Tuesday 29 July 2008

เศรษฐกิจตกต่ำกระเทือนตลาดนักเตะในภาพรวม

หากรัก จะเป็น นักฟุตบอลบอล เมื่อต้องโดนโยกย้าย ตำแหน่งมาเล่นตำแหน่งที่ไม่ถนัดเฉกเช่น สตีวี่ จี มายืนปีกขวา โอเว่น ฮาร์กรีฟ ที่บางครั้งโดนจับยืนแบ็ก หรือ ดิออน ดับลิน อดีตกองหน้า ช้างกระทืบโรง โคเวนทรีซึ่งครั้งนึงก็เคยย้าย จากกองหน้า มาเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ก็ต้องเล่นให้ได้+ทำให้ดี เพื่อผลประโยชน์โดย รวมของ ‘ทีม’ ไม่ใช่ออกลูกงอแงแบบ วิลเลี่ยม กัลล่าส์ ที่โดนจับยืนแบ็ก สมัยอยู่เล่นอยู่กับเชลซีแล้ว งอนตุ๊บป่องขอขึ้นทรานสเฟอร์ลิสต์ย้ายทีม

เป็นนักข่าวก็เช่น กันครับผมเชื่อว่า หากมี Flexibility หรือ ความยืดหยุ่นให้สูงเข้าไว้ เหมือนที่ท็อป ‘ไข่มุกดำ’ และโด้ ‘ลูกแม่กิ่ง’ ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบในการไปทำข่าวยูโรฯ ครั้งที่ผ่านมา (เรื่องการจัดตารางดูบอล เส้นทางการเดินทางฯลฯ) ก็จะช่วย ให้เป็นปัจจัยนึงที่จะทำให้งานออกมาดี และราบรื่นที่สุด...

ผมเอง ซึ่งถือว่ายังค่อนข้างใหม่กับงานนี้ และเท่าที่ได้ตามอ่านงาน ของพวกเค้าก็บอกตามตรงครับว่าวันนึง ‘ฝัน’ที่จะทำให้ได้บ้าง แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาบ่มประสบการณ์อีกหลายล้านปีแสงก็ตาม ฮ่าๆ

ที่เกริ่นมาแบบนี้ ไม่ใช่อะไรหรอกครับคือว่าจริง ๆ แล้ววันนี้ผมมีเวลา 3 ชั่วโมงในการปั่นงาน ชิ้นนี้ให้เสร็จตามคำสั่งของท่านพี่ท็อป และก็จะพยายามใช้พื้นที่ตรงนี้ให้งาน ออกมาให้เนียนที่สุดเท่า ที่จะทำได้ เพราะจากนี้ไป ไม่แน่เหมือนกันครับว่าเร็ว ๆ นี้เส้นทางชีวิตของผมอาจถึง ‘จุดเปลี่ยน’ ครั้งสำคัญก็เป็นได้...
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ กรุงลอนดอนนั้นยังคงรักษา ดีกรีความร้อนแรงของ อากาศซัมเมอร์ไทม์ได้แบบที่ว่า ร้อนที่สุดในรอบปีนี้อย่างต่อเนื่องและยาวนานมาร่วมหนึ่งอาทิตย์เต็มๆครับ สำหรับพวกฝรั่งมังค่า ที่ผมได้เจอและไถ่ถามนั้นแต่ละคนนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันครับว่า ร้อน อิ๊บอ๋าย
ดังนั้นช่วงนี้ร้านอาหารไทยที่นี้จึงค่อนข้างเงียบเหงาพอสมควร เพราะว่าอาหารบ้านเราในสายตาชาวต่างชาตินั้น ถือว่าขึ้นชื่อในเรื่องความเผ็ดอยู่แล้ว ขืนกินในช่วงที่อากาศแตะหลัก 30 องศาแบบนี้ อาจได้เห็นฝรั่งน็อกคาโต๊ะอาหารกันละครับ

จบจากเรื่องอากาศร้อนๆ เรามาดูเรื่อง ‘ดีล’ ร้อนๆที่เริ่มขยับ และเป็นรูปร่างมากขึ้นตามเวลาที่บีบเข้ามาเรื่อยๆเพราะซีซั่นใหม่นั้นใกล้จะเปิดแล้ว และผู้จัดการทีมก็เชื่อได้ครับว่า อยากจะให้การเจรจานั้นลุล่วงให้รวดเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้เตรียมวางตัว + ลองทีมในช่วงปรีซีซั่นที่เหลืออยู่อีกไม่นาน
ดีลใหญ่ล่าสุดที่คิดว่าน่าจะลงเอยได้สวยและเป็น ‘ดีล’ ที่จะทำให้ตลาดขยับอีกครั้งก็คือการย้ายทีมของร็อบบี้ คีน กัปตันทีมชาติไอร์แลนด์วัย 28 ขวบของไก่เดือยทอง สเปอร์สที่คาดว่าจะได้ รับค่าเหนื่อยไปเหนาะๆ 80,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์พร้อมสัญญา 5 ปี


ผมเชื่อนะครับว่านี้น่าจะเป็นการย้ายทีมครั้งสุดท้ายแล้ว ของกองหน้าจอมพเนจรคนนึงในโลกลูกหนัง เพราะคีนน้อยนั้น อยู่มาแล้ว 5 ทีม (แจ้งเกิดกับวูล์ฟแฮมป์ตันก่อนย้ายไป โคเวนทรี,อินเตอร์ มิลาน, ลีดส์ และสเปอร์ส) ค่าตัวรวมกันหากนับครั้งล่าสุดประมาณ 18 ล้านปอนด์เข้าไปด้วย ก็จะทำให้เค้ามีค่าตัวย้ายทีมรวมกันทุกครั้งถึง 56 ล้านปอนด์ ! จะเป็นรองก็แค่ นิโกลาส์ อเนลก้า ( 86.8 ล้านปอนด์) ฮวน เวรอน (76.2 ล้านปอนด์) และเฮอร์นัน เครสโป (70.8ล้านปอนด์) สามคนนี้เท่านั้นเอง

และสังเกตเห็น อะไรมั้ยครับ สามรายชื่อข้างบนที่กล่าวมา นั้น จะเห็นได้ว่า สองรายเคยเป็น อดีตนักเตะของเชลซี ขณะที่อีกราย ก็ค้าแข้งอยู่กับสิงห์ไฮโซในชั่วโมงนี้ ดังนั้นเราจึงสรุป ได้ว่าตลาดนักเตะ ตอนนี้ที่ไม่ค่อยขยับนั้น สาเหตุนึงนั้นมาจากการที่เชลซีไม่ได้ขยับตัว มากนักในปีนี้

เพราะหากเทียบกับสมัยเมื่อสามสี่ปีก่อน ที่พวกเค้าซื้อแบบไม่คิดหน้าคิดหลังสักเท่าไร ฟุตบอล ‘ปิดเทอม’แต่ละปี พวกเค้าใช้จ่ายไม่อั้นและพร้อมสอยทุกรายหากอยากได้ใคร โดยไม่ได้คำนึงถึงค่าตัว ที่บางครั้งพุ่งสูงเกินความเป็นจริงที่มันควรจะเป็น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็เช่น รายของ ไรท์-ฟิลลิปส์ 21ล้านปอนด์ หรือ อังเดร เชฟเชนโก้ 30ล้านปอนด์ ฯลฯ
เอาเป็นว่าช่วงหลังๆที่พวกเค้ารัดเข็มขัดมากขึ้นเพราะกลัว ตลาดนักเตะปั่นป่วน + ราคาค่าตัวแบบไร้ ขีดจำกัด เมื่อรวมกับเศรษฐกิจโดยรวมของโลกในยุคปัจจุบันที่ราคาน้ำมันก็แพง และพี่เบิ้มอย่างสหรัฐ อเมริกาก็อยู่ในช่วง Recession ทุกปัจจัยเมื่อมารวมๆกันจึงทำให้ตลาดนักเตะ ในอุตสาหกรรมฟุตบอล ไม่คึกคักเหมือนสองสามปีก่อนหน้านี้ เอซี มิลาน บาร์ซ่า เรอัล มาดริด เองที่เคยทำตัวจ่ายไม่อั้น มาปีนี้ก็อย่างที่เห็นนะครับว่าระมัดระวังตัวเรื่องการใช้จ่ายขึ้นเยอะทีเดียว

ส่วนทีมที่ทำให้ผมแปลกใจ ที่สุดในช่วงนี้ก็คือสเปอร์สเนี่ยแหละครับ กลัว กลั๊ว กลัว ว่าทีมรักจะถังแตกเพราะเล่นช็อปซะสี่ทีม ‘บิ๊กโฟร์’ อายเลยปีนี้
หากตามข่าวกันดีๆเนี่ย ลองดูนะครับไม่ว่านักเตะดังๆ หรือพอมีชื่อหน่อยตกเป็น ข่าวจะย้ายทีมทีไรเนี่ย ไก่จอมเจ้าชู้พร้อมมีเอี่ยวกับเค้าตลอด นี่ยังดีที่บอร์ดบริหาร และฆวนเด้ รามอส มีแพลนล้างบางนักเตะ เพื่อนำมาเป็นทุนบ้างไม่ใช่สักแต่ว่าจ่าย ไม่หารายรับเข้าสโมสร

กลับมาที่ลิเวอร์พูล หลังจากที่ได้คีนน้อยมาแล้ว จากนี้น่าสนใจมากครับว่า ‘ดีล’ กับแกเรธ แบร์รี่ที่ติดต่อ ไว้ก่อนคีนด้วยซ้ำ จะล้มหรือไม่ เพราะชาบี้ อลอนโซ่ก็ยังอยู่และไม่ได้ย้ายไปยูเวนตุส ดังนั้นเงินก่อนที่จะนำไปโปะเป็นค่าตัวแบร์รี่นั้นหายไปแล้ว
ไม่แน่เหมือนกันนะครับ อาร์เซนอลที่ตอนนี้ทำตัวเป็นตาอยู่ รอดูดีลนี้อยู่ห่างๆ อาจจะทำตัวเป็น ‘ตาอยู่’ คว้าแบร์รี่ไป ใช้บริการก็เป็นไปได้เหมือนกัน เพราะที่ผมมอง จุดประสงค์ในการย้ายทีม ของกัปตันสิงห์ผงาดรูปหล่อรายนี้ อยู่ที่โอกาสในการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกมากกว่า อีกอย่างอาร์เซนอลก็เสียกองกลางไปแล้วถึงสามรายและ Need นักเตะในตำแหน่งนี้ มากกว่าหงส์แดง ที่ผู้เล่นในตำแหน่งนี้นั้นมีทั้ง เจอร์ราร์ด มาสเคราโน่ อลอนโซ่ ไม่นับลูคัส เลว่า ที่รอโอกาสอยู่
สุดท้าย ดีลที่อยากให้ติดตามดูเพราะ น่าสนใจมากก็คือ สงครามประสาทระหว่างทางแมนฯยูฯกับสเปอร์ส ที่ถึงนาที แมนฯยูฯ ( แกล้ง) ไปสนใจ เธียร์รี่ อองรี ซามูเอล เอโต้ และ โรเก้ ซานตาครูซ ซะอย่างนั้น ดีลนี้ผมมองว่าสุดท้ายแล้วฝ่ายที่ใจอ่อนก่อนน่าจะเป็นสเปอร์สที่มีสิทธิ์ตกหลุม พรางนี้ของเฟอร์กี้และขายในราคาที่ไม่เกิน 30 ล้านปอนด์ครับ

Wednesday 23 July 2008

เป้าหมายทีมตราไก่ซีซั่น 2008/09


เปิดเว็บไซต์ดูพยากรณ์อากาศจาก BBC เช้าวันอังคารนี้แล้ว สุขใจครับสำหรับคนขี้หนาวอย่างผม เพราะสองสามวันต่อจากนี้อุณหภูมิใน ลอนดอนมีโอกาสแตะถึงหลัก 30 องศาเซลเซียส และนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของชาวอังกฤษ และผมกับการที่จะได้ซึมซับบรรยากาศ ซัมเมอร์ไทม์เป็นครั้งสุดท้ายในปีนี้ก่อนที่หน้าฝน และหน้าหนาวจะเข้ามารับช่วงต่อในเดือนหน้า

พูดแล้วก็ใจหายครับ เพราะไม่คิดจริง ๆ ว่าเวลาเดินเร็วขนาดนี้ อยู่ไปอยู่มาก็จะเข้าปีที่สองแล้ว สำหรับผม กับประเทศอังกฤษ และก็ยังไม่รู้ครับว่านี่จะเป็นซัมเมอร์ครั้งสุดท้าย ของผมหรือเปล่า เพราะจากนี้คงต้องตัดสินใจอีก ทีว่าเรียนจบในเดือน พฤษภาคมปีหน้าแล้วจะกลับไปมาตุภูมิบ้านเกิดเลย หรือจะเลือกใช้โควตาขยายเวลา ไปอีกปีสองปีตามกฎใหม่ของคนจบปริญญาโทที่จะได้โอกาสหางานที่นี่ต่อ
เขียนเรื่องตัวเองตามฟอร์มครับ ตามประสาคนไกลบ้าน + นึกมุขอะไรไม่ออกในช่วงที่ข่าวฟุตบอล อังกฤษค่อนข้างเงียบเหงา เพราะ ‘ดีล’ ใหญ่ ๆ นั้นยังคาราคาซัง และไม่คืบหน้าสักเท่าไรเลย ^^
เคสของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ที่เขียนถึงอาทิตย์ที่แล้วก็ยังนิ่งอยู่ซึ่งถึงตรงนี้บอก ตามตรงว่าผิดคาดเล็กน้อยที่การเจรจายังไม่ลุล่วง เพราะแมนฯยูฯเองก็ไม่อยากเสียปีกโปรตุเกสไป แม้ว่าใจโด้จิ๋วนั้นลอยไปซานติอาโก้ เบอร์นาบิวนานแล้ว
แต่ก็อย่างว่าครับหากมองกันให้ลึกลงไปถึงตำแหน่ง ของหนูโด้ และเบิร์บนั้นคนละตำแหน่งอย่างชัดเจน และปรมาจารย์อย่างเฟอร์กี้ก็คงบวกลบคูณหารแล้ว การเก็บหนูโด้ไว้ และได้เบอร์บาตอฟมาเสริมความน่ากลัวในแนวรุกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หาใช่เอาเบิร์บมาเป็นตัวแทนโด้จิ๋วอย่างที่ออกข่าวมาในตอนแรก
ขณะที่ในมุมของสเปอร์ส ดู ๆ แล้ว ฆวนเด้ รามอส นั้นพร้อมจะปล่อยผู้เล่นที่ไม่มีใจออกไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าดาเนียล เลวี่ ท่านประธานไก่ดันรู้สึกเหมือนตัวเอง โดนตีท้ายครัวจึงออกอาการกริ้วอย่าง ออกนอกหน้าทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว หากจำกันได้สเปอร์สเองก็เพิ่งทำกับคริสตัล พาเลซ ในกรณีการไปฉกตัว จอห์น บอสต็อค มาด้วยค่าตัวจุ๋มจิ๋มแค่ 700,000 ปอนด์จนทำเอาไซม่อน จอร์แดนตอนนี้ถึงกับเซ็งในความ ไม่ยุติธรรมของวงการฟุตบอล และกำลังจะขายสโมสรทิ้งเร็ว ๆ นี้
มองอีกด้านมันก็เหมือนกรรมมันตามทันสเปอร์สที่ทำเอาไว้กับพาเลซ เพราะพวกเค้าก็มีโอกาสมากกว่า 70% ที่จะเสียทั้งเบอร์บาตอฟ รวมไปถึงร็อบบี้ คีน สองหัวหอกตัวเก่งของทีม
หากถามแฟนสเปอร์ส (รวมทั้งตัวผม) คงต้องบอกว่าหากเสียทั้งคู่ไปจริง ปีหน้าแนวรุกสเปอร์สจะมีปัญหาแน่นอน เพราะต่อให้รามอสจะไปสอย อังเดร อาร์ชาวิน หรือดิเอโก้ มิลิโต้ มาได้ แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าสองคนนี้จะประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน อีกอย่างราคาของอาร์ชาวินที่แม้จะโดดเด่นพอสมควรในยูโรก็แพงเกินความจริง
อย่าลืมนะครับว่านักเตะฟอร์มดีในทัวร์นาเมนต์สั้น ๆ อย่างยูโร หรือฟุตบอลโลกต่าง “สอบตก” ในลีกอังกฤษมาแล้วนับไม่ถ้วน ดังนั้น 21.5 ล้านปอนด์ที่เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เรียกมาถือว่าแพงบรรลัยครับ

อย่างไรก็ดีทิศทางของทีมตราไก่ในชั่วโมงนี้ น่าสนใจมาก และถือเป็นย่างก้าวที่สำคัญ อย่างยิ่งกับอนาคตของสโมสรว่าจะแทรกตัวไปเป็นหนึ่งใน ‘บิ๊กโฟร์’ ได้มั้ย
ประการแรก บอร์ดบริหารชุดนี้ถือว่ามีการวางแผนการทำทีมในระยะยาวได้ดี + เข้าใจลงทุนกับนักเตะอายุไม่เยอะแต่ฝีเท้าดีมาเสริมทีมอยู่เรื่อย ๆ จริงอยู่ที่บางครั้งดูเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อย่างเช่นรายของ เควิน ปรินซ์ บัวเต็ง, ดาร์เรน เบนท์ หรือยูเนส คาบูล
อย่างไรก็ดีทุกอย่างมีด้านขาว และดำ เพราะมีหลายคน เช่นกันที่ซื้อเข้ามาแล้วคุ้มเกินคุ้ม อย่างในรายของ โจนาธาน วู้ดเกต (8ล้านปอนด์), เบอร์บาตอฟ (10.9 ล้านปอนด์), แอรอน เลนนอน (1ล้านปอนด์) หรือแม้กระทั่งแกเร็ธ เบล (5 ล้านก้อนแรก อีก 5 ล้านตามจำนวนนัด+ ความสำเร็จ) ที่แม้เจ็บปิดเทอมยาวในซีซั่นที่แล้ว แต่ฟอร์มเท่าที่ดูแล้วถือว่าสอบผ่านสบายสำหรับปีแรกในพรีเมียร์ชิพ
รายชื่อที่ไล่มานี้ถือว่าเป็นดีลที่โชว์ Vision ของเหล่าแมวมองของสเปอร์สว่าไม่ได้ด้อย ไปกว่าทีมคู่ปรับอย่างอาร์เซนอลสักเท่าไร
นี่ยังไม่รวม ลูก้า โมดริช หรือจิโอวานี่ โดส ซานโตส ที่รอการพิสูจน์ตัวเองกับพรีเมียร์ชิพ แต่แค่ฉกสองคนนี้มาเล้าไก่ได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว สำหรับสองดาวรุ่งพุ่งแรงที่ได้รับการกล่าว ขานว่าจะเป็นดาวดังในอนาคตอันใกล้โดยเฉพาะโมดริชที่เราเห็น ‘คลาส’ ของเจ้าตัวมาบ้างแล้วในศึกยูโรครั้งที่ผ่านมา
ประการที่สอง หากสเปอร์สสามารถขาย 4 นักเตะอย่าง มัลบรองค์, คาบูล, ไทนิโอ และชิมบงด้าได้ในราคาประมาณ 23 ล้านปอนด์อย่างที่ตกเป็นข่าวจริงสเปอร์ส ก็อาจไม่จำเป็นต้องขายคีนน้อยไปหงส์แดง เพราะแม้หอกไอริชจะเป็นแฟนลิเวอร์พูล แต่ลึก ๆ แล้วเชื่อว่าด้วยความผูกพันที่เจ้าตัวกับสเปอร์สมีมากว่า 6 ปี สุดท้ายแล้วกองหน้าจอมตีลังกาจะอยู่ช่วยทีมท้าทาย ‘บิ๊กโฟร์’ ในซีซั่นหน้า
ประการสุดท้าย ความสามารถของฆวนเด้ รามอส ที่สร้างปาฏิหาริย์พาทีมได้แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ในนัดชิงฯกับเชลซีนั้นสร้างความฮึกเหิม + เพิ่มความเชื่อมั่นให้บอร์ดบริหาร ในการกล้าให้งบประมาณ มาแต่งองค์ทรงเครื่องทีมตราไก่ขึ้นอีกเยอะ
ปีนี้เราจะได้ดูกันเต็ม ๆ ล่ะว่า แกจะทำได้ดีแค่ไหน และฟุตบอลสไตล์เดินหน้าฆ่ามันที่เจ้าตัวชื่นชอบ นักหนาจะรักษา บาลานซ์ของทีมได้มั้ย เพราะคงไม่ดีแน่ครับ หากต้องเป็นแบบซีซั่นก่อนที่พร้อมเสียประตูทุกเมื่อ และสกอร์ 6-4 (ชนะเรดดิ้ง) หรือเสมอ 4-4 ในการพบกับแอสตัน วิลล่า และเชลซีในซีซั่นก่อน มันดูจะบีบหัวใจคนดูไปหน่อยกระมังครับ โดยเฉพาะกับแฟนตราไก่ที่จริงอยู่ว่าชื่นชอบเอนเตอร์เทนฟุตบอล แต่มันคงไม่ดีแน่ครับสำหรับคนเฒ่าคนแก่ ที่เชียร์อยู่หน้าจอ เพราะหัวใจอาจวายตายคาหน้าจอทีวีเอาได้ง่าย ๆ ^^
สรุปนะครับว่า แน้วโน้มทีมกุ๊กไก่ใน ปีหน้าฟ้าใหม่ที่จะถึงนี้ แม้จะได้ตัวแจ่ม ๆ มาเสริมทีมเยอะ แต่โอกาสที่จะแทรกไปเป็นหนึ่งใน ‘บิ๊กโฟร์’ ต้องยอมรับความจริงว่า โอกาสมีไม่ถึง 30 % เลย เพราะโครงสร้างทีม อำนาจเงิน และกึ๋นกุนซือของทีมอย่าง แมนฯยูฯ, เชลซี, อาร์เซนอล หรือลิเวอร์พูล นั้นยังดูดีกว่าสเปอร์สมาก
ดังนั้น ‘ท็อปซิกซ์’+ แชมป์บอลถ้วยสักแชมป์ น่าจะเป็นเป้าหมายที่ไม่หลอกตัวเองเกินไปครับ

Wednesday 16 July 2008

พรีเมียร์ชิพกับวัฏจักร"คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า"


หายเงียบไปเกือบ ๆ สองวีกครับเนื่องจากว่าติดภารกิจที่มหาลัย + โหมทำงานร้านอาหารเก็บเงินมาเที่ยวไทย ในช่วงเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ทำให้ไม่ได้โผล่หัวมาเขียน คอลัมน์ Viva London เลย ^^
กลับมารอบนี้สัญญาครับว่าจะพยายามเขียน ให้ได้ทุกวันพุธเหมือนเคย ต่อให้โค้งสุดท้ายของคอร์สซัมเมอร์ ป.โทที่ลงเรียนไปจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม...
บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงนี้หลังจากหมดช่วงยูโร 2008 ไปก็มีเทนนิสวิมเบิลดันมาทำให้ซัมเมอร์ ที่นี่ครึกครื้นใช้ได้ทีเดียว อากาศเย็นสบายอุณหภูมิประมาณ 15-24 องศา แม้จะมีฝนตกประปรายลงมาบ้าง แต่ภาพรวมแล้วถือว่าหน้าร้อนปีนี้ยาวนานกว่าปีที่แล้วพอสมควรเลยละครับ
เกริ่นกันพอคร่าว ๆ ละกันสำหรับเรื่องฟ้าฝน วกกลับมาคุยเรื่องฟุตบอลของที่นี่กันบ้างดีกว่า ว่ามีอะไรอัพเดตกันไปถึงไหนแล้ว : )
อย่างที่ทราบ ๆ กันนะครับว่า ช่วงปิดฤดูกาลแบบนี้ "ประเด็น" ร้อนส่วนใหญ่ที่คนให้ความสนใจกันก็คือเรื่องการตกแต่งขุมกำลังของแต่ละทีมซึ่งปีนี้ถือว่าทั้งตลาดนักเตะ และกุนซือนั้นย้ายขั้วสลับดอกกันเยอะแทบจะเป็นประวัติการณ์เลย
นัยหนึ่งก็อาจมองได้ครับว่าอุตสาหกรรมฟุตบอลที่อังกฤษนั้นเติบโตขึ้นมามากทีเดียวในช่วง 4-5 ปีหลังนี้ บรรดาแข้งดังต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกนั้นเข้ามาเพิ่มสีสันให้วงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งถึงตอนนี้คงพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วล่ะว่าเป็นลีกหมายเลขหนึ่งที่แฟน ๆ ให้ความสนใจมากที่สุดในโลกไปแล้ว
ปีนี้สตาร์ดังจากยูโรที่ตบเท้าเข้ามาเล่น ในอังกฤษก็มี บิ๊กเนม อย่าง ซาเมียร์ นาสรี่, เดโก้, โจเซ่ โบซิงวา และลูก้า โมดริช ขณะเดียวกันก็มีอยู่หลายรายเช่นกันที่อยากจะออกไป ค้าแข้งกับลีกอื่น อย่าง ซีรีส์อาของอิตาลี หรือลาลีกาของสเปน เช่น มาติเยอ ฟลามินี่ และอเล็กซานเดอร์ คเล็บที่เผ่นหนีอาร์เซนอลไปเรียบร้อยแล้ว โดยรายหลังนั้นให้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลยด้วยการอ้างว่า ลอนดอนนั้นวุ่นวายเกินไปสำหรับเจ้าตัว !
ถามหน่อยเถอะครับว่า เมืองบาร์เซโลน่านั้นเงียบเชียบกว่าลอนดอน ขนาดนั้นเชียวเหรอ ??
ยิ่งพอเห็นลูกงอแงของเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ เกี่ยวกับสัญญาฉบับใหม่แล้วก็สงสารทีมปืนโตจริง ๆ ครับ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่พวกเค้าดึงบรรดาแข้งเพชรในโคลนตมมาเจียระไนจนมีชื่อเสียง แล้วสุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนขายออกไปทำให้ทีมขาดความต่อเนื่อง + ไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียที
นอกจากนี้ในรายของ ‘เดอะดร็อก’ และหนุ่ม ‘แลมพ์’ จากค่ายสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี อนาคตของทั้งคู่ก็ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตให้กุนซือใหม่ถอดด้ามอย่าง ‘บิ๊กฟิล’ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ต้องรีบดำเนินการทำอะไรสักอย่างแล้วเพื่อที่จะได้เตรียมการวางแท็กติกส์ ตัวผู้เล่นว่าใครจะยืนตรงไหน และเล่นรูปแบบอย่างไร หากว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง ๆ
เพราะอย่าลืมนะครับว่าทั้งสองหน่อที่ว่ามานี้ถือเป็นสองผู้เล่นคนสำคัญของทีมในฤดูกาลที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะดร็อกบาที่ถือเป็นหัวหอกในทีมคนเดียวตอนนี้ของทีมที่ไว้วางใจได้มากที่สุดแล้ว เนื่องจากว่า นักเตะอย่างนิโกลาส์ อเนลก้า, เคลาดิโอ ปิร์ซาโร่ หรืออดีตจรวดทางเรียบจากยูเครนอย่าง อังเดร เชฟเชนโก้ นั้นสอบตกกันเรียบวุธในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ในรายของแฟรงค์ แลมพาร์ด ที่โดนกุนซือคู่ซี้อย่าง โจเซ่ มูรินโญ่ตามเกี้ยวเช้า เกี้ยวเย็นให้ไปร่วมหอลงโรงทำมาหากินกัน ที่เมืองมะกะโรนี ผมกลับมองว่า หากเชลซีจะเสียกองกลางจอมถล่มประตูรายนี้ไป มันก็ไม่ได้เสียหายมากนัก เพราะยังมีชอยซ์ อย่างมิชาเอล บัลลัค หรือเดโก้ ที่คุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไรรอพื้น ที่สัมปทานตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกอยู่แล้ว หากหนุ่มแลมพ์ต้องจากทีมไปจริง ๆ
ส่วนอีกหนึ่ง "ดีล" ที่น่าจะถือเป็นมหากาพย์เรื่องยาว และคาดว่าน่าจะได้บทสรุปในเร็ววันนี้อย่าง ในรายของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ที่ยืดเยื้อ และกลายเป็นประเด็นลุกลามใหญ่โตจนประธานองค์กรลูกหนังโลก อย่างเซปป์ แบล็ตเตอร์ ดูเชิงมาพักใหญ่คงเกิดอาการเปรี้ยวปากออกมา ‘โชว์ความเพี้ยน’ ด้วยการเปรียบ ปีกสับสยองว่าเป็น ‘Modern Slavery’ หรือนางทาสปี 2008 สร้างความโกรธเคืองให้บรรดาตำนานแข้งผีแดง และผู้คร่ำหวอดในวงการลูกหนังหลายรายออกมาสับ แบล็ตเตอร์ซะเสียผู้เสียคน ที่สำคัญการออกมาพูดโดยไม่คิดแบบนี้ ถือว่าดิสเครดิตตัวเองไปเยอะทีเดียวสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้
อย่างไรก็ดีครับสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่าดีล ‘"หนูโด้" จะจบลงเร็ว ๆ นี้ก็เพราะว่า ณ เช้าวันอังคารที่ผมกำลังส่งต้นฉบับอยู่นี้ ข่าวจากหลายสำนักได้ออกข่าวมาแล้วครับว่าแมนฯยูฯกำลังจะกระชากตัว ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟมาสู่อ้อมอกได้เต็มแก่ด้วยค่าตัวประมาณ 28 ล้านปอนด์โดยสเปอร์สนั้นตอบรับข้อเสนอสุดงามจากทีมผีแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าหัวหอกชาวบัลแกเรียจะคุยรายละเอียดส่วนตัวได้ราบรื่นหรือไม่เท่านั้นเอง
สเปอร์สนั้นถึงตอนนี้คงต้องบอกว่าไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะว่าช่วงปิดซีซั่นที่ผ่านมานี้พวกเค้าทำตัวเป็น อาเสี่ยกระเป๋าหนัก ควักเงินไม่อั้นสอยนักเตะมาสนองตัณหาฆวนเด้ รามอสไปแล้วร่วม 30 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าไม่น้อยทีเดียวสำหรับทีมที่จบอันดับ 11 ในปีที่แล้ว และได้เพียงแค่ถ้วยน้ำจิ้มอย่าง คาร์ลิ่ง คัพ มาหลอกตัวเองว่าพร้อมจะก้าวเท้าไปเขย่าบัลลังก์ บิ๊กโฟร์อย่างทีมอื่นเค้า
เรียกได้ว่าจากนี้ไปหากรามอสคิดจะดึง เดวิด เบนท์ลี่ย์, โรเก้ ซานตา ครูซ หรือหลุยส์ การ์เซีย เข้ามาเสริมทีมอย่างที่เป็นข่าวจริงแล้วละก็คงต้องเลือกปล่อยไม่ เบอร์บาตอฟ, ร็อบบี้ คีน หรือดาร์เรน เบนท์ คนใดคนหนึ่ง (หรือสองจากสามคนนี้) มาเป็นทุนสักก้อนเพื่อนำเงินมาสอยแข้งใหม่เข้าเล้า ไม่อย่างนั้นสเปอร์สอาจจะจบเห่ถึงขั้นล้มละลายแบบลีดส์ในยุคจ่ายไม่อั้นก็เป็นได้ หากไม่มีการวางแผนการใช้จ่ายให้ดี...
สรุป และขออนุญาตฟันธงล่วงหน้านะครับว่าถ้าเบอร์บาตอฟมาแมนฯยูฯจริง หนูโด้ก็จะได้ย้ายไปหากินที่สเปนสมใจ ขณะที่ในรายของโรนัลดินโญ่ที่มีข่าวกับทีมเรือใบสีฟ้าของคุณทักษิณ ถ้ามาจริงก็ถือว่าเซอร์ไพรส์มาก ๆ เพราะโดยส่วนตัวผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าตัวจะยอมลดคลาส + ตัดความก้าวหน้าในอาชีพตัวเองมาตายรังที่ทีมจากย่านอีสต์แลนด์ อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะไปเอซี มิลาน, เชลซี หรือหากไปไหนไม่ได้จริง ๆ ก็สู้อยู่พิสูจน์ตัวเองที่บาร์ซ่าน่าจะเป็นทางออกที่ไม่เลวสำหรับเจ้าตัวครับ (หวังว่าแฟนแมนฯซิตี้ที่อ่านคงเข้าใจ และไม่โกรธกันเด้อ!)