Monday 23 June 2008

ดูบอลยูโรที่เบลเยี่ยม (ตอน1)


หายหน้าหายตาไปหลายวันครับสำหรับคอลัมน์ Euro from UK ของผมเนื่องจากไปทริปสองวันหนึ่งคืนที่ประเทศ เบลเยี่ยมกับเพื่อนๆมาในช่วงสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ใจจริงแล้วอยากจะหอบหิ้วโน๊ตบุ๊คคู่ใจไว้เก็บเรื่องราวบรรยากาศดูบอลยูโร ที่นี้มาให้อ่าน + ชมภาพประกอบกัน แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างอาทิเช่นเรื่องของเวลาที่ในแต่ละวันที่โปรแกรมนั้นค่อนข้างรัดตัว สัมภาระที่หิ้วไปในทริปนี้นั้นค่อนข้างหนักเอาเรื่อง กลัวว่าโรงแรมที่พักจะไม่ปลอดภัยแล้วโน๊ตบุ๊คหาย ฯลฯ
ข้ออ้างทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้คงจะพอฟังขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ แฮะๆ ^^

สำหรับทริปเบลเยี่ยมนี้ถือเป็นการโผล่หัวออกนอกอังกฤษครั้งแรกตั้งแต่ผมได้มาปักหลักศึกษา หาประสบการณ์ชีวิตในช่วงระยะเวลาเกือบๆจะสองปีเห็นจะได้ ซึ่งสาเหตุที่ไม่เคยได้กระดิกไปเที่ยวไหนเลยก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เรื่องของ ‘มันนี่’ล้วนๆที่มันค้ำคออยู่

ทริปนี้ผมมีเพื่อนคนไทยอีกสามคนเป็นเพื่อนร่วมทริปครับ จีจี้ ขวัญ และพี่บุปผา โดยงานนี้เราสามคนได้แพ็คเกจราคาพอรับได้จากโรงเรียนภาษาที่ขวัญเรียนอยู่สนนราคารวมค่ารถไฟยูโรสตาร์ โรงแรม 4ดาว ไกด์พาเที่ยวรอบเมือง บรัสเซลส์ ก็130ปอนด์ ซึ่งถือว่าไม่แพงมากสำหรับการไปเที่ยวประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

อย่างไรก็ดี ไอ้ค่าขอเชงเก้นวีซ่าที่สถานทูตเบลเยี่ยมเนี่ยสิครับ แพงหูฉี่ ! ล่อเข้าไป 70ปอนด์ ราคาครึ่งนึงของแพ็คเกจทัวร์เลย ซึ่งตรงนี้ไม่มีทางเลือกครับสำหรับคนไทยที่ไม่ได้อภิสิทธิ์เหมือนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีหรือญี่ปุ่นที่ไม่ต้องขอวีซ่าในการเข้าประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป

วันแรกของการเดินทางผมและเพื่อนร่วมทางอีกสามคนเรียก Cab หรือที่บ้านเราก็คือรถแท็กซี่ แต่ที่อังกฤษนี้จะต่างออกไปเพราะรถแท็กซี่ทุกคนที่นี้จะเป็นสีดำ อีกทั้งความปลอดภัยก็หายห่วงเพราะภายในตัวรถจะมีกระจกกั้นระหว่างผู้ขับกับคนนั่ง
เราเรียกแคปมารับที่บ้านพี่บุปผาตั้งแต่ตีห้าแล้วไปที่ ST.Pancras International Train Station ด้วยกันเพราจะได้ประหยัดงบ ^^ ส่วนสาเหตุที่ไปตั้งแต่ไก่โห่นั่นก็เพราะรถไฟยูโรสตาร์จะออกเวลา 7 โมงตรง

ทริปนี้ไกด์นำทัวร์ของเราก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าของขวัญและจีจี้แต่อย่างใดครับ เพราะแกเป็นอาจารย์สอนภาษาที่โรงเรียนของทั้งคู่นั่นเอง หนุ่มร่างใหญ่ กลิ่นตัวแรง ตุ้งติ้งคล้ายแต๋วคนนี้มีชื่อว่านาย สตีฟครับ (จริงๆน่าจะเรียกว่านางสตีฟมากกว่า เพราะอาการแต๋วหลุดแกออกเยอะมาก)

ไอ้ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าแกเป็น อีแอบ แต่หลังจากที่เข้าไปคุยทักทายตามมารยาทแล้วดูจากการพูดคุย สายตาจิกๆ และอาการอ้อนแอ้น อรชรผิดจากชายแท้ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกเสียวๆข้างหลังขึ้นมาจึงไม่กล้าไปคุยอะไรกะแกมากกลัวจะเป็นยอดชาย 555

ทริปนี้สตีฟและทีมงานอีกสามคนจะพาพวกผมและลูกทัวร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนโรงเรียนภาษาที่นี้อีก 21 คนเดินทางไปบรัสเซลส์ โดยเท่าที่ทราบมาไกด์ของเราก็พอไว้ใจได้ครับเพราะนี้เป็นครั้งที่สี่แล้วที่พาลูกทัวร์ไปเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องช็อคโกเเลต เบียร์และสัญลักษณ์เด็กยืนเยี่ยว!

สองอย่างแรกนั้นขึ้นชื่อมานานและผมพอจะทราบอยู่บ้างแล้ว แต่ไอ้อันหลังสุดนี่ทำให้ผมไม่เข้าใจตุ้ม และอยากรู้มากจริงๆว่าทำไมผู้คนมากมายถึงได้ยอมเสียเงินเสียทองไปดูรูปปั้นเด็กยืนฉี่...

Day 1 ของผมนั้นสนุกตั้งแต่ด่าน Immigration จากอังกฤษไปเบลเยี่ยมครับ เนื่องจากว่าหนึ่งอาทิตย์หลังถ่ายรูปทำวีซ่าเสร็จดันนึกสนุกอยากเป็นหนุ่มเกาหลี ควักกระเป๋ายอมเสียเงิน 60ปอนด์ไปดัดผมที่ร้านบาร์เบอร์กิมจิแถวๆบ้าน แต่ปรากฏว่าทรงที่ออกมาดันเป็นหยิกหยอยกว่าที่คิด และหลายๆคนบอกว่าหน้าเปลี่ยนไปพอสมควรกับทรงผมคุณป้า (หลายคนว่าอย่างนั้น เสียเซลฟ์+เซ็งมากกก)
คุณพี่ Immigraionคนนี้มองรูปใน Passport และหน้าผมอยู่ร่วมๆนาที จึงลุกออกมาจากเคาท์เตอร์พร้อมค้นตรวจผมราวกับว่าผมเป็นผู้ต้องสงสัยยังไงยังงั้น รื้อหมดครับ กระป่งประเป๋า และค้นตัวยังกะผมเป็นพวกค้ายา โชคดีที่ว่าผมไม่มีอะไรที่ผิดกฏหมาย แกก็ยังไม่วายครับขอเช็คตั๋วขากลับ (Return Ticket) ผมจึงต้องตะโกนเรียกขวัญให้เรียกอีนางสตีฟมายืนยันนอนยันว่าผมเป็นหนึ่งใน กรุ๊ปทัวร์แกและจะกลับมาอังกฤษแน่นอนภายในสองวัน

สองนาทีผ่านมา คุณเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ยอมปล่อยผมให้ขึ้นรถไฟแต่โดยดีครับ โดยขวัญ จีจี้ และพี่บุปผา ยืนมองผมด้วยความเป็นห่วง ปนรอยยิ้มแอบขำเล็กน้อย

ยังไงฝากไว้นะครับว่าอย่าไปทะลึ่งเปลี่ยนทรงผมก่อนออกนอกประเทศ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็ขอให้เปลี่ยนที่ไม่ต่างจากทรงเดิมของคุณมาก ถ้าไม่อยากเจอปัญหาอย่างผม ^_^

เราใช้เวลาในการเดินทางหนึ่งชั่วโมงเศษๆครับจากลอนดอนสู่บรัสเซลส์ และทันทีที่ลงจากรถไฟไกด์ก็พาผมและคณะลูกทัวร์ไปวางกระเป๋าที่โรงแรม Husa Hotel โรงแรมระดับ 4 ดาว ที่แม้จะออกจากตัวเมืองไปสักเล็กน้อย แต่ขอบอกว่าโรงแรมดีกว่าที่ผมคาดหวังเอาไว้เยอะทีเดียว

เราไม่รอช้าครับ จัดการข้าวของสัมภาระและออกเดินทางมุ่งสู่ใจกลางเมืองเพื่อชม จัตุรัสกรองด์พลาส (Grand Place) สถานที่ตั้งของศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์อันเลื่องชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่สวยงามมากที่สุดในยุโรป

ที่แห่งนี้เองผมได้พบรูปปั้นเด็กชายตัวน้อยๆ ที่กำลังยืนฉี่พร้อมกับรอยยิ้มอันไร้เดียงสาซึ่งรู้จักกันในนาม ‘แมนเนคิน ปิส’ ราษฎรผู้อาวุโสที่สุดของเมืองบรัสเซลส์ (Manneken Pis, The Oldest Citizen of Brussels) ซึ่งถือเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด
ผู้คนมากมายครับยืนรอ ต่อคิวกันถ่ายรูปปั้น ‘เด็กเยี่ยว’ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขณะเดียวกันไกด์ของเราก็เริ่มทำงานโดยเริ่มบรรยายที่มาที่ไปของรูปปั้นแมนเนคินน ปิส...

ปล.วันนี้เนื้อที่มีน้อย ขอติดค้างไว้ฉบับพรุ่งนี้นะครับ ผมจะพาไปรู้จักที่มาที่ไปของไอ้เด็กเยี่ยวที่ว่า พร้อมทั้งเรื่องราวการได้พบเพื่อนใหม่ในทริปชาวตุรกี และความเห็นของเค้าที่มีต่อทีมชาติตุรกีในทัวร์นาเมนต์ยูโร2008 ส่วนวันนี้ฝากรูปที่ถ่ายมาเล่าเรื่องต่อแทนแล้วกันครับ

6 comments:

Anonymous said...

Considering the fact that it could be more accurate in giving informations.

Anonymous said...

that's way too cool.

Anonymous said...

And also we ensure that when we enter in this specific blog site we see to it that the topic was cool to discuss and not a boring one.

Anonymous said...

This blog could be more exciting if you can create another topic that everyone can relate on.

Anonymous said...

Kanami sang imo blog. Daw spaghetti.

ธานคับ said...

อิจฉาจริงๆครับ แวะมาทักทายคุณเอกครับ