Friday 13 June 2008

กลุ่ม A นัดที่สอง: เจ้าภาพไปแล้วหนึ่ง !


ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนฝอยทองครับสำหรับโปรตุเกสหลังจะเอาชนะเช็กไปแบบไม่อยากเย็นสักเท่าไร 3-1

แม้ผมจะทายถูกว่าโปรตุเกสจะชนะทว่า ผิดจากที่ผมคาดการณ์ไว้เล็กน้อยครับหลังหลงไปคิดว่าลูกทีมของ คาเรล บรูคเนอร์น่าจะทำได้ดีกว่านี้และสกอร์ไม่น่าจะขาดเกินหนึ่งลูก

เกมนี้ ก่อนอื่นเลยคงต้องบอกว่าสองนัดที่ผ่านมาแนวรุกโปรตุเกสทำงานได้อย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะ 3จตุรเทพอย่าง เดโก้ โรนัลโด้ และซิเมา

สองรายแรกนั้นยิงไปคนละหนึ่ง และ แอตซิสต์ให้เพื่อนยิงอีกหนึ่ง ขณะที่ ซิเมานั้นก็วูบวาบและเป็นตัวป่วนชั้นดีให้ทีมคู่แข่งสับสน งงงวยว่าจะเลือกประกบคนไหนดี เนื่องจากว่าหากไปรุมหนูโด้สองคน มิดฟิลด์ตัวรุกคนอื่นๆก็จะว่างและมีพื้นที่ในการเข้าทำ

ข่าวดีที่สุดของโปรตุเกสในเกมนี้ก็คือ คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ เริ่มเข้าฝักและเบิกสกอร์แรกได้แล้ว จากนี้ขอให้จับตาชมหนูโด้ให้ดีครับ ผมว่าหมอยอดขมองอิ่มขวัญใจสาวเล็กสาวใหญ่คนนี้แหละ คือผู้ตัดสินชะตาของทีมอย่างแท้จริง หากฟอร์มแกยังแรงไม่มีตก โปรตุเกสน่าจะได้เข้าชิงอีกครั้งในปีนี้....

อย่างไรก็ดีเกมนี้ หลายๆจังหวะคู่เช็นเตอร์ฮาร์ฟ ที่ผมเขียนชมไปคราวที่แล้วอย่างเปเป้ และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ เริ่มออกอาการแกว่งให้เห็น โดยเฉพาะลูกโด่ง และเซตพีช ที่ดูแล้วน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากทั้งคู่เป็นกองหลังที่เชิงดี แต่ไม่เด่นในลูกกลางอากาศ

อีกประเด็นนึงที่น่าจับตามองไม่แพ้ ฟอร์มของหนูโด้และจุดอ่อนในลูกโด่งของทีมก็คือ ข่าวการเช็นสัญญารับตำแหน่งบอสใหญ่ สิงไฮโซ เชลซี ของหลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ที่จะมีผลตั้งแต่1 กรกฏาคมเป็นต้นไป
น่าสนใจมากครับว่า บิ๊กฟิล จะฝากผลงานในระดับนานาชาติทิ้งทวนได้สวยหรูหรือมั้ย หลังเคยพาทีมแซมบ้า บราซิลเถลิงบรรลังค์แชมป์โลกมาแล้วในปี 2002 รวมไปถึงพาโปรตุเกสเข้าชิงแต่พ่ายให้กรีซ ในยูโร 2004 และได้อันดับที่สี่ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด

ขณะที่เช็ก คู่ต่อกรของทีมแดนฝอยทองในเกมนี้ คงต้องยอมรับสภาพแต่โดยดีว่าพวกเค้าไม่ได้น่ากลัวเหมือนในสมัยที่มี พาเวล เนดเวด เป็นกัปตันทีมอีกแล้ว และอย่างที่เรียนไปครับ การขาดโทมัส โรซิคกี้นั้นส่งผลกระทบเต็มๆกับทัวร์นาเมนต์ของทีม

แยน โคลเลอร์ และ มิลาน บารอส ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งพายามยาก ก็เหมือนจะผ่านจุดพีคของตัวเองไปแล้ว ขณะที่วาชลาฟ สเวอร์คอฟ ‘ไพ่ลับของทีม’ ที่ผมอุตสาห์ไปค้นประวัติมา ก็หายหัวไปไหนไม่รู้ในเกมนี้ และไม่เข้าใจตุ้มจริงๆครับว่าทำไม บรูคเนอร์ ไม่ส่งหมอนี้ลงมา ฮ้วย !

กระโดดข้ามมาที่คู่ สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกา ที่พบกับ ทีมไก่งวงดวงดี เลยแล้วกันนะฮะ : )

เกมนี้ ผมพยากรณ์ไว้ว่า สวิส จะไม่ชนะตุรกี ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดครับ เนื่องจากแนวรุกที่ อเล็กซานเดอร์ ฟราย ไปก็เหมือน ทีมขาดหอกตัวเป้าเข้าทำไปเลย

ครึ่งแรกที่เตะกันกลางสายฝนที่ชุ่มช่ำ และเปียกปอน หวนให้นึกความหลังสมัยที่เตะบอลกับ ‘ใหม่ โมบาย’ เมื่อครั้งที่พี่เค้ายังอยู่ที่อังกฤษครับ เพราะนักเตะทีมไทยยูเค ที่แกคุมอยู่ เตะบอลได้ทุกฤดูกาล และ ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะหนาวเหน็บ เข้ากระดูกสักเท่าไร หรือ ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง น้ำท่วมขังสนาม เต็มไปด้วยดินโคลน เตะทีนี่ ทั้งน้ำและดิน กระเด็นเปรอะเปื้อน เราก็เล่นกันมาแล้ว!

ผมได้แต่ยืนอมยิ้มและเก็บความทรงจำดีๆนี้ไว้ในลิ้นชัก พร้อมหยิบปากกามาจดจังหวะสำคัญๆของเกมนี้ต่อ...

ยอมรับตามตรงครับว่าผมสงสารสวิสเหลือเกิน เนื่องจากพวกเค้าเล่นได้ดี มีลุ้นเพียบแต่ก็ไม่มีแต้มตามเคย ราวกับว่าผู้เขียนบท ตั้งใจจะให้ละครของชาวสวิส เรื่องนี้จบแบบเศร้าเคล้าน้ำตา

ออกนำไปก่อนด้วยนะครับในเกมนี้สำหรับเจ้าภาพ แต่อนิจจาพวกเค้าไม่ เหี้ยมพอที่จะฆ่าคู่แข่งให้ตาย และนำแค่หนึ่งลูกในครึ่งแรก ทั้งๆที่มีจังหวะ ‘ดับชีพ’ ตุรกี นับครั้งไม่ถ้วน

หลายต่อหลายจังหวะ ที่สวิสน่าจะยิงได้ในเกมนี้ โดยเฉพาะในครึ่งแรก มีโอกาส เจ๋งๆ 3 ทีจาก ฮาคาน ยาคิน ที่จังหวะแรกได้สับด้วยอีซ้าย บอลกำลังจะพุ่งเสียบเข้ามุมอยู่แล้ว แต่โกล์ตุรกีในทัวร์นาเมนต์นี้อย่าง โวลคาน เดมิเรล เหนียวบรรลัยพุ่งปัดได้สุดปลายมือ

จังหวะที่สอง วาลอน เบห์รามี่ เปิดเข้ามาจากด้านขวาสุดงาม บอลเลยทุกคนไปหมดแล้ว และเป็น ยาคินคนเดิมครับ แกแปโล่งออกเสาไปอย่างน่าเข็กกะโหลก ! จังหวะต่อมาที่น่าจะได้ประตูก็คือลูกฟรีคิกจาก บาร์เน็ตต้านั้นปั่นบอลโค้งจะเข้าอยู่แล้วครับ แต่เป็น นายเดมิเรล ทวารด่านสุดท้ายจาก เฟเนอร์บาห์เช่ เซฟได้อย่างเหลือเชื่อ

เมื่อกองทัพของท่านนายพล ผู้เจนจัดในสนามรบที่เชี่ยวรากอย่างฟาติห์ เตริม รอดพ้นการโดนฝัง และทัพไก่งวงของเค้ายิงประตูตีเสมอคัมแบ็กสู่เกมได้ โมเมนตั้มทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ขวัญกำลังใจของทีม แท็กติกส์การแก้เกมที่เหนือกว่า + โชคเล็กๆ กับลูกประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ฯลฯ

ทั้งหมดที่กล่าวมาในวันนื้ถือเป็นบทเรียนแสนแพงของโคบี้ คูห์นและนักเตะสวิตเซอร์เลนด์ รวมไปถึงเป็นกรณีศึกษาของทีมอื่นๆในยูโรครั้งนี้ครับ ว่าเมื่อมีโอกาสต้อง ฆ่าให้ตาย อย่าปล่อยให้คู่แข่งลอยนวล...

สำหรับค่ำคืนนี้ กลุ่ม C ‘กรุ๊ป ออฟ เดธ’ จะลงเตะนัดที่สอง คู่แรก อิตาลี-โรมาเนีย แม้ว่าลูกทีมของโรแบร์โต้ โดนาโดนี่จะแพ้เละมาจากนัดที่แล้ว แต่ผมเชื่อครับว่าด้วยศักดิ์ศรี แชมป์โลกครั้งล่าสุด +สถานการณ์ที่หลังพิงฝาแบบนี้ พวกเค้าจะคัมแบ็คกลับมาได้ 3 แต้มสำหรับอิตาลี

ส่วน คู่ที่สองฮอลแลนด์นั้นแรงเกินห้ามใจในนัดที่ผ่านมา จะชนะฝรั่งเศษที่มีตัวดีๆเยอะแต่โค้ชจัดทีมค่อนข้างปอดแหกอย่างได้อย่างสบาย ไร้กังวลครับ

2 comments:

ธานคับ said...

หวัดดีครับคุณเอก ผมล่ะกลวเหมือนกันว่าไอ้พวกทีมท๊อปฟอร์มเร็วเกินไปในระบบทัวร์นามเนท์ มักจะตกม้าตายก่อน ตอนนี้ผมว่าเยอรมันนี่แหละที่จะมาแบบเงียบๆ ปล่อยพวกฟอร์มหรูออกตัวไปก่อน

ธานคับ said...

หวัดดีครับคุณเอก ผมล่ะกลวเหมือนกันว่าไอ้พวกทีมท๊อปฟอร์มเร็วเกินไปในระบบทัวร์นามเนท์ มักจะตกม้าตายก่อน ตอนนี้ผมว่าเยอรมันนี่แหละที่จะมาแบบเงียบๆ ปล่อยพวกฟอร์มหรูออกตัวไปก่อน