Monday 29 December 2008

‘SW6 Derby Match’ที่เชลซีเกือบเอาตัวไม่รอด



ช่วงนี้คิวเดินทางแน่นครับเนื่องจากพรีเมียร์ชิพเตะกันถี่มากไม่มีการเบรกหนีหนาวอย่างลีกอื่นในทวีปยุโรปเค้า...นักบอลอดฉลองคริสต์มาส+ปีใหม่กันแบบสนุกสุดเหวี่ยงไม่พอ นักข่าวที่อังกฤษต้องมารับกรรมฝ่าลมหนาวช่วงเข้าสู่จุดที่เรียกได้ว่า ‘พีคสุดๆ’ (ร้อนสุด3องศา&หนาวสุด-3องศา) ตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากช่วงนี้การชิงแชมป์กำลังดำเนินไปอย่างสนุกไม่แพ้โซนตกชั้นเลยทีเดียว

‘หงส์แดง’ลิเวอร์พูลของราฟาเอล เบนิเตซที่ผมพึ่งเขียนติงไปเรื่องไม่มีจิตวิญญาณนักฆ่า (Killer Instinct) เมื่อวันดวลกับอาร์เซนอลไม่รู้ใครไปซื้อ ‘คิกออฟ’ให้กุนซือสเปนอ่านรึเปล่าเพราะเกมล่าสุดออกไปเยือนนิวคาสเซิ่ลของคุณลุงโจ คินเนียร์แล้วยิงประชดกดไป5ดอกให้รู้ซะมั้งว่าทัพเรดแมชีนก็ไม่ได้กระสุนด้านหมดปัญญายิงคู่แข่งอย่างที่ผมหยามเอาไว้ว่าจะหมดลุ้นแชมป์เพราะปัญหาที่ว่า...

อย่างไรก็ดีทีมหงส์แดงมักจะเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆอารมณ์ประมาณสามวันดีสี่วันไข้เกมที่น่าจะปิดบัญชีเก็บ3คะแนนเน้นๆบางครั้งกลับปล่อยโอกาสให้มันหลุดลอยไปดังนั้นชัยชนะในนัดนี้จะเป็นแค่‘ภาพลวงตา’ให้แฟนๆฝันหวานกันเล่นอีกครั้งหรือไม่นั้นอันนี้ต้องคอยดูกันยาวๆครับ

แต่ที่ ‘ฝันร้าย’ และคงนอนไม่หลับ+กุมขมับในช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่นี้ คนนึงแน่ๆเชื่อว่าคงหนีไม่พ้นชายชื่อหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่กุนซือหนวดจิ๋มทีมเชลซีที่ไม่ได้ติดหนี้แชร์หรือปวดแผลผ่าตัดแต่เป็นผลงาน ‘สุดบู่’ ของลูกทีมในช่วงหลังจนเวลานี้ทีมสิงห์ไฮโซตามก้นหงส์แดงห่างออกเป็น3คะแนนแล้ว!

SW6 Derby Match คือชื่อเท่ห์ๆที่แฟนบอลใช้เรียกการโคจรมาพบกันของสองทีมจากตอนใต้ของกรุงลอนดอนอย่างฟูแล่มและเชลซีซึ่งสนามแข่งขันอยู่ใกล้กันเพียง 15นาทีเท่านั้น ส่วน ‘SW6’ ที่หลายคนอาจเกาหัวสงสัยจริงๆแล้วไม่มีไรมากมันก็แค่เป็นรหัสไปรณีย์ (Post code) ของทั้งสองทีมที่ตั้งอยู่ในเขตทำการของตำบล Hammersmith&Fulham เหมือนกันก็เลยใช้รหัส ‘โพสต์โคด’ เดียวกันนั้นเองครับ: )

11ผู้เล่นของทั้งสองทีมในเกมนี้เจ้าบ้านฟูแล่มขาดจิมมี่ บุลลาร์ดมิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติอังกฤษซึ่งเจ็บในเกมก่อนสเปอร์สแต่ยังดีวันนี้ได้ ‘ยักษ์ใหญ่นอร์วิเจี้ยน’ อย่างเบรเด้ ฮาเกแลนด์ลงสนามมายืนเป็นกำแพงเหล็กให้ทีม ส่วนทีมเยือนเชลซี ‘บิ๊กฟิล’ปรับหมากเลือกดร็อปดาวซัลโวนิโก้ อเนลก้าและส่งดิดิเยร์ ดร็อกบาลงมาเป็นหอกเดี่ยวแทนโดยมีโจ โคลและฟร็อง มาลูด้ายืนขนาบข้างในระบบเดิม 4-3-3


รูปเกมในแมตช์นี้ฟูแล่มแม้จะไร้จอมทัพอย่างบุลลาร์ดแต่หมากที่รอย ฮอดจ์สันจัดมาสู้กับเชลซีนั้นถือว่าทำการบ้านมาดีมาก สถิติไม่แพ้ใครก่อนหน้านี้มี8เกม+คลีนชีตนอกบ้านมา4เกมติดถือว่าไม่ได้มาอย่างโชคช่วยหรือฟลุ๊คแต่อย่างใด หากแต่ผมมองว่าเกิดจากโครงสร้างของทีมชุดนี้ที่ฮอดจ์สันเลือกคนให้เข้ากับงาน&ระบบของทีมซึ่งถึงเวลานี้ ‘ทีมเจ้าสัว’เป็นหนึ่งในทีมที่ผมยกให้เป็น‘ทีมจอมเซอร์ไพรส์ ‘ประจำครึ่งฤดูกาลแรกเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากปราบทั้งอาร์เซนอล, บุกไปยันเสมอลิเวอร์พูลและล่าสุดตีเสมอเชลซีได้ในนาทีชี้เป็นชี้ตายแบบนี้พร้อมเสียประตูน้อยสุดรองจากสามบิ๊กทรีอีกด้วย

นักเตะหลายคนในทีมอย่างแดนนี่ เมอร์ฟีย์, บ็อบบี้ ซาโมร่า, ไซม่อน เดวี่ส์หรือพอล คอนเชสกี้เคยเป็นแค่ ‘ใครบางคน’ ที่ไม่ได้มีประโยชน์หรือคุณค่ามากมายอะไรกับอดีตต้นสังกัดของพวกเค้า...แต่ฮอดจ์สันซึ่งเจนจันในโลกลูกหนังมาอย่างยาวนานรู้ดีว่านักเตะเหล่านี้ต่างก็ต้องการที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเองในเวทีระดับพรีเมียร์ชิพ

หากสังเกตดูกันให้ดีจะเห็นว่านักเตะที่ฮอดจ์สันส่งลงเป็น11ตัวจริงแต่ละรายนั้นเป็นนักเตะประเภทสปิริตเลือดนักสู้สูงและไม่ใช่พวกซูเปอร์สตาร์สอบตกแต่อีโก้แรงเกินฝีเท้าเหมือนอย่าซันเดอร์แลนด์ที่มีดิยุฟ, ซิสเซ่ หรือชิมบงด้าเป็นตัวถ่วงของทีม ส่วนเชลซี ‘รองจ่าฝูง’ที่ใครหลายคนยกให้เป็นเต็ง2รองจากแมนฯยูไนเต็ดในซีซั่นนี้ช่วงต้นฤดูกาลออกสตาร์ตได้ ‘แหล่มมาก’ เกมรุกหวือหวาเกมรับแน่นปึ๊กไร้ที่ติ...ถึงนาทีนี้ปัญหาของพวกเค้านั้นเริ่มมากมายจนตกใจ การลงเล่นแบบขาดจอห์น เทอร์รี่ในแนวรับไม่ได้เพราะกองหลังเป๋ + ไร้ผู้นำในสนาม, กองกลางอายุแตะเลข ‘3’ หลายรายแถมนักเตะอย่างโอบี มิเกลต้องยืนพื้นเป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์มาคนเดียวตลอด (เพราะเอสเซียงเจ็บ) นักเตะอย่างเดโก้, บัลลัคหรือแลมพาร์ดอายุที่มากขึ้นทำให้หมดก็อกสองทำให้แดนกลางเร่งเกมช่วงท้ายไม่ค่อยขึ้นอย่างที่เคยเรียนไป, โจ โคลฟอร์มตกรูด ฯลฯ
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ยังไม่รวมความเคลือบแคลงใจในความสามารถของนักเตะเชลซีที่มีต่อหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่เพราะท้ายเกมผมแอบเห็น ‘บิ๊กฟิล’เดินไปบ่นริกกี้ คาร์วัลโญ่ตอนเกมจบคาดว่าคงไปถามเรื่องการประกบตัวว่าทำไมปล่อยให้คลินท์ เดมพ์ซี่ย์โหม่งตีเสมอได้

ทราบมั้ยครับภาพที่ผมเห็นกองหลังเลือดโปรตุกีสแสดงออกมาโดยอ่านจากปากแกได้ว่า ‘I don’t know’ (ผมไม่รู้) พร้อมเดินส่ายหัวจ้ำๆเข้าอุโมงค์นักเตะไปปล่อยให้อดีตโค้ชทีมชาติบราซิลยืนเซ็งๆสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ลูกทีมไม่ฟังแกแบบนี้

น่าสงสารและหวั่นใจแทนแฟนๆเชลซีไม่น้อยครับว่าจากนี้จะเรียกฟอร์มเก่งแบบในช่วงต้นฤดูกาลกลับมาได้อีกหรือไม่พรีเมียร์ฯเกมหน้าวันที่11มกราคมปีหน้าพวกเค้าต้องออกไปเยือนแมนฯยูฯที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดคาดว่าเราคงได้รู้ชะตา+ความเป็นไปคร่าวๆของทีมสิงห์บลูกัน...

No comments: