพิการแบบนี้ก็ขอชื่นชม‘ทีเด็ด’ของซามีร์ นาสรี่ซึ่เทพจริงๆเกมนี้กดไป2ตุงดูแล้วเพลินตาคล้ายโรแบร์ ปิแรสผสมกับอเล็กซ์ คเล็บชะมัด !

อย่างไรก็ดีเกมนี้คู่แข่งของพวกเค้าไม่ได้เปิดตำรามหาอุตเนื่องจากทีมผีแดงเป็นทีมที่เน้นเกมรุกเหมือนๆกัน อีกทั้งไมเคิ่ล คาร์ริค แอนเดอร์สันก็เป็นนักบอลประเภทชั้นเชิงและไม่ใช่ตัวตัดเกมโดยธรรมชาติ เกมจึงค่อนข้างเปิดและเข้าทางอาร์เซนอล

แต่ถ้าวันใดที่พวกเค้าต้องเจอทีมที่บ้าพลังหรือเล่นบอลเข้าถึงลูกถึงคนและเน้นตั้งรับซิครับผมยังเป็นห่วงอาร์เซนอลชุดนี้อยู่ไม่น้อยว่าจะทำแต้มหลุดมืออีกรึเปล่า ?

เอาละครับไม่อยากวิจารณ์มากเดี๋ยวต้องรอดูกันต่อไปดีกว่าว่าพวกเค้าจะตอบโจทย์ตรงนี้ของผมได้มั้ย เอาเป็นว่าเกมนี้เก็บ3คะแนนเต็มได้และยังรักษาโอกาสลุ้นแชมป์อยู่เมื่อห่างจากลิเวอร์พูลจ่าฝูงอยู่6คะแนนเช่นเดิมก็ถือว่าทำผลงานได้เข้าเป้าของเวนเกอร์แล้วในเกมนี้เพราะชนะทั้งแมนฯยูฯของเฟอร์กี้และกลบเสียงวิจารณ์จากสื่ออังกฤษที่กำลังจ้องจะเล่นงานได้สำเร็จ...

Friday 7 November 2008

อาร์แซน เวนเกอร์...เมื่อนโยบายกลับมาทำร้ายตัวเอง

พิลึกดีครับที่จู่ๆสี่อรหันต์ "บิ๊กโฟร์" ก็พร้อมใจกันไม่ชนะโดยมิได้นัดหมาย ในศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกเมื่อคืนวันอังคารและพุธที่ผ่านมา... เชลซีฟอร์มในลีกอย่างเทพหยิ่งทะนง เกินไปจึงพ่ายต่อโรม่าที่ความมุ่งมั่นสูงกว่าไป 3-1 ลิเวอร์พูลไม่แพ้อย่างเหลือเชื่อหลังได้จุดโทษ กังขา + ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่าการขาดเฟร์นานโด ตอร์เรสไปเหมือนขาดใจ

ส่วนคู่ดึกวันพุธที่ผ่านมาอาร์เซนอลและ แมนฯยูไนเต็ด ที่ทรงก่อนแข่งดูแล้วเหนือกว่าคู่แข่ง ค่อนข้างเยอะ แต่พอเอาเข้าจริงต่างก็ทำได้แค่เสมอ

อาร์เซนอลอาจดูว่าขาด "เทพีแห่งโชค" ที่โหมบุกตามสไตล์เกือบทั้งเกมแต่โดน "ทีเด็ด" ชายชื่อโวลคาน เดมิเรลนายทวารด่านสุดท้ายของเฟเนอร์บาห์เช่ ซึ่งเกมนี้ผีตุ๊กแกเข้าสิงห์เซฟเหนียวแน่นหนึบ ได้อีกจนช่วงท้ายเกมแข้งปืนโตถึงกับโนไอเดียที่จะเจาะไข่แดงผู้มาเยือน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของกลุ่ม G นั้นลูกทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ยังถือว่าอุ่นใจได้เมื่อยังคงเป็นจ่าฝูงอยู่แข่ง 4 นัดมี 8 แต้มทิ้งช่องว่างกับทีมอันดับสองอย่างเอฟซี ปอร์โต้อยู่ 2 คะแนน และอีก2นัดที่เหลือ (เจอดินาโม เคียฟและปอร์โต้) ต้องการชนะอีกเพียงนัดเดียวก็จะการันตีการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้ว
แต่สิ่งนึงที่น่าหนักใจแทนเวนเกอร์และ แฟนอาร์เซนอลก็คือการที่ทีมไม่ชนะมา 3 นัดติดซึ่งแน่นอนว่าตรงนี้จะย่อมส่งผลกับสภาพจิตใจของนักเตะแน่นอน

เกมกับสเปอร์สนำอยู่ 4-2 จนจะจบเกมอยู่แล้วสุดท้ายเสมอไป4-4เพราะแนวรับสมาธิหลุด เกมถัดมาเจอสโต๊คเช่นเคยปัญหาอยู่ที่แนวรับไม่สามารถรับมือกับ "ลูกทุ่มปลิดวิญญาณ" ของรอรี่ ดีแลปได้จึงพ่ายไปแบบช็อกโลก 1-2 โดยจบเกมก็อ้างซ้ายอ้างขวาว่านักเตะ โดนจ้องจะเล่นงานอยู่เรื่อยจนภายหลังกลายเป็น "ประเด็น" ลุกลามใหญ่โต ล่าสุดทำได้แค่เสมอก็อ้างเรื่อง "ความสด" ของนักเตะที่ต้องตรากตรำลงบรรเลงแข้ง 3 เกมในรอบ 7 วัน...

เวนเกอร์กำลังจิตตก? ครับ ผมกำลังมองว่าทัศนคติของขงเบ้งเลือด น้ำหอมช่วงนี้มองอะไรก็ดูเลวร้ายและ "เนกาทีฟ" เกินไปหน่อยเนื่องจากทีมอื่นที่เค้าลงเตะกัน ก็ไม่เห็นจะบ่นอุบอิบเหมือนอาร์เซนอล

เชลซีแพ้ก็จริงแต่สโคลารี่โทษความผิดพลาดนักเตะตัวเอง ราฟา เบนิเตซก็ไม่ได้โวยวายซ้ำยังบอกพอใจกับหนึ่งคะแนน ขณะที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันซ์ช่วงนี้ชิลมากเอ่ยปากชมสปิริต ของลูกทีมที่ไม่ย่อท้อไล่ตีเสมอเซลติกในช่วงท้ายเกมได้

จะเห็นได้ว่าสามบรมกุนซือข้างต้นไม่ได้โทษ "ปัจจัยภายนอก" มากนัก

ขณะที่เวนเกอร์อ้างเรื่องกรรมการไม่แฟร์ กับอาร์เซนอลหรือโปรแกรมเตะถี่ยิบทำให้นักเตะไม่สด ผมเองมองว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากนโยบาย "ปั้นดินให้เป็นดาว" และไม่ยอมเสริมทีมให้พร้อมรับมือกับปัญหา ผู้เล่นบาดเจ็บ+เหนื่อยล้าระหว่างซีซั่น ได้ย้อนกลับมาทำร้ายพวกเค้าเองไม่ใช่หรอ ?

ผมจำได้ว่าบอร์ดบริหาร อาร์เซนอลไม่ได้ห้ามหากอาร์แซน เวนเกอร์จะซื้อนักเตะคุณภาพดี สักคนสองคนมาทำให้ทีมไม่สะดุดยามที่นักเตะ ตัวหลักต้องเจอกับอาการบาดเจ็บซึ่งเป็น เรื่องที่มิอาจหลีกพ้นอยู่แล้วในเกมฟุตบอล

หากแต่เวนเกอร์เองบางทีหัวดื้อและยึด ติดกับนโยบายของตัวเองจนเกินไป ไม่ได้มีความยืดหยุ่นไปตามโลก ฟุตบอลสมัยใหม่ที่หลายครั้งเงินก็พิสูจน์ ให้เห็นว่าสามารถซื้อความสำเร็จ ได้อย่างที่เชลซีแสดงให้เห็นไปแล้ว หรือแมนฯซิตี้กับสเปอร์สก็กำลังพยายามอัพเกรด ตัวเองให้เป็นทีมชั้นนำในลีก

ผมไม่เถียงนะครับว่านโยบายของเวนเกอร์เป็น แนวทางของทำทีมฟุตบอลในอุดมคติของใครหลายคน และจะส่งผลดีให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออุตสาหกรรมฟุตบอลถึงคราวต้องพบกับ ภาวะเงินฝืดในระบบที่จะเกิดขึ้นแน่นอนจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาเพิ่มขึ้นทุกวัน

แต่ในช่วงที่บอร์ดยังมีเงินให้ช็อปและ ถ้าอาร์เซนอลต้องการจะประสบความสำเร็จแบบเป็น "รูปธรรม" บ้างไม่ใช่เฉียดไปเฉียดมากับตำแหน่งแชมป์อยู่แบบนี้ เห็นทีเปิดตลาดเดือนมกราคมนี้เวนเกอร์ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วละครับ

Thursday 6 November 2008

หงส์แดง...กับอีกนัดที่โกงความตายได้สำเร็จ


ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกคืนวันอังคารที่ผ่านมา ผลงานของสองทีมใหญ่จากเกาะอังกฤษอย่างเชลซีและลิเวอร์พูลถือว่า "สอบตก" กันเรียบวุธ...


สิงห์ไฮโซโดนเผาเครื่องไป 3-1 ทั้งที่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งโชว์ฟอร์มเยี่ยมไล่อัดซันเดอร์แลนด์ไป 5-0 ส่วน "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลโกงความตายเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้แต่บอกได้คำเดียวว่าผลงานน่าผิดหวังเหลือเกิน

ลังเลอยู่สักพักว่าจะชมคู่ไหนดี เพราะเชลซีก็น่าสนใจในการออกไปเป็นทีมเยือนแต่การที่เพิ่งจะเห็นฟอร์ม พวกเค้ามาจากการไปชมเกมสดถึงขอบสนามมาเมื่อวันเสาร์ทำให้หลงคิดว่าน่าจะเก็บได้อย่างน้อย 1 คะแนนในการเจอโรม่าที่ฟอร์มบู่ได้อีกแพ้มา 5 นัดรวด และลูชาโน่ สปัลเล็ตติก็มีสภาพเป็น Dead Man Walking ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะโดนปลดเมื่อไร

แต่ทว่าด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้นกลับทำให้พวกเค้าโชว์ฟอร์มได้ตามมาตรฐานของตัวเองอีกครั้ง ส่วนเชลซีนัยนึงก็มองได้ว่าพวกเค้าตกเป็นเหยื่อของความประมาท ของตัวเองหลังจากพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยมก่อนเกมนี้ โดยหนึ่งวันก่อนแข่งก็มีข่าวเล็ดลอดมาจากแคมป์เชลซีว่าบิ๊กฟิล สโคลารี่มั่นใจถึงขนาดที่ว่าเชลซีจะเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ ลีกซีซั่นนี้และอยากจะขอจองโรงแรม Cavalieri Hilton ที่กรุงโรมไว้ให้ทีมล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ

หากเล่นได้แค่นี้...สงสัยค่าจองโรงแรมจะเสียฟรีนะครับบิ๊กฟิล!

ส่วนเกมคู่หงส์แดงปะทะทีมตราหมีที่ผมเลือกชมอยู่ทางช่อง ITV1 (ฟรีทีวีของที่นี่) บทสรุปก็ออกมาอย่างที่เห็นลิเวอร์พูลยังไม่สามารถแสดงให้ทุกคน เห็นว่าพวกเค้ามีความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่นสักเท่าไร บทจะเล่นดีก็ดีใจหายบทจะช็อตก็หมดไอเดียที่จะสร้างสรรค์เกมไปดื้อๆ

ยิ่งวันไหนสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดหัวใจในแดนกลางของทีมไม่ท็อปฟอร์มผลงานโดยรวมของทีมมักจะสะดุดทันที...

เกมนี้ก็เช่นกันที่ผลงานของกัปตันทีมหงส์แดงไม่โดดเด่นเหมือนเช่นเคย ขณะที่เพื่อนรวมทีมรายอื่นๆก็ต่อบอลสั้น-ยาวผิดพลาดหลายจังหวะ วิงแบ็กทั้งสองข้างของทีมอย่างอัลบาโร่ อาร์เบลัวและฟาบิโอ ออเรลิโออย่างที่ผมเรียนไปเมื่อวานว่ายังเป็น "จุดบอด" ของทีมชุดนี้มาอย่างต่อเนื่อง รุกไม่เด่นรับก็ไม่ค่อยจะดี และขึ้นเติมเกมแบบกล้าๆกลัวๆโดยตลอดไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระเดิร์ค เคาท์และอัลเบิร์ต ริเอร่าสักเท่าไร
ส่วนร็อบบี้ คีนกับในบทบาทกองหน้าตัวเป้าคนเดียวก็โดดเดี่ยวเกินไปและ เก็บบอลไม่ค่อยได้เพราะโดนคู่เซ็นเตอร์อย่างหลุยส์ เปเรียและจอห์นนี่ ไฮติงก้ารุมกินโต๊ะดักทางได้ตลอด และจังหวะที่ควรจะเปลี่ยนสกอร์ให้ทีมได้ 2-3 ครั้งในเกมนี้ก็ดันไม่คมพออีก

อย่างไรก็ดีสิ่งนึงที่ต้องชมทีมหงส์แดงชุดนี้คือ "ทีมสปิริต" ที่ขยันและไม่เคยยอมแพ้จนวินาทีสุดท้ายและได้รางวัลจากความเพียร พยายามจากจุดโทษปัญหาซึ่งผมถือว่ามาร์ติน แฮนส์สันผู้ตัดสินสินในเกมนี้เป่าผิดพลาดในช็อตสำคัญหลายจังหวะทีเดียว

จังหวะก่อนหน้าที่ผู้เล่นแอต.มาดริดแฮนด์บอลในเขตโทษเห็น ๆ ซึ่งควรเป่าก็ดันพลาดมองไม่เห็น แต่จังหวะที่เข้าปะทะกันของสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดและมาเรียโน่ เปร์เนียในจังหวะแบบ 50-50 ช่วงทดเวลานาทีสุดท้ายกลับเป่าให้เป็นจุดโทษหน้าตาเฉย!

ครับผู้เล่นแอต.มาดริดก็คงรู้อยู่เต็มอกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองรอดตัวได้ ประโยชน์ไปแล้วครั้งนึงจึงไม่ได้โวยวายมากหลังเกม และภาพรวมทั้งหมดผลเสมอในนัดนี้ก็ถือว่าแฟร์ดีกับทั้งสองฝ่าย

แต่ไอ้ประเด็นผู้ตัดสินที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเกมฟุตบอลเนี่ยสิครับน่า จะได้รับการแก้ไขให้นำภาพช้ามาช่วยตัดสินได้แล้ว แต่เอ๊ะ หรือว่าองค์กรใหญ่อย่างฟีฟ่าหรือยูฟ่าจะมีส่วนได้เสีย ตรงจุดนี้ก็ไม่รู้นะครับถึงไม่ยอมแก้กฎให้มันโปร่งใสกว่าที่ควรเป็นเสียที...

Wednesday 5 November 2008

สัปดาห์สำคัญของอาร์เซนอล

การเพลี่ยงพล้ำของอาร์เซนอล ต่อสโต๊คเมื่อ วันเสาร์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นนัดที่ 3 แล้วที่แพ้ในลีก นอกจากนี้ยัง ส่งผลทำให้พวกเค้าตามหลัง 2 ทีม นำบนหัวตารางอย่างเชลซีและลิเวอร์พูลอยู่ถึง 6 คะแนน
โอกาสเป็นแชมป์ยังไม่ถึงกับหลุดลอย แต่สถานการณ์ก็ถือว่าไม่ดีนัก...


ความมั่นใจที่เคยมีเต็มเปี่ยม ได้หายไปจากทีมชุดนี้ ช่วงที่ผ่านมา ลูกหนักๆ เวลาเจอทีมสไตล์อังกฤษแท้ๆ พวกเค้ายังหาทางแก้ไม่ได้และที่สำคัญเรื่องของ สมาธิในเกมรับที่พักหลังเห็นได้ชัดเลยว่าแกว่งไปเยอะทีเดียว

สามเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักในทีมอย่าง วิลเลี่ยม กัลลาส,โคโล่ ตูเร่หรือมิกาเอล ซิลแวสตร์ที่ผ่านมามีแค่ตูเร่คนเดียวที่พอจะสร้างความอุ่นใจให้เพื่อนร่วมทีมได้

กัลลาสนั้นฟอร์มโรยไปเยอะแม้จะสวมปลอกแขนกัปตันทีมอยู่ แต่ส่วนลึกผมเชื่อว่า ลูกทีมส่วนใหญ่หมดศรัทธาในตัวหัวหน้าทีมคนนี้ตั้งแต่จบเกมกับเบอร์มิงแฮมในซีซั่นก่อนแล้ว

ส่วนรายของซิลแวสตร์นั้นยิ่งแล้วใหญ่เพราะเจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอดสมัยอยู่แมนฯยูฯ และก็ไม่เข้าใจครับว่าทำไมเวนเกอร์ถึงยอมแหวกคอนเซปต์ของตัวเองมาซื้อกองหลัง ที่เลยจุดพีกของตัวเองมานานแล้วอย่าง "มิก้า" แล้วปล่อยฟิลิปป์ เซนเดอรอสที่ยังพอพัฒนาได้ ( มั้ง) ไปเอซี มิลานหน้าตาเฉย ที่สำคัญเคสของซิลแวสตร์ดันซื้อ จากทีมคู่ปรับอย่างปีศาจแดงด้วยเนี่ยซิ !? นับเป็นดีลที่แปลกประหลาดจริงๆ

Squad in depth หรือตัวทดแทนในตำแหน่งเดียวกันก็ถือเป็น อีกเรื่องที่ผมเขียนถึงมาตลอดว่าเป็น "ตัวแปร" ที่สำคัญสำหรับเกมลีกที่ต้องเตะกันยาวข้ามปี ซึ่งตรงจุดนี้เชลซีและแมนฯยูไนเต็ด ดูได้เปรียบคู่แข่งทีมอื่นเยอะเพราะ พวกตัวสำรองมีให้เลือกใช้ค่อนข้างเยอะ และคุณภาพไม่ได้ต่างกันมากนัก
ผิดกับอาร์เซนอลที่เวนเกอร์ใช้นโยบาย "อยู่แบบพอเพียง" เน้นการปั้นดาวรุ่งและไม่ค่อยทุ่มซื้อนักเตะชื่อดังมาเสริมทีม

เรื่องของสไตล์บอลที่สวยงามแต่ขาดลูกหนักยาม ที่ต้องเจอทีมกรรมกรเน้นใช้ร่างกายเข้าปะทะ ก็ทำให้เด็กยังกันส์ซึ่งเทคนิคดีออกอาการแหยงก็เป็นอีกหนึ่ง "จุดอ่อน" ที่ทีมต่ำชั้นกว่าเริ่มจับทางอาร์เซนอลชุดนี้ได้
แดนกลางที่มีเชสก์ ฟาเบรกาส,เดนิลสัน,ซามีร์ นาสรี่ ล้วนเป็นนักบอลตัวเล็กชั้นเชิงดีแต่ไม่ได้เด่นในการปะทะ ขณะที่อาบู ดิอาบี้ที่สูงยาวเข่าดีคล้ายปั๊ต วิเอร่าหน่อยก็ดันไม่ใช่พวกมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนเสียนี่ !

ครับ นั้นคือสิ่งที่มาติเยอ ฟลามินี่ทิ้ง "รอยโหว่" ให้แดนกลางอาร์เซนอลหลังจากซีซั่นก่อนมิดฟิลด์เลือด ฝรั่งเศสผู้นี้เล่นบทลูกหาบได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ฟอร์มของฟาเบรกาส พาร์ตเนอร์โดดเด่นเป็นสง่าเล่นได้อย่างอิสระไม่ต้องพะวงในเกมรับเหมือนซีซั่นนี้ที่เติมเกมรุกได้ไม่สุด

บางทีเปิดตลาดรอบนี้ เวนเกอร์อาจต้องทำอะไรสักอย่างเช่น การเสริมผู้เล่นในตำแหน่งที่ขาดอยู่มาสักรายสองราย หรือถอยมิดฟิลด์ประเภทเจนนาโร่ กัตตูโซ่มาอัดแดนกลางให้เครื่องแน่น กว่านี้อีกหน่อยพวกเค้าน่าจะดีขึ้นในเรื่องของ "ความหนัก" ที่ขาดหายไปในช่วงนี้

ในระหว่างที่ยังทำการซื้อตัว/เสริมทีมกันไม่ได้ เวนเกอร์ก็ต้องพยายามแก้ปัญหา เฉพาะหน้ากันไปก่อนซึ่งวีกนี้ถือ ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของทีมเลยก็ว่าได้เพราะมีสองเกมสำคัญ รออยู่ในการพบกับเฟเนอร์บาห์เช่ในศึก ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกคืนนี้และดวลกับแมนฯยูฯอีกสองวันถัดไป

สภาพความพร้อมในเวลานี้พวกเค้าจะไม่มีทั้งเอ็มมานูเอล อเดบายอร์, ธีโอ วัลคอตต์ และบาการี่ ซานญ่าที่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บมาจากเกมกับสโต๊ค ส่วนโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ก็จะติดโทษแบนหลังเสียค่าโง่โดนใบแดงในเกมล่าสุด...เอดูอาร์โด้& โทมัส โรซิคกี้ก็ยังไม่กลับมา

หากอาร์แซน เวนเกอร์สามารถกระตุ้นให้ลูกทีมลืมความผิดหวังและกลับมุ่งมั่นเอาชนะเฟเนอร์บาห์เช่ได้ ก่อนเกมแมนฯยูฯก็จะมีความฮึกเหิมที่จะเอาชนะลูกทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้
แต่หากคืนนี้ทำผลงานได้ไม่ดีวันเสาร์นี้ก็ตัวใครตัวมันนะครับแฟนปืนโต

Monday 3 November 2008

ส่วนผสมที่ลงตัวของเชลซีจะพาทีมเถลิงแชมป์ !?

เริ่มทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ครับสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ หลังจากผ่านนัดที่11 ไปเป็นที่เรียบร้อย...บทสรุปสุดท้ายถึงตอนนี้ 4 ทีมบนหัวตารางก็ยังหน้าเดิมอย่างสี่อรหันต์ "บิ๊กโฟร์" ซึ่งตรงจุดนี้สะท้อนให้เห็น สัจธรรมที่ชัดเจนของลีก เมืองผู้ดีว่าการผูกขาดของ ความสำเร็จยังผลัดกันเชยชม อยู่เพียงไม่กี่ทีมเท่านั้น

อำนาจของเงินตรานั้นมีอิทธิฤทธิ์ มากทีเดียวในมุมมองของผม ความสามารถในการซื้อผู้เล่น บิ๊กเนมราคาแพงมาเสริมทีม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างทีมใหญ่และ ทีมเล็กจริงอยู่แม้ทีม เล็กบางทีมจะสร้างปรากฏการณ์ได้บ้างเป็นครั้งคราว อย่างเช่นที่ ฮัลล์ ซิตี้และสโต๊คแสดงให้เห็นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็น่าจะเหมือนเดิม

คือทีมเล็กประสบการณ์น้อยมักขาดความสม่ำเสมอ, ตัวหลักๆเจ็บตัวสำรองห่างชั้นทดแทนกันไม่ได้, แบกรับความกดดันที่ถาโถมเข้าทั้งจากสื่อและแฟนบอลไม่ไหว ฯลฯตรงนี้ทำให้ผมคิดว่าเมื่อถึง "ปลายทาง" ของซีซั่นมาถึง ทีมใหญ่ก็ยังจะเป็นหน้าเดิมๆไม่น่ามีการผลิกโผ

วันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีคิวไปที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นครั้งที่สองในรอบ 7 วันหลังจากวีกก่อนได้ชมบิ๊กเกมคู่เชลซี-ลิเวอร์พูล ครั้งนั้นทีมสิงห์ไฮโซโดนเชือดคารัง เสียสถิติไม่แพ้ใครในบ้านตัวเองมา 4 ปีกว่าลงซึ่งสร้างความผิดหวังให้กองเชียร์มากทีเดียว

อย่างไรก็ดีสถิติมีไว้เพื่อถูกทำลาย และผมก็เชื่อลึกๆครับว่าเชลซีคงไม่ถึงกับ ชวดแชมป์จากการพ่ายแพ้ต่อทีมหงส์แดงเพียงแค่นัดเดียว !

เพราะล่าสุดทีมจ่าฝูงร่วมอย่างหงส์แดง ก็โชว์ความไม่สม่ำเสมอให้เห็นอีกครั้งเมื่อบุกไปโดน สเปอร์สสอย 2-1 ทั้งที่มีโอกาสปิดเกมนับครั้งไม่ถ้วนสุดท้ายต้องกลับแอนฟิลด์มือเปล่า ทำให้เกิดคำถามจากหลายฝ่ายขึ้นมาอีกครั้งว่า พวกเค้าดีพอแล้วหรือยังสำหรับตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ชิพในปีนี้ วีกก่อนเจอเชลซีเล่นอย่างเทพพอเจอสเปอร์สทีมอันดับบ๊วยของตารางแท้ๆกลับเก็บไม่ได้สักคะแนน
ส่วนอาร์เซนอลปีนี้ยิ่งแล้วใหญ่ กลางสัปดาห์นำสเปอร์ส 4-2 จนถึงนาทีที่ 87 ก่อนโดนตีเสมอไปอย่างแสบสัน เสาร์ที่ผ่านมากลับ "บ้อท่า" หมดปัญญารับมือลูกทุ่มไกลอันเป็นทีเด็ดของสโต๊คพ่ายไป 1-2 โอกาสเป็นแชมป์ถึงตอนนี้ผมกล้าพูดเลยว่า ยากมากถึงยากที่สุด
ด้านแมนฯยูไนเต็ด "แชมป์เก่า" มีทีเด็ดอยู่ที่เกมรุกสุดอันตราย คริสติอาโน่ โรนัลโด้,ดิมี่ เบอร์บาตอฟ และเวย์น รูนี่ย์เป็นตัวชูโรง ความสามารถในการจบสกอร์ของนักเตะในตำแหน่งอื่นก็ทำได้ดี เสียอยู่อย่างเดียวแนวรับที่มีจุดอ่อนให้เห็นอยู่บ้าง การเสียสามประตูให้แก่ฮัลล์ ซิตี้ทั้งที่นำมา 4-1 แสดงให้เห็นว่าเรื่องของสมาธินักเตะชุดนี้อาจยังมีปัญหา
ผิดกับเชลซีสองเกมล่าสุดที่ ยิงไป 8 ลูกไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว!

เกมนี้บรรยากาศในสนามถือว่าครึกครื้นเหมือนเช่นเคย ผมนั่งอ่านหนังสือโปรแกรมประจำเกมใน Press room หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่เขียนเอาไว้ว่าจะพยายามไม่สนใจทีมอื่น มากนักเพราะไม่อยากกดดัน แต่จะขอโฟกัสเฉพาะผลการแข่งขันของตัวเองและ คงแนวทางการเล่นภายใต้ปรัชญา "ดูสนุกแต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ"

จอห์น เทอร์รี่เขียนเอาไว้ในหน้า Captain's note บอกว่า Attacking quality หรือคุณภาพจากผู้เล่นในแนวรุกจะเป็นตัวชี้วัดเลยว่าปีนี้ใครจะเป็นแชมป์ซึ่งเกมนี้ หากใครได้ดูพวกเค้าเล่นก็คงเห็นพ้องตรงกันนะครับว่าเกมรุกและทีมเวิร์กนั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติเลยจริงๆ

การกลับมาเริงระบำบนฟลอร์หญ้าอีกครั้งของมิดฟิลด์พรสวรรค์อย่าง โจ โคล สร้างความแตกต่างให้ทีมมากทีเดียว เซนส์บอล การยืนตำแหน่งรวมไปถึงเทคนิคที่ทำให้ทีมได้ประตูแรก... สามประสานในแดนกลางประกอบไปด้วย จอห์น โอบี มิเกลยืนห้อยต่ำคอยสกรีนและเชื่อมเกมจากหลังไปหน้า ความแม่นยำในการผ่านบอลสั้น-ยาว+ความคิดสร้างสรรค์ในการปั้นเกมของเดโก้ เมื่อรวมกับ "ทีเด็ด" จากลูกยิงไกลและการขึ้นเติมเกมของแฟรงค์ แลมพาร์ดซึ่งมีอย่างอิสระไม่ต้องพะวงเกมรับมาก ทำให้ผมมองว่ามิดฟิลด์ของพวกเค้าในเวลานี้มีคุณภาพ ที่สุดในลีกและดูลงตัวมากเหลือเกิน

มูฟเมนต์ของนักเตะทั้ง 11 คนในสนามก็เป็นอีกจุดนึงที่ถูกเสริมเข้ามาหลังการเข้ามา กุมบังเหียนของบิ๊กฟิล สโคลารี่ หากสังเกตกันดี ๆ จะเห็นนะครับว่าการช่วยกันวิ่งโอเวอร์แลปเติมเกมในแนวรุกหรือวิ่งมา Cover พื้นที่เมื่อเพื่อนร่วมทีมหลุดตำแหน่งยามที่ต้องตั้งรับผมว่า จุดนี้เชลซีทำได้ดีเอามากๆ

แนวรับที่มีปราการเหล็กอย่างจอห์น เทอร์รี่ยืนอยู่ก็ยากเหลือเกินที่จะพลาดพลั้งเสีย ประตูง่ายๆและหาก เจทีไม่ดวงแตกบาดเจ็บยาวผมเชื่อว่า ตรงนี้แหละที่จะให้ทัพสิงห์บลูมีโอกาส เป็นแชมป์มากกว่าเพื่อน
ไม่ใช่ว่าแนวรับอีกสามทีมลุ้นแชมป์อย่าง อาร์เซนอล,แมนฯยูฯ และลิเวอร์พูลไม่เหนียวนะครับ แต่แค่ดูไม่ปึ้กเท่าเชลซีก็แค่นั้น...
อาร์เซนอลที่มีกัลลาสยืนอยู่ช่วงหลังโรยไป เยอะและผิดพลาดบ่อย ลิเวอร์พูลคู่เซ็นเตอร์เหนียวแต่แบ็กสองข้าง ผมมองแล้วยังเติมเกมไม่ดีและไม่คล่องตัวในแนวรับ ส่วนแมนฯยูฯแคนดิเดตตัวสำคัญของเชลซี...ริโอ เฟอร์ดินานด์ยังต้องพัฒนาให้ดีกว่านี้หากหวังจะเป็นที่พึ่งให้ทีมได้ เหมือนอย่างที่เทอร์รี่มีต่อเชลซี

ครับ เส้นทางยังอีกไกลก็จริงแต่นั้นคือบทสรุป ณ สถานการณ์เวลานี้ที่เชลซีนั้น "แจ่ม" และดู "ลงตัว" ที่สุดในสายตาของผม