Wednesday 19 September 2007

โอกาสของ "บิ๊กโฟร์" ในเวทียุโรป



ฟุตบอล ยูฟ่ าแชมเปี้ยนลีก ประจำฤดูกาล 2007-2008 ได้ฤกษ์เปิดฉากให้คอบอลได้ลุ้นกันแล้วตั้งแต่คืนวันอังคารที่ผ่านมา ผลแต่ละคู่เป็นอย่างไรคาดว่าท่านผู้อ่านน่าจะได้ทราบกันไปเรียบร้อยแล้ว

สี่ทีม "บิ๊กโฟร์" จากพรีเมียร์ชิพได้รับการจับตามองมากเหลือเกิน ในปีนี้เนื่องจากผลงานในช่วงปีหลังๆ เข้าตาดีเหลือเกินโดย เฉพาะฤดูกาลที่ผ่านมาที่ลิเวอร์พูล, เชลซี และแมนฯยูไนเต็ด ได้มีโอกาสทะลุเข้าไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายโดยเป็นลูกทีม ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับคู่ปรับเก่าอย่าง เอซี มิลาน แต่พลาดท่าปราชัยไปอย่างน่าเสียดาย

เห็นพัฒนาการของทีมจากอังกฤษในช่วงปีหลังๆ แล้วต้องยอมรับครับว่าพวกเค้าได้ยกระดับ มาตรฐานตัวเองไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะสามารถต่อกรทีมต่างๆ จากยุโรปได้อย่างไม่เป็นรองเลยโดยหากย้อนดูสถิติสามปีหลังสุดที่ตัวแทน 1 จาก 4 ทีมได้เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ (ลิเวอร์พูล ปี 2005 และ 2007, อาร์เซนอล ปี 2006)

ในปีนี้ "โอกาส" ของแต่ละทีมในความเห็นของผมดูแล้วสูสี ดู๋ดี๋ ยากที่จะคาดเดาเหลือเกินครับ เพราะแต่ละทีมนั้นคุณภาพคับแก้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมยักษ์ใหญ่ขาประจำอย่าง เอซี มิลาน เรอัล มาดริด หรือบาร์เซโลน่าที่น่าจะเป็น แคนดิเดต ที่น่ากลัว สำหรับ "บิ๊กโฟร์" จากประเทศอังกฤษ

ประเด็นที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ก็คือ "มุมมอง" ผมที่มีต่อ สี่ทีม "บิ๊กโฟร์" ในถ้วย UCL ปีนี้ครับ

เชลซีของโจเซ่ มูรินโญ่ ที่ปีนี้เจอความกดดันมากเหลือเกิน เพราะท่านประธานโรมัน อับราโมวิช อาจจะหมดความ อดทนกับกุนซือปากจัดรายนี้หากในปีนี้ยังไม่สามารถนำถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก มาประดับตู้โชว์ในสโมสรได้อีก ดังนั้นความมุ่งมั่นในถ้วยนี้ของมูรินโญ่ในปีนี้ จึงอยู่ในระดับ "สูงมากถึงมากที่สุด" เพราะเจ้าตัวไม่มีทางเลือกแล้วครับ หากหวังจะเห็นตัวเองคุมทีมต่อไปในซีซั่นหน้า

แมนฯยูไนเต็ด ที่ในปีที่แล้วโดดเด่นเหลือเกินในแนวรุกแต่กับแนวรับแล้ว พวกเค้าขาดกองกลางตัวรับมาคอยผ่อนแรงแผงหลัง จึงโดนเอซี มิลาน แชมป์ เก่าสอนเชิงไปในรอบ เซมิ-ไฟนัล
ในปีนี้ ท่านเซอร์ อเล็กซ์จึงกำจัดจุดอ่อนตัวเองด้วยการซื้อ โอเว่น ฮาร์ กรีฟส์ ตัวรับธรรมชาติมาเพื่อกิจนี้โดยเฉพาะ เพราะนายใหญ่ผีแดงหวังเหลือเกินว่าก่อนที่เค้า จะรีไทร์จะสามารถพาทีมผีแดงชนะเลิศถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกให้ได้

ลิเวอร์พูล "รองแชมป์" เมื่อปีที่แล้ว ผู้จัดการทีม ราฟาเอล เบนิเตซ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าปีนี้พวกเค้าหวังถ้วยพรีเมียร์ชิพเหนือสิ่งอื่นใด แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าถ้วยใบใหญ่ของยุโรปพวกเค้าจะเพิกเฉยซะที่ไหน
การเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงในเวทียุโรปของ เอลราฟา ทำให้พวกเค้ามีโอกาสไม่น้อยเลยครับในการจะ พาทีมหงส์แดงเข้าไปชิงชนะเลิศครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปีหลัง

เฟอร์นานโด ตอร์เรส คือ "ตัวแปร" สำคัญครับ เพราะผม เชื่อว่าถ้าเจ้าตัวสามารถระเบิดฟอร์มเทพ ได้อย่างที่เล่นในพรีเมียร์ ชิพได้ หงส์แดงไม่ต้องกลัวใครหน้าแล้ว เพราะกองกลาง และกองหลังนั้นดูค่อนข้างลงตัวและมีอะไหล่ทดแทนที่คุณภาพไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้นจึงอยู่ที่ เอลราฟา ล่ะครับ ว่าจะจัดทีมอย่างไรในแต่ละนัด

ขณะที่อาร์เซนอล จ่าฝูงพรีเมียร์ชิพล่าสุดหลังเอาชนะสเปอร์สไปได้ใน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วครับว่า การจากทีมไปของ "คิง อองรี" ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อสภาพจิตใจของเด็กๆ อาร์แซน
เวนเกอร์ แม้แต่น้อย
ถึงแม้สภาพทีมรวมถึงอะไหล่ทดแทนพวกเค้าจะไม่ดี และมากเท่าสามทีมข้างต้น แต่ทีมใดก็ตามที่เจอพวกเค้าในถ้วยนี้ รับรองครับว่า ไม่ได้กินขุนพลยังกันส์ชุดนี้ง่ายๆ แน่นอน

สำหรับโจทย์สำคัญของกุนซือทั้งสี่ทีมที่ต้องจัดการให้ได้ก็คือ จะจัดการรับมือกับโปรแกรมการแข่งขันที่เตะกันถี่ยิบเหลือเกิน และจะรักษา "บาลานซ์" ของทีมให้ได้อย่างไรทั้งศึกใน และนอกประเทศ

หลายต่อหลายครั้งที่กุนซือต้องพักนักเตะหลักๆ ของพวกเค้าให้สดเพื่อให้พร้อมสำหรับเกมกลาง สัปดาห์ซึ่งบางครั้งมันส่งผลให้ทีม "สะดุด" แต้มหลุดไปในฟุตบอลลีก

คิดต่อไปครับว่า หากหลุดบ่อยๆ อย่างที่ เชลซี หรือ ลิเวอร์พูลทำหลุดไป 2 คะแนน ในการเจอคู่แข่งที่ รองบ่อนกว่าอย่างเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะเกิดอะไรขึ้นในการชิงชัยระยะยาว?

เขียนถึงตรงนี้ ผมไม่ได้หมายความว่า การคว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ชิพ และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกในซีซั่นเดียวกันจะเป็นไปไม่ ได้ เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว ว่า แมนฯยูไนเต็ด เคยทำได้ในปี 1999

แต่อย่างที่เรียนไปครับว่า ผู้จัดการทีมจะใช้ระบบ โรเตชัน และหมุนเวียนนักเตะได้ดีแค่ไหน และจะทำให้นักเตะพอใจได้มากน้อยเพียงใดกับระบบที่ว่า ?

อันนี้ต้องติดตามกันต่อไปครับ...
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2981

Wednesday 12 September 2007

สิงโตจะตะปบหมีขาว!!!


ไม่มีใครเถียงครับว่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในแมตช์กับอิสราเอล สตีฟ แม็คคลาเรน ตัดสินใจเลือกตัวผู้เล่นได้ "ถูกที่ ถูกเวลา" เป็นที่สุดไม่ว่าจะเป็นการส่ง เอมิล เฮสกีย์ รวมถึง แกเร็ธ แบร์รี่ ลงสนาม ในช่วงเวลาที่ถือว่าอังกฤษตกอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่พอดี

มากไปกว่านี้ ทั้งคู่ยังสามารถทำผลงานได้ค่อนข้างน่าประทับใจครับ โดยเฮสกีย์ได้ใช้ความใหญ่ ความขยันที่มีช่วยเหลือ ทีมรวมไปถึงสนับสนุนเกมของ ไมเคิล โอเว่น ได้สมกับคำว่า "คนรู้ใจ"

ขณะที่แบร์รี่ ในการจับคู่กับ สตี่วี จี ก็ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดูเหมือนจะเล่นได้อย่าง"รู้ใจ" กว่าคู่ โอเว่น-เฮสกีย์ เสียอีก แม้ว่าจะไม่เคยถูกจับให้เล่นด้วยกันมาก่อนก็ตาม

การจับคู่ของสองกองกลางที่ค่าย หงส์แดง และสิงห์ผงาดส่ง เข้าประกวดนั้นดู "ลงตัว" เพราะเราจะเห็นได้ว่าเจอร์ราร์ดจะมีอิสระ การเติมเกมรุกได้อย่างเต็มที่ผิดกับยามที่ต้องเล่นกับแฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ต้องคอยเตือนตัวเองให้ระวังหลังบ้าน เพราะสไตล์หนุ่ม "แลมพ์" ก็ถนัดในการ "เดินหน้า หาประตู" เช่นเดียวกัน

ดังนั้น การจับคู่ของ เจอร์ราร์ด-แลมพาร์ด ที่ดูๆ แล้วไม่ค่อย "เวิร์ก" น่าจะเป็น "แนวทาง" ในการจัดทีมนัดต่อๆ ไปของ สตีฟ แม็คคลาเรน ได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะครับ (อันนี้คงต้องภาวนา ให้ "บิ๊กแม็ค" เลิก "ยึดติด" และ "เกรงใจ" สตาร์ดังๆ ด้วยนะครับ)

แบร์รี่เองแม้ว่าจะไม่มีความเร็วมาก แต่การยืนตำแหน่ง รวมถึงการกล้าเล่น กล้าลุย มากกว่าไมเคิล คาร์ริค ที่สไตล์การเล่นดูเนือยๆ ไร้ซึ่งความ "ดุดัน" ทำให้ "บิ๊กแม็ค" ลองเสี่ยงใช้บริการในนัดที่ผ่านมาและดู "เข้าท่า" ทีเดียวในความเห็นผม

อีกจุดหนึ่งที่อย่างพูดถึงก็คือ "สัญญาณ" ที่ดีทางฝั่งขวาของ ทีมชาติอังกฤษที่ตอนนี้ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ และไมคาห์ ริชาร์ดส กำลัง "ดีวัน ดีคืน" โดยเฉพาะในรายหลังที่ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ และน่าจะกลายเป็นแบ็กขวาตัวหลักให้ทีมชุดนี้ไปอีกหลาย ปีถ้าหากว่าไม่เสเพล หรือบาดเจ็บจนฟอร์มหลุดไปเสียก่อน

การทะลุขึ้นเป็นตัวจริงทีมชาติของทั้งคู่ และทำผลงานได้ "แจ่ม" นั้นหมายถึงวันเวลาของ แกรี่ เนวิลล์ และเดวิด เบ็คแฮม ในนามทีมชาติน่าจะ "จบ" ลงในไม่ช้าแล้วเช่นกัน

ประเด็นสุดท้ายที่อย่างพูดถึงก็คือ ตำแหน่งคู่กองหน้าครับ เพราะ ปีเตอร์ เคราช์ พ้นโทษแบนกลับมาเป็นตัวเลือกพร้อมให้ "บิ๊กแม็ค" เลือกใช้บริการอีกครั้ง

ขณะที่ผมนั่งพิมพ์งานชิ้นนี้อยู่ (เช้าวันอังคาร) ยังไม่มีข่าวเพิ่มเติมใดๆ ครับว่า "บิ๊กแม็ค" ได้ตัดสินใจเลือกคู่หัวหอกว่าจะเป็นคู่ โอเว่น-เฮสกีย์ หรือโอเว่น-เคราช์

แต่เท่าที่ "จับกระแส" สื่อที่นี้รวมถึงผลโหวตของ The Sun ที่ไปสัมภาษณ์ อดีตสตาร์ทีม ชาติอังกฤษอย่าง อลัน เชีย เรอร์, เกล็น ฮอดเดิ้ล และคริส วอลเดิ้ล ทั้งหมดต่างยกมือ สนับสนุน เฮสกีย์ และอยากเห็นการจับคู่ของ โอเว่น-เฮสกีย์ มากกว่า โอเว่น-เคราช์ อย่างเป็นเอกฉันท์

ส่วนตัวแล้ว แม้จะมองว่า เฮสกีย์ ไม่ได้เก่งกว่าเคราช์เลยสักนิดเดียว แต่ผมก็อยากจะเห็นหัวหอกวีแกน ได้ลงเป็นตัวจริงในเกมคืนนี้กับรัสเซียต่อไปอีกหนึ่งนัดครับ

สาเหตุหลักๆ ที่ผมเลือกเฮสกีย์ก็คือ :

1. ปีเตอร์ เคราช์ ขาด Match practice หรือไม่ได้ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลมากนักในซีซั่นนี้ รวมไปถึงการติดโทษแบนในเกมวันเสาร์ซึ่งน่าจะทำให้ "ความพร้อม" ของเฮสกีย์มีมากกว่า
2. แม้ทั้งคู่จะสูงพอกัน แต่ "ความใหญ่" ของเฮสกีย์ น่าจะเป็น "ผลดี" กับอังกฤษมากกว่า เพราะเกมนี้อังกฤษต้องการ "ตัวชน" กับแผงหลังรัสเซีย และหอกวีแกนน่าจะเป็น "คำตอบสุดท้าย" ได้

รัสเซียภายใต้การควบคุมของ กุส ฮิดดิ้งค์ มีผลงานเสียประตู "น้อยที่สุด" ในรอบคัดเลือก โดยเสียไปแค่ 1 ประตูเท่านั้นจากการเล่น 8 นัด ดังนั้นเกมนี้ อังกฤษจึงต้องจัดกลยุทธ์ให้ยิงประตูได้ และชนะเท่านั้น

ไม่เช่นนั้นแล้ว หากเกมคืนนี้กับรัสเซียออกมา "ผิดคาด" ชัยชนะที่เพิ่งได้มาเมื่อวันเสาร์ก็จะถูกลืมไปทันที พร้อมทั้งคำถามมากมายจาก "สื่อ" รวมไปถึง "ความไว้วางใจ" จากเอฟเอที่ จะกลับเข้ามา "หลอกหลอน" โสตประสาทของ "บิ๊กแม็ค" อีกครั้ง
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2974

Wednesday 5 September 2007

ชำแหละสิงโตคำราม ก่อนเกม "ชี้ชะตา"

หลังจากห่างหายไปจากทีมชาติอังกฤษกว่า 39 เดือน (3 ปี กว่า ๆ) เอมิล เฮสกีย์ หัวหอกร่างถึกที่ปัจจุบันเล่น ให้กับวีแกนก็ถูกเรียกตัวคืนสู่ทัพ "สิงโตคำราม" อีกคำ รบ ท่ามกลางความแปลกใจของสื่อเมืองผู้ดีรวม ทั้งตัวกระ ผมเอง

ครับ ใครจะคิดว่า สตีฟ แม็คคลาเรน จะสิ้นไร้ไม้ตอกถึงขั้นคิดสั้นเรียก "น้ำพริกถ้วยเก่า" อย่างอดีตหัวหอก ลิเวอร์พูลกลับมาในแมตช์ "ชี้เป็น ชี้ตาย" ที่คนอังกฤษทั้งประเทศหวังจะเห็นชาติของ พวกเค้าได้ไปเตะฟุตบอล ยูโร 2008 ที่ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นเจ้าภาพร่วมกันในปีหน้า

...เท้าความกันสักเล็กน้อยสำหรับสถานการณ์ของทีม "ทรีไลออนส์" ปัจจุบันนี้ พวกเค้ากำลังรั้งอันดับ 4 ของตารางโดยตามหลังโครเอเชีย และอิสราเอล 2 ผู้นำร่วมในกลุ่มอยู่ 3 แต้ม โดยที่อิสราเอลลงเตะมากกว่าหนึ่งนัด

26 ผู้เล่นได้ถูกคลอดโผออกมา ท่ามกลางผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง เดวิด เบนท์ลี่ย์ , แอชลี่ย์ ยัง หรือสิงโตตัวใหม่อย่าง โจเลียน เลสคอตต์ ที่ประสบการณ์ยังไม่น่าจะ พร้อมสำหรับเกมที่เต็มไปด้วยความ "ตึงเครียด + คาดหวังสูง" แบบนี้

แต่อย่างว่าครับ "บิ๊กแม็ค" ไม่มีทางเลือกมากนักในเพลา นี้เพราะ เวนย์ รูนี่ย์, เดวิด เบ็คแฮม และ คีรอน ดายเออร์ เจ็บยาว ขณะที่ปีเตอร์ เคราช์ ก็โดนแบนในเกมวันเสาร์ที่จะถึงนี้กับอิสราเอล
"อริสมัน" อลัน สมิธ ขวัญใจผมก็ทำผลงานได้ไม่ดีในการอุ่นเครื่องนัดก่อนกับเยอรมัน, เจอร์เมน เดอโฟ ก็ยังไม่สามารถยึดตัวจริงที่สเปอร์สได้ และถูกมองว่าการเล่นคล้ายกับ ไมเคิล โอเว่น มากจนเกินไป

ครั้นจะไปเรียกกองหน้าอย่าง ดีน แอชตัน ที่แฟนขุนค้อนบางรายแอบเชียร์ให้ติดธงก็ใช่ที่ เพราะความเป็นจริงแล้วหัวหอกร่างอวบจากเวสต์แฮมก็ยัง Lack of experience หรือไร้ประสบการณ์อยู่ดี

มันเลยเป็นที่มาของการเรียก เฮสกีย์ หัวหอกที่มีสถิติในการยืนคู่กับ "เซนต์ไมเคิล" ในยามที่เล่นด้วยกันในทีมชาติค่อนข้างดี โดยสถิติในการยืนคู่กันนั้น ทั้งคู่ทำได้ถึง 11 ประตูจาก 12 นัดในนามทีมชาติอันถือเป็นสถิติที่ไม่เลวเลย
แม้หลายคนอาจจะยก สถิติ "สุดฝืด" ของเฮสกีย์ มาแย้ง เพราะว่าทำได้เพียง 5 ประตูจาก 43 นัดให้อังกฤษ แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า แนวการเล่นของหมอนี่ออกจะเป็นตัว "ชง" ให้เพื่อนซะมากกว่า

การมีส่วนร่วมกับเกมของแก รวมถึงความได้เปรียบในเรื่องความใหญ่ น่าจะเป็น "ข้อชดเชย" ได้บ้างนะครับ...

ระบบการเล่น ผมคาดว่า แม็คคลาเรนจะใช้ 4-4-2 อันเป็นระบบ ที่นักเตะในทีมส่วนใหญ่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ขณะที่ไล่ดูในแต่ละตำแหน่ง เห็นจะมีตำแหน่ง "นายด่าน" นี่แหละครับที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เกือบๆ จะแน่นอนแล้ว เพราะ Confidence หรือความมั่นใจของ "นายห้าง" โรบินสันดูไม่เหลือเลยหลังจากเสียไปถึงสามเม็ดในเกมกับฟูแล่มเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ฉะนั้น สมควรให้โอกาส เดวิด เจมส์ แล้วครับ!!

แบ็กซ้ายน่าจะเป็น แอชลี่ย์ โคลที่จะกลับมาทวงตำแหน่งคืนได้จาก นิคกี้ ชอว์รีย์ ขณะที่แบ็กขวา ไมคาห์ ริชาร์ดส น่าจะได้ลงต่อหลังจากทำผลงานได้เยี่ยมในนัดก่อน โดยคู่เซ็นเตอร์ฯ จะเป็นกัปตันทีมจอห์น เทอร์รี่ และริโอ เฟอร์ดินานด์ ลงจับคู่กันเช่นเคย

ขณะที่แผงหลังดูจะไม่เป็นปัญหามากนักแต่กองกลางคือ "โจทย์" ที่แม็คคลาเรนต้องนั่งคิดนอนคิด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะการขาดหายไปของตัวหลัก ๆ อย่าง เบ็คแฮม ที่เจ็บไปก่อนเพื่อน
เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด ยังมาต่อด้วย "หัวใจ" ในแผงกองกลางอย่าง เจอร์ราร์ด และแลมพาร์ด ที่ยัง 50-50 โดยคงต้องดูอาการกันจนถึงวินาทีสุดท้าย

แต่ก็ใช่ว่า ทางออกของ "บิ๊กแม็ค" จะตีบตัน มืดมนไปหมดซะทีเดียวนะครับ เพราะลึกๆ แล้วผมเชื่อว่า โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ คือ "คีย์แมน" คนสำคัญที่น่าจะช่วยทีมได้เยอะ ในช่วงเวลาคับขันของทีมด้วยความขยัน และลูกบู๊ + บุ๋น ที่เจ้าตัวมี

ขาดก็แต่คู่ขาในแดนกลางนี้แหละครับที่ไม่ทราบว่า "บิ๊กแม็ค" จะเลือกใครลงในกรณีที่ เจอร์ราร์ด หรือ
แลมพาร์ด ลงไม่ได้จริงๆ

ปีกซ้าย ไม่เป็นปัญหาเพราะ โจ โคล พร้อมประจำการ ขณะที่การขาดเบ็คแฮม และดายเออร์ จะทำให้ "ไอ้สั้น" ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ได้รับโอกาสไป

คู่หน้าอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คู่หู โอเว่น-เฮสกีย์ น่าจะจับคู่กันตามที่ "บิ๊กแม็ค" ได้เปรย ๆ กับทาง
สื่อมวลชนไว้

ที่นี้ก็เหลือแต่ "การปลุกเร้า" นักเตะของแม็คคลาเรนแล้ว ละครับว่าจะทำให้เหล่านักเตะสิงโตคำราม ที่ยามนี้เหมือน "สุนัขจนตรอก" ไม่มีทางเลือกมากหนัก ฮึดสู้ เพื่อคว้า 6 คะแนน ในเกมกับอิสราเอล และรัสเซียในวันที่ 8 และ 12 กันยายน นี้ได้หรือเปล่า

โดยสองเกมที่ว่านี้ หากอังกฤษไม่ลนลาน หรือ กดดันตัวเองที่เกิดจากความตึงเครียดมากเกินไป พวกเค้าน่าจะทำได้ "ตามเป้า" ที่วางเอาไว้ แม้ว่ารูปเกมอาจจะไม่สวย ไม่เอนเตอร์เทนแฟนบอลก็ตามที


เพราะหากอะไรๆ ไม่เป็นอย่างที่คิดแล้วนั้น โอกาสที่พวกเค้าจะ "หลุดโผ" ตกม้าตายในรอบคัดเลือก ก็จะเป็นไปได้สูง และตำแหน่ง นายใหญ่สิงโตคำรามก็คงได้เปลี่ยนกันอีกรอบ แบบไม่ต้องสืบเลยล่ะครับ !!

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2967