Thursday 19 February 2009

แมนฯซิตี้ มะเร็งลูกหนัง!?

ในทุกๆสังคมไม่ว่าจะไทย จีน แขกหรือฝรั่งมังค่า...ความอิจฉาริษยามีให้เห็นเหมือนกันหมดครับไม่เว้นแม้กระทั่งวงการฟุตบอล

เห็นคนโน้นคนนี้ได้ดีหรือเหนือกว่าเป็นไม่ได้ ต้องหาเรื่องซุบซิบนินทาว่าร้ายบ้างก็พยายามวางแผนคิดจะหยุดยั้ง 'ความยิ่งใหญ่'!?
การออกมาพูดจาเสียดสีในเชิงไม่สร้างสรรค์ของสตาเล่ โซลบัคเค่นโค้ชเอฟซี โคเปนเฮเก้นว่าแมนฯซิตี้เป็น 'มะเร็ง' ของวงการฟุตบอลเพราะจับจ่ายใช้สอยอย่างมือเติบนับตั้งแต่ได้'ชีคมานซูร์' มาเป็นเจ้าของ ทำให้ตลาดนักเตะปันป่วนและสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาอย่างหนักทั้งในยุโรปและอเมริกา

ประเด็นนี้บอกตามตรงเป็นเรื่องของ Mind Game หรือสงครามจิตวิทยาเพียวๆไม่มีอย่างอื่นมาผสม เพราะโคเปนเฮเก้นกำลังจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีเรือใบสีฟ้าค่ำคืนนี่ในศึกยูฟ่าคัพรอบ3นัดแรก !

การออกมาวิพากษ์วิจารณ์คู่แข่งแบบนี้จึงถูกตีตกและไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะบั่นทอนกำลังใจของนักเตะเรือใบและกุนซือผมสีดอกเลาอย่างมาร์ค ฮิวจ์แน่นอน

อย่างไรก็ดี มีบุคคลสำคัญของวงการฟุตบอลยุโรปอีกท่านนึงอย่างมิเชล พลาตินี่ ประธานยูฟ่าวัย 53ปีกำลังอิจฉาตาร้อนความร่ำรวยของแมนฯซิตี้อย่างออกหน้าออกตาเกินไปหน่อย

ล่าสุดออกมาประกาศจะออกกฏ 'Salary Cap' หรือการควบคุมเพดานค่าเหนื่อยให้ได้หลังจากก่อนหน้านี้ ทำไม่สำเร็จเสียทีเพราะไปขัดกับกฏหมายแรงงานของสหภาพยุโรป(อียู)ที่ไม่มีข้อกำหนดควบคุมเรื่อง'ค่าแรง' ของลูกจ้างแต่อย่างใด...

ประเด็นนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการฟุตบอลครับ มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าควรมีการควบคุมเรื่องค่าใช้จ่าย(Expenditure)ของสโมสรฟุตบอลหรือไม่?

หายังจำกันได้ลีดส์ ยูไนเต็ดยุคนึงก็เคย 'ช้อป' จน 'ถังแตก' ไม่มีปัญหาหาเงินมาจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะตัวเองเพราะทีมร่วงตกชั้นในปี2004

ครั้งนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษออกมาประกาศกันปาวๆให้ทีมอื่นระวังให้ดี หากใช้จ่ายเกินรายรับแล้วจะมีอนาคตดับอนาถเหมือนทีมยูงทอง
เชลซี 'อดีต'พ่อบุญทุ่มในพรีเมียร์ก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำท่าจะแพ้ภัยตัวเองในเร็ววันนี้ โรมัน อับราโมวิชขาดทุนจากการประกอบธุรกิจส่วนตัวยับเยิน 'สิงโตน้ำเงินคราม' ไม่มีเงินทุ่มซื้อนักเตะเหมือยอย่างเคย แถมผลประกอบการล่าสุดก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเลขแดงแจ๋แบบนี้ ต่อไปคงต้องขายนักเตะกินแน่นอน

กลับมาที่แมนฯซิตี้ การที่พวกเค้าทำตัวเปรี้ยวยื่นเงินกว่า 100ล้านปอนด์ขอซื้อริคาร์โด้ กาก้าจากเอซี มิลานสร้างความแตกตื่นและถูก'สปอร์ตไลท์'ส่องให้โดดเด่นจากคนรอบข้างอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

การเป็นทีมที่รวยกว่ามีเงินทุนเยอะกว่า บางครั้งการจะย่างก้าวแต่ละทีก็เหมือนมีอุปสรรคขวากหนามตามรังขวาน (ครั้งนึงผู้คนก็เคยประนามเชลซีว่าทำลายเสน่ห์ของฟุตบอลเพราะอยากซื้อใครก็ได้และคว้าแชมป์ลีกมาได้ก็เพราะ 'เงิน')

มุมมองผมแล้วในเมื่อพรีเมียร์ฯเป็นองค์กรที่รู้เห็นทุกอย่างดีกว่าใครและยอมให้ชีคมันเซียร์เข้ามาเทคโอเวอร์ต่อจากคุณทักษิณเอง องค์กรฟุตบอลรวมทั้งยูฟ่าก็น่าจะต้องยอมรับให้ได้ว่าพวกเค้าต้องเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว

ไม่ใช่เห็นใครมีแนวโน้มดีหน่อย ก็คิดจะสกัดดาวรุ่งกันง่ายๆแบบนี้!?
แมนฯซิตี้เองถึงตอนนี้ต้องรีบพิสูจน์ตัวเองให้ได้ครับว่าไม่ใช่'มะเร็งลูกหนัง'อย่างที่ใครเค้ากล่าวหา....ระบบปั้นเยาวชนและส่งแมวมองไปตามพื้นที่ต่างๆทั่วโลกต้องพรีเซนต์ออกมาให้เป็นรูปเป็นร่าง
ส่วนจะซื้อใคร จ่ายค่าเหนื่อยเท่าไรมันก็เรื่องของเค้า ไม่ได้ไปหนัก(หัวกบาล)หรือเบียดเบียนใครสักหน่อย!!?

1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณมากครับ สำหรับบทความ