Friday 17 October 2008

สิงโตคำราม...แม้ยังไม่ดีที่สุดแต่ผลสอบผ่านฉลุย



ในที่สุดขุนพลทีมชาติอังกฤษภายใต้การ ทำทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็ทำได้ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ เมื่อเดินหน้าเก็บชัยเป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันในรอบคัดเลือกเมื่อบุกไป กำราบเบลารุสถึงสนามดินาโม สตาดิโอน 3-1 นำจ่าฝูงกลุ่ม 6 มี 12 คะแนนเต็ม ลอยตัวสบายอุรา

เกมนี้คาเปลโล่เลิกดื้อกลับมาใช้ระบบ 4-4-2 อันเป็นระบบที่นักเตะเลือดผู้ดีคุ้นเคยกันมากกว่า แต่ยังให้โอกาส "สตีวี่จี" สตีเฟ่น เจอร์ราร์ดเป็นตัวจริง โดยจับไปยืนปีกซ้ายแทนการขาดหายไปของโจ โคลที่ไม่ได้ติดทีมชุดนี้

ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นกัปตันฮาร์ดแมน ของลิเวอร์พูลออกมายอมรับโดยดุษฎีครับว่า ยังเล่นไม่เข้าขากับแฟรงค์ แลมพาร์ดในการจับคู่กันในแดนกลางและกลัวเหลือเกินที่จะเสีย ตำแหน่งในทีมชาติไปหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป

อย่างไรก็ดีผมว่าปัญหาจริง ๆ ของเจอร์ราร์ดคือความกลัวอันเกิดจากความคาดหวังที่สูงจากแฟนบอล และเจ้าตัวเองที่หวังจะให้ผลงานออกมาดีที่สุดเหมือนในสีเสื้อลิเวอร์พูล ซึ่งแท้จริงแล้วอังกฤษและลิเวอร์พูลก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งในแง่ของระบบการเล่นและตัวผู้เล่น

ที่ลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ดเป็นเหมือนศูนย์กลางของทีมที่ทุกคนฝากความหวังเอาไว้ การขึ้นบอลหรือเซตบอลทำเกมบุกแต่ละทีบ่อยครั้งที่เพื่อนมักจะฝากบอล ให้เจ้าตัวสร้างสรรค์+ปั้นเกมได้เต็มที่ นอกจากนี้ราฟาเอล เบนิเตซก็ให้อิสระค่อนข้างมากไม่จำกัดตำแหน่งว่าต้องอยู่ให้เป็นที่ ทำให้ฟอร์มกัปตันหัวขิงโดดเด่นเป็นสง่ารวมถึงขึ้นมายิงประตูสำคัญให้ทีมได้เสมอ

แต่ในทีมชาติอังกฤษการมีแฟรงค์ แลมพาร์ดซึ่งเล่นในตำแหน่งนี้เดียวกันอยู่ ทำให้เกิดปัญหาโลกแตกอย่างที่เคยเรียนไป เพราะนอกจากจะเล่นด้วยกันไม่ได้แล้ว ยังทำให้แดนกลางอังกฤษดูติดขัดไม่เป็นธรรมชาติเนื่องจาก ไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับโดยธรรมชาติทำให้ทีมเสียบาลานซ์ไป

ถึงนาทีนี้คาเปลโล่น่าจะถึงบางอ้อและเข้าใจ ถึงปัญหานี้อย่างถ่องแท้ เกมนี้จึงปล่อยให้บทบาทโฮลดิ้งมาเป็นของแกเร็ธ แบร์รี่รับสัมปทานตรงนี้ไป ซึ่งแม้ผลงานกัปตันวิลล่าจะไม่โดดเด่นแต่ก็ ต้องเข้าใจว่าบทบาทนี้ เป็นเหมือนผู้ปิดทองหลังพระและทำให้การปั้นเกมของ แลมพาร์ดดูไหลลื่นขึ้นและเจอร์ราร์ดกับบทบาทปีกซ้ายจำเป็น อาจจะยิงประตูสุดสวยได้หนึ่งลูกและแอสซิสต์ให้เวย์น รูนีย์ยิงได้อีกหนึ่งดอก ทำให้หลายฝ่ายอาจคิดว่าปัญหาว่าจะเอาเจอร์ราร์ดยืนตรงไหนน่าจะจบลงแล้ว

แต่ถึงกระนั้นก็ดี ผมเองกลับขอผ่าเหล่าผ่ากอไม่ขอคิดเช่นนั้น โดยสาเหตุของผมก็คือจากจุดที่เจอร์ราร์ดยิงและส่งให้เพื่อนทำประตูนั้น มาจากตำแหน่งกลางสนามไม่ใช่จากฝั่งซ้ายตำแหน่งที่เจ้าตัวประจำการอยู่
ถามว่าแล้วหัวขิงมันผิดอะไรที่ยิงและจ่ายบอลจากจุดนั้น? ไม่ผิดครับเนื่องจากผมเข้าใจดีว่าเจ้าตัว ไม่ใช่ปีกซ้ายโดยธรรมชาติแต่ทว่า การตัดเข้าในแบบนั้นคือการที่เจ้าตัวต้อง เอาตัวรอดในเกมให้ได้เท่านั้นเอง ในมุมกลับกันหลายจังหวะทีเดียวที่เจอร์ราร์ด ได้บอลแล้วต้องเสีย เวลาแต่งบอลเข้าเท้าขวาและดูไม่เป็นธรรมชาติ โดยครึ่งเวลาหลังคาเปลโล่คงเห็นปัญหานี้ เลยเปลี่ยนระบบมาเป็น 4-2-3-1 ให้เจอร์ราร์ดหุบเข้ามาเป็นกองกลางตัวรุกด้วย

ที่ผมต้องการจะบอกก็คือการจับเจอร์ราร์ด ไปยืนปีกซ้ายยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด และโจ โคลก็ยังเหมาะสมและคุ้นเคยกับตำแหน่งนี้มากกว่า หรือไม่แอชลีย์ ยังที่เป็นปีกซ้ายธรรมชาติและก็พิสูจน์ตัวเอง ได้พอสมควรแล้วกับแอสตัน วิลล่าก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเจอร์ราร์ดด้วยซ้ำไป

นอกจากนี้ปัญหาเดิมที่ผมมองเห็นจากทีมชุดนี้ก็คือ แนวรับที่ดูหละหลวมเหลือเกินยามที่ขาดสองกองหลังจากเชลซีจอห์น เทอร์รี่และแอชลีย์ โคล + ฟอร์มที่ไม่คงเส้นคงวาของธีโอ วัลคอตต์ที่เพิ่งเรียนไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

เวย์น บริดจ์นั้นเล่นไปแค่ 7 นาที ให้เชลซีในพรีเมียร์ชิพซีซั่นนี้สนิมเกาะเพียบเกมนี้ดูก็รู้ว่าความฟิตนั้น ไม่ถึงขีดวิ่งเติมเกมแต่ละทีเชื่องช้าเกินไปขณะที่แมทธิว อัพสันก็ดูไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับตำแหน่งอะไหล่สำรองของจอห์น เทอร์รี่

ส่วนเคสของวัลคอตต์ ผมว่าจับไปนั่งสำรองบ้างได้แล้ว เพราะความมั่นใจยังขึ้นๆ ลงๆ และต้องรอให้จิตใจกล้าแกร่งกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่กับตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติ โดยระหว่างนี้ก็น่าจะลองเปิดโอกาสให้ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ได้พิสูจน์ตัวเองดูบ้างก็คงจะดี

ชัยชนะ 3-1 ที่ผ่านมาใช่จะมีแต่ข้อเสียนะครับเพราะผมก็เห็นสัญญาณอะไรดี ๆ ในทีมชุดนี้เหมือนกัน อย่างเช่นสองกองหน้าของทีมที่จับคู่กันได้อย่างลงตัวของเอมิล เฮสกีย์และเวยน์ รูนีย์

เฮสกีย์นั้นอาจจะไม่ใช่จอมถล่มประตูขั้นเทพเพราะยิงไปแค่ 5 ประตูเท่านั้น จากการลงเล่นให้ทีมชาติ 50 นัด ประตูล่าสุดที่ยิงได้ให้อังกฤษก็ต้องนั่งไทม์แมชีนย้อนไปในปี 2003 นู่นเลย แต่ทว่าความขยันและสรีระที่ได้เปรียบกองหลังคู่แข่งก็โดดเด่นโดนใจผมเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ "น้องหมู" รูนี่ย์กลับมาเป็นดาวยิงเวิลด์คลาสอีกครั้งนึง

สรุปก็คือ ผู้เล่นอังกฤษ,แฟนบอล และสื่อยังต้องเท้าติดดิน +ไม่ลืมความเจ็บปวดจากการชวดไปเล่นยูโร 2008 รอบสุดท้ายครั้งที่ผ่านมา จะได้ไม่หลงระเริงไปกับชัยชนะ 4 นัดรวด ในการคัดบอลโลกครั้งนี้
โดยปัญหาในทีมอย่างที่เรียนไปยังคงมีให้เห็นแต่ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา กุนซือสมองเพชรอย่างคาเปลโล่จะตกผลึกทางความคิด และพาสิงโตคำรามเข้ารอบสุดท้ายที่แอฟริกาใต้ได้แน่นอนครับ...ฟันธง!

No comments: