ฟุตบอล ยูฟ่ าแชมเปี้ยนลีก ประจำฤดูกาล 2007-2008 ได้ฤกษ์เปิดฉากให้คอบอลได้ลุ้นกันแล้วตั้งแต่คืนวันอังคารที่ผ่านมา ผลแต่ละคู่เป็นอย่างไรคาดว่าท่านผู้อ่านน่าจะได้ทราบกันไปเรียบร้อยแล้ว
สี่ทีม "บิ๊กโฟร์" จากพรีเมียร์ชิพได้รับการจับตามองมากเหลือเกิน ในปีนี้เนื่องจากผลงานในช่วงปีหลังๆ เข้าตาดีเหลือเกินโดย เฉพาะฤดูกาลที่ผ่านมาที่ลิเวอร์พูล, เชลซี และแมนฯยูไนเต็ด ได้มีโอกาสทะลุเข้าไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายโดยเป็นลูกทีม ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับคู่ปรับเก่าอย่าง เอซี มิลาน แต่พลาดท่าปราชัยไปอย่างน่าเสียดาย
เห็นพัฒนาการของทีมจากอังกฤษในช่วงปีหลังๆ แล้วต้องยอมรับครับว่าพวกเค้าได้ยกระดับ มาตรฐานตัวเองไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะสามารถต่อกรทีมต่างๆ จากยุโรปได้อย่างไม่เป็นรองเลยโดยหากย้อนดูสถิติสามปีหลังสุดที่ตัวแทน 1 จาก 4 ทีมได้เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ (ลิเวอร์พูล ปี 2005 และ 2007, อาร์เซนอล ปี 2006)
ในปีนี้ "โอกาส" ของแต่ละทีมในความเห็นของผมดูแล้วสูสี ดู๋ดี๋ ยากที่จะคาดเดาเหลือเกินครับ เพราะแต่ละทีมนั้นคุณภาพคับแก้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมยักษ์ใหญ่ขาประจำอย่าง เอซี มิลาน เรอัล มาดริด หรือบาร์เซโลน่าที่น่าจะเป็น แคนดิเดต ที่น่ากลัว สำหรับ "บิ๊กโฟร์" จากประเทศอังกฤษ
ประเด็นที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้ก็คือ "มุมมอง" ผมที่มีต่อ สี่ทีม "บิ๊กโฟร์" ในถ้วย UCL ปีนี้ครับ
เชลซีของโจเซ่ มูรินโญ่ ที่ปีนี้เจอความกดดันมากเหลือเกิน เพราะท่านประธานโรมัน อับราโมวิช อาจจะหมดความ อดทนกับกุนซือปากจัดรายนี้หากในปีนี้ยังไม่สามารถนำถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก มาประดับตู้โชว์ในสโมสรได้อีก ดังนั้นความมุ่งมั่นในถ้วยนี้ของมูรินโญ่ในปีนี้ จึงอยู่ในระดับ "สูงมากถึงมากที่สุด" เพราะเจ้าตัวไม่มีทางเลือกแล้วครับ หากหวังจะเห็นตัวเองคุมทีมต่อไปในซีซั่นหน้า
แมนฯยูไนเต็ด ที่ในปีที่แล้วโดดเด่นเหลือเกินในแนวรุกแต่กับแนวรับแล้ว พวกเค้าขาดกองกลางตัวรับมาคอยผ่อนแรงแผงหลัง จึงโดนเอซี มิลาน แชมป์ เก่าสอนเชิงไปในรอบ เซมิ-ไฟนัล
ในปีนี้ ท่านเซอร์ อเล็กซ์จึงกำจัดจุดอ่อนตัวเองด้วยการซื้อ โอเว่น ฮาร์ กรีฟส์ ตัวรับธรรมชาติมาเพื่อกิจนี้โดยเฉพาะ เพราะนายใหญ่ผีแดงหวังเหลือเกินว่าก่อนที่เค้า จะรีไทร์จะสามารถพาทีมผีแดงชนะเลิศถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกให้ได้
ลิเวอร์พูล "รองแชมป์" เมื่อปีที่แล้ว ผู้จัดการทีม ราฟาเอล เบนิเตซ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าปีนี้พวกเค้าหวังถ้วยพรีเมียร์ชิพเหนือสิ่งอื่นใด แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าถ้วยใบใหญ่ของยุโรปพวกเค้าจะเพิกเฉยซะที่ไหน
การเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงในเวทียุโรปของ เอลราฟา ทำให้พวกเค้ามีโอกาสไม่น้อยเลยครับในการจะ พาทีมหงส์แดงเข้าไปชิงชนะเลิศครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปีหลัง
เฟอร์นานโด ตอร์เรส คือ "ตัวแปร" สำคัญครับ เพราะผม เชื่อว่าถ้าเจ้าตัวสามารถระเบิดฟอร์มเทพ ได้อย่างที่เล่นในพรีเมียร์ ชิพได้ หงส์แดงไม่ต้องกลัวใครหน้าแล้ว เพราะกองกลาง และกองหลังนั้นดูค่อนข้างลงตัวและมีอะไหล่ทดแทนที่คุณภาพไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้นจึงอยู่ที่ เอลราฟา ล่ะครับ ว่าจะจัดทีมอย่างไรในแต่ละนัด
ขณะที่อาร์เซนอล จ่าฝูงพรีเมียร์ชิพล่าสุดหลังเอาชนะสเปอร์สไปได้ใน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วครับว่า การจากทีมไปของ "คิง อองรี" ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อสภาพจิตใจของเด็กๆ อาร์แซน
เวนเกอร์ แม้แต่น้อย
ถึงแม้สภาพทีมรวมถึงอะไหล่ทดแทนพวกเค้าจะไม่ดี และมากเท่าสามทีมข้างต้น แต่ทีมใดก็ตามที่เจอพวกเค้าในถ้วยนี้ รับรองครับว่า ไม่ได้กินขุนพลยังกันส์ชุดนี้ง่ายๆ แน่นอน
สำหรับโจทย์สำคัญของกุนซือทั้งสี่ทีมที่ต้องจัดการให้ได้ก็คือ จะจัดการรับมือกับโปรแกรมการแข่งขันที่เตะกันถี่ยิบเหลือเกิน และจะรักษา "บาลานซ์" ของทีมให้ได้อย่างไรทั้งศึกใน และนอกประเทศ
หลายต่อหลายครั้งที่กุนซือต้องพักนักเตะหลักๆ ของพวกเค้าให้สดเพื่อให้พร้อมสำหรับเกมกลาง สัปดาห์ซึ่งบางครั้งมันส่งผลให้ทีม "สะดุด" แต้มหลุดไปในฟุตบอลลีก
คิดต่อไปครับว่า หากหลุดบ่อยๆ อย่างที่ เชลซี หรือ ลิเวอร์พูลทำหลุดไป 2 คะแนน ในการเจอคู่แข่งที่ รองบ่อนกว่าอย่างเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะเกิดอะไรขึ้นในการชิงชัยระยะยาว?
เขียนถึงตรงนี้ ผมไม่ได้หมายความว่า การคว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ชิพ และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกในซีซั่นเดียวกันจะเป็นไปไม่ ได้ เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว ว่า แมนฯยูไนเต็ด เคยทำได้ในปี 1999
แต่อย่างที่เรียนไปครับว่า ผู้จัดการทีมจะใช้ระบบ โรเตชัน และหมุนเวียนนักเตะได้ดีแค่ไหน และจะทำให้นักเตะพอใจได้มากน้อยเพียงใดกับระบบที่ว่า ?
อันนี้ต้องติดตามกันต่อไปครับ...
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2981