Wednesday 14 January 2009

โอกาสของเชลซีหลังความพ่ายแพ้ต่อผีแดง

ถามว่ายังพอมีสิทธิ์เป็นแชมป์อยู่บ้างมั้ยสำหรับ เชลซีภายใต้การคุมบังเหียนของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ หลังพาทีมออกไปโดนแมนฯยูไนเต็ดยิง ระบายซะไม่เหลือฟอร์มคู่ปรับตัวฉกาจ 3-0 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา?

หากดูในแง่ของ ตัวผู้เล่นและ ศักยภาพของนักเตะ แบบเรียงตัวแล้ว เชื่อเถอะว่าใครหน้าไหนก็คงไม่กล้า พอที่จะกาชื่อพวกเค้าออกจากสารบบ การลุ้นแชมป์เป็นแน่แท้แม้ว่าฟอร์ม การเล่นสองเดือน หลังสุดของพวกเค้าจะ "ย่ำแย่" พอๆกับนิสัยของดาราชายท่านนึง ที่เมาสุราแล้ว ไปรังแกคนแก่คราวพ่อของตัวเองก็ตาม...

11 ผู้เล่นที่ "บิ๊กฟิล" ส่งลงสนามในเกมล่าสุดถือเป็นชุดที่แทบ จะสมบูรณ์ที่สุดในรอบหลายนัด ที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ (ขาดแค่มิคาเอล เอสเซียง) ดูเผินๆหากเทียบกับฝั่งแมนฯยูฯอาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำไป แผงหลังที่มีปีเตอร์ เช็ก โจเซ่ โบซิงวาจอห์น เทอร์รี่ ริคกี้ คาร์วัลโญ่และแอชลี่ย์ โคลยืนตระหง่านเป็นแบ็กโฟร์อยู่ดูแล้วน่าจะเป็นแนวรับในฝันของกุนซือ ทุกคนหากว่าพร้อมใจกันท็อปฟอร์ม เหมือนใน ช่วงต้นฤดูกาลเพราะเหนียวแน่นหนึบไม่ค่อยเสียประตูให้คู่แข่งง่ายๆ

มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากความปราชัยคาถิ่น ในเกมพรีเมียร์ชิพ ต่อลิเวอร์พูลเมื่อปลายเดือน ตุลาคมปีที่แล้ว?
โอเคสภาพจิตใจที่อาจถูกบั่น ทอนลงไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการเสียสถิติอันน่าเกรงขามในบ้านตัวเองกว่า 4 ปีถือว่าน่าผิดหวังและเสียดายอยู่ไม่น้อยทว่ามันก็ไม่น่า จะส่งผลร้ายแรงและลากยาวมาจนถึงขนาดนี้

บางทีอาจจะเป็นตัวนักเตะเชลซีเองนั้นแหละ ที่เริ่มสูญเสียจิตวิญญาณของนักสู้และทีมสปิริต ที่เคยฝังรากลึกแน่นในยุค ของโจเซ่ มูริญโญ่และเป็น "จุดเด่น" ของทีมชุดนี้มาตลอด นอกจากนี้นักเตะตัวหลักในทีมหลายคนอาทิเช่นจอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือนิโกล่าส์ อเนลก้า ที่ล่าสุดข่าวปูดออกมาแล้วว่ามีปัญหากระทบกระทั่งกันก่อนเกมสำคัญที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดก็น่าจะเป็นอีกเรื่องนึงที่ยืนยันได้ว่าอดีตกุนซือทีมชาติบราซิล ซึ่งพื้นฐานภาษาอังกฤษโดยรวมก็ถือว่ายังไม่แข็งแรง น่าจะสูญเสีย "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" จากนักเตะตัวเองไปแล้วจริงๆ

ขณะที่ปัญหาแท็กติกส์ในสนามอย่างที่ผมเคยเรียน ไปหลายครั้งว่า กองกลางชุดนี้อายุแตะหลักเลข 3 กันหลายต่อหลายคน จึงเป็นเหตุให้เร่งเครื่องกันไม่ค่อยขึ้นในช่วงท้ายเกม มากไปกว่านั้นการขาดปีกแท้ๆ สไตล์อาร์เยน ร็อบเบนหรือเดเมี่ยน ดัฟฟ์เอาไว้พากองหลังทัวร์ เพื่อเปิดช่องให้กองหน้าได้มีพื้นที่เล่นมากกว่านี้ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าคิดเหลือเกินว่า "บิ๊กฟิล" จะแก้ปัญหาที่ว่านี้ยังไง เนื่องจากตัวที่มีอยู่เป็นนักเตะประเภทกองกลาง คอยปั้นเกมและ เน้นผ่านบอลซะมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราคงจะเห็นได้ชัดว่าแข้งสิงห์บลูต่อบอลกันเนียนๆ เยอะ(โดยเฉพาะช่วงครึ่งชั่วโมงแรก) แต่พอถึงจังหวะเข้าทำกลับดูไม่อันตรายอย่างที่ควรจะเป็นเพราะเป็น "เกมรุกมิติเดียว" ซึ่งง่ายเหลือเกินที่กุนซือชั้นครูอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันจะจับทางได้

ก็ถือว่าน่าเห็นใจสโคลารี่ในช่วงนี้ไม่น้อยครับเพราะ เข้ามารับตำแหน่งในยามที่เชลซีกลายสภาพเป็น "สิงห์โลโซ" ไม่มีเงินให้ช็อปนักเตะเหมือนสมัยอู่ฟู่เสียแล้ว (เดโก้เป็นรายเดียวครับที่ซื้อเข้ามาในยุคสโคลารี่) โดยเปิดตลาดนักเตะรอบนี้ปีเตอร์ เคนย่อน ซีอีโอหัวเหม่งก็ได้ประกาศดังๆ เป็นครั้งที่ร้อยแทน "อากู๋" โรมัน อับราโมวิชเจ้าของทีมไปแล้วว่าจะเลิกทุ่มแบบบ้าเลือดและ จะยืนหยัดยืนยงด้วยขาทั้งสองข้างของตัวเอง
ทั้งๆที่ "เป้าหมาย" ในปีนี้ของทีมนั้น ชัดเจนมากว่าต้องการสักแชมป์มา ประดับตู้โชว์ของสโมสรให้จงได้หลังปีก่อนเป็นได้แค่ "พระรอง" ทั้งในพรีเมียร์ชิพ, แชมเปี้ยนส์ลีกและคาร์ลิ่ง คัพ

หนทางเดียวที่ "บิ๊กฟิล" จะผ่าวิกฤติตรงนี้ไปได้ก็คือ เรียกความสมัครสมานจากนักเตะกลับคืนมา ให้ได้เร็วที่สุด พร้อมทั้งทำผลงานให้ดีกว่าที่เป็นอยู่โดยเกมเอฟเอ นัดรีเพลย์คืนนี้กับเซาธ์เอนด์จะเป็น บททดสอบ ด่านแรกหลังจากความผิดหวังครั้งใหญ่ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด...

No comments: