Sweet revenge for England ! พาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับนึงที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ...
สายตาเหลือบไปเห็นข้อความนี้เข้าขณะที่ ผมเดินดุ่ม ๆ กลับบ้านย่าน Earls Court ด้วยความรวดเร็วหลังจากยังไม่ชินกับสภาพอากาศที่นี่ หลังเพิ่งกลับจากไปฮอลิเดย์ที่ประเทศไทยมาได้สองวัน
สายตาเหลือบไปเห็นข้อความนี้เข้าขณะที่ ผมเดินดุ่ม ๆ กลับบ้านย่าน Earls Court ด้วยความรวดเร็วหลังจากยังไม่ชินกับสภาพอากาศที่นี่ หลังเพิ่งกลับจากไปฮอลิเดย์ที่ประเทศไทยมาได้สองวัน
กลับมาวันแรกก็ไปยืนจิบเบียร์ดูบอลโครเอเชีย-อังกฤษที่ผับแถวบ้านมันซะเลยครับ เพื่อให้ร่างกายมันอบอุ่น + ฉลองวันเกิดย้อนหลังให้ตัวเองซะหน่อย : )
ผับสไตล์อังกฤษแต๊ๆ ที่ผมเลือกเข้าไปชมเกมเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา แน่นไปด้วยแฟนบอลอังกฤษที่เข้าไปตามชมตามเชียร์ทีมชาติของพวกเค้า เนื่องจากเกมคู่นี้ดันไม่มีถ่ายทอดช่องฟรีทีวี !
ตลกร้ายนะครับ เพราะเกมระดับชาติแบบนี้ โดยปกติแล้ว ยังไง ๆ ไม่ BBC ก็ ITV ฟรีทีวี สองช่องหลักจะได้รับสัมปทานตรงนี้ยิงสดให้ได้ชมกันทุกบ้าน...ก็ไม่เข้าใจตุ้มครับว่า เกมที่ผ่านมานั้นมีเหตุผลประการใดจึงทำให้ อิงลิชชนที่ไม่มีเคเบิลทีวีที่บ้านต้องทนหนาวออกมาดูบอลแบบนี้ เหอ ๆ
เกมโครเอเชีย-อังกฤษที่จบลงด้วยสกอร์ไลน์ 1-4 นับเป็นผลการแข่งขันที่สวยสดงดงามครั้งนึงในรอบหลาย ๆ ปีของทีมชาติอังกฤษเลยนะครับ เพราะว่าหากจะนับกันให้ดีก็กินเวลาไป 7 ปีเต็มเข้าให้แล้ว ที่แฟนบอลทีมชาติอังกฤษไม่ได้เฮดังๆกันแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือ การที่พวกเค้าบุกไปเอาชนะเยอรมันถึงสนามโอลิมปิกสเตเดี้ยม ที่กรุงมิวนิค ประเทศเยอรมัน 5-1 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2002
โดยเบื้องหน้า-เบื้องหลังของเกมเยอรมัน-อังกฤษในวันนั้น และกับโครเอเชียเมื่อวันพุธที่ผ่านมามีหลายๆอย่างที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เรื่องแรกคือทั้งโครแอต และ ทีมอินทรีเหล็กต่างก็เป็นทีมที่อังกฤษอยากจะถอนแค้นมากเหลือเกิน เนื่องจากก่อนหน้านี้ต้องพ่ายแพ้มาอย่างเจ็บปวด ส่วนความเหมือนที่แตกต่างเรื่องที่สองก็คือ ก่อนเกมนี้โครเอเชีย ไม่แพ้ใครในบ้านมานานถึง 14 ปี (36เกม) ขณะที่เยอรมันก่อนเกมในปี 2001 ก็ไม่เคยโดนลูบคมในบ้านเช่นกัน
ประการสุดท้าย..สองเกมนี้เป็นเกมที่สร้างวีรบุรุษของทีมชาติอังกฤษ เนื่องจาก ไมเคิล โอเว่น และ ธีโอ วัลคอตต์ ต่างก็ทำแฮตทริกได้เหมือนๆกัน
จริงอยู่ว่านี่อาจเป็นการแจ้งเกิดแบบเต็มตัวของธีโอ ในนามทีมชาติอังกฤษ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ในขณะเดียวกันนี้ก็อาจเป็นสัญญาณที่ส่งไปถึง โอเว่น อดีตแฮตทริกฮีโร่ในเกมกับเยอรมันเช่นกันว่าเวลาของเค้าในทีมชาติอาจถึงกาลอวสานก่อนเวลาอันควร หลังจากถูกคาเปลโล่หมางเมินใส่ในเกมบอลโลกรอบคัดเลือกที่มีความสำคัญแบบนี้
ครับ แม้ทั้งคู่จะเล่นคนละตำแหน่งในนัดที่ผ่านมา แต่ดูทรงแล้ว ถึงโอเว่นจะถูกเรียกเข้ามาติดทีมชาติในอนาคตก็คงจะไม่ใช่ตัวหลักอยู่ดีในแดนหน้าเนื่องจาก เวย์น รูนีย์ หากไม่เจ็บหรือฟอร์มรูดมหาราช ยังไงๆก็ได้ยืนพื้นเป็นตัวจริงแน่นอน ขณะที่แคนดิเดตในตำแหน่งกองหน้ารายอื่นๆ อย่าง เอมิล เฮสกีย์ ก็พิสูจน์ให้เห็นไปแล้วว่าถึงจะอายุเริ่มเยอะแต่ก็ยังไม่หมดลาย อีกทั้งยังสร้างคุณประโยชน์มากมายให้ทีมในแง่ของแท็กติกส์ และรูปร่างที่ได้เปรียบ
จะมีก็แต่ เจอร์เมน เดโฟ นี่แหละครับ ที่ดูแล้วหากเก่งแค่ในระดับสโมสร และเล่นในระดับนานาชาติได้เท่าที่เห็น ก็มีโอกาสมากเหลือเกินที่จะโดน เบบี้ โกล์ ชิงโควตาบนม้านั่งสำรองไป
นอกจากนี้เอฟเฟกต์จากแฮตทริกของวัลคอตต์ และผลงานของทีมชาติอังกฤษในนัดที่ผ่านมานั่นก็เริ่มแสดงให้เห็นอีกเช่นกันว่า เวลาของเดวิด เบ็คแฮมก็น่าจะปิดฉากแต่เพียงเท่านี้ เนื่องจากสังขารและสภาพความฟิตซึ่งเป็นข้อบกพร่องที่ผมเห็นได้ชัดที่สุดจากดาวเตะพ่อลูกสามรายนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความมุ่งมั่น และ ลูกทีเด็ดจากเซตพีชก็ตามที
แต่หากมองที่อายุ + เวลาค้าแข้งที่เหลือไม่มาก ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆครับว่า มันน่าจะถึงเวลาที่หนุ่มเบ็คส์ควรจะเลิกดื้อและเปิดโอกาสให้ดาวเตะรุ่นน้อง ที่มีความสามารถหรือ ศักยภาพเทียบเคียงอย่าง เดวิด เบนท์ลีย์ หรือ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือบ้าง
กลับมาพูดถึงฮีโร่ในเกมนี้อย่าง ธีโอ วัลคอตต์กันบ้าง หลังจากที่ช็อกโลกด้วยการเป็นหนึ่งในทัพสิงโตคำรามมีชื่อไปบอลโลก เมื่อสองปีที่แล้วแบบค้านสายตาใครหลายคน (รวมทั้งผม) เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่เคยเล่นให้ทีมปืนโตชุดใหญ่แม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับมีชื่อปาดหน้าตัวที่ทำผลงานในสโมสรดีๆอย่าง เดโฟ "เอเจ" แอนดี้ จอห์นสัน หรือ ดาร์เรน เบนท์
จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็อย่างที่เห็นกันนะครับว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียง อย่างกว้างขวางและมันได้สร้างแรงกดดันให้เด็กหนุ่มตัวเล็ก ๆ ที่ขี้อายอย่างวัลคอตต์ และกระทบพัฒนาการ การเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งของเค้าไม่น้อย
ยังดีที่ได้ยอดโค้ชฝีมือดีอย่าง อาร์เซน เวนเกอร์ คอยดูแลประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ไม่อย่างนั้นเชื่อขนมได้เลยว่า อนาคตของปีกจรวดรายนี้อาจจะจบลงแบบ เจอร์เมน เพนแนนท์ ที่ได้รับการจับตามองตั้งแต่เล็ก หรือ ดาวรุ่งรายอื่น ที่มักทนแรงเสียดทานจากความคาดหวังที่สูงไม่ไหว และมันกลับกลายเป็นภัยร้ายมาดับอนาคตค้าแข้งของพวกเค้าในภายหลัง
วัลคอตต์นั้นมีทุกอย่างนะครับ ที่นักเตะระดับโลกควรจะมี ทั้งความเร็วระดับแปดสิบแรงม้า ความคล่องตัว และสำคัญที่สุดคือ เซนส์บอลที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จากนี้ไปจึงน่าสนใจมากว่าเจ้าตัวจะพัฒนาเรื่องของ Confidence (ความมั่นใจ) และ Self-fish instinct (สัญชาตญาณของกองหน้ากึ่งปีก ที่ผมคิดว่านักเตะเวิลด์คลาสควรจะมี ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็น คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ) ได้มากน้อยขนาดไหนนับจากนี้
สรุปก็คือ ผลงาน + สัญญาณดีๆของทีมชาติอังกฤษ ที่บังเกิดขึ้นในวันพุธที่ผ่านมาจะยกเครดิตให้ใครไปไม่ได้ครับนอกจากฟาบิโอ คาเปลโล่ ในความกล้าที่จะเลือกตัวผู้เล่นและระบบของทีม รวมไปถึงรูปแบบในการเล่นที่แม้จะดูติดๆขัดๆไปบ้างในช่วงครึ่งเวลาแรก รวมถึงนัดที่แล้วกับ อันดอร์รา
แต่ในที่สุดจอมแท็กติกส์อย่างคาเปลโล่ก็เริ่มจับทิศทางในการขี่หลังสิงโต ตัวนี้ให้โลดแล่นเป็นเจ้าป่าได้แน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้ ...ผมเชื่ออย่างนั้น
4 comments:
If im in the situation of the owner of this blog. I dont know how to post this kind of topic. he has a nice idea.
หวัดดีครับคุณเอก ผมกลัวว่าสื่อจะยกย่องเกินจริงครับ เดี๋ยวผ่านไป ลองเล่นไม่ดีโดนถล่ิมเสียคนแน่ๆ พวกสื่ออังกฤษชอบคิดแบบนี้ล่ะครับ ผมว่า จับมันค่อยๆ ลงเล่นไปเรื่อยๆ จะดีกว่า แต่ทางที่ดีเอาเลนน่อน ลงจะ ดีกว่าเยอะเลยครับ อิอิ
ดีคับ คุณธาน
ครับ อังกฤษ ยังต้องดุไปยาวๆ
แต่ลึกๆ ผมว่าก้อดูดี มีอนาคตไม่น้อยนะ
ขอบคุณมากนะครับ สำหรับบทความ
Post a Comment