Friday 10 October 2008

เคมบริดจ์ "เมืองมหาวิทยาลัยในฝัน"



"ธีม"คัดบอลโลกทีมชาติกำลังมาแรง ก็จริงแต่อังกฤษเจอคาซัคสถานซึ่งถือว่าหมูมาก ถ้าแพ้เนี่ยคาเปลโล่ลาออกได้เลย วันนี้จึงขอฉีกแนวนำคอลัมน์ London Corner มาเขียนละกันครับ

ลอนดอนคอร์เนอร์วันนี้ ขออนุญาตพาออกนอกลอนดอนหนึ่งวัน ไปเยี่ยมชมเมืองเคมบริดจ์ ‘เมืองมหาวิทยาลัย’ ผู้ผลิตอัจฉริยะมากมายให้โลกใบนี้ เช่นท่านไอแซ็ก นิวตัน นักฟิสิกส์ผู้คิดค้น ‘กฎแรงโน้มถ่วงโลก’ หรือ จอห์น ฮาร์วาร์ด ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, สหรัฐอเมริกาครั้งนึงก็เคยได้ใช้เวลาช่วงสั้นๆ บ่มเพาะความรู้ที่เมืองเล็กๆ แต่เงียบสงบแห่งนี้มาแล้ว

การเดินทางไปเมืองเคมบริดจ์นั้นไม่ยากเลยจากลอนดอนจับรถไฟที่สถานี King Crossค่าตั๋วรถไฟอยู่ประมาณ 18 ปอนด์ ใช้เวลานั่งหลับยังไม่ทันอิ่มก็ถึงแล้ว 45 นาที เท่านั้นเองใกล้มั่กๆ :)

เคมบริดจ์เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากครับ เดินไปแป๊บเดียวก็หมดเมืองแล้ว แต่ประวัติอันยาวนานและความสวยงามเนี่ยสิครับแม้ประสบการณ์การไปเที่ยวของผมจะผ่านไปตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วแต่ความรู้สึกขณะที่นั่งร่ายเป็นตัวอักษรทางหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นี้ มันยังรู้สึกเหมือนกับว่าเหมือนพึ่งกลับมายังไงยังงั้น อันนี้ไม่ได้เว่อร์นะครับต้องบอกกันก่อน

ทีเด็ดของเมืองแคมบริดจ์ที่ใช้ดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาว อังกฤษเองและชาวต่างชาติที่เดินทางมาเยี่ยมชมนั้น นอกจากจะได้มากินบรรยากาศสบายๆ ไม่วุ่นวายเหมือนลอนดอนแล้ว ผมคิดว่า Punting Tour หรือทัวร์นั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำ รอบเมืองถือเป็นกิจกรรมสุดฮิตของเมืองนี้ครับ เพราะนอกจากจะได้ความรู้จาก Punter (คนถ่อเรือ)ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย มารับจ็อบพาร์ตไทม์แล้วยังได้ชมตึกรามบ้านช่อง รวมทั้งมหาวิทยาลัยและคอลเลจที่มีอยู่รายล้อมเต็มไปหมด ระหว่างทาง

ที่สำคัญขอเมาท์นิดนึงว่านักศึกษาเหล่านี้ทั้งหญิงและชายสวยหล่อแทบทุกคน !! ย้ำอีกทีว่าแทบทุกคนจริงๆ โดยเฉพาะผู้หญิง (หัวงูได้อีก ฮ่า)

ระหว่างล่องเรือในแม่น้ำใช้ซึ่งเวลาประมาณ 40 นาที กว่าจะครบตามเส้นทางพันเตอร์ก็จะบรรยายประวัติความเป็นมาของเมืองคร่าวๆ ให้ได้ฟังกัน โดยสองเรื่องที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือประวัติของการค้นพบ ‘กฎแรงโน้มถ่วง’ ของเซอร์ ไอแซ็ค นิวตัน ที่พบ ณ ต้นไม้แอปเปิ้ลในสวนทรินิตี้คอลเลจหล่นใส่ศีรษะที่แกเป็นอาจารย์อยู่ และเกิดคำถามให้ตัวเองว่าแรงโน้มถ่วงเกิดจากอะไรจนเรื่องฉงนเล็กๆ นี้ นำมาซึ่งการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของโลกในเวลาต่อมา

อีกเรื่องที่พอจำได้ก็คือความเป็นมาของ King College ที่เคมบริดจ์ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยครับ
ที่บ้านเราหากยังจำกันได้มีโฆษณาของซุปไก่สกัดยี่ห้อนึง (น่าจะยังมีอยู่ใช่มั้ยอันนี้ผมไม่ชัวร์)
ว่าได้ผ่านการวิจัยจากคิงคอลเลจ มาแล้วอย่างไรก็ดีจากที่ผมได้ศึกษามาและ ได้รับยืนยันแน่นอนจากปากของพันเตอร์ก็คือ King College ที่เมืองเคมบริดจ์นั้นไม่ใช่ศูนย์วิจัย อันโด่งดังที่วิจัยซุปไก่ยี่ห้อนี้แต่อย่างใด แต่ที่นี้เป็นเพียงแค่ ‘หอพัก’ ของนักศึกษา University of Cambridge ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1209 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองประเทศอังกฤษ ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก

นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดในบรรดา มหาวิทยาลัยทั้งหลายในโลกด้วยหลายคนจึงมักคิดว่า King College นี้คือที่เดียวกันกับศูนย์วิจัยชื่อดังที่ลอนดอน
ส่วน King College ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการค้นคว้าและทำการวิจัยสรรพคุณซุปไก่ที่ว่านั้นคือ King's College ภายใต้การดูแลและควบคุมของUniversity of London ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงลอนนะครับอย่าได้สับสนกัน...

ระหว่างทางล่องเรือผมก็ได้ลอดใต้สะพาน Mathematics Bridge ‘สะพานคณิตศาสตร์’ (สะพานเล็กๆในรูป)ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าแต่แรกท่านเซอร์ไอแซ็ค นิวตันได้ออกแบบสะพานนี้ให้สร้างโดยไม่ใช้ตะปูสักตัวเดียวแต่ต่อมามีนักศึกษาคณิตศาสตร์ผู้หนึ่ง อยากรู้ว่าท่านเซอร์ออกแบบอย่างไรจึงไปถอดชิ้นส่วนสะพานออกมาศึกษา ปรากฏพอถอดออกมาแล้วต่อกลับเข้าไปแบบเดิมไม่ได้ จึงต้องใช้ตะปูตอกเพื่อให้คงเป็นสะพานเหมือนเดิม

จากนั้นมาสะพานแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า Mathematics Bridge เพื่อเป็นอนุสรณ์ของความสะเร่อของนักศึกษาคณิตศาสตร์ผู้นั้นครับ ^^

อ่ะ เล่ากันพอเป็นสังเขปนะครับสรุปว่าทริปเคมบริดจ์ของผมถือว่า ‘ตราตรึง’ อยู่ในหัวใจผมไม่เคยลืมเลือนเพราะค่อนข้างโรแมนติกโดยเฉพาะหากใครมีสาวมานั่ง ข้างกายพายเรือไปด้วยกันมันคงจะสวีตไม่น้อยเนื่องจากเราสามารถเช่าเรือพายเองได้ นอกจากนี้สภาพบ้านเรือนก็เป็นตึกศิลปะที่แม้จะเก่าแต่ก็ดูเรียบและเงียบสงบ สมกับเป็นเมืองแห่งการศึกษาจริงๆ ครับ

1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ