Thursday 4 September 2008

ปิดตลาดรอบนี้ แฮปปี้กันทุกฝ่าย



หลังจากที่อึมครึม และซุ่มกันอยู่นานสองนาน ในที่สุดตลาด นักเตะที่เพิ่งปิดตัวลงไปหมาดๆ ก็จบลงแบบเซอร์ไพรส์ใคร และใครอีกหลายคนไม่มากก็น้อยครับ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการโยกย้าย ตัวผู้เล่นระดับบิ๊กเนมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข่าวใหญ่ของ การประกาศขายหุ้นของคุณทักษิณ ชินวัตร ประธานสโมสรแมนฯซิตี้ ที่ตัดสินใจขาย ‘ซิตี้’ ให้กลุ่มนายทุนจากอาหรับในนามอาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป หรือ ADUG เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเรือใบ

โดยนิยายเรื่องยาวของการซื้อขาย ‘ซิตี้’ ในครั้งนี้น่าจะได้รับ การจารึกไว้ในพงศาวดารลูกหนัง ถึงความเปลี่ยนแปลงของนายทุน ยุคใหม่ที่พร้อมสละเรือแบบไม่มีรีรอ เนื่องจากสโมสรฟุตบอลก็อาจ เปรียบได้ดังผักปลาในตลาดที่เฮีย ‘ไข่มุกดำ’ ได้ว่าไว้ในฉบับเมื่อวาน ประเด็นที่น่าสนใจตามมาก็คือต่อจากนี้ ความผูกพันระหว่างประธานสโมสร และแฟนบอล ที่นับวันก็ยิ่งเหินห่าง...สโมสรเป็นแค่เครื่องมือทางการตลาดในการสร้างชื่อให้ ‘ผู้ซื้อ’ และทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเท่านั้นเองหรือ?

มุมนึงก็เข้าใจน่ะครับว่า ‘ซิตี้’ ต้องการผู้มาเปลี่ยนชะตาชีวิตที่เริ่มไม่แน่นอนหลังจากที่ ชินแม้ว โดนคดีความมากมาย + ไม่สามารถเสกทรัพย์มาเสริมความแข็งแกร่งให้ซิตี้ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมแล้วการซื้อขายในครั้งนี้ก็ถือเป็น Win-Win ดีล ที่ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์ไป คุณทักษิณได้กำไรกว่าสองเท่าจากการขายหุ้น (ซื้อมา 81.6 ล้านปอนด์ ขายไป200 กว่าล้าน) + ได้ชื่อเสียงไปพอสมควรในช่วงปีเศษๆ ที่ดำรงตำแหน่งนายใหญ่แห่งถิ่น ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์

แมนฯซิตี้ก็ได้เม็ดเงินอัดฉีดเนื้อ ๆ เน้น ๆ จากกลุ่มนายทุนที่รวยเป็นอันดับท็อป 20 ของโลก และมีศักยภาพมากพอ ที่จะเปลี่ยนโฉมเรือใบ ให้กลายร่างเป็นบิ๊กทีม ในพรีเมียร์ชิพเสียทีหลังจากลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายปีดีดัก ส่วนกลุ่มอาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ปซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยากเทกโอเวอร์ อาร์เซนอล ลิเวอร์พูลและนิวคาสเซิล และนำทีมโดย ดร.สุไลมาน อัล-ฟาฮิม ก็จะได้เติมเต็มความฝันในการสร้างชื่อให้กลุ่ม "อาดัก" เป็นแบรนด์ที่ดังกระฉ่อน ควบคู่ไปกับสโมสรจากย่านอีสต์แลนด์

ครับ โดยทันทีที่พวกเค้าบุกเข้ายึด ซิตี้ ได้ก่อนตลาดนักเตะวายเพียงไม่กี่ชั่วโมง นายอัล-ฟาฮิมคนนี้ก็พยายามจะสร้างความฮือฮาด้วย การดอดไปติดต่อขอซื้อกบฏลูกหนังของถิ่น เดอะ เลน อย่าง ดิมี่ เบอร์บาตอฟ โดยยื่นขอเสนอสุดงามร่วม 34 ล้านปอนด์ ให้สเปอร์สรับไว้พิจารณา
แดเนียล เลวี่ ซึ่งโกรธ และเกลียดทีมอสูรแดงของเซอร์ อเล็กซ์ยิ่งกว่าอุจจาระก็ตอบรับทันที ติดก็ตรงที่ตัว และวิญญาณของหอก (หัก) บัลแกเรียน นั้นได้มอบให้แก่ทัพอสูรเป็นที่เรียบร้อย มิเช่นนั้นเราอาจได้เห็นดีลที่ ‘หักมุม’ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เป็นได้
Ambition หรือความทะเยอทะยานของอัล-ฟาฮิม วัย 31 ปีคนนี้นั้น เท่าที่ได้ศึกษา + อ่านคำให้สัมภาษณ์ของหมอนี่แล้ว แกถือเป็นเป็นนักธุรกิจที่เก่ง และมันสมองเรื่องการทำธุรกิจของเค้านั้นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง หาตัวจับได้ยาก คาแรกเตอร์โดยรวมก็มุทะลุดุดัน และคาดหวังสูงพอสมควรกับโปรเจกต์ใหญ่กับแมนฯซิตี้ในครั้งนี้ เพราะหลังจากพลาดเป้าหมายหลักอย่าง เบอร์บาตอฟ แกก็รีบดอดไปติดต่อขอซื้อ ดาวิด บีญ่า, มาริโอ โกเมซ แต่สุดท้ายก็มาประสบความสำเร็จที่ดีลกับ โรบินโญ่ ด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ ถือเป็นสถิติการย้ายทีมที่สูงสุดเป็นประวัติการของเกาะอังกฤษเลยทีเดียว

นอกจากนี้แกยังวาดฝันไว้อย่างสวยงามโดยประกาศเอาฤกษ์เอาชัยฉลองครบรอบ 128 ปี สโมสรแมนฯซิตี้ในวันเปิดตัวว่าซีซั่นนี้ขอพาเรือใบแล่นฉิว และกร้าวขู่ ‘บิ๊กโฟร์’ ว่าให้ระวังตัวให้ดี พร้อมประกาศจะเอาถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกมาวางในตู้โชว์ของสโมสรให้จงได้ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ !!?? (อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ ครับว่า เป็นแค่โฆษณาชวนเชื้อ หรือแกจะทำได้จริง อันนี้ ต้องรอดูกันนะ ^^)

แต่ด้วยวัยเพียงแค่นี้ของอัล-ฟาฮิม แกกลับมีสินทรัพย์มากกว่าเสี่ยหมี อับราโมวิชของเชลซีเกือบ 10 เท่า ฉะนั้นโดยส่วนตัว ผมเชื่อครับว่าประธานคนใหม่ของแมนฯซิตี้คนนี้ไม่ธรรมดา และขอให้จับตาให้ดีครับ เพราะว่าเปิดตลาดรอบหน้าแฟนซิตี้มีเฮดัง ๆ แน่นอนกับบิ๊กเนมที่จะมาสร้างสีสันให้พรีเมียร์ชิพช่วงเดือนมกราคมที่จะถึงนี้

กระเถิบมาพูดถึงทีมร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ อย่างผีแดง แมนฯยูไนเต็ดกันบ้างดีกว่า หลังจากที่พวกเค้าโชว์ Power ในการดึงนักเตะอย่าง เบอร์บาตอฟมาได้ ทั้ง ๆ ที่สเปอร์สเซย์ เยส ให้แมนฯซิตี้ ไปแล้วนั้น ก็คงต้องบอก + ยอมรับแต่โดยดีครับว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่จะให้แข่งบารมี ที่ต้องใช้ ‘เวลา’ บ่ม และสะสมมานานแรมปีนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างกันง่าย ๆ

โดยทั้งแมนฯซิตี้ ทีมเศรษฐีน้องใหม่ และสิงห์ไฮโซของเสี่ยหมีเองก็ดี คงจะได้ตระหนักแล้วครับว่าการจะเป็นยอดทีม ในใจแฟนบอลทั่วโลกนั้นไม่ใช่จะสร้างขึ้นมาเพียงห้าวัน เจ็ดวัน แต่ทุกอย่างนั้นล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเวลา และความสำเร็จ + แผนงานในระยะยาวมาการันตีความไว้เนื้อเชื่อใจจากฐานแฟนบอลใหม่ ว่าจะ ‘ปลื้ม’ ตัวตนของทีมนั้น ๆ มากน้อยขนาดไหน

ฉะนั้นอาการปลื้มของเบอร์บาตอฟที่มีต่อทีมผีแดงก็คงทำให้แฟนแมนฯยูไนเต็ด ที่ติดตามลุ้นเดดไลน์นักเตะ รอบที่ผ่านมาลุ้นระทึก แต่สุดท้ายก็สมหวังก็ไปตามๆ กัน โดยสเปอร์สเองก็ถือว่าใจแข็งจนนาทีสุดท้ายจริงๆ เพราะหากไม่ได้ราคา 30 ล้านปอนด์ที่ต้องการเบอร์บาตอฟก็คงไม่ได้ชูเสื้อยูไนเต็ดหราอย่างที่เห็นกัน
โดยงานนี้สเปอร์ส ไม่เสียรู้เซอร์ อเล็กซ์ อย่างที่ผมเคยหวั่นเกรงในตอนแรกว่าทีมรักจะทะลึ่ง ร้อนรนปล่อยเบอร์บาตอฟในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

เครดิตในครั้งนี้นั้นต้องยกให้ ฆวนเด้ รามอส และทีมงานสเปอร์สครับ เพราะว่านิ่ง และเล่นเกมวัดใจ นี้ได้อย่างชาญฉลาด เพราะหากว่าพวกเค้าชวด ขายเบอร์บาตอฟขึ้นมาจริงๆ และทีมตราไก่เกิดของขึ้นเดิน หน้าดำเนินคดีเอาเรื่องกับแมนฯยูฯ ผลร้ายท้ายสุดจะ ตกอยู่กับทีมปีศาจแดงแบบช่วยไม่ได้ เพราะนอกจาก จะมีสิทธิ์โดนลดแต้ม + แบนจากตลาดนักเตะแล้ว ปัญหาในแนวรุกของปีศาจแดง ในยุคที่ขาดดาวเตะเทพเลือด ฝอยทองอย่างคริสติอาโน่ โรนัลโด้ ก็คงไม่ได้รับการแก้ไข และจะส่งผลกระทบเต็ม ๆ ต่อการลุ้นแชมป์ในบั้นปลาย เนื่องจากปีนี้เชลซีของหลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ที่แม้นัดล่าสุดจะทำได้เพียงแค่เสมอสเปอร์ส แต่ดูแล้วเล่นได้เนียนตา กว่าลูกทีมของป๋า แพนด้าเล็กน้อย ในช่วงออกสตาร์ตซีซั่นนี้

ดังนั้นการที่ เซอร์อเล็กซ์ ยอมลดทิฐิของตัวเองลง และยอมจ่ายค่าตัวเบอร์บาตอฟตามที่สเปอร์สเรียกร้องมา + แถมเจ้าหนู เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ ให้สเปอร์สไว้ใช้งานในหนึ่งซีซั่นจึงถือเป็นทางออกที่ เพอร์เฟกต์ สำหรับทุกฝ่ายจริง ๆ ครับ

1 comment:

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ