Wednesday 27 June 2007

ที่ 4 ปีหน้า น่าจับตายิ่ง

ในที่สุด "บักแหนม"เธียรี่ อองรี ก็ตัดสินใจลาอาร์เซนอล เสียที...ข่าวนี้ทำให้ผมแอบยิ้มกรุ่มกริ่มในใจ มันมืออยากเขียนขึ้นมา ติดตรงที่ไม่สามารถระบายอารมณ์เด็กไก่ใน "คิกออฟ" ได้เต็มที่นัก จึงขอใช้พื้นที่Blog ส่วนตั๊ว ส่วนตัวเป็นที่ระบายแล้วกัน ^^

นอกจากบอร์ดบริหารทีมปืนใหญ่จะต้องควานหากองหน้าใหม่ มาแทนอดีตกัปตันของพวกเค้าแล้ว
ปีเตอร์ ฮิล-วู้ด ยังอาจจะเสีย"ขงเบ้งเมืองน้ำหอม" อาร์แซน เวนเกอร์ไปในฤดูกาลหน้าอีกด้วย (ไปเต๊อะพ่อคู้นน สาธุ)

อย่างไรก็ดี แม้ว่าทีมปืนโตจะยังเหลือขุนพลคุณภาพในทีมอีกหลายหน่อ แต่เชื่อเหลื่อเกินว่า "สภาพจิตใจ"อาจจะถดถอยลงไปไม่น้อยเลย เนื่องจากสถานการณ์โดยรวมของทีมไม่ค่อยจะสู้ดีนัก รองประธานผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างทีมชุดนี้ขึ้นมา อย่าง เดวิด ดีน ลาออกไป+กัปตันทีมย้ายออก +กุนซือเตรียมเผ่น ขวัญกำลังใจนักเตะที่เหลืออยู่ ก็เหี่ยวเฉาไปตามหน้าตากุนซือล่ะครับ เหอๆ

ฤดูกาลหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ สามทีมวางในใจผมที่คิดว่าจะเข้าป้ายค่อนข้างแบร์เบอร์ ถ้าพวกเค้าไม่สะดุดยอดหญ้าหกล้ม พลาดกันเอง ได้แก่ แมนฯยูฯ,เชลซีและลิเวอร์พูล

อันดับ สี่ นี่แหละครับที่ผมคิดว่า ลุ้นกันสนุกแน่ๆเพราะทีมอย่าง น้องไก่เรา ไอ้น่อล นิวคาสเซิ่ลภายใต้การคุมของบิ๊กแซม หรือจะเป็น แมนฯซิตี้(ในกรณีที่ได้ อดีตผู้เคยยิ่งใหญ่บ้านเราและสเวนมาคุมทีม) ทีมทั้งหมดที่กล่าวมานี่ มี"ศักยภาพ" เพียงพอครับที่จะคว้าอันดับ 4 เพื่อไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก

แต่สองทีมที่มีลุ้น ที่ 4 แบบเต็มตัวและมีลุ้นกว่าใครเพื่อน นั่นจะเป็นใครมิได้ครับ นอกจากน้องไก่เรา และ ไอ้น่อล ที่กำลังระส่ำเหมือนเรืออยู่กลางพายุ และคลื่นยักษ์กำลังถาโถมเข้าใส่อย่างเมามัน

ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่สเปอร์จะก้าวขึ้นมา "ท้าทาย" คู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนแบบ "เต็มตัว" เสียที

ภาพรวม ณ เวลานี้ ผมเชื่อมั่นกับการบริหารงานของบอร์ดเราชุดนี้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นนโยบายพัฒนาทีมเยาวชน และการสอดส่อง แสวงหาดาวรุ่งที่พอมี"แวว"มาร่วมทีม

การเริ่มสร้างจาก "ฐาน" วางเสาเข็มที่แข็งแกร่ง แบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้สเปอร์ตอนนี้มีโครงสร้างทีมที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมั่นคงไม่แพ้ทีมไหนในแผ่นดินอังกฤษแล้ว การจัดการเรื่องการเงินก็ดำเนินทุก
"ดีล"ด้วยความรอบคอบ การซื้อมาขายไปที่ขาดทุนน้อยลง ทำให้งบดุลการคลังของเราค่อนข้าง"ลงตัว" (แต่อาจจะมีขัดใจแฟนๆก็ตรงจะทุบกระปุกซื้อ เบนท์ เนี่ยแหละฮะ :)

ตัวผู้เล่นเวลานี้ก็ถือได้ว่าไม่เป็นรองทีมใหญ่มากนัก โดยเฉพาะคู่กองหน้าอย่าง เบอร์บาตอฟ-คีน จะมีก็แต่ปีกซ้ายนี่แหละครับ ที่ยังนึกไม่ออกจริงๆว่าโยลจะเอายังไง ส่วนตัวแล้วผมว่าแทนที่เราจะเอาเงินซื้อเบนท์ สู้เราไปหาปีกซ้ายชั้นดีมาเสริมทีม น่าจะเป็นการเสริมทัพที่ "ถูกจุด"กว่า...

ทั้งนี้ทั้งนั่น เราก็ต้องภาวนาให้ มาร์ติน โยล ของเราพัฒนาการแก้เกมระหว่างแข่ง ให้ดีขึ้นอีกนิดรับรองเลยครับว่า ปีหน้า เตรียมตัว ชูคอ"ประกาศศักดา ยอดพญาไก่"กันได้เลย ^^

ปฏิบัติการตามล่า “ตัวแทน” บักแหนม


หลายครั้งหลายคราวครับ ที่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับเราได้เสมอ…อย่างเมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีเรื่อง “เหนือความคาดหมาย”เกิดขึ้นกับตัวผมเหมือนกัน

ขณะนั่งแชต Msn กับเพื่อนซี้ไม่มีซั้วคนนึงที่เมืองไทย พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามประสา “คนไกลบ้าน”อย่างผม จู่ๆก็ได้ทราบข่าว”เพื่อนสนิท” ในกลุ่มอีกคนว่ากำลังจะแต่งงานต้นอาทิตย์หน้า!!

หลายๆท่านอาจสงสัยว่าผมจะตกใจทำ “แมวน้ำ” อะไรขนาดนั้นกะไอ้แค่ เพื่อนคนหนึ่งจะแต่งงาน….เรื่องของเรื่องก็คือ “เพื่อน”คนนี้ ไม่มีแฟนมาเลยสักคน ช่วงที่เรียนอยู่ที่ ม.อัสสัมชัญด้วยกันมา 4ปี ด้วยความที่เจ้าตัวทำตัว ติสต์ เงียบขรึม ไม่สนใจหญิงใดๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งตัวผมเองหลายๆครั้งก็อดถามหมอนี่ไม่ได้ ครับว่าทำตัวอย่างนี้เมื่อไร จะได้แต่งงาน คำตอบที่ได้คือ “อย่างตรูอ่ะ ไม่30 ไม่มีทางแต่งหรอกเฟ้ย”

แต่วันจันทร์หน้านี้ครับ เพื่อนหนุ่มสุด คลาสสิกของผมกำลังจะแต่งงานฟ้าผ่ากับเจ้าสาว(ที่น่าจะพบการได้ไม่นาน) และเพื่อนทุกคนในกลุ่ม ไม่เคยมีใครเห็นหน้าเจ้าหล่อนมาก่อน…อึ้งและงงไปตามๆกันครับ (ในใจแอบอิจฉา) กับการตัดสินใจของเพื่อนหนุ่มอารมณ์ ศิลปินของผมคนนี้ (ยังไงก็ยินดีด้วยเน้อ)

เข้าใจครับว่า “การตัดสินใจ”หลายๆครั้งของคนเราบางทีก็ ไม่จำเป็นต้อง อธิบาย ขยายความกันให้ยืดยาว เหมือนในกรณีของ “บักแหนม” เธียรี่ อองรี ที่ย้ายไปซบอก“เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า โดยให้เหตุผลง่ายๆคือ ความไม่มั่นใจในอนาคตของทีม (การเหลือสัญญาแค่ปีเดียวของเวนเกอร์+การจากไปของ เดวิด ดีน อดีตรองประธานสโมสร)และต้องการ“ความสำเร็จ”ในอนาคตค้าแข้งที่เหลืออยู่

ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าของฟุตบอลพรีเมียร์ชิพและแฟนๆทีมปืนโต อาร์เซนอล อย่างแท้จริงครับที่ต้องสูญเสีย ดาวเตะเวิลด์คลาสผู้ซึ่ง มีเอกลักษณ์ ยียวน และถือเป็น “สีสัน”ของฟุตบอลอย่างแท้จริงในช่วงหลายขวบปีที่เจ้าเล่นให้อาร์เซนอล

การจากไปของอองรีจะหมายถึงคราวดับสลายของทีมปืนใหญ่รึเปล่านั่น ส่วนตัวแล้วผมมองว่าไม่น่าใช่ เพราะ ผู้ซึ่งกุม “ชะตา” และ “อนาคต” อย่างแท้จริง ณ เวลานี้คือ “เหี่ยวฟ้า” อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือชาวเฟรนช์แมนมากกว่า

การยอมปล่อย อองรีไปด้วยค่าตัวสุดจุ๋มจิ๋มเพียงแค่ 16 ล้านปอนด์ เมื่อเทียบกับ “คุณภาพ” และ “คลาส” ของเจ้าตัวแล้ว ถือว่าน้อยนิดมากครับ หากเทียบกับอังเดร เชฟเชนโก้กับค่าตัวมหาศาลถึง 30ล้านปอนด์เมื่อครั้งย้ายมาเชลซี

หลายๆท่านอาจสงสัยว่าทำไมค่าตัวสุดยอดกองหน้าชั้นนำของโลกถึงถูกเยี่ยงนี้ และเวนเกอร์ “ประชด”บอร์ดบริหารหรือเปล่าที่ปล่อยตัวออกไป ด้วยค่าตัวแบบนี้

หากมองการให้ลึกลงไปในรายละเอียด ตัวอองรีเองจะมีอายุครบ 30 ในเดือนกรกฎาคมนี้แล้ว และการที่นักเตะเองไม่มีกระจิตกระใจจะเล่น และ ทุ่มเทให้ทีมอีกต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผู้จัดการทีม (ที่ดี) จะเหนี่ยวรั้งไว้ให้เป็นปัญหากับทีมในภายภาคหน้า

สู้ตัดใจขายไปในตอนนี้ก็ยังพอได้ “ทุน” มาเสริมทัพบ้าง ดีกว่าปล่อยให้เจ้าตัวย่างเข้าเลข “สาม” แล้วจะพานขายไม่ได้ราคาเอา

ยังจำ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส เอ็มมานูเอล เปอตีต์ นิโคลาส์ อเนลก้า และ ปาทริค วิเอร่ากันได้ใช่มั้ยครับ?

ไม่ว่าจะด้วยเรื่อง การงอแงอยากย้ายทีมของนักเตะประกอบกับเม็ดเงินที่ยื่นเข้ามาแล้วยากที่จะปฏิเสธ(อเนลก้า) หรือ การเลยจุด “พีค”ของนักเตะไปแล้ว (โอเวอร์มาร์ส, เปอร์ตีต์ และวิเอร่า) เราจะเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ เวนเกอร์ ตัดสินใจขาย ซูปเปอร์สตาร์ของทีมออกไป

และทุกครั้งก็มักจะมีคำถามขึ้นมาว่า จะหาใครมาแทนดาวดังเหล่านั้นได้… แต่ในทุกครั้งอีกเช่นกัน
เวนเกอร์ก็หาตัวตายตัวแทนมาทดทายตำแหน่งที่ขาดหายไปได้เสมอ

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ การก้าวขึ้นมาของ เชส ฟาเบรกาส ที่แทนบทบาทของ “ปั๊ต” วิเอร่าได้อย่างสนิทใจชนิดที่ แฟนๆปืนใหญ่หลายราย ไม่รู้สึก เสียดาย และอาลัย อาวรณ์ อดีตกัปตันทีมของพวกเค้าอีกเลย

ในรายของอองรีก็เช่นเดียวกันครับ เวนเกอร์อาจจะมองว่าเจ้าตัว อาจจะเลย “จุดสุดยอด”ของชีวิตนักเตะในไม่ช้า อีกทั้งอาการบาดเจ็บรบกวนที่มีมาเรื่อยๆในฤดูกาลที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นสัจธรรมที่ว่า “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า”จริงๆ

อีกทั้งหลายต่อหลายครั้ง อาร์เซนอลก็ผ่านอุปสรรคในฤดูกาลที่แล้วมาได้ แม้จะขาด “เสาหลัก” ในแดนหน้าอย่างอองรีไป

และนักเตะก็ไม่มีวันที่จะ “ยิ่งใหญ่” ไปว่าสโมสรได้ ดังนั้น อาร์เซนอลจำต้องก้าวต่อไปตาม “วิถีทาง”และ “วัฎจักร”ของฟุตบอล

ในตอนนี้ จึงไม่ใช่เวลาที่จะมานั่ง เสียใจ เสียดาย วันเวลาเก่าๆที่หอมหวนอีกต่อไป…

จะมองหาดาวรุ่งของทีมในตำแหน่ง กองหน้าช่วงนี้ก็ถือว่ายังไม่มีใคร โดดเด่นเข้าตามากพอ ธีโอ
วัลคอตต์ก็ยังต้องใช่เวลาอีกพอสมควร ถ้าคิดจะก้าวไปเป็น “นิว อองรี”

ดังนั้นสิ่งที่ เวนเกอร์และบอร์ดบริหารต้องรีบทำโดยด่วนก่อนที่ฤดูกาลหน้าจะเริ่มขึ้น นั่นคือเริ่มโครงการตามล่า “ตัวแทน” อองรีโดยเร็วที่สุดครับ

กองหน้าตัวปิดสกอร์คือคนที่อาร์เซนอลต้องหามาทดแทนการหายไปของ บักแหนม “เค้าคนนั้น”ไม่จำเป็นต้องยิงได้ไกลๆ 25-30 หลาได้ แบบอองรี แต่ขอให้มี “วิญญาณเพชฌฆาต”หน้าปากประตูก็น่าจะเพียงพอแล้ว

เพราะระบบการเล่นของอาร์เซนอล นั่นดีพอในการสร้างสรรค์ “โอกาส”ให้ได้ไม่ยาก จากการที่มีตัวทำเกมดีๆอย่าง โทมัส โรซิกี้ เชส ฟาเบรกาส และ อเล็กซานเดอร์ เคล็บ

เจอร์เมน เดโฟ, ไมเคิลโอเว่น, โอบาร์เฟมี่ มาร์ตินหรือแอนดี้ จอห์นสัน คือคนที่ผมคิดว่ามี“คุณสมบัติ”พร้อมกับบทบาทที่ว่า อีกทั้งสถานการณ์ของสี่คนนี้กับทางต้นสังกัดไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไร แม้ว่าในรายหลังสุดจะมีการันตีตำแหน่งตัวจริงให้จากเอฟเวอร์ตันก็ตาม แต่เชื่อได้ว่าหากอาร์เซนอลยื่นขอเสนอไปจริงๆ เจ้าตัวมีโอกาสขอย้ายทีมเพื่อความเจริญก้าวหน้าในอาชีพนักเตะแน่นอน

ข่าวล่าสุดที่ออกมา ชื่อของ นิโคลาส์ อเนลก้ากลับมาเป็นข่าวกับทีมปืนใหญ่อีกครั้ง อันนี้ต้องวัดใจ
เวนเกอร์กันล่ะครับ ว่าจะยอมยกโทษให้ศิษย์เก่าผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยหนีเอาตัวรอดไปรับทรัพย์ก้อนโตกับ รีล มาดริดเมื่อหลายปีก่อน ได้หรือไม่ ??

อย่างไรก็ดี ผมว่าก่อนอื่นเลยคงต้องไปถามท่านประธานสโมสรของทีมอย่าง ปีเตอร์ ฮิล-วู้ด ก่อนครับว่าจะให้ “ปัจจัย”ในการหาตามล่าหาตัวตายตัวแทน อองรีครั้งนี้ กี่สตางค์

คิดว่าถ้ายังทำตัว เหนียม เขียม แบบที่แล้วมา ปีหน้าก็เตรียมบอกลา ผู้กุมอนาคต “ตัวจริง” ของอาร์เซนอล อย่างอาร์แซน เวนเกอร์ ได้เลยครับ!
Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2896

Sunday 24 June 2007

London night life: เที่ยวอย่างไร ให้ “สนุก”และ “เหมาะสม”


บรรยากาศยามค่ำคืนของทุกๆวีคเอน ตามผับไทยและฝรั่งจะมีนักท่องราตรีเป็นจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปสังสรรค์ เฮฮาปลดปล่อยตัวเอง ตามจังหวะเพลงแดนซ์ แสงไฟที่สาดส่องเข้ามาทำเอาหนุ่มสาว ที่ดื่มกันไปบ้างแล้ว ยิ่งรู้สึกเมามันกับบรรยากาศที่ครึกครื้น เนืองแน่นไปด้วยผู้คน

ซึ่งหลายๆครั้งที่ได้มีโอกาสนำตัวเองเข้าไปสัมผัสชีวิต กลางคืน ในมหานครที่ขึ้นชื่อได้ว่า มีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหล ไม่แพ้ประเทศใดในโลก ก็สังเกตเห็นได้ว่า มีเด็กนักเรียนไทย หน้าตาใสๆวัยพึ่งพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน จำนวนไม่น้อยทีเดียว เข้ามานั่งดื่มกันเป็นกลุ่มเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ตามแต่ขนาดและพื้นที่ของร้านจะเอื้ออำนวย

ส่วนผับไทยที่หนุ่มสาวนักท่องราตรีบอกกัน “ปากต่อปาก”ว่าถ้ามาแล้วควรต้องไปเยี่ยมเยียน ถ้าอยากมาให้ถึงประเทศอังกฤษก็มี Addie’s และ Thaisquare ซึ่งเป็นสถานที่ “ขึ้นชื่อ”ที่สุดในลอนดอน ณ เวลานี้
Addie’s และ Thai Square จริงๆแล้วมี “จุดแข็ง” ที่ใช้ดึงดูดลูกค้าต่างกันไป แม้ว่าสภาพแวดล้อม โลเคชั่นและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงสต๊าฟในร้านก็ “หน้าตาดี” และ “เป็นมิตร” ไม่แพ้กัน

ส่วนตัวแล้วถ้าต้องการ “ความอบอุ่น” ไปแล้วรู้สึกเหมือน “บ้าน” ก็ต้องเป็น Addie’s เนื่องจาก บรรยากาศเน้น “ความเป็นกันเอง” ของ “ผู้ให้บริการ” อย่างพี่ เอ Addie’s กับ “พี่ๆน้องๆ ชาวไทย” ที่ถือเป็น “จุดขาย” ที่ทำให้ร้านแน่นเหลือเกิน โดยเฉพาะทุกคืนวันศุกร์

ขณะที่ Thai Square โดยเฉพาะสาขา Trafagar Square นั้น เน้น “ความมันส์” ให้ขาแดนซ์ ได้มีโอกาสได้โยกย้าย ส่ายสะโพก ตามจังหวะเสียงเพลง เนื่องจากมีฟลอร์ให้เต้นรำค่อนข้างกว้างกว่าผับไทยอื่นๆอย่างชัดเจน

โดยมากแล้วสาเหตุที่คนไทยนิยมไปผับไทยมากกว่าผับฝรั่งเนื่องจากว่า ไปแล้วได้เจอ “เพลงไทย”และ “คนไทย” ด้วยกันซึ่งทำให้ตัวเองไม่รู้สึกว่า “ไกลบ้าน” และมากไปกว่านั้นคือการได้ “พบปะ พูดคุย และสังสรรค์” กันตามประสาคนที่มาจาก มาตุภูมิเดียวกัน

หลายๆครั้ง ที่ได้มีโอกาสได้ถามไถ่ ความรู้สึกของผู้ที่ได้มาอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษนานๆ ว่ารู้สึกอย่างไร อยากกลับไปหรือคิดถึงบ้านมากน้อยขนาดไหน

คำตอบที่ได้มาส่วนใหญ่ก็คือ ถ้าทำ “จุดมุ่งหมาย” (ซึ่งหมายถึง เรียนหรือทำงานเก็บเงิน) ของแต่ละคนบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็จะกลับประเทศไทย ไม่ได้คิดจะมาใช้ชีวิตหรือตั้งรกราก ที่นี้

และส่วนมากช่วงเวลาที่รู้สึกคิดถึงบ้านมากที่สุดก็คือช่วงเวลากลางคืน ก่อนจะเข้านอน

บ้างก็ให้เหตุผลว่าเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมา บ้างก็ท้อแท้ ผิดหวังจากการเรียน โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ป.โท หรือ ป.เอก บางคนที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย นั้นทำให้พวกเขาอยากกลับบ้านขึ้นมาอย่างจับใจ เนื่องจากความเหนื่อยล้าจากทำหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน

ครับ หลายครั้งการได้พบ “เพื่อนใหม่” และ “มิตรภาพ” ใหม่ๆก็เป็นเรื่องที่ดี ที่ไม่ต้องรู้สึก อ้างว้างและคิดถึงบ้าน ได้ชั่วขณะหนึ่ง

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็น หนุ่มสาวชาวไทยจำนวนไม่น้อย ออกมาท่องราตรี เพื่อลดความเหงาและได้เจอะเจอเพื่อนฝูงในยามค่ำคืน


แต่บางครั้งในการเที่ยวและพบ “มิตรภาพ”ใหม่ๆยามค่ำคืน ก็ควรอยู่ใน “ขอบเขต”ที่จำกัดบ้าง โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่าง ชาย-หญิง

เพราะถ้าปล่อยตัว ปล่อยใจ จนเกินงาม แทนที่จะได้มาสนุกสนานกับเพื่อน กลับจะต้องทุกข์ถนัดเพราะความพลั้ง เผลอ ซึงบางครั้งมันมีสาเหตุมาจาก น้ำที่เราเรียกว่า “น้ำเมา”

นั้นเป็นแค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งในสังคมกลางคืนซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เชื่อได้ว่า คนรุ่นใหม่ส่วนมากที่ “มีความคิด” ก็แค่มาสนุก เฮอา กับเพื่อนฝูง แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

การ “ใช้จ่าย” ในการท่องราตรีก็เป็นอีกเรื่องที่เราควร “ลิมิต” ตัวเองไว้บ้าง เพราะไม่ว่า “ปัจจัย”ที่เราใช้ไป จะมาจากการซัพพอร์ตของบุพการีที่เมืองไทย หรืออาจจะหามาได้ด้วย น้ำพัก น้ำแรงของตัวเองก็ดี

มัน “ควรค่า แก่การออม”ครับ

เพราะไม่ใช่คิดแค่วันพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า หรือ เดือนหน้า แต่อยากให้คิดถึง อนาคตไปยาวๆว่า ถ้าวันนึงเราหมดแรงทำงานแล้ว เราจะเอา “ปัจจัย”ตรงไหนมาหล่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

การเที่ยวกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเสียหายครับ ถ้าเรารู้จักคำว่า “พอดี”

อย่างไรก็ตาม เราสามารถใช้เวลาว่างอื่นๆในการพบปะ เพื่อนฝูง ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วยการ เล่นกีฬา เล่นดนตรี หรือจับกลุ่มกันติวภาษาอังกฤษ ก็เป็นไอเดีย ที่ไม่เลวน่ะครับ

ไหนๆก็มาถึงถิ่นเจ้าของภาษาแล้ว “สู้สิครับ”!!

Friday 22 June 2007

Tomorrow's Star : เรนาโต้ ออกุสโต้


หน้าร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้ ข่าวคราวการย้ายทีมของ "บิ๊กเนม" หลายรายที่ค้าแข้งอยู่ตาม ประเทศต่างๆ ในยุโรป ต่างก็ตกเป็นข่าวกันไม่เว้นแต่ละวัน

นักเตะอย่าง ซามูเอล เอโต้, เธียร์รี่ อองรี หรือกาก้า ล้วนถูกคาดเดาไปต่างๆ นานาว่า "จะย้ายไม่ย้าย"
ไม่นับนักเตะบางรายที่เซ็น สัญญาล่วงหน้าไปแล้วอย่าง "เจ้าพ่อลูกนิ่ง" เดวิด เบ็คแฮม ก็ยังอุตส่าห์มีข่าวให้ทีม แอลเอ แกแล็กซี่ ว่าที่ต้นสังกัดใหม่ของเจ้าตัว ต้องออก มารีบปฏิเสธ และหยุดยั้งข่าวลือ ถูกซื้อตัวกลับเรอัล มาดริด กันแบบรายวัน


ขณะที่นักเตะดังๆ มีข่าวย้ายทีมกันโครมๆ ตลาดนักเตะ "ดาวรุ่ง" ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในยุโรป ก็มีการเคลื่อนไหวไม่แพ้กัน


หนึ่งในนั้นมีชื่อของ เรนาโต้ ออกุสโต้ หรือชื่อเต็มๆ ว่า "เรนา โต้ ซัวเรส โอลิเวียร่า ออกุสโต้" เด็กมหัศจรรย์สัญชาติบราซิล (อีกคนหนึ่ง) ที่เพิ่งตกเป็นข่าวกับทีมผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หลายๆ คนอาจจะสงสัยกันว่า เจ้าหนู เรนาโต้นี้เป็นใครมาจากไหน และทำไมทีมอย่างอาร์เซนอล, เชลซี หรือแมนฯยูฯ ถึงอยากจะคว้าตัวหมอนี่ไปร่วมทีม!?


ของเรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อ วีกเอนด์ที่ผ่านมา ที่ผมได้ติดสอย ห้อยท้ายคุณ "ใหม่ โมบาย" ไปร้าน "Water Stonežs" ร้านขายหนังสือชื่อดังย่าน Leicester Square ในใจกลางกรุงลอนดอน


เนื่องจากตัวคุณใหม่ต้องไป ซื้อแม็กกาซีนกีฬาเพื่อส่งมา กองบัญชาการ "คิกออฟ" ที่เมืองไทยเพื่อที่ทีมงาน "คุณภาพ"ของเราจะได้แปล และทำข่าวนำเสนอ "ข้อมูล" ที่สดใหม่ และเจาะลึกเพื่อแฟนๆ คิกออฟจะได้สัมผัส และ "เสพ" ผลงานที่ Exclusive กว่าใครๆ


ตัวผมเองขณะที่เดินๆ อยู่ก็แวบ ไปเห็นแม็กกาซีนรายเดือนที่ชื่อว่า World Soccer ที่สีสันของตัวเล่มและเนื้อหาหน้าปกทำให้ผมต้องลงทุนควักเงิน 3.40 ปอนด์ (ราว ๆ 240 บาท) เพื่อคว้าไว้ครอบครอง แม้ราคาหนังสือจะถือ "สูง" มากก็ตามหากเทียบกับหนังสือของประเทศอื่นๆ ทางฝั่งยุโรปด้วยกัน


กลับถึงบ้านตั้งใจว่าจะหาเรื่องเขียน ก็เลยลองเปิด ๆ แม็กกาซีนเล่มนี้ผ่านๆ และแล้วผมก็ได้ "หัวข้อ" ในการเขียนของฉบับนี้ขึ้นมาทันที เมื่อเห็น "บทความ" เกี่ยวกับเจ้าหนูเรนาโต้ที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้นเรื่อง
โดยบทความนี้ถูกเขียนโดย ทิม วิเกอร์รี่ คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหว ของฟุตบอลอเมริกาใต้ให้กับทาง BBC สื่อดังประเทศอังกฤษ


วันนี้เลยอยากถือโอกาส "ชำแหละ" ความเป็นมา เป็นไปของเด็กหนุ่มเมืองกาแฟคนนี้ให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับ "ว่าที่บิ๊กเนม" ที่คงได้มาโชว์ลีลา "แซมบ้า" เขย่าวงการฟุตบอลทางฝั่งยุโรปเร็วๆ นี้กันครับ


เจ้าของฉายา "นิว ริวัลโด้" (สื่อไทยบางฉบับก็ว่า "นิว กาก้า") ที่ทิม วิเกอร์รี่ คอลัมนิสต์ชื่อดังซึ่งเขียน บทความเกี่ยว กับความเคลื่อนไหว ของฟุตบอล อเมริกาใต้ให้กับทาง BBC ประเทศอังกฤษแนะนำให้จับตามอง การเติบโตของ เพชรเม็ดนี้ให้ดี เพราะเขาเชื่อว่า เจ้าหนูเรนาโต้ จะได้เป็น จอมทัพของทีมชาติบราซิลในอนาคตอันใกล้นี้


กองกลาง ดาวรุ่งวัย 19 ปีผู้นี้ เกิดที่ กรุง ริโอ เดอ จาเนโร และได้รับการ ดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ ฟลาเมงโก้ ทีมชั้นนำในลีกบราซิลเมื่อปี 2005 ขณะที่มีอายุเพียงแค่ 17 ปี
ผู้ที่เห็นแววความสามารถ และเป็นคนดึงเจ้าตัวจากทีมเยาวชนก็คือ เนรี่ ฟรังโก้ โค้ชคนปัจจุบันของฟลาเมงโก้นั้นเอง

"นิว ริวัลโด้" เวอร์ชันเท้าขวารายนี้มีลักษณะ และองค์ประกอบหลายๆ อย่างคล้ายกับเจ้านิเชา ริวัลโด้ อดีตตำนานของบาร์เซโลน่า ไม่ว่าจะเป็น รูปร่าง ลักษณะการก้าวขาที่ดูเนิบๆ เหมือนจะไม่มีพิษสง แต่แฝงไว้ด้วย ความอันตราย และมักทำสิ่งที่ไม่คาดฝันเสมอๆ


แต่เจ้าตัวยังมี "จุดบก พร่อง" ที่ต้องแก้ไขคล้ายกันอีกต่างหากซึ่งก็คือการโหม่งบอล และการใช้เท้าข้างที่ไม่ถนัดในเวลาที่คับขัน (เท้าซ้าย)


อย่างไรก็ดี เรนาโต้ ไม่ได้เมินเฉยต่อ เสียงวิพากษ์-วิจารณ์ของแฟนบอลที่ต้องการเห็นเจ้าตัว พัฒนาไปในทางที่ดี โดยกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า "ผู้ที่ไม่เคย ทำอะไรผิดพลาดเลย คือคนที่ไม่เคยลอง หรือพยายาม"
"ผมเข้าใจดี ว่าทำไมแฟนบอลถึงตะโกนโห่แบบ ไม่พอใจ ยามที่ทีมเราเล่นได้ไม่ดี เพราะเมื่อตอนเป็นเด็ก ผมซึ่ง ก็เป็นแฟนตัวยงของ ฟลาเมงโก้ และมักตะโกนแบบที่พวกเค้าทำอยู่ใน สถานการณ์ที่ทีมเล่นไม่ได้ดั่งใจเช่นกัน" เรนาโต้ ร่ายยาวถึงความเข้าใจ ที่เจ้าตัว รับรู้ความรู้สึกแฟนบอลของทีมดี


เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาฟลาเมงโก้ทำ ผลงานได้ดีในศึกฟุตบอล ถ้วยของบราซิล ขณะที่ทีมได้ผ่านเข้าไปชิงกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง วาสโก เดอกาม่า เจ้าตัวซึ่งในเวลานั้นยังเป็นนักเตะ เยาวชน ของทีมอยู่ แม้จะได้ขึ้นมาสัมผัสการเล่นทีมชุดใหญ่บ้างแล้ว แต่เจ้าหนูเรนาโต้ ซึ่งก็คิดว่าตัวเอง คงไม่มีโอกาสได้เล่น และคงเป็นได้แค่ "ผู้ชม" แน่ๆ จึงดิ่งไปซื้อตั๋วนัดชิงชนะเลิศด้วย ความที่ต้องการเห็น ทีมอู่ข้าวอู่น้ำลงเล่นใน "ชามอ่างยักษ์" หรือมาราคานา สเตเดี้ยม สนามฟุตบอลซึ่งใหญ่ที่สุดในบราซิลซึ่งจุผู้ชมได้มากถึง 150,000 คน


ทันใดนั้นก็เหมือนส้มผลใหญ่ ร่วงลงกระหม่อมเจ้าหนูเรนาโต้เข้าเต็มๆ เมื่อสิ่งที่เจ้าตัวไม่คิดไม่ฝันว่า จะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น เนื่องจาก เนรี่ ฟรังโก้ เลือกเสี่ยงเอาเด็กหนุ่มที่เค้าเห็น "พรสวรรค์" ในตัว ติดทีมไปด้วย ท่ามกลางความคลางแคลงใจของผู้เล่นซีเนียร์ในทีมหลายๆ คน


แต่การเสี่ยงของฟรังโก้ในครั้งนั้น ก็ไม่เสียเปล่า เพราะ ฟลาเมงโก้เป็นผู้มีชัย และได้แชมป์ไปครอง โดยเจ้าตัวไม่ได้ลงเล่นในเกมนี้ แต่เนรี่ต้องการให้เรนาโต้ได้ซึมซับบรรยากาศ ของนัดชิงชนะเลิศใหญ่ๆ เอาไว้
นั่นเพราะฤดูกาลหน้า การเตรียมทีมลุย ศึกฟุตบอลลีก ในประเทศ รวมถึงฟุตบอลชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ อย่างโคปา ลิเบอตาโดเรส ชื่อของ เรนาโต้ ออกุสโต้จะเป็นหนึ่งในตัวหลักของการสร้างทีม ฟลาเมงโก้ของเนรี่ นั่นเอง


ตำแหน่งธรรมชาติของเจ้าตัวดูเหมือนว่า จะเป็น กองกลางที่ยืนสูงในระบบไดมอนด์ ยืนต่ำกว่าคู่กองหน้าเพื่อที่จะได้มีโอกาสสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนทำประตู หรือถ้ามีโอกาสก็จะใช้เทคนิคฟุตบอลซึ่ง "ยากจะคาดเดา" ของเค้าเข้าเล่นงานทีมคู่แข่ง


ถ้าปีหน้าผลงานของเจ้าตัวโดดเด่นในถ้วย โคปา ลิเบอตาโดเรส หรือฟุตบอลเยาวชนโลก ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศ แคนาดาในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ (ในกรณีที่ไม่หลุด หรือเจ็บ)
เชื่อได้ครับว่าชื่อเรนาโต้จะเข้าไปอยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ของ "บิ๊กทีม" ในยุโรป และอังกฤษอย่างแน่นอน แม้ว่าเจ้าตัวจะมีสัญญากับ ฟลาเมงโก้ถึงปี 2010 และมีค่าฉีกสัญญาสูงถึง 20ล้านปอนด์ก็ตาม..


Viva London โดย เอก อุดมสุขข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2883

แกเรธ เบล "ไก่ตัวใหม่" แห่งถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน

ในที่สุดนักเตะดาวรุ่งที่ฮอตฮิตติดลมบน ในตลาดนักเตะช่วง ที่ผ่านมาอย่าง แกเรธ เบล เจ้าหนูดาวรุ่งวัย 17 ปีของเซาแธมป์ตัน ก็ตกลงเลือกซบตัก "ไก่เดือยทอง" ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ของมาร์ติน โยล แอนด์ เดอะแกงค์เรียบร้อยเสียที

ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์โดยมีเงื่อนไขจ่ายสด 5 ล้านเป็นสินสอด ก้อนแรก ส่วนที่เหลือจะตามมาตาม จำนวนนัดที่เจ้าตัวลง สนามทำเอาหลายๆ ฝ่ายทั้งสื่อไทย สื่อเทศ ให้ความสนใจกับการย้าย ทีมของเด็ก หนุ่มจากเมืองคาร์ดิฟฟ์ครั้งนี้พอสมควร

จะคุ้ม หรือไม่ ถ้าถามทางฝั่งทีมนักบุญนั้นคุ้มแน่นอน เพราะเบลเหลือสัญญาอีกเพียงแค่ปีเดียวก็จะย้ายทีมได้แบบอิสระ ดังนั้นการเลือกใครขาย "เจ้าหนูลูกนิ่ง" ออกไปตอนนี้คือทางออกที่ดีที่สุด

จริงๆ แล้วเบลเกือบย้าย ทีมตั้งแต่ช่วง ตลาดเปิดเมื่อเดือน มกราคมที่ผ่านมา แต่เจ้าตัวเลือกที่จะอยู่ต่อเพราะหวังจะช่วยให้ทีม ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ชิพก่อน

แต่เมื่อเซาแธมป์ตัน พลาดโอกาสเลื่อนชั้น หัวใจที่ร่ำร้อง ต้องการที่จะเล่นในลีกสูงสุด ของเด็กหนุ่มซึ่งทำลายสถิตินักเตะเวลส์ที่แพงที่สุดของ จอห์น ฮาร์ทสัน 7.5 ล้านปอนด์เมื่อครั้งย้ายจากเวสต์แฮมไปวิมเบิลดันลง ได้ก็ได้ทำตามความฝันตัวเองด้วยการย้าย ทีมหลังจบฤดูกาล

การขายครั้งนี้ของ "เดอะเซนต์" จึงเป็นดีลที่แฟร์กับทั้งตัวนักเตะ และสโมสร

มาดูทางสเปอร์สมั่งว่าได้อะไรกับการลงทุนครั้งนี้... ถ้าเปรียบแกเรธ เบล กับ รถยนต์สักคัน เบลก็คงเป็นรถเฟอร์รารี่คันแพงที่มีคุณสมบัติของรถที่ดีทุกประการ อยู่ที่ว่าผู้ใช้จะเลือกใช้ และดูแลรักษาสินค้าพรีเมียมนี้ได้ยาวนาน มากน้อยขนาดไหน

ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี และพิสูจน์ตัวเองมาแล้วทั้งในระดับสโมสร และกับทีมชาติที่เจ้าตัวทำสถิติเป็น นักเตะที่อายุน้อยที่สุดรองจาก ธีโอ วัลคอตต์ ที่เล่นให้เซาแธมป์ตัน และอายุน้อยที่สุดที่ติด ทีมชาติเวลส์รวมถึงพรสวรรค์ และเท้าซ้ายที่เหมือนเป็นของขวัญ จากพระเจ้าที่ยิ่งดูยิ่งเนียน จริง ๆ กับ "ลูกนิ่ง" อย่างลูกฟรีคิก หรือ เตะมุม ถึงขนาดที่บางคนเอาเจ้าตัวไปเปรียบเทียบกับ เดวิด เบ็คแฮม ต้นฉบับ "เจ้าพ่อลูกนิ่ง" ทำให้เบลยิ่งดูน่าสนใจ

"ลูกนิ่ง" ไม่ใช่แค่ทีเด็ดเดียวของเจ้าตัว เพราะการเติมเกมรุก ที่มีทั้งความเร็ว และความคล่องตัวรวมถึงสามารถ ช่วยสนับสนุนเกมทางฝั่งซ้ายให้สเปอร์ส ในฤดูกาลหน้าได้น่าจะ ทำให้ปัญหาทางฝั่งซ้ายของ ทีมตราไก่ที่มีมาโดยตลอดในฤดูกาล ที่ผ่านมาคลี่คลายลงได้ไม่มากก็น้อย

ไม่แน่เหมือนกันว่า มาร์ติน โยลอาจจะจับหมอนี่ไปยืนเป็นปีกซ้ายเลย ถ้ายังหาปีกซ้ายธรรมชาติดีๆ ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาการจับ สตีด มัลบร็องก์ หรือแอรอน เลนนอนไปยืน ทางซ้ายถือว่าไม่ใช่ตำแหน่ง ที่ดีที่สุดของทั้งคู่

แต่การก้าวกระโดดมาเล่นในพรีเมียร์ชิพของ เจ้าตัวหลังจากเล่นลีกแชมเปี้ยนชิพมาได้แค่ปีเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แน่นอน ดูได้จากตัวอย่างรุ่นพี่ของเค้าที่เซาแธมป์ตันอย่าง ธีโอ วัลคอตต์ ที่ตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งตัวจริงถาวรเลยในทีมปืนใหญ่

ยิ่งต้องเจอกับปีกขวา เขี้ยว ๆ อย่าง คริสติอาโน่ โรนัลโด้ หรือเดวิด เบนลี่ย์ กองกลางน้อง ใหม่ของทีมชาติอังกฤษที่เล่นได้อย่างโดดเด่นกับแบล็คเบิร์นในฤดูกาลที่ผ่านมา น่าจะเป็นบท ทดสอบที่ดีของเจ้าตัวหากหวังจะก้าวขึ้นมาเป็นวิงแบ็กชั้นนำของพรีเมียร์ชิพ

ไหนจะต้องเจอคู่แข่งที่ "แกร่ง" และ มี "คุณภาพ" กว่าลีกแชมเปี้ยนชิพเยอะ เจ้าหนูเบลยังจะ ต้องสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงในทีมมาให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

เชื่อได้ว่า มาร์ติน โยลจะยังไม่ให้ตำแหน่ง ตัวจริงแบบ นอนมากับเบลแน่ๆ เพราะในตำแหน่งแบ็กซ้ายมี ลี ยอง เปียว และ อัสซู เอก็อตโต ยืนขวางทางรออยู่ก่อนแล้ว

การเรียนรู้ความเป็นมืออาชีพ และตั้งใจฝึกซ้อม อย่างที่เหมือนที่จอห์น โตแช็ก กุนซือทีมชาติเวลส์ได้ให้คำ แนะนำให้ดาวโรจน์ทีมมังกรแดง คือสิ่งที่เจ้าตัวต้องพยายาม ปฏิบัติตามให้ได้ เพราะวัย 17 ปีถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัว ต่อที่สำคัญของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

"ชื่อเสียง" และ "สิ่งยั่วยุ" ทั้งหลายที่จะถาโถมเข้ามาใส่ "ความรักดี" ของตัวนักเตะเองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วย ให้เจ้าตัวไปถึงจุดมุ่งหมายที่วาดหวังเอาไว้

การประคบประหงมของมาร์ติน โยล และสตาฟฟ์ก็จะเป็น ตัวแปรสำคัญที่จะตอบคำถามเรื่อง "ความคุ้มค่า" ของการลงทุนกับเบลในครั้งนี้เช่นกัน


เจ้าหนูเบลจะมีเพื่อนรุ่นราว คราวเดียวกันเยอะที่สเปอร์สเพราะว่า ทีมตราไก่ชุดนี้เป็นทีมที่มีวัยรุ่นสะสม ไว้ในทีมหลายต่อหลายคน อย่าง เลนนอน และ ทอม ฮัดเดิ้ลสโตน เป็นต้น


เรื่องการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ในทีมจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาอย่างที่ กวิน มอริสคุณครูพละที่สอนเบลมาในสมัยที่เจ้าตัวเรียนอยู่ Whitchurch High School ได้ให้สัมภาษณ์ถึงลูกศิษย์คนโปรดกับทาง BBC สื่อใหญ่ของผู้ดีว่าเจ้าตัวเป็นเด็กเรียบร้อยง่ายๆ และจะประสบความสำเร็จกับการมาเล่นให้ทีมตราไก่อย่างแน่นอน
ภาพรวมของทีม ตราไก่ตอนนี้ก็ถือว่าใกล้จะลงตัวแล้ว เพราะร็อบบี้ คีนต่อสัญญาใหม่ออกไปอีก 5 ปี และถ้า "Berbagod" ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ เครื่องจักรถล่มประตูชาวบัลแกเรีย ยังไม่หนีหายไปไหน


อย่างน้อยๆ สเปอร์สก็น่าจะทำผลงานได้ดีขึ้น หรือสามารถจบซีซั่นได้ด้วยอันดับ 4 ได้ไปเล่นถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก


อันนี้อยู่ที่ "กึ๋น" และ "วาสนา" ของมาร์ติน โยลแล้วครับว่าจะพาทีมไปตรงจุดนั้นได้อย่างไร เพราะบอร์ดบริหาร ก็แบ็กอัพเรื่อง "ปัจจัย" ให้กับกุนซือร่างอวบชาวดัตช์เต็มที่แล้วเหมือนกัน
ถ้าทีมยังถอยหลังลงคลองหรือย่ำอยู่กับที่อีก ชะตาของโยลก็อาจจะขาดได้เหมือนกัน...


สรุปแล้วการลงทุนซื้อตัว แกเรธ เบล จะคุ้มหรือไม่นั้น ส่วนตัวแล้วคิดว่าอยู่ที่ผลงานโดยรวมของทีม
ด้วยอายุงานที่ยังเหลืออีกมากเหลือเกิน เชื่อได้ว่าหาก "เจ้าหนูลูกนิ่ง" รายนี้เล่นได้อย่างที่เล่นให้กับนักบุญเมื่อปีก่อน และสามารถเติมเต็ม "จิ๊กซอว์" ส่วนซ้ายที่หายไปของสเปอร์สได้


ค่าตัว 10 ล้านปอนด์ของ แกเรธ เบล ก็ไม่ถือว่าแพง หรอกครับ หากเทียบกับ ดีน ริชาร์ดส์ อดีตกองหลัง ทีมตราไก่ที่ซื้อมา 8 ล้านปอนด์จากทีมนักบุญเช่นกัน แต่ดูพี่แกเล่นแล้วบอกได้คำเดียวครับว่า "อนาถ!!" ไม่นับที่เจ็บอยู่เป็นนิจศีล


ป.ล. สำหรับแฟนบอลที่ยังไม่เคยเห็นการเล่นของเจ้าตัวแนะนำให้เข้าไปดูในเว็บไซต์นี้ครับ http://super-goal.info/vdo_clip.php?catid=2&id=480&p=


Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2862

เมื่อไหร่ หนอ “การเหยียดสีผิว” ในเกมฟุตบอลจะหมดไป?



หลังเกมรอบแรกนัดสุดท้ายในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยู-21 ปี คู่ระหว่าง อังกฤษพบเซอร์เบีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา “ผลการแข่งขัน” 2 ประตูต่อ 0 ที่อังกฤษมีเหนือเซอร์เบียไม่ได้เป็นจุดสนใจและพูดถึงเท่าไรนัก

นั่นก็เพราะ “ประเด็นร้อน” ที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ฟีฟ่า, ยู่ฟ่าและเจ้าภาพของงานอย่าง “เนเธอร์แลนด์”ให้ความสนใจมากกว่าคือ เรื่อง “การเหยียดผิว”ที่เกิดขึ้นระหว่างเกมคู่นี้

ที่มาที่ไปของประเด็นร้อนนี้ก็คือ การที่ “เนดัม โอนูโอฮา” วิงแบ็คดาวรุ่งของสโมสรเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดน “เหยียดสีผิว”จากแฟนบอลของเซอร์เบีย ในช่วงครึ่งเวลาแรก

ประกาศจาก เว็บไซต์ www.uefa.com ออกมาแล้วครับว่า ไม่ใช่แค่ โอนูโอฮา คนเดียวที่โดน “กระทำ” ในเกมนี้

จัสติน ฮอยต์ ดาวรุ่งจากอาร์เซนอลอีกรายก็โดนแบบเดียวกันจาก “นักเตะ”เซอร์เบียรายหนึ่งที่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ ระหว่างเดินเข้าอุโมงค์ทางไปห้องพักนักเตะหลังจบเกม


เป็นที่ทราบกันครับว่าปัญหา Racist abuse หรือ การเหยียดผิวถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงและไม่สมควรเกิดขึ้นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันภายในประเทศหรือการแข่งขันระดับนานาชาติ เฉกเช่นการรายการนี้

รัฐมนตรีการกีฬาของอังกฤษอย่าง ริชาร์ด คาบอร์น ได้ออกมาประกาศแล้วครับว่าจะเอาเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด โดยตอนนี้ คาบอร์นได้ร่างจดหมายถึงรัฐบาลเซอร์เบีย เพื่อแจ้งให้ทราบถึงพฤติกรรมอัน “ไม่เหมาะสม”ที่เกิดขึ้น

ขณะที่ วิลเลี่ยม เกลลาร์ด ผู้อำนวยการด้านประชาสัมพันธ์ ของยูฟ่าก็ออกมาแสดงถึงความรับผิดชอบโดยได้แจ้งและเริ่มสืบสวนเรื่องนี้กับ สมาคมฟุตบอลเซอร์เบียหรือ FSS (Serbian Football Association) แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ผลการลงดาบตัดสินโทษจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 12 กรกฎาคม ซึ่งนั่นหมายความว่า เซอร์เบียที่ได้เข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศกับ เบลเยี่ยม “ทีมม้ามืด”ของการแข่งขันในครั้งนี้ จะไม่ถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน

ถามว่าแฟร์มั้ยกับทีมสิงโตชุดเล็กของ สจ๊วร์ต เพียร์ซ ที่โดน “กระทำ” เรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในเกมฟุตบอลสมัยใหม่ที่ทุกคนบอกกัน ปาวๆ ว่า “Anti-Racism”

หนำซ้ำพวกเค้ายังอาจต้องไปเจอกับเซอร์เบียในรอบตัดเชือกอีกครั้งก็เป็นได้ หากทั้งสองทีมเอาชนะคู่แข่งได้ ในคืนวันพุธนี้

เครื่องหมาย คำถามตัวหนาพุ่งไปหายูฟ่า ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้อย่างช่วงไม่ได้ เพราะความคาดแคลงใจที่ว่า ทำไมยูฟ่าต้องรอจนถึง วันที่ 12 เดือนหน้า และทำไมไม่ “ตัดสิทธิ์” เซอร์เบียออกจากการแข่งขันไปเพื่อ “สั่งสอน”ให้เป็น “บทเรียน”เพื่อไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่างอีก

ผมเชื่อน่ะครับว่าถ้ายูฟ่า เลือกถีบเซอร์เบียออกจากการทัวร์นาเมนต์นี้ไป “ปัญหาการเหยียดผิว” ในเกมฟุตบอลน่าจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

นั่นเพราะทีมชาติและสโมสรคงจะเข้มงวดและปลุก “จิตสำนึก”ของแฟนบอลให้เคารพนักเตะหรือแฟนบอลคู่แข่งมากกว่าที่เป็นอยู่

นัยนึงก็คือแฟนบอลจะกลัวทีมรักตัวเองถูกลงโทษ…

นี่จึงอาจเป็นอีกหนึ่ง “ความผิดพลาด”ของยูฟ่า ที่ไม่เลือกดำเนินการด้วยความรวดเร็ว แม้ว่า “ความผิด”และ “หลักฐาน”จะเห็นๆกันอยู่

จากนี้ก็ต้องลุ้นว่าทีม “สิงโตน้อย”ของสจ๊วร์ต เพียร์ซ ว่าจะมี“ผลกระทบ” ทางจิตใจจากเหตุการณ์ครั้งนี้หรือไม่
ผลงานโดยรวมของทีมชุดนี้จากที่ได้ดูจาก“ไฮไลต์” ในสามเกมที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่ขี้เหล่ครับ เมื่อเสมอ เช็ก 0-0 เสมอ (แบบน่าชนะ) กับอิตาลี 2-2 และ ชนะเซอร์เบีย 2-0 ในเกมล่าสุด

แม้จะมีจังหวะ “เหวอ” ให้เห็นบ้างในเกมรับเมื่อครั้งออกนำอิตาลีไป 2-0 แต่สุดท้ายโดนตามตีเสมอในตอนจบ

แต่เกมรุกของทีมดูแล้ว “กล้าได้กล้าเสีย” สมกับที่ “ไซโค เพียร์ซ”คุมทัพ ดูแล้วได้ใจแฟนบอลอังกฤษที่ต้องการเกมที่ “เอนเตอร์เทน” ไม่น้อยทีเดียว

อย่างไรก็ดีทีมชุดนี้ยังถือว่าใช้โอกาสค่อนข้าง “เปลือง” โดยเฉพาะเลอรอย ลิต้าที่แม้จะยิงไปแล้ว 2ประตูแต่ความเป็นจริง เจ้าตัวน่าจะยิงได้ถึง 4 ลูกแล้ว ถ้าไม่พลาดง่ายๆแบบ “หมูหก”ในเกมที่ผ่านๆมา

เรื่องความ “นิ่ง” คือสิ่งเดียวที่เพียร์ซต้องติวเข้มในเกมพบกับทีมเจ้าภาพอย่าง เนเธอร์แลนด์ที่เล่นได้สมกับเป็น “ทีมเต็ง”ในรายการนี้

ไรอัน บาเบิล กองหน้าดาวรุ่งจากอาแจ๊กซ์ ที่ระเบิดฟอร์ม “เทพ” ในรายการนี้คือนักเตะที่กองหลังอังกฤษชุดนี้ต้องคอยระวังให้ดี เพราะถ้าพลาดง่ายๆหรือออกอาการ “เหวอ”ให้เห็นอีก รับรองได้ว่า โดนยิง
“ไส้ไหล” แน่นอน

หลังจากเห็นลีลาหมอนี่ในทัวร์นาเมนต์นี้ จึงไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไม อาร์เซนอลจึงอยากได้ตัวมาแทนที่ “เจ้าห้อย” เธียรี่ อองรี ที่ทำท่าว่าจะหอบข้าวของไปหากินในสเปน เพราะเจ้าตัวทั้งเร็ว คล่อง คม พูดง่ายๆว่า “ครบเครื่องต้มยำ” จริงๆ

อย่างไรก็ดีในเกมรอบรองชนะเลิศนี้ ส่วนตัวแล้วอยากจะเห็นเกมที่ “ขาวสะอาด” และ “ไร้ซึ่งการเหยียดผิว”เหนือสิ่งอื่นใด

เพราะ การขาด “สามัญสำนึก” ของแฟนลูกหนัง “นิสัยเสีย”บางราย ทำให้เกมฟุตบอล “เปรอะเปื้อน”และเพิ่มดีกรี ความเดือดดาลของนักเตะให้มี “อารมณ์”แบบที่ไม่ควรจะเป็น ซึ่งมันพาลไปถึง
“การเล่นนอกเกม”และเสีย“สปิริต”ของเกมฟุตบอลไป

ก่อนเกมรอบรองจะเริ่มขึ้น…จึงหวังเหลือเกินครับว่ายูฟ่าจะดำเนินการใดๆเพิ่มเติมกับนักเตะเซอร์เบียบ้าง อย่างเช่นแบนนักเตะ “นิรนาม”ผู้ซึ่งพูดจา “เหยียดผิว”จัสติน ฮอยต์ ในอุโมงค์สนาม ในเกมวันพุธนี้

เพื่อให้ทุกอย่างมัน “ชัดเจน” และ “ยุติธรรม” สำหรับทุกฝ่ายก็เท่านั้นเองครับ…

Viva London โดย เอก อุดมสุขข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2890

ไทยแชริตี้ ชิลด์ ณ สนามกูดิสันปาร์ค




เช้ามืดของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(6พฤษภาคม) เวลาประมาณตี4 ครึ่ง ผมดีดตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากมีนัดสำคัญกับ….. [^^]
อย่าเข้าใจผิดนึกว่าผมมีนัดออกเดตกับสาวแหม่มที่ไหน น่ะครับ จริงๆแล้วผมมีนัดกับคุณ “ใหม่ โมบาย”หรือ “พี่ใหม่”พอพล ศรีกัสสป คอลัมนิสต์ฟุตบอลหนังสือพิมพ์ “คิกออฟ" เพื่อมุ่งหน้าสู่สนามกูดิสันปาร์คของทีมเอฟเวอร์ตัน เมืองลิเวอร์พูลด้วยกันในฐานะ “โค้ช”และ “นักเตะ”ของทีม Thai United UK เพื่อเข้าร่วมการแข่งกันฟุตบอลการกุศล Thai Community Charity Shield

ตั้งแต่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตที่ลอนดอนย่างเข้าสู่เดือนที่ 9 นี่เป็นครั้งแรกของผมที่จะได้เยื้องกายตัวเองออกนอกลอนดอนเป็นครั้งแรก

ยิ่งการที่รู้ว่าจะได้ลงเล่นฟุตบอลในสนามแข่งขันจริงของทีม “ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นจน “ขนลุกพอง”เหมือนๆกับที่เด็กหนุ่ม(และไม่หนุ่ม)ทุกคนที่ได้ลงชื่อเข้าแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้ ที่น่าจะรู้สึกไม่ต่างกันกับผมเท่าไร

ฝ่ายจัดการแข่งขันซึ่งมีแกนนำโดย ชมรมฟุตบอลไทย-ยูเค ณ กรุงลอนดอนที่มี “ปาล์ม” อดีตนักร้องวง Monkey Pantsเป็นหัวเรือใหญ่คอยประสานงานกับ “พี่เอ”จากร้านAddies และ “น้าจักร” จักรบรรจง ช่างสมบูรณ์ จากการบินไทยร่วมกันเป็นโต้โผใหญ่ในการดึง“เบียร์ช้าง”ผู้สนับสนุนหลักของทีมเอฟเวอร์ตันมาเป็นสปอนเซอร์หลักในทัวร์นาเมนต์นี้

ด้วยเหตุฉะนี้ครับ ผมและคนไทยในประเทศอังกฤษที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมครั้งนี้จึงได้รับ
สัมปทานความโชคดีได้เหยียบกูดิสันปาร์คไปโดยปริยาย

จุดมุ่งหมายหลักๆของการจัดการแข่งขันครั้งนี้ขึ้น คือการนำคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษที่มีจิตใจรักในกีฬาฟุตบอลมารวมตัวกันเล่นกีฬาเพื่อก่อให้เกิดความ “สมัครสมาน”และ “สามัคคี”โดยทีมที่ส่งเข้ามาแข่งขันก็มีมาจากหลายๆเมือง เช่น ลอนดอน แมนเชสเตอร์ นิวคาสเซิ่ล และเบอร์มิงแฮม ฯลฯ

ฝ่ายจัดการแข่งขัน เก็บค่าสมัครกับผู้ที่จะลงเล่น 40 ปอนด์ (2,800บาท) และ 22 ปอนด์ (1,540บาท) สำหรับผู้ติดตามไปเชียร์ซึ่งรวมราคาค่ารถโค้ชไปเช้า-เย็นกลับ กรรมการตัดสินที่ได้รับการยอมรับจาก เอฟเอค่าอาหารและเข้าสนามทีมระดับพรีเมียร์ชิพอย่างเอฟเวอร์ตัน ถือว่าเป็นราคาที่ “สุดคุ้ม” ครับเพราะโดยปกติแค่ค่าตั๋วฟุตบอลในการเข้าสนามอย่างเดียวนั้นก็ปาเข้าไป อย่างน้อยๆ30-40 ปอนด์แล้ว

นอกจากนี้แล้วเงินรายได้หลังหักค่าใช้แล้ว เงินทั้งหมดจะถูกแบ่งสรรไปบริจาคสามที่หลักๆคือ มูลนิธิชัยพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, วัดไทยในเมืองแมนเชสเตอร์ที่กำลังต้องเงินสนับสนุนเพื่อไปซ่อมแซมหลายส่วนของวัดที่เก่าแก่ ทรุดโทรมลงไปเยอะ และสุดท้ายคือวัดพุทธาราม วัดไทยในลอนดอนซึ่งพึ่งถูกไฟไหม้ไปเมื่อวันที่19 มีนาคม 2550 ที่ผ่านมา

วกกลับมาที่เรื่องของเกมการแข่งขันปีนี้ ฝ่ายจัดการแข่งขันได้นำทีม “แมงปอล้อคลื่น” ซึ่งนำทีมมาโดย “พี่แท่ง” ศักดิ์สิทธิ์, “พี่หอย” เสนาหอย และพี่หนุ่ม คงกระพัน เพื่อมาเพิ่มความน่าสนใจของการแข่งขันในครั้งนี้ โดยทีมชุดนี้ขาดไปแค่ “เจ้าพ่อแร๊ปเมืองไทย” โจอี้ บอย ซึ่งติดภารกิจไม่ได้เดินทางมาด้วย นอกนั้นมากันครบทีมกว่า30 ชีวิต (แต่ก็ไม่ค่อยคิดถึงพี่โจ้นัก เพราะเค้าเพิ่งมาเปิดคอนเสิร์ตไม่นานมานี้เอง)

ก่อนที่การแข่งขันจริงจะเริ่มขึ้น ทีมแมลงปอ ลงเล่นนัดกระชับมิตรกับทีม สถานทูตไทยประจำประเทศอังกฤษเป็นการประเดิมสนาม โดยที่ทีมรวมดาราเล่นแบบสบายๆ ประคองตัวเฉือนเอาตัวรอดไป 1-0
การแข่งขันมีทั้งหมด 12 ทีม ถูกแบ่งออกไปเป็น4สาย สายละ 3 ทีม สนามแบ่งออกเป็นสองครึ่งเพื่อความกระชับในเรื่องของ “เวลา” ที่มีค่อนข้างจำกัดเพราะสนามเปิดให้เข้าใช้เวลาเที่ยงครึ่ง และต้องออกจากสนาม เคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน หนึ่งทุ่มครึ่ง




กติกาก็บ้านๆครับ ลงเล่นทีมละ 8 คน เวลา 15 นาทีต่อหนึ่งเกมไม่มีพักครึ่งเวลา การเปลี่ยนตัวมีได้ไม่จำกัด ไม่มีลูกล้ำหน้า และหลังผลการจับฉลากแบ่งสายปรากฏว่าทีม Thai UK ของผมถูกจัดให้อยู่สายเดียวกับทีมแมงปอล้อคลื่น

คงไม่ต้องสงสัยน่ะครับ ว่าเวลาที่ทีมผมลงไปแข่งกับทีมดารา เสียงเชียร์ทีมไหนจะดังกว่ากัน (เหอๆ) เอาเป็นว่าขนาดเพื่อนผู้หญิงที่สนิทๆกันที่บอกว่าตามมาเชียร์ทีมผม พอเอาเข้าจริงกลับตะโกนกรี๊ด “พี่แท่งสู้ๆ” “แมงปอสู้ๆ” กันหมด

ตอนนี้เข้าใจหัวอกนักฟุตบอลที่ต้องออกไปเล่นไปทีมเยือนอย่างสุดซึ้งครับยิ่งพวกที่โดน โห่บ่อยๆในหลายๆสนามอย่าง ร็อบบี้ ซาเวจ หรือคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ช่วงโดนกดดันหนักๆจากแฟนบอลผู้ดีหลังกลับจากฟุตบอลโลกที่เยอรมันจะรู้สึกยังไง ยิ่งในรายของหนูโด้ด้วยแล้วนับถือจริงๆครับเจ้าตัวที่ผ่านตรงนั้นมาได้

ผลการแข่งขันของสายผมปรากฏว่ายิงกันไข่ไม่แตกเลยซักทีมเสมอ 0-0 โดยต้องตัดสินกันที่ลูกจุดโทษ โดยทีมแมงปอเอาชนะจุดโทษทีมผมและได้เข้าไปเป็นที่หนึ่งได้เข้าชิงถ้วย “A”หรือแข่งกับที่ 1 ของอีกสามสายและปรากฏว่าทีมรวมดาราก็ไม่ทำให้สาวเล็ก สาวใหญ่ที่ตามมาเชียร์กว่า 400 ชีวิตในวันนั้นต้องผิดหวังคว้าแชมป์ไปครองครับ

ขณะที่ทีมThai-Uk ที่มี “น้าหมาน” สมาน แสนทวีสุข และ “ใหม่ โมบาย” เป็นกุนซือร่วมสามารถพาทีมคว้าแชมป์ถ้วย “B” เอาชนะอีกสามทีมที่เข้ารอบมาเป็นที่สองเหมือนกันจากสายอื่นได้ ด้วยผลงานสุดแกร่งเล่น 5 นัดไม่เสียแม้ประตูตัวเดียว ยิงได้ 1 ประตู !! เข้าตำรา ของจอร์จ เกรแฮม “หลังเหนียว กลางแน่น แล้วหน้าจะดีเอง”







พูดถึงทีมแชมป์อย่าง “แมงปอ”แล้วก็ต้องยอมรับครับว่าเป็นทีมดาราที่เล่นฟุตบอลกันได้ดีแทบจะทุกคนแต่ที่ผมชอบที่สุดคือ“เสนาหอย” ที่เป็นเหมือนไฮไลต์ของทีมชุดนี้เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงฮาจากสาวๆได้พอๆกับพี่แท่งด้วยลีลาการเล่นที่แม้ สรีระอาจจะดูไม่เอื้อนัก แต่ขอ ซูฮกครับว่า “ทางบอล”และ “เซนส์บอล” แกเยี่ยมจริงๆ

หลังเสร็จพิธีการมอบเหรีญ รางวัลแก่ผู้ชนะก็มีเซอร์ไพรส์เล็กๆก่อนปิดงานตรงที่ เจ้าหนูเจมส์ วอนหัวหอกดาวรุ่งของเอฟเวอร์ตันโผล่มามอบเสื้อพร้อมลายเซ็นให้แก่ผู้โชคดีในงานครับ งานนี้เล่นเอาผมวิ่งไปหยิบกล้องมาถ่ายรูปแทบไม่ทันเพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวจะมาก่อนงานปิดเพียงนิดเดียวเท่านั้น

งานนี้ดูทุกๆคนจะแฮปปี้มากครับโดยเฉพาะฝ่ายจัดการแข่งขัน เพราะการวางแผนงานที่จัดว่า “เยี่ยม”ในเรื่องของการทำเวลาที่ค่อนข้างบีบให้ลงตัวได้ดีมากๆ

ทริปนี้จึงถือเป็นทริปนอกลอนดอนครั้งแรกผมที่ค่อนข้างประทับใจมากทั้งในเรื่องการได้ลงมาสัมผัสสนามกูดิสันปาร์คและได้ลงเล่นและคว้าแชมป์ถ้วย “B” ร่วมกับคุณ “ใหม่ โมบาย” เพราะนี้อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของเราที่จำได้มาเหยียบสนามแห่งนี้ร่วมกันในฐานะ “โค้ช” และ “นักเตะ”ครับ

ป.ล. ทีมแมงปอจะยังอยู่ลอนดอนอีก 1 อาทิตย์กว่าๆก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองไทยครับ เพราะว่าวันอาทิตย์หน้า (13 พฤษภาคม) จะมีการแข่งฟุตบอลโต๊ะเล็กอีกในงาน “วันกีฬามหาสนุก”ที่จะจัดขึ้นที่ Padington โดยมีกีฬามากมายให้คนไทยในลอนดอนได้ร่วมสนุกเล่นกีฬามากมาย อาทิเช่น ชักคะเย่อ วิ่งสี่ขา แชร์บอล แบตมินตัน กอล์ฟ และวิ่งเปี้ยว ขณะที่ตอนกลางคืนจะมีการเล่นคอนเสริ์ตต่อกันที่ Porchester Hall

Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2851