Tuesday 16 December 2008

จุดอ่อนของเชลซี ?


หลังจากติดต่อกันมาทางอินเตอร์เน็ตได้สักระยะ ในที่สุดผม ก็ได้เจอหน้าเจอตา "นาฬิกาทราย" นักข่าวคิกออฟ รายล่าสุดที่มาประจำการที่อังกฤษต่อจากรุ่นของ "เฮียไข่มุกดำ" และพี่ "ใหม่ โมบาย" ซึ่งได้กลับไทยไปก่อนหน้านี้ซักระยะแล้ว หลังๆ จึงเหลือแต่ผม ซึ่งเป็นหัวเดียวกระเทียบลีบอยู่ที่นี้ก็ดีครับที่จะได้มี "คู่ขา" คนใหม่เสียทีหลังจากเหงาเปล่าเปลี่ยวมานาน
นั่นแน่...แอบรู้นะว่าคิดลึกกันอยู่ : p
"คู่ขา" ที่ว่านี่ผมหมายถึงคู่หูในการ ทำข่าวครับ (ไม่ใช่หนุ่มฟ้าผ่านะตัวเอง) เพราะจากนี้เราสองคนจะได้แยกย้ายกันไป เก็บตกภาพ+บรรยากาศพร้อมด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจสดๆ จากขอบสนามมาให้ท่าน ผู้อ่านได้เห็นแง่มุมที่ต่างออกไป รวมไปถึงเก็บตกหลังเกมหรือ บางช่วงที่พวกเราหมดมุกก็คงมีแซมๆ เรื่องไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต สถานที่ท่องเที่ยวมาให้ได้อ่านกันหลังจากคอลัมน์ London Conner ของผมหายหน้าไปนานเพราะคนเขียนมัวแต่ยุ่งจนไม่มีเวลาออกไปชิวเที่ยวเตร่นอกบ้าน ในช่วงหลังแต่รับประกันครับว่าหลังจากนี้จะคัมแบ็กกลับมาแน่นอน คอมเฟิร์ม !
กลับมาที่เรื่องการนัดพบของผมและ "วิด นาฬิกาทราย" กันต่อ...เรานัดเจอกันที่สถานี Victoria ตอนบ่ายสองครึ่ง เรื่องของเรื่องที่ได้เจอกันในวันนี้ก็คือเจ้าวิดขึ้นมาเอาบัตรนักข่าว ที่อยู่กับผมเพราะว่ารุ่งขึ้นมีคิวต้องไปชมเกมปอมปีย์ VS สาลิกาดง จากนั้นผมก็ลากน้องใหม่ ของเราไปประเดิมอาหารมื้อแรกในลอนดอน ให้เจ้าตัวด้วยร้านจีนอันเลื่อง ชื่อในหมู่คนไทยอย่าง "ไอ้เลว"
วิดถามผม "ทำไมต้องเรียกร้านไอ้เลวด้วยพี่" (จริงๆ ผมแก่กว่าปีเดียว แต่วิดเรียกพี่ แม้ผมจะหน้าอ่อนกว่าเยอะก็ตาม ฮา) ผมบอกไป "เดี๋ยวรู้" ยังไม่ขาดคำอาหารที่เราสั่ง ไปก็มาครับ เด็กเสิร์ฟ กระแทกจานลง มาที่โต๊ะ ซึ่งคาดว่าวิด น่าจะตกใจ (แต่เก็บอาการ) ผมเลยถามไปว่า "รู้ยังว่าทำไม" เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบครับ เพราะคงถึงบางอ้อไปเรียบร้อย อิอิ

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเด็กเสิร์ฟมารยาทไม่ดี (ทั้งในแง่การพูดจาที่ห้วนๆ และการกระทำที่โผงผางเสียงดัง) แต่ยอดลูกค้าก็ยังแน่นสม่ำเสมอ คืออย่างนี้ครับผมมองว่าร้าน "ไอ้เลว" หรือ "Wongie" เนี่ยมีจุดเด่นในตัวเองหลายอย่าง...หนึ่งอาหารที่ทางร้าน ให้ลูกค้าจัดว่าเยอะมากๆ แถมรสชาติก็โอที่สำคัญคือราคาถูกมากอาหารจานเดียวตกประมาณ 4 ปอนด์เศษๆ เท่านั้น สอง Location ของร้านอยู่ในฮวงจุ้ยที่แหล่มเพราะเดินเลี้ยวจากถนนเส้นหลักมาก็เจอเลย และประการสุดท้ายคือคนที่มาอังกฤษเป็น ครั้งแรกหรือเพิ่งมาจะอยากรู้อยากลองว่า "เลวยังไง" แบบที่ครั้งนึงผมก็โดน "ใหม่ โมบาย" พามาเปิดซิงอาหารจีนที่ร้านนี้เพราะความอยากรู้นี่แหละ !?
เล่าเรื่องนอกสนามกันพอเป็นพิธีแล้ววกเข้าเรื่องฟุตบอล ที่ผมไปชมมาเมื่อวันอาทิตย์กันบ้างดีกว่าเนอะ ^_^

วีกเอนด์ที่ผ่านมาหลังย้ายบ้านจัดของเสร็จ ผมก็รีบตรงดิ่งไปสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์เพื่อชมเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์ระหว่างเชลซี-เวสต์แฮมโดยที่ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งสำหรับพลพรรคสิงห์บลูที่จะ ทำแต้มแซงจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลหากว่าเก็บชัยในนัดนี้ได้
ก่อนเกมนี้โดยส่วนตัวเชื่อมั่นครับว่าทีมสิงห์บลูน่าจะเก็บสาม คะแนนแบเบอร์เข้า กระเป๋าเพราะจันทร์ก่อน ที่ไปดูเวสต์แฮมลงเล่นในอัพตัน ปาร์คพวกเค้าแพ้แบบหมด รูปต่อสเปอร์สไป 0-2 เกมนี้ออกไปเยือนด้วยจึงไม่น่ารอดสันดอนด้วยประการทั้งปวง

อย่างไรก็ดี "ผลการแข่งขัน" ที่ปรากฏออกมามันไม่เป็นอย่างที่หลายคนคิด เมื่อพวกเค้าทำได้แค่เสมอ เวสต์แฮมไป 1-1 ตอกย้ำ "ปัญหา" ฟอร์มในบ้านที่ตอนนี้ชักจะกลายเป็น ปัญหาลุกลามใหญ่โตมากขึ้นทุกวัน

เกือบตลอดทั้งเกมนะครับที่ลูกทีมของหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ทั้งบุกทั้ง นวดเวสต์แฮมอยู่นานสองนานแต่จังหวะทีเด็ดทีขาดนั้นไม่มี + โชคร้ายมาเสียประตูไปก่อนจากการโต้กลับ แทบจะ ครั้งเดียวในครึ่งแรกของเวสต์แฮมและเป็นเคล็ก เบลลามี่ที่เกมนี้ "ดีด" มากวิ่งไม่มีหมดยิงอัดเสาแรกเข้าไปอย่างเด็ดขาด

จากนั้นครึ่งเวลาหลัง "บิ๊กฟิล" ตัดสินใจส่งดิดิเยร์ ดร็อกบาลงมาเป็นหอกคู่พร้อมกับนิโก้ อเนลก้าดาวซัลโวของลีกและยิงได้เร็วครับเพราะเล่นไปได้ 6 นาที ก็ตามตีเสมอได้จากการประสานกันสามจังหวะจากมิเกล-ดร็อก-แลมพาร์ดแล้วส่งต่อให้อเนลก้าวิ่งมาปิดบัญชีเข้าไป ตามสไตล์อย่างไรก็ดีหลังจากนั้น พวกเค้าบุกแทบตาย แต่ไม่มีปัญญายิงทีมเยือน ซึ่งเกมนี้ผมเห็นได้ชัดว่า "จุดอ่อน" สิงห์บลูชุดนี้นอกเหนือจากความมั่นใจยามเล่นในบ้านแล้ว แผงมิดฟิลด์ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่หลายคนอาจยังมองไม่เห็นหรือไม่ได้สังเกต

กองกลางเชลซีชุดนี้หากดูรายชื่อ 11 คนแรก ที่ส่งลงมาเดโก้, บัลลัค, แลมพาร์ดและโอบี มิเกล สามรายแรกถือว่าอายุอานามแตะเลข 3 กันแล้วขณะที่จอห์น โอบี มิเกลแม้อายุน้อยแต่อย่าลืมว่าลงเล่นมาแทบทุกเกมให้ทีมฉะนั้นความล้า ความเหนื่อยอ่อนเริ่มจะเข้ามามีเอฟเฟกต์ทำให้แดนกลาง Spark หรือเร่งกันไม่ค่อยจะ ขึ้นในช่วงหลังซึ่งตรงนี้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเคยหยันทีมเชลซีชุดนี้เอาไว้แล้ว ว่าเป็นทีมที่อายุโดยเฉลี่ย ค่อนข้างสูงหากเทียบกับทีม ที่มีลุ้นแชมป์อยู่ด้วยกัน

ส่วนปัญหาเมนหลักอย่างฟอร์มในบ้านจากที่เคยแข็งแกร่งและ ยากที่จะเสียท่าให้ใครถึงเวลานี้เชื่อว่า ทีมที่มาเยือนไม่ได้เกรงกลัว พวกเค้าเหมือนอย่างเคยแล้ว...ที่สำคัญสภาพจิตใจ ของนักเตะเชลซีเอง ที่กดดันและพลาดกันไปเองอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับทีมชุดนี้

นี่แหละครับอะไรที่ว่าแน่ๆ ก็ชักจะไม่แน่แล้ว สำหรับพรีเมียร์ชิพปีนี้ "บิ๊กโฟร์" ทุกทีมต่างก็มีปัญหาแตกต่างกันไป... กุนซือทีมไหนรู้ตัว + แก้ปัญหาได้ถูกจุดก่อน ทีมทีมนั้นน่าจะมีโอกาสเป็นแชมป์ในบั้นปลายสูงที่สุด


1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ