Wednesday 16 July 2008

พรีเมียร์ชิพกับวัฏจักร"คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า"


หายเงียบไปเกือบ ๆ สองวีกครับเนื่องจากว่าติดภารกิจที่มหาลัย + โหมทำงานร้านอาหารเก็บเงินมาเที่ยวไทย ในช่วงเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ทำให้ไม่ได้โผล่หัวมาเขียน คอลัมน์ Viva London เลย ^^
กลับมารอบนี้สัญญาครับว่าจะพยายามเขียน ให้ได้ทุกวันพุธเหมือนเคย ต่อให้โค้งสุดท้ายของคอร์สซัมเมอร์ ป.โทที่ลงเรียนไปจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม...
บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่ประเทศอังกฤษ ในช่วงนี้หลังจากหมดช่วงยูโร 2008 ไปก็มีเทนนิสวิมเบิลดันมาทำให้ซัมเมอร์ ที่นี่ครึกครื้นใช้ได้ทีเดียว อากาศเย็นสบายอุณหภูมิประมาณ 15-24 องศา แม้จะมีฝนตกประปรายลงมาบ้าง แต่ภาพรวมแล้วถือว่าหน้าร้อนปีนี้ยาวนานกว่าปีที่แล้วพอสมควรเลยละครับ
เกริ่นกันพอคร่าว ๆ ละกันสำหรับเรื่องฟ้าฝน วกกลับมาคุยเรื่องฟุตบอลของที่นี่กันบ้างดีกว่า ว่ามีอะไรอัพเดตกันไปถึงไหนแล้ว : )
อย่างที่ทราบ ๆ กันนะครับว่า ช่วงปิดฤดูกาลแบบนี้ "ประเด็น" ร้อนส่วนใหญ่ที่คนให้ความสนใจกันก็คือเรื่องการตกแต่งขุมกำลังของแต่ละทีมซึ่งปีนี้ถือว่าทั้งตลาดนักเตะ และกุนซือนั้นย้ายขั้วสลับดอกกันเยอะแทบจะเป็นประวัติการณ์เลย
นัยหนึ่งก็อาจมองได้ครับว่าอุตสาหกรรมฟุตบอลที่อังกฤษนั้นเติบโตขึ้นมามากทีเดียวในช่วง 4-5 ปีหลังนี้ บรรดาแข้งดังต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกนั้นเข้ามาเพิ่มสีสันให้วงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งถึงตอนนี้คงพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วล่ะว่าเป็นลีกหมายเลขหนึ่งที่แฟน ๆ ให้ความสนใจมากที่สุดในโลกไปแล้ว
ปีนี้สตาร์ดังจากยูโรที่ตบเท้าเข้ามาเล่น ในอังกฤษก็มี บิ๊กเนม อย่าง ซาเมียร์ นาสรี่, เดโก้, โจเซ่ โบซิงวา และลูก้า โมดริช ขณะเดียวกันก็มีอยู่หลายรายเช่นกันที่อยากจะออกไป ค้าแข้งกับลีกอื่น อย่าง ซีรีส์อาของอิตาลี หรือลาลีกาของสเปน เช่น มาติเยอ ฟลามินี่ และอเล็กซานเดอร์ คเล็บที่เผ่นหนีอาร์เซนอลไปเรียบร้อยแล้ว โดยรายหลังนั้นให้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลยด้วยการอ้างว่า ลอนดอนนั้นวุ่นวายเกินไปสำหรับเจ้าตัว !
ถามหน่อยเถอะครับว่า เมืองบาร์เซโลน่านั้นเงียบเชียบกว่าลอนดอน ขนาดนั้นเชียวเหรอ ??
ยิ่งพอเห็นลูกงอแงของเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ เกี่ยวกับสัญญาฉบับใหม่แล้วก็สงสารทีมปืนโตจริง ๆ ครับ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่พวกเค้าดึงบรรดาแข้งเพชรในโคลนตมมาเจียระไนจนมีชื่อเสียง แล้วสุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนขายออกไปทำให้ทีมขาดความต่อเนื่อง + ไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียที
นอกจากนี้ในรายของ ‘เดอะดร็อก’ และหนุ่ม ‘แลมพ์’ จากค่ายสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี อนาคตของทั้งคู่ก็ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตให้กุนซือใหม่ถอดด้ามอย่าง ‘บิ๊กฟิล’ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ต้องรีบดำเนินการทำอะไรสักอย่างแล้วเพื่อที่จะได้เตรียมการวางแท็กติกส์ ตัวผู้เล่นว่าใครจะยืนตรงไหน และเล่นรูปแบบอย่างไร หากว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง ๆ
เพราะอย่าลืมนะครับว่าทั้งสองหน่อที่ว่ามานี้ถือเป็นสองผู้เล่นคนสำคัญของทีมในฤดูกาลที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะดร็อกบาที่ถือเป็นหัวหอกในทีมคนเดียวตอนนี้ของทีมที่ไว้วางใจได้มากที่สุดแล้ว เนื่องจากว่า นักเตะอย่างนิโกลาส์ อเนลก้า, เคลาดิโอ ปิร์ซาโร่ หรืออดีตจรวดทางเรียบจากยูเครนอย่าง อังเดร เชฟเชนโก้ นั้นสอบตกกันเรียบวุธในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ในรายของแฟรงค์ แลมพาร์ด ที่โดนกุนซือคู่ซี้อย่าง โจเซ่ มูรินโญ่ตามเกี้ยวเช้า เกี้ยวเย็นให้ไปร่วมหอลงโรงทำมาหากินกัน ที่เมืองมะกะโรนี ผมกลับมองว่า หากเชลซีจะเสียกองกลางจอมถล่มประตูรายนี้ไป มันก็ไม่ได้เสียหายมากนัก เพราะยังมีชอยซ์ อย่างมิชาเอล บัลลัค หรือเดโก้ ที่คุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไรรอพื้น ที่สัมปทานตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกอยู่แล้ว หากหนุ่มแลมพ์ต้องจากทีมไปจริง ๆ
ส่วนอีกหนึ่ง "ดีล" ที่น่าจะถือเป็นมหากาพย์เรื่องยาว และคาดว่าน่าจะได้บทสรุปในเร็ววันนี้อย่าง ในรายของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ที่ยืดเยื้อ และกลายเป็นประเด็นลุกลามใหญ่โตจนประธานองค์กรลูกหนังโลก อย่างเซปป์ แบล็ตเตอร์ ดูเชิงมาพักใหญ่คงเกิดอาการเปรี้ยวปากออกมา ‘โชว์ความเพี้ยน’ ด้วยการเปรียบ ปีกสับสยองว่าเป็น ‘Modern Slavery’ หรือนางทาสปี 2008 สร้างความโกรธเคืองให้บรรดาตำนานแข้งผีแดง และผู้คร่ำหวอดในวงการลูกหนังหลายรายออกมาสับ แบล็ตเตอร์ซะเสียผู้เสียคน ที่สำคัญการออกมาพูดโดยไม่คิดแบบนี้ ถือว่าดิสเครดิตตัวเองไปเยอะทีเดียวสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้
อย่างไรก็ดีครับสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่าดีล ‘"หนูโด้" จะจบลงเร็ว ๆ นี้ก็เพราะว่า ณ เช้าวันอังคารที่ผมกำลังส่งต้นฉบับอยู่นี้ ข่าวจากหลายสำนักได้ออกข่าวมาแล้วครับว่าแมนฯยูฯกำลังจะกระชากตัว ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟมาสู่อ้อมอกได้เต็มแก่ด้วยค่าตัวประมาณ 28 ล้านปอนด์โดยสเปอร์สนั้นตอบรับข้อเสนอสุดงามจากทีมผีแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าหัวหอกชาวบัลแกเรียจะคุยรายละเอียดส่วนตัวได้ราบรื่นหรือไม่เท่านั้นเอง
สเปอร์สนั้นถึงตอนนี้คงต้องบอกว่าไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะว่าช่วงปิดซีซั่นที่ผ่านมานี้พวกเค้าทำตัวเป็น อาเสี่ยกระเป๋าหนัก ควักเงินไม่อั้นสอยนักเตะมาสนองตัณหาฆวนเด้ รามอสไปแล้วร่วม 30 ล้านปอนด์ซึ่งถือว่าไม่น้อยทีเดียวสำหรับทีมที่จบอันดับ 11 ในปีที่แล้ว และได้เพียงแค่ถ้วยน้ำจิ้มอย่าง คาร์ลิ่ง คัพ มาหลอกตัวเองว่าพร้อมจะก้าวเท้าไปเขย่าบัลลังก์ บิ๊กโฟร์อย่างทีมอื่นเค้า
เรียกได้ว่าจากนี้ไปหากรามอสคิดจะดึง เดวิด เบนท์ลี่ย์, โรเก้ ซานตา ครูซ หรือหลุยส์ การ์เซีย เข้ามาเสริมทีมอย่างที่เป็นข่าวจริงแล้วละก็คงต้องเลือกปล่อยไม่ เบอร์บาตอฟ, ร็อบบี้ คีน หรือดาร์เรน เบนท์ คนใดคนหนึ่ง (หรือสองจากสามคนนี้) มาเป็นทุนสักก้อนเพื่อนำเงินมาสอยแข้งใหม่เข้าเล้า ไม่อย่างนั้นสเปอร์สอาจจะจบเห่ถึงขั้นล้มละลายแบบลีดส์ในยุคจ่ายไม่อั้นก็เป็นได้ หากไม่มีการวางแผนการใช้จ่ายให้ดี...
สรุป และขออนุญาตฟันธงล่วงหน้านะครับว่าถ้าเบอร์บาตอฟมาแมนฯยูฯจริง หนูโด้ก็จะได้ย้ายไปหากินที่สเปนสมใจ ขณะที่ในรายของโรนัลดินโญ่ที่มีข่าวกับทีมเรือใบสีฟ้าของคุณทักษิณ ถ้ามาจริงก็ถือว่าเซอร์ไพรส์มาก ๆ เพราะโดยส่วนตัวผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าตัวจะยอมลดคลาส + ตัดความก้าวหน้าในอาชีพตัวเองมาตายรังที่ทีมจากย่านอีสต์แลนด์ อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะไปเอซี มิลาน, เชลซี หรือหากไปไหนไม่ได้จริง ๆ ก็สู้อยู่พิสูจน์ตัวเองที่บาร์ซ่าน่าจะเป็นทางออกที่ไม่เลวสำหรับเจ้าตัวครับ (หวังว่าแฟนแมนฯซิตี้ที่อ่านคงเข้าใจ และไม่โกรธกันเด้อ!)

9 comments:

Anonymous said...

Whoever owns this blog, I would like to say that he has a great idea of choosing a topic.

Anonymous said...

Yuts, daw palagpat imo blog.

Anonymous said...

Sorry if I commented your blog, but you have a nice idea.

Anonymous said...

Thanks to the owner of this blog. Ive enjoyed reading this topic.

ธานคับ said...

แวะมาเยี่ยมบล๊อกคุณเอกครับ ^-^ ติดตามอ่านตลอดครับ

Anonymous said...

อ่านอยู่เสมอครับ เสียดายที่กลับมาเมืองไทย สวนทางกับผมที่ไปอังกฤษครับ

Anonymous said...

เป็นกำลังใจให้ครับคุณเอก หวังว่ากลับมาไทยคราวนี้จะมีอะไรดีๆ มาฝาก แฟนสเปอร์สไทยแลนด์นะครับ

และขอให้เรียนลุล่วงไปได้ด้วยดีคับ
และจะได้มีเวลาเขียนคอลัมน์น่าอ่านเรื่อยๆ

เอก อุดมสุข said...

ขอบคุณมากๆครับ สำหรับทุกๆคอมเมนท์

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ สำหรับบทความดีๆ