Thursday 23 October 2008

ผจญภัยที่แมนเชสเตอร์ (จบ)

ต่อจากเมื่อวานนะครับ ผม,โจ และจี มาถึงร้าน Thai Banana เพื่อขอความช่วยเหลือในยามที่จนตรอกไม่มีทางเลือกแล้ว ในเวลาที่เข็มนาฬิกาใกล้จะเฉียดเที่ยงคืนรถเมล์เริ่มหดผู้คนเริ่มหาย ช่างเปล่าเปลี่ยวเอวังเสียเหลือเกิน...
‘เอาว่ะ ดีกว่าต้องนอนที่ชานชาลา’ ผมตัดสินใจที่จะเป็นคนเอ่ยปากกับพนักงานในร้าน
‘สวัสดีครับ เอ่อ...ไม่ทราบพวกพี่พอจะรู้จักที่พักละแวกนี้บ้างมั้ยฮะพอดีว่า ผมกับเพื่อนหามาหลายที่แล้วเต็มหมดเลย’

‘นั่งก่อนน้อง พี่ไม่คิดเงิน’ พี่เด็กเสิร์ฟปล่อยมุขพร้อมยกโค้ก 3 แก้วมาให้ สอบถามว่าเป็นไงมาไงถึงได้หลงมาอยู่ที่หน้าร้านเค้าได้ พอได้เห็นท่าทีที่เหนื่อยอ่อน+ทราบเรื่องสุดอนาถของพวกเราเท่านั้นละครับ พนักงานในร้านทุกคนต่างก็กุลีกุจอรีบโทร.หาเพื่อนที่รู้จักเช็กโรงแรมกันให้วุ่นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ญาติมิตรก็ไม่ใช่

15 นาทีผ่านไปยังไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งพี่ผู้หญิงคนไทยในร้านคนนึงพูดมาว่า ‘สงสัยต้องโทร.หาหลวงพี่ส่งนอนวัดศรีฯแล้วทีนี้’ ให้ตายเถอะครับ ผมนึกว่าแกพูดเล่นแต่เปล่าเลยพี่แกโทร.ไปวัดจริง ๆ สุดท้ายหลวงพี่ที่วัดขอสายผมบอกให้มานอนได้

อารมณ์ดีใจปนอึ้งเล็ก ๆ ไม่คิดว่าจะโชคดีได้รับความช่วยเหลือดีขนาดนี้ ความรู้สึกมันซาบซึ้งใจจนไม่สามารถหาคำไหนมาอธิบายได้ พวกเราได้แต่กล่าวคำขอบคุณพร้อมจะขอตัวนั่งแท็กซี่ไปวัดกันเอง เนื่องจากรู้สึกเกรงใจมาก ๆ แต่พี่แอนนาเชฟไทยร้าน Take away จีน แกมีรถจึงอาสาขับไปส่งพวกเราที่วัด โชคสองชั้นของผมและเพื่อนจริงๆที่ได้มาเจอกลุ่มคนไทยน้ำใจงามในต่างแดนแบบนี้

หลังจากขับหาวัดอยู่นานเนื่องจากพี่แอนนาก็ไม่ค่อยคุ้นเส้นทางขับหลง อยู่ประมาณเกือบชั่วโมงเนื่องจากแถวนั้นมืดมาก ในที่สุดเราก็เจอบ้านเล็ก ๆ หลังนึงมีป้ายแปะว่าวัดศรีรัตนารามพี่แอนนาบอก ‘ถึงแล้วนี่แหละวัดพี่ส่งพวกน้องๆแค่นี้เดินทางกันดี ๆ โชคดีนะจ๊ะ’

พี่แอนนาคงเหนื่อยมากเพราะก็ดึกมากแล้ว ล่ำลากันเสร็จเราก็พบ พระสงฆ์อินเดียรูปหนึ่งพูดไทยไม่ค่อยชัดพาเราไป ห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีสำหรับพวกเราสามคน หลวงพี่รูปนั้นแนะนำว่าห้องน้ำห้องท่าอยู่ไหนและก็ขอตัวขึ้นไปจำวัดต่อ แต่เราก็ไม่อาบน้ำหรอกนะครับจังหวะนั้นหลับเป็นตายกันทุกคน ฮ่า

6 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น จีปลุกผมบอกว่าตื่นได้แล้วเพราะเราต้องเข้าไปในตัวเมือง เพื่อขึ้นรถโค้ชไปลิเวอร์พูลกันต่อ ตื่นมาได้สักพักก็เจอพี่จิต (พี่ผู้หญิงที่มานั่งสมาธิที่วัด) และหลวงพี่ปกานนท์เดินเข้ามาทักทายและชวนไปสวดมนต์รอบเช้า+นั่งสมาธิกัน

นานมากแล้วครับ ที่ผมไม่เคยได้นั่งท่องบทสวดมนต์นาน ๆ แบบนี้ บทสวดบางบทที่เคยท่องจนคล่องสมัยเด็ก ๆ ก็เริ่มเลือนหายไปพร้อมกับกาลเวลา...บางครั้งหลายสิ่งหลายอย่างก็ทำให้ชีวิตคนเราทุกวันนี้ดูวุ่นวาย เป็นทุกข์ อยากมี อยากเก่ง อยากได้จนลืมไปแล้วว่า ‘ความสุขที่แท้จริง’อยู่ตรงไหน ?

ผมรู้สึกสบายใจและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยนะครับที่ได้กลับมาสู่พื้นฐานของความสงบ ไร้ซึ่งความว้าวุ่นใจอีกครั้ง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตามที
เราได้นั่งสนทนาธรรมคุยถึงเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้ ปัญหาความแตกแยกของคนไทยที่ต่างคนต่างก็มี ‘ทิฐิ’ อยากได้มาซึ่งชื่อเสียงเงินทองจนหลายครั้งหลายหนมันเกินขอบเขตทำให้ส่วนรวมต้องวุ่นวาย บาดเจ็บ ล้มตายอย่างที่เห็น

ผมตั้งใจไว้แล้วนะครับ ได้กลับไทยครั้งหน้าอยากจะกลับไปบวชเดินธุดงค์ในป่าสักเดือนตามที่หลวงพี่ปกานนท์แนะนำ เพราะท่านเห็นว่าเด็กสมัยใหม่ช่วงหลังบวชแค่พอเป็นพิธีและไม่ได้ลงลึกไปถึงพระธรรม บวชแปบ ๆ ก็สึกไม่ได้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนอย่างถ่องแท้

ให้มันสมกับที่พ่อผมเคยบวชเรียนเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีเสียหน่อย เดี๋ยวญาติพี่น้องจะหาว่าลูกไม้นี้หล่นไกลต้น ^^

พวกเรานั่งทานข้าวต้มที่พี่จิตเตรียมไว้ให้พร้อมลาหลวงพี่ พระปกานนท์ออกเดินทางเข้าตัวเมืองแมนเชสเตอร์กันต่อ ก่อนออกหลวงพี่ยังแอบแซวว่า ‘ถ้าคราวหน้าคราวหลังโยมจะมาพักอาตมาแนะนำให้บุ๊กอินแอดวานซ์น่ะ’ ฮ่าๆอายได้ป่ะ หลวงพี่!

เรานั่งรถเมล์เข้าเมืองต่อด้วยจับรถโค้ชไปลิเวอร์พูลเพื่อเยือนถิ่นแอนฟิลด์ของ ลิเวอร์พูลและกูดิสันปาร์คของเอฟเวอร์ตันกันต่อทีแรกตั้งใจว่าจะไปเยือน The Beatles Museum เพื่อชมแบนด์ขวัญใจผมด้วย แต่คำนวณเวลาแล้วกลัวจะไม่พอเดี๋ยวตกรถขากลับลอนดอนจะวุ่นวายเอาเปล่าๆเลยไม่อยากเสี่ยงอีก

ตัวเมืองลิเวอร์พูลในวันที่ไม่มีแมตช์แข่งนั้นเงียบเหงาราวกับป่าช้าครับ ถ้าไม่นับในแถบช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ผู้คนก็แทบจะไม่มีให้เห็น เราไปเยือนสนามกูดิสัน ปาร์คเพื่อถ่ายรูป+ช็อปของที่ระลึกกันเล็กน้อยแต่ขอเซฟเงินไม่เข้า พิพิธภัณฑ์เพราะก่อนหน้านี้ตกลงกันแล้วว่าจะไปเข้าที่ลิเวอร์พูลกัน
ระยะทางจากสนามเอฟเวอร์ตันไปลิเวอร์พูลนั้นใกล้มากสามารถเดินถึงกันได้ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีเลยด้วยซ้ำ เราก็จะพบสนามแอนฟิลด์ที่เจ้าโจเห็นแล้วคงไม่สบอารมณ์และควักถุงช็อปปิ้งของ แมนฯยูฯออกมาจากกระเป๋าแล้วรีบเรียกให้ผมถ่ายภาพไว้ซะอย่างนั้น เอาเป็นว่าแฟนหงส์แดงเห็นหรือเจอเจ้าตัวที่ไหนก็ตราหน้าหมอนี่เอาไว้แล้วกันนะครับ ฮ่า

เงิน 5 ปอนด์ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ถือว่าคุ้มสุดคุ้มครับ เพราะภายในมีคำประวัติ ถ้วยรางวัล เหรียญรางวัลแห่งความสำเร็จในอดีตของลิเวอร์พูลพร้อมทั้ง เสื้อผ้ารองเท้าสตั๊ดของตำนานหลายคนอาทิเช่น เควิน คีแกน ก็ถูกแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย


เดินได้สักพักใหญ่ ๆ พวกเราก็ต้องเตรียมตัวกลับลอนดอนครับ โดยเราไปนั่งหม่ำเบอร์เกอร์กันที่ผับและชมเกมสโต๊ค-สเปอร์สให้ผมช้ำใจเล่น ๆ เพราะน้องไก่โดนอีกแว้ว แต่ไม่เป็นไรครับเพิ่งเข้าวัดมาตอนนี้ไม่คิดมาก ปลงได้! ใครอยากล้อ เชิญ อิอิ (แนะนำแฟนไก่ให้คิดแบบนี้นะครับจะได้ไม่เครียด คิดซะว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผลงานจะดำดิ่งแค่ไหนก็ต้องตามเชียร์ สู้!)

ขากลับเรานั่งรถโค้ชกลับเข้าลอนดอน ออกจากลิเวอร์พูล 5 โมงครึ่งแต่รถติดสุด ๆ กินเวลาไป 6 ชั่วโมง (จากกำหนดแค่ 4 ช.ม.) เนื่องจากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนถนนเส้นที่เรากลับจึงนั่งรถซะก้นชา ผู้โดยสารหลายคนออกอาการหงุดหงิดกันเป็นแถบ แต่สำหรับผม จีและโจซึ่งเจอชุดใหญ่ไปแล้วเมื่อคืนแค่นี้ถือว่าสิว ๆ ไปเลยครับ : )

ป.ล. ทริปนี้ขอขอบคุณคนไทยน้ำใจงามทุกท่านจากร้าน Thai Banana, Manchester รวมถึงหลวงพี่ปกานนท์แห่งวัดศรีรัตนาราม สำหรับที่พักและคำสอนดีๆที่มีให้ครับ



1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ