Monday 15 September 2008

หงส์ชนะก็จริง แต่เส้นทางยังอีกไกล


คงต้องบอกว่าแอบภูมิใจและเสียเซลฟ์กับตัวเองในเวลาเดียวกันครับ กับการที่ได้มีโอกาสเขียนฟันธงในคอลัมน์ ‘ไม่เชื่ออย่าลบลู่’ คอลัมน์ใหม่ทุกวันเสาร์ แล้ว ทายผลการแข่งขันเฉพาะวันเสาร์ถูกไป 5 จาก 8 คู่ ขณะเดียวกันก็ดันผิดคู่ที่ค่อนข้างมั่นใจอย่าง นิวคาสเซิล-ฮัลล์ ซิตี้ ไป

หลังจากตอนแรกคิดว่าการลงเล่นในบ้านตัวเองของพลพรรค นกสาลิกาพบทีมที่เพิ่งสะบักสะบอมช้ำในมากจากเกมก่อนอย่างฮัลล์ ที่กล้า ๆ แพ้คาบ้านต่อวีแกนไป 0-5 จะล็อกถล่มได้ขนาดนี้

จริงอยู่ครับ ที่ นิวคาสเซิลลงเล่นเกมนี้แบบไร้หัวเรือใหญ่ แต่อย่างน้อย คริส ฮิวจ์สตัน ที่ทำหน้าที่รักษาการแทน ก็ไม่น่าจะ ‘บ้อท่า’ ให้แก่ฮัลล์ ซิตี้ เนื่องจากทีมมีตัวคุณภาพมากมายอย่าง ไมเคิล โอเว่น ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย หรือ ฟาบริซิโอ โคล็อคซินี่ น่าจะเอา ทีม (ลูก) เสือ ของฟิล บราวน์ ที่มีทรัพยากรให้เลือกใช้สอยน้อยเหลือเกิน ได้ไม่ยาก หรือ อย่างน้อยที่สุดผลเสมอก็นับว่าอุบาทว์แล้วสำหรับเจ้าถิ่น

แต่...อย่างที่รู้กันว่าผลการแข่งขันไม่เคยโกหกใคร และความโกลาหลภายในทีมก็มีมากเหลือเกิน มากจนผมรู้สึกเลยว่า นักเตะทั้ง 11 คน ของนิวคาสเซิลในเกมนี้ ลงสนามแค่ตัวกะตีน หัวจิตหัวใจของนักสู้มันไม่มีให้เห็นกันเลย ให้ตายเถอะจอร์จ ! ส่วนนึงเราอาจบอกได้ว่าบรรยากาศมาคุในสนามก็น่าจะเป็นตัวแปรที่สำคัญไม่น้อยเลย กับผลงานสุดห่วยของทีมในนัดนี้ เพราะทั้งช่วงก่อน ระหว่างและหลังเกม พลังประชาชนของชาวจอร์ดี้ นั้นรุนแรงเกินกว่าที่หลายฝ่าย รวมถึง ไมค์ แอชลีย์ และลูกสมุน คาดการณ์เอาไว้เยอะทีเดียว

ณ นาทีนี้ ผมยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของทีมจากถิ่นไทน์ไซด์ แม้แต่น้อยครับ โดย ‘ปลายทาง’ ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นทางออกได้ก็คือ ต้องโน้มน้าวคีแกนให้คัมแบ็กกลับมาคุมทีมให้ได้ (ซึ่งเป็นเคสที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว หากไม่ฟ้าถล่ม ดินทลายเกาะอังกฤษ) มิเช่นนั้น หาไม่แล้วก็คงต้องเป็น ‘เฮียตือ’ แอชลีย์ นี่แหละครับ ที่อาจทนเสียงขับไล่จากประชาชน เอ้ย แฟนบอลไม่ไหว เหมือนๆ กับที่อดีตท่านนายกฯ ประเทศไหนก็ไม่รู้ที่ ทนได้ทนดี จนผมรู้สึกสมเพชเวทนา ว่าจะดื้อดึง ยึดติดอะไรกันนักหนา กับ ยศฐา บรรดาศักดิ์

กระโดดจากเรื่องการเมืองในถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค มาพูดถึงควันหลงศึก Red War ที่ผมยอมรับโดยดุษฎีว่าประเมิน หงส์แดงต่ำไปเยอะทีเดียว เพราะไม่คิดจริงๆ ว่า ทัพนักเตะเรด แมชีน จะสวมหัวใจสิงห์ วิ่งสู้ฟัดแบบไม่มีหมด จนทัพผีแดงเล่นกันติดขัด และเสียรูปกระบวนไปไม่น้อย โดยเฉพาะในแดนกลางที่เกมนี้ ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่ามาก และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเค้ามีชัยเหนือ แมนฯยูไนเต็ด ในบ้านเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา

ประเดิมการเปิดฤดูกาลได้ด้วยการเชือด อริตัวฉกาจ แบบนี้แล้ว ก็หวังไว้เหลือเกินครับว่า ราฟาเอล เบนิเตซ และนักเตะหงส์แดง จะมีฤดูกาลที่ดี และสม่ำเสมอกว่าปีก่อนๆ ไม่เช่นนั้นแล้วการเก็บชัยชนะได้เหนือทีมปีศาจแดงได้เพียงเกมเดียว แล้ว ทำแต้มตกหล่นข้างทางกับทีมที่อ่อนชั้นกว่า เกมนี้ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ขณะที่ทีมผีแดงของท่านเซอร์ อเล็กซ์ ก็คงไม่มีอะไรต้องบ่นหลังเกมครับ เพราะเล่นได้ดีกว่าแค่ช่วง 20 นาทีแรกเท่านั้น โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ผีแดงพังในเกมนี้ก็คือ การบาดเจ็บของไมเคิล คาร์ริค และตัวที่บรมกุนซือเลือดสกอตเปลี่ยนลงไปแทนในครึ่งหลังดันเป็น ไรอัน กิ๊กส์ ที่บทบาทและความถนัด อยู่ในข่ายสร้างสรรค์เกมรุก

ทำให้นักวิเคราะห์ทางช่อง Sky Sport ในเกมนี้อย่างเจมี่ เรดแนปป์ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษและลิเวอร์พูลเก็บประเด็นนี้ เรื่อง ความสมดุลในแดนกลางมาพูด ประมาณว่าหากเปลี่ยน โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ กองกลางพลังไดนาโม มาตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง รูปเกม ยูไนเต็ด อาจจะดีกว่าที่เห็น เพราะเมื่อ กิ๊กส์ สโคลส์ และ แอนเดอร์สัน ที่ไม่มีความดุดัน เจอพวกตัวเขี้ยวๆ อย่าง มาสเคราโน่ อลอนโซ่ หรือ ร็อบบี้ คีน ที่เกมนี้วิ่งพล่านลงมาช่วยไล่ด้วย ทำให้ สามหน่อในแดนกลางของทีมผีแดง เล่นกันสะเปะสะปะพอสมควร

แมนฯยูไนเต็ดยังโชคดีอยู่อย่างครับ ที่คริสติอาโน่ โรนัลโด้กำลังจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งเร็วๆนี้ เพราะนั่นหมายถึงแนวรุกสุดสยอง เบอร์บา-เตเบซ ยืนหน้าเป้า มีตัวสนับสนุนอย่าง รูนี่ย์ และ โรนัลโด้ จะกลับมาหลอกหลอนชาวบ้านชาวช่องอีกครั้ง โดยลึกๆ ผมก็ยังเชื่อว่า แนวรุกชุดนี้ของยูไนเต็ด ยังน่ากลัวที่สุดในพรีเมียร์ชิพอยู่ดี แม้ว่าอาร์เซนอลและเชลซี จะแสดงให้เห็นแล้วเช่นกันว่าพวกเค้าก็มีดีไม่ใช่เล่น เพราะเพิ่งไล่ถล่มคู่แข่งไป 4-0 และ 3-1 ตามลำดับ

อ้าว แล้วลิเวอร์พูลล่ะ ?? หลายคนอาจกำลังตั้งคำถามกับประเด็นแนวรุกสุด สยองยอดทีมในอังกฤษของผม อุตส่าห์ชนะแมนฯยูฯ ได้แท้ๆ แต่ผมกลับไม่ได้พูดถึงแนวรุกของพวกเค้าเสียอย่างนั้น

อืม อย่าหาว่าผมจงเกลียดจงชัง หรือมีอคติ กับทีมหงส์แดงเลยนะครับ แต่การประสานงานในแนวรุกรวมไปถึงการเข้าทำของพวกเค้า ยังดูไม่ค่อยน่ากลัว แม้ว่าจะชนะในเกมนี้ก็จริง

ร็อบบี้ คีนกับค่าตัว 20 ล้านปอนด์ ที่แบกไว้บนบ่า วิ่งลืมตาย หาตำแหน่ง ขยันทำทางให้เพื่อนอย่างบ้าคลั่ง แต่หน้าที่หลักกองหน้าต้องยิงประตูไม่ใช่หรือ ??

ครับ...ผมกำลังจะบอกว่าตราบใดที่คีนน้อย ยังปลดแอกตัวเองให้เป็นที่ยอมรับ และฮอตเหมือนสมัยเล่นให้สเปอร์ส ไม่ได้ เราก็ยังไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า ลิเวอร์พูลมีแนวรุกที่น่าสะพรึงกลัว หากเทียบกับทีมอย่าง แมนฯยูฯ ที่เบอร์บาตอฟลงนัดแรกก็โชว์คลาสให้เห็นกันไปบ้างแล้ว อาร์เซนอลและวัลคอตต์ก็ดวงกำลังขึ้นและเชลซี ที่แม้กองหน้าจะยิงไม่เปรี้ยงในตอนนี้ แต่กองกลางอย่าง เดโก้ แลมพาร์ด หรือ บัลลัค ก็สามารถขึ้นมายิงได้ตลอด ผิดกับ ลิเวอร์พูล ที่ มักจะได้ประตูจากความสามารถเฉพาะตัวของตอร์เรส และ เจอร์ราร์ด หรือเกมนี้ หากไม่ได้โคตรซูเปอร์ซับอย่าง บาเบิล ก็อาจจะได้แค่เสมอ

ดังนั้น 3 แต้ม ที่ได้มาในเกมนี้ของทีมหงส์แดงอาจยังไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุด (ผมเชื่อว่าพวกเค้าสามารถเล่นได้ดีกว่านี้) แต่ก็ประทับใจที่สุดกับภาพรวมของความมันส์ระดับ 4 ดาว ที่เบนิเตซ และเฟอร์กี้มอบให้ผู้ชมในเกมนี้ เพราะไม่จืดชืดอย่างที่หลายคนเก็งไว้ตอนแรก Cheers Rafa & Fergie : )

ป.ล. Cheers = ขอบคุณ (ความหมายอย่างไม่เป็นทางการที่ ลอนดอนเนอร์ที่นี่มักจะใช้จนติดปาก )

No comments: