Wednesday 17 September 2008

ไก่หลังยุค คีน-เบิร์บ...ต้องเชียร์อย่างใจเย็น และให้เวลารามอส


แม้จะกลับมาถึงอังกฤษได้ร่วมๆอาทิตย์แล้ว แต่ผมเองก็ยังรู้สึกว่า ‘ชีวิต’ ยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร...
ช่วง 2-3 วันนี้หน้าที่หลักก่อนออกจะ ไปทำธุระนอกบ้าน ก็คือ ไล่จี้ตามจิกเอา Press Card กับทาง

Football Data Co (ตัวแทนของพรีเมียร์ลีกที่ทำหน้าที่ออก ไลเซนส์ & บัตรนักข่าวให้สื่อมวลชน) กันแบบวันต่อ วันเพื่อที่จะได้นำเรื่องและ ภาพมาเล่าเรื่องราว บรรยากาศสดๆ ให้คุณผู้อ่านได้เห็นแง่มุม ที่ไม่อาจหาได้จากการชมทางโทรทัศน์ โดยซีซั่นนี้ผมสัญญานะครับ ว่าจะพยายาม ถ่ายทอดเรื่องราว ทั้งในและนอกสนาม ยามที่ได้ออกไปชมเกมให้เข้าถึง บรรยากาศดูบอล ที่อังกฤษให้ได้มากที่สุด ; )

บรรยากาศหนาวเหน็บ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 15 ตอนกลางวัน และลดต่ำลงเหลือ 10 นิดๆ ช่วงดึก) ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุนึงที่ทำให้ผมตั้งตัวไม่ติดและ ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของเวลาที่ต้องเรียนและหาจ็อบเสริมที่ร้านอาหารไทยไปด้วย ทำให้การ คัมแบ็กกลับอังกฤษมารอบนี้ของผม แทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ แต่โดยรวมก็ถือว่าคุ้มครับกับช่วงนึงของชีวิตที่ได้มาเสริมภูมิ ต้านทานให้ตัวเองแกร่งขึ้นทั้งกายและ ใจที่เมืองผู้ดีแบบนี้

วันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่นั่งรถไฟใต้ดิน เส้นเดิม เวลาเดิม เพื่อไปเข้าคลาสเรียนที่มหาลัย เห็นพาดหัวข่าวของ Metro หนังสือพิมพ์แจกฟรีของที่นี่ถึงข่าวการเสียชีวิตของ ดาวรุ่งอนาคตไกลของทีม บาร์เนท เอฟซี ที่ชื่อ โอลิเวอร์ คิง ออนซิล่า (Oliver King-Onzila ) วัย19 ปี โดนเสียบด้วยมีดโดยวัยรุ่นผิวสีสองคนที่ย่าน ครอยดอน (Croydon)

เห็นข่าวนี้รับขวัญแต่เช้า บอกตรงๆครับว่าในใจรู้สึกหดหู่ ปน สลด แทนชาวอังกฤษ ที่เสียเยาวชนของชาติไปอีกหนึ่งราย เพราะนายโอลิเวอร์นอกจากจะมีแววเอาดีทางฟุตบอลได้แล้ว ก็ยังเป็นกัปตันทีมตัวแทนทีมฟุตบอลระดับวิทยาลัยของอังกฤษลงแข่งกับอิตาลีเมื่อไม่นานมานี้ โดยนักเตะเจ้าของฉายา ‘Gentle Giant’ หรือ ‘ไอ้ยักษ์ผู้อ่อนโยน’ ถือเป็นวัยรุ่นคนที่ 26 ในรอบปีนี้แล้ว ที่โดนถูกฆาตกรรมในเมืองหลวงที่ศิวิไลซ์ อย่างลอนดอน...

นักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมไปถึงคนไทยหากไม่ได้เคยมาประเทศอังกฤษคงจะมโนภาพ ประเทศนี้ไว้อย่างสวยหรูนะครับ ว่าคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่สวยงาม ผู้คนมีมารยาทดีตามแบบฉบับอิงลิชชน และมีฟุตบอลที่สนุก + น่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด
แต่ทุกแห่งหน ไม่ว่าที่ใดในโลกก็จะมีทั้งด้านขาวและดำ ลอนดอนเองก็ไม่ถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน สำหรับผมที่อยู่ที่นี่มาสองปีก็อยากบอกให้รู้ เป็นข้อมูลเล่าสู่กันฟังครับว่า บางย่านในลอนดอนนั้น น่ากลัวและอันตรายมากทีเดียว(โดยเฉพาะเวลากลางคืน ) อย่างเช่นย่าน Hackney, Elephant and Castle หรือ Lewisham ซึ่งเป็นแอเรียที่ คนไม่ค่อยมีสตางค์อาศัยอยู่เยอะและพี่มืดในละแวกที่กล่าวมานั้นก็ถือว่าเยอะพอดู

ฉะนั้นการที่ เซอร์เก เรบรอฟ อดีตหัวหอกสเปอร์สและทีมชาติยูเครน ออกมาเตือน โรมัน พาฟลูเชนโก้ หัวหอกป้ายแดงของทีมตราไก่ ถึงอันตรายในกรุงลอนดอน จึงไม่ใช่แค่ประเด็นอยากหาเรื่องแขวะทีมเก่า อย่างที่แฟนฟุตบอลพรีเมียร์หลายคนคิด (เรบรอฟล้มเหลวไม่เป็นท่ากับบอลอังกฤษ) แต่หอกร่างเตี้ย นั้นหวังดีกับ รุ่นน้องเลือดหมีขาวคนนี้จริงๆครับ เชื่อผมเถอะ

พาวนเวียนเรื่องราวนอกสนามบอลตั้งนาน จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยากจะถ่ายทอดเรื่องราว ชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่ให้ได้อ่าน ได้ติดตามกัน เพราะเชื่อว่ามีหลายคนอยากจะรู้ แง่มุมต่างๆ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ของประเทศที่ได้ชื่อว่าน่าติดตามและค้นหามากที่สุดประเทศนึง (ผมเองก็เคยเป็นคนที่อยากรู้ และ ก็ยังจะค้นหามันอยู่ ไปพร้อมๆกับท่านผู้อ่านละกันนะ)

สำหรับ ค่ำคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาผมก็ไปประจำการเฝ้าชมเกม สเปอร์ส-วิลล่า ที่ผับร้านประจำแถวบ้านเช่นเคย ในช่วงที่กำลังรอ Press card โดยเกมนี้ สเปอร์สของฆวนเด้ รามอส ก็ยังคงเดินหน้าสร้างความผิดหวังให้กับแฟนบอลสเปอร์สเหมือนเช่นเคย !?

ถูกต้องครับ ผมไม่ได้พิมพ์ผิดหรอก ทีมไก่เดือยทองถึงเวลานี้ ออกสตาร์ตได้ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1974 หรือ ในรอบ 34 ปี !

โอ้วว โน้ว...ผมขออนุญาตกระแดะอุทานเป็นภาษาอังกฤษเลยนะครับ เพราะว่าปวดใจมากๆกับผลงานของทีม ตราไก่ในเวลานี้ มีอย่างที่ไหน ใช้เงินไป 77 ล้านปอนด์ ได้นักเตะอย่าง เบนท์ลีย์ โมดริช โดส ซานโตส ชอร์ลูก้า หรือ พาฟลูเชนโก้ ที่บอบบางนุ่มนิ่ม เป็นปุยนุ่น ชนเป็นล้ม (ยกเว้น ชอร์ลูก้า ชนไม่ล้ม แต่สปีดพี่แกอืดเหลือเกิน ถ้าเป็นรถยนต์ เต่าก็อาจคลานตามมาจิกยางได้ ฮ่า)

ยิ่งในรายของโมดริช เพลย์เมกเกอร์ดาวเด่นจากยูโรฯ ที่เห็นมาสี่นัดแล้ว ตอนนี้ชักจะกลัวคำของเวนเกอร์ที่ดูแคลนว่าหมอนี้ Too Fragile หรือ เปราะบางเกินไปสำหรับ Physical Game ที่อังกฤษ ว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมา เพราะเล็กอย่างเดียวไม่พอ ดัน ดูเหมือนจะกระดูกเปราะด้วย เกมนี้เล่นไปได้ไม่เท่าไร ก็กะโผลกกะเผลก โดนเปลี่ยนออกซะอย่างนั้น กลัวเหลือเกินครับว่า วิญญาณ ‘ซิกโน๊ต’ ของเจ้าดาร์เรน แอนเดอร์ตัน ตำนานปีกกระดูกยุง จะกลับมาเข้าสิงเล่นงาน โมดริช จนเสียคนในถิ่นเดอะ เลน

นอกจากนี้ ผลงานของตัวใหม่แกะกล่องอย่าง เวดราน ชอร์ลูก้า และ โรมัน พาฟลูเชนโก้ ที่เปรียบเสมือนความหวังใหม่ของทีมก็ถือว่า ‘สอบตก’ ด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะในรายของ ชอร์ลูก้า ที่หลุดตำแหน่งตลอด และโดน แอชลีย์ ยัง ใช้ความเร็วป่วนจนเสียสุนัขไปหลายจังหวะในเกมนี้

ขณะที่ พาฟลูเชนโก้ นั้นดูดีกว่าหน่อยนึง ตรงที่อย่างน้อยๆ ก็พอจะเอาไว้เบียด ไว้ชน กับกองหลังได้บ้าง (แหละ) แม้ผมจะเคยเขียนไปในช่วงยูโรฯครั้งนึงแล้วว่าพ่อหัวหอกหน้าละอ่อนรายนี้ ใช้โอกาสในการปิดสกอร์ค่อนข้างจะเปลือง แต่เอาน่า..ดีกว่าสากกระเบือฝังเพชรอย่าง ดาร์เรน เบนท์แล้วกันที่ ทั้งเกม ไม่ทำคุณประโยชน์อะไรเลยนอกจาก วิ่งมั่วๆดูไร้ทิศทาง แต่ดันดวงดี เจนาสยิงมาแฉลบเข้า เป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ แบบงงทั้งผู้ชม และคนยิง ^^

เห็นแบบนี้แล้ว น่าเป็นห่วงฆวนเด้ รามอสครับ เพราะว่าอย่างที่เคยทิ้งประเด็นในแง่ของแท็กติกส์ไว้ว่า แกจะเดินหน้าใช้ Attacking Philosophy หรือ ปรัชญาเกมรุกตามสไตล์ถนัดในสมัยที่คุมเซบีญ่า หรือ จะโดนอิทธิพล แนวทางและแผนการเล่นของที่นี่ครอบงำ...

ถึงตอนนี้ หากให้มองลึกลงไปถึงสไตล์ ที่สเปอร์สเล่นอยู่ ผมว่ารามอสแกกำลัง สับสนในตัวเองและยังจับจุด + ดึงความสามารถของนักเตะหน้าใหม่มาได้ยังไม่หมด ดังนั้นหากหวังจะเห็นทีมน้องไก่ เล่นได้มันส์สะใจแฟนบอลตามสไตล์รามอส แฟนบอลอาจต้องรออีกสักพักใหญ่ๆ

อย่างไรก็ตามเรื่อง‘ผลการแข่งขัน’ และ‘อันดับในตาราง’ต่างหากที่แฟนๆใส่ใจและกังวลมากที่สุด หากรามอสยังขุนไก่กระทงชุดนี้ไม่ขึ้น 3-4 นัดนับจากนี้ เชื่อได้ครับว่า เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในถิ่น ไวท์ ฮาร์ท เลน เร็วกว่าที่คิดแหงๆ

3 comments:

Konijiwa said...

ให้กำลังใจรามอสครับ
สู้ต่อไป

เอก อุดมสุข said...

กลัวเหลือเกินครับว่า แกจะอยู่ไม่ได้นาน หากผลงาน & สไตล์ ยังเป็นอยู่อย่างนี้ เหอๆ

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ