Thursday 26 June 2008

ดูบอลยูโรที่เบลเยี่ยม (ตอน2)


ต่อจากเมื่อวานนี้นะครับ ที่ผมเล่าค้างไว้ถึงตอนที่มาถึงจัตุรัสกรองด์พลาส (Grand Place) ในใจกลางกรุงบรัสเซลล์เพื่อชมรูปปั้นแมนเนคินน ปิส หรือ’เด็กเยี่ยว’
สำหรับประวัติความเป็นมาของรูปปั้นแมนเนคินน ปิส (Manneken Pis) ที่แท้จริงเป็นอย่างไรนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัดครับ เพราะตำนานของเด็กชายผู้ได้รับการยกย่องเป็นราษฎรอาวุโสที่สุดของเมืองนั้นมีอยู่หลายเรื่องเหลือเกิน...
อย่างไรก็ดีผมเก็บประวัติคร่าวๆมาฝากกัน : )

เริ่มกันที่เรื่องที่เก่าแก่ที่สุดเลยแล้วกันนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ 8 เล่ากันว่าภรรยาของขุนนางผู้ครองแคว้นได้ให้กำเนิดบุตรชาย และขณะที่กำลังประกอบพิธีสวดขอบคุณพระเจ้าอยู่ เด็กน้อยได้ปัสสาวะพุ่งขึ้นจนเปียกเคราของบาทหลวง จึงได้รับการตั้งชื่อว่าแมนเนคิน ปิส ต่อมาขุนนางบิดาของแมนเนคิน ปิส ได้ทำให้นักบุญหญิงผู้หนึ่งโกรธจึงสาปให้แมนเนคิน ปิส เป็นเด็กอยู่เช่นนั้นและปัสสาวะไม่หยุดตลอดไป
ตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า แมนเนคิน ปิส เป็นเด็กชายซึ่งได้สร้างวีรกรรมในระหว่างสงคราม โดยการปัสสาวะรดต้นเพลิงที่ข้าศึกจุดขึ้นเผาบ้านเมืองจนไฟดับ ทำให้สามารถรักษา เมืองบรัสเซลส์มาได้จนถึงทุกวันนี้ หรือจะเป็นเรื่องที่ว่าเจ้าหนูแมนเนคินน ปิส เป็นเพียงบุตรชายคหบดีคนหนึ่งซึ่งเกิดพลัดหลงกับบิดาในระหว่างงานรื่นเริงของเมือง หลายวันต่อมาคหบดีจึงตามพบบุตรชายขณะกำลังยืนปัสสาวะอยู่ จึงได้สร้างรูปปั้นไว้ตรงจุดที่พบไว้เป็นอนุสรณ์ และอีกหลายต่อหลายตำนานที่ผู้คนที่นี้กล่าวขานกัน ฯลฯ

จะอย่างไรก็ตามครับ ไม่ว่าเรื่องเล่าทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นเรื่องจริงหรือแค่อิงนิยายไอ้เด็กเยี่ยวคนนี้ก็ถือเป็นสัญลักษณ์อยู่คู่เมืองบรัสเซลส์มานานนมและเรียกรายได้จากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ไม่น้อยเลย

เสร็จจากการเดินทอดน่องตามไกด์อีกสักพักต่อมหูฟังของผมภาษาอังกฤษของผมก็ปิดสวิตช์ไปดื้อๆครับ ไกด์บรรยายข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับจตุรัสกรองด์พลาสต่อ แต่หูไม่รับแล้วจริงๆ เนื่องจากกระเพราะอาหารมันส่งสัญญาณแล้วว่าให้เจ้าของร่างกายหยุดพักสักนิดแล้วให้หาอะไรกระแทกท้องเถอะ ^_^

ผมไม่รอช้าครับ ปลีกตัวออกมาเนียนๆพร้อมกับขวัญและจีจี้ ปรึกษากันสักพักว่าเราควรจะหาอะไรรองท้องกันสักนิดดีมั้ย ดูแล้วทั้งคู่ก็คงไม่ต่างจากผมเท่าไร สังเกตได้จากสีหน้าที่อิดโรยและท่าทีที่อ่อนล้า
หันซ้ายแลขวาหาของกินเพียงแวบเดียวเท่านั้นครับ ขวัญเพื่อนรักเธอไวมาก She กลับมาพร้อมวาฟเฟิล 3 ชิ้น 3 รส มีหน้าแยม หน้าช็อคโกแลต และสตรอเบอรี่ สนนราคาตกชิ้นละ 2 ยูโรเห็นจะได้ (1ยูโร = 52บาท โดยประมาณ) ผมลังเลเอื้อมมือไปหยิบหน้าสตรอเบอรี่ของโปรดมาเป็นกรรมสิทธิ์ทันที (ไม่ถามคนซื้อสักคำว่าอันไหนของผม ฮ่า)

วาฟเฟิล หรือขนมรังผึ้งที่หลายคนเบลเยี่ยมนิยมทานเป็นอาหารเช้าเป็นของที่กินได้ทุกเวลาครับ โดยเคล็ดลับที่พอทราบมาก็คือเวลาทำ ต้องเปิดเตาเหล็กพิมพ์ทิ้งไว้ให้ร้อนประมาณ10 นาทีเพื่อให้ได้ขนมวาฟเฟิลที่กรอบนอกนุ่มใน เจ้าขนมที่ว่านี้ขายทุกหัวมุมถนนในตัวเมืองทีเด็ดที่สุดก็เห็นจะเป็นมีสูตร ซูเฟล่ หรือวาฟเฟิลโปะวิปครีมและสตรอเบอรี่สด ที่ผมซัดไปนั่นเอง

เดินไปกินไปรอบตัวเมืองอีกสักพัก ทีมไกด์และคณะทัวร์เริ่มจะหิวกันแล้วครับเพราะตั้งแต่ลงจากรถไฟยูโรสตาร์มาเราก็ยังไม่ได้พักกันเลย ทุกคนเลยลงมติกันว่าจะแวะพักเป็นเวลา 45 นาทีเพื่อให้ทุกคนได้ไปแวะพักท้องตามร้านอาหารที่แต่ละคนชอบแล้วจะกลับมาเจอกันที่จุดนัดหมาย

ผม ขวัญ จีจี้และพี่บุปผาตัดสินใจตรงดิ่งไปร้านอาหารเบลเยี่ยมครับ โดยผมเองท้องยังแน่นๆจากวาฟเฟิลอยู่จึงไม่ได้สั่งอาหาร แต่ก็ไม่นั่งเฉยนะครับจัดการสั่งเบียร์ท้องถิ่นมาลองของหน่อยเพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเบียร์ที่นี้นั่นดังกระฉ่อนไม่แพ้ต้นตำรับอย่างเยอรมันเนื่องจากเบลเยี่ยมมีเบียร์ให้เลือกสรรกว่า 300-400 แบรนด์!
Simply the best ครับ ผมเลือกเบียร์ท้องถิ่นที่เบสิกที่สุดยี่ห้อ BEL PILS มาและก็ไม่ผิดหวังจริงๆ รสชาตินุ่มกลมกล่อมมาก ขณะที่ขวัญเล่นยากหน่อยสั่งเบียร์ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้ แต่ราคาแพงกว่าหน่อย (เบียร์ 1 ไพน์ตกประมาณ 1.7-2.5 ยูโร) แต่เธอและผมเห็นตรงกันว่าของผมอร่อยกว่าเยอะ อิอิ

กินกันเสร็จสรรพ เราออกมาเจอสตีฟและไกด์สาวอีกสองคนชื่อ นามิต้า และ วิคตอเรีย แจ้งว่าโปรแกรมวันนี้เหลือพาไปชม Edmond park en-paleis แค่นั้นหลังจากนั้นใครประสงค์เดินเล่นต่อในตัวเมืองก็ต้องจับรถไฟกลับที่พักเอง หรือถ้าเหนื่อยก็จะกลับโรมแรม Husa Hotel พร้อมไกด์ก็ได้
ลูกทัวร์บางส่วนเลือกที่จะกลับครับเพราะเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แต่ก็มีผมและบางส่วนที่ทาน Lunch เสร็จแล้วมีเรี่ยวแรงอยากเดินต่อจึงตัดสินใจเดินเล่นรอบๆเมืองอีกหน่อยเพราะโปรแกรมพรุ่งนี้ค่อนข้างแน่น ไหนจะหาซื้อของฝากอีก + อยากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดกับเงินที่เสีย ฯลณ

หารู้ไม่ว่ากำลังจะตกระกำลำบาก เพราะแผนที่รถไฟที่บรัสเซลส์เป็นอะไรที่งงมากมาย
ป้ายหรือสัญญาณบอกทาง และผู้คนส่วนใหญ่ก็พูดแค่สามภาษาหลักๆ คือ ดัตช์ ฝรั่งเศส เยอรมัน (ภาษาราชการที่นี้) เราหลงขึ้นรถไฟกลับไปกลับมากันอยู่ร่วมๆ 40 นาทีเห็นจะได้ครับ กว่าจะคลำทางหาทางกลับที่พักถูก

อันนี้ต้องขอบคุณขวัญที่พอจะพูดภาษาฝรั่งเศษได้บ้าง ไม่อย่างนั้นนึกไม่ออกจริงๆครับว่าผมกับลูกทัวร์ที่เหลือจะกลับโรงแรมกันยังไง ^^
ระหว่างทางกลับผมได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ในทริปชื่อ เออเดม (Erdem) จากตุรกีด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกันเราจึงคุยกันค่อนข้างถูกของครับโดยเฉพาะการที่เราสองคนมีฟุตบอลอยู่ในเส้นเลือดเหมือนๆกัน

เออเดมมาจากอิสตันบูลครับ ผมจึงถามแย็บๆไปครับว่ารู้สึกพอใจมั้ยกับผลงานของทีมชาติตุรกีในยูโรครั้งนี้ และคิดยังไงกับเกมที่จะต้องพบกับเยอรมัน

หนุ่มร่างใหญ่คนนี้ ยิ้มและบอกครับว่าสำหรับชาวตุรกีการได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมก็ถือว่าทำผลงานได้ตามเป้าแล้ว แต่การที่ขุนพลเติรก์ คัมแบ็คได้สามแมตช์ซ้อน (เกมกับสวิส เช็ค และ โครแอตโดนนำก่อนแต่กลับมาชนะ) ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอดยิ่งกว่า ดังนั้นการพบกับอินทรีเหล็กเยอรมันนี ที่ตุรกีนั้นติดโทษแบน + เจ็บกันกระจายนั้น จะแพ้ชนะ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมาก ขอแค่เล่นให้ประทับใจเหมือนที่ผ่านมา นักเตะตุรกีทุกคนก็ถือเป็นฮีโร่ในใจของคนทั้งประเทศแล้ว

ผมฟังแล้วคิดถึงทีมชาติไทยขึ้นมาตงิดๆครับ เพราะบอกตามตรงถึงแม้จะเลิกฝันมานานแล้วว่าเมื่อไรเราจะได้ไปบอลโลก แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราเล่นได้ประทับใจคนดูมากกว่านี้ คนไทยทุกคนก็คงจะรู้สึกดีมากกว่านี้อีกเยอะทีเดียว...

เรามาถึงโรงแรมกันประมาณ 5 โมงกว่าครับ จริงๆผมมีนัดกับ เออเดม เวลา สองทุ่มสี่สิบห้าที่รีเซฟชั่นโรงแรม แต่ทว่าด้วยความเหนื่อยอ่อนทำให้เผลอหลับยาวไป มารู้ตัวอีกทีตอนที่จีจี้ปลุกมาดูคู่ฮอลแลนด์-รัสเซีย ซึ่งเกมนี้บอกตามตรงครับว่าฮอลแลนด์แพ้ที่แท็คติกส์ของกุนซืออย่างแท้จริง
งานนี้ขอซูฮกความอัจฉริยะของ กุส ฮิดดิ้งค์ที่แม้นักเตะจะเป็นรองขุนพลฟลายอิ้งดัตช์แมน ในเรื่องของศักยภาพตัวผู้เล่นที่มีขีดจำกัดมากกว่า แต่กลับเล่นสอนบอลและหยุดความมหัศจรรย์ทีมกังหันได้อย่างช็อคแฟนบอลทั่วโลก
ผมมั่นใจครับว่าเกมกับสเปนในค่ำคืนนี้ทีมหมีขาวจะสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีแน่นอน...

ปล. พรุ่งนี้ Day 2 in Brussels จะพาไปชม Atomium, มินิยุโรป พิพิทธภัณฑ์การ์ตูนพร้อมต้นกำเนิดตัวการ์ตูนสีฟ้านามว่า สเมิร์ฟกันครับ




2 comments:

Anonymous said...

กลับอังกฤษเมื่อไหร่บอกด้วยครับ กำลังคิดว่าจะไปเที่ยวตอนต้นสิงหาครับ

เอก อุดมสุข said...

กลับไปเที่ยวเมืองไทยต้นเดือนสิงหาครับ