Wednesday 2 April 2008

นิวคาสเซิลในวันฟ้าหลังฝนและบทบาทใหม่ของโอเว่น


ในที่สุดช่วงเวลาที่ผมเฝ้านับวัน รอคอยก็มาถึงจนได้เมื่อ ประเทศอังกฤษ มีการปรับเปลี่ยนเวลา ให้เร็วขึ้นมาอีก หนึ่งชั่วโมง ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ช่องว่าง ของเวลา ระหว่างอังกฤษ และไทยเราต่างกันเหลือแค่ 6 ชั่วโมง และชาวอังกฤษก็จะมีช่วง Day time หรือเวลากลางวัน มากขึ้นต้อนรับ Summer time อย่างเป็นทางการเสีย ทีในช่วงโค้งสุดท้าย ของฟุตบอล พรีเมียร์ชิพ
และไอ้การ เปลี่ยนเวลาเนี่ยแหละครับ ทำผมเกือบ พลาดชมเกม สเปอร์ส-นิวคาสเซิลที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลน เนื่องจากว่าดันลืมปรับเวลา ตามเช้าบ้านเค้า จึงมัวแต่นั่งทำกับข้าว สบายใจเฉิบไม่รีบไม่ร้อนไปสนาม กว่าจะมาสะดุ้งรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เพื่อน รูมเมตที่แชร์บ้านอยู่ด้วยกันถามว่า "นี่มรึงไม่ไปดูบอลเหรอ" เท่านั้นแหละ ครับ วิ่งหางจุกตูดไปขึ้น Train แทบไม่ทัน ^^

มาเข้าเรื่องเกม สเปอร์ส-นิวคาสเซิลกัน ดีกว่าครับ เกมนี้กุนซือของทั้งสองทีมต่างก็ชื่นชอบในการจัด ทีมแบบเน้นเกมรุกเอนเตอร์เทนคนดู วันนี้ทั้งเจ้าบ้าน และทีมเยือนจึงมาในระบบกองหน้า 3 คนทั้งสองทีม โดย "คิงเคฟ"นั้นวาง ไมเคิ่ล โอเว่น, มาร์ค วิดูก้าและโอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ เป็นสามประสาน
ขณะที่เจ้าบ้านสเปอร์สที่กุนซือ ฆวนเด้ รามอสนั้นประกาศ ไว้ในหนังสือโปรแกรมประจำเกมว่า จะพยายามจบซีซั่นให้สวยที่สุดด้วยการเก็บชัยชนะ 7 นัดที่เหลือของฤดูกาลให้ได้ทั้งหมด โดยเกมนี้ก็ใส่กองหน้าตัวหลักทั้งหมดที่แกมีในทีมลงสนามอันประกอบไปด้วย เบอร์บาตอฟ-ร็อบบี้ คีนและดาร์เรน เบนท์ กองหน้าสากกะเบือค่าตัวแพงสุดเป็นสถิติของสโมสร (16.5 ล้านปอนด์) ลงสนามกับเค้าด้วย
สกอร์ 1-4 ที่สเปอร์สโดนสอยคาบ้าน ในคราวนี้ดูจะน้อยไปหากดูจากรูปเกม ที่นิวคาสเซิลนั้น เป็นฝ่ายกระทำชำเราเจ้าบ้านอยู่ข้างเดียว อีกทั้งนักเตะสาลิกาดงทุกคนแสดงให้เห็นถึง Passion หรือความกระหายที่จะเอาชนะ ในเกมนี้มาก กว่าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพในปีนี้อย่างชัดเจน และหาก พวกเค้าไม่ยิงนกตกปลากันเอง +เสา และคานที่ช่วย ชีวิตสเปอร์สไว้สองสามหนแล้วละก็ ลูกทีมของฆวนเด้ รามอสคงจะต้องเอาปี๊บคลุม หัวเดินออกจาก สนามกันอย่างไม่ต้องสงสัย

นอกเหนือจาก ช่วงครึ่งแรก ที่สเปอร์สนั้นเล่นพอใช้ได้ในช่วง 30 นาทีแรก และออกนำไปก่อนจากลูกโหม่งของเบนท์ หลังจากนั้นพวกเค้าก็ผ่อนเกมของตัวเอง ลงแบบน่าเกลียดประหนึ่งว่านักเตะ ทีมแม็คไพคงจะไม่ดีพอ ที่จะเอาชนะ พวกเค้า เมื่อเป็นดังนี้ สเปอร์สจึงโดนสำเร็จโทษของความเลินเล่อจาก นิกกี้ บัตต์ ที่ยิงตีเสมอในช่วงวินาทีสุดท้ายของ ครึ่งแรกไปอย่างเจ็บแสบ และเป็นที่มาของความหายนะใน นัดนี้ของพลพรรคไก่เดือยทอง
เริ่มต้นครึ่งหลังมา ไม่รู้ว่าเควิน คีแกนไปกระตุ้นลูกทีมอีท่าไหนครับ เพราะลงสนามในครึ่งหลัง มาแบบหนังคน ละม้วน และนักเตะทุกคนวิ่งแบบลืมตาย โดยเฉพาะนิกกี้ บัตต์ และโจอี้ บาร์ตัน สองแข้งฮาร์ดคอร์ที่ตามไล่บี้ไล่อัด โชว์ลูกขยันไล่บดขยี้ซะจนกองกลางสเปอร์สนั้น แหยงกับลูกหนักของทั้งคู่จึงพยายามออกบอลเร็ว และเป็นที่มาให้รีบออกบอล และพลาดกันไปเองในที่สุด

นอกจากนี้ระบบหน้า 3 คนของคีแกนก็เริ่มแสดง ให้เห็นถึง ประสิทธิภาพ และทำให้เกมรุกในตอนนี้ของ นิวคาสเซิ่ล น่ากลัว ขึ้นมาอีกเยอะทีเดียวกับส่วนผสมวิดูก้า-มาร์ตินส์-โอเว่น รายแรกนั้นเก๋า ได้ความใหญ่ และเก็บบอลได้ดี ยืนอยู่สูงคู่กับ มาร์ตินส์ที่ความเร็วของแกนั้นหากจับวิ่ง 4x100 เมตรแข่งกับแข้งลมกรดรายอื่นในพรีเมียร์ชิพ อย่างน้อยๆ ต้องติดเป็น 1 ใน 3 แน่นอน เมื่อรวมกันกับ "มันสมอง"ของไมเคิล โอเว่นที่สองเกมที่ผ่านมายืน ต่ำอยู่หลังคู่กองหน้า และได้ใช้เซนต์บอลระดับเวิลด์คลาส ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น + ทำให้เจ้าตัวมีส่วนร่วมกับ เกมมากกว่าแต่ก่อน
ผมจึงว่าจุดนี้น่าจะเป็น การผันบทบาทครั้ง สำคัญ ที่สุดในชีวิตการเป็นนักฟุตบอล ของโอเว่นเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่รู้ว่าโอเว่นวันนี้ในวัย 28 ปี ไม่ได้จี๊ด และสดเหมือนสมัยที่พุ่งขึ้นมาใหม่ๆ กับลิเวอร์พูลเมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อบวกกับสภาพร่างกายช่วงหลัง ๆ ที่เปราะบาง อีกทั้งสรีระของเจ้าตัวที่ไม่ได้เป็นคนสูงใหญ่ บทบาทนี้จึงน่าจะเหมาะสมที่สุดในชั่วโมงนี้ และโอเว่นน่าจะปรับใช้ให้เข้ากับเกมการเล่นของตัวเอง เพื่อยืดอายุในการเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ให้จบเหมือนร็อบบี้ ฟาวเลอร์หัวหอกรุ่นพี่ในถิ่น แอนด์ฟิลด์ที่ชีวิตการเป็นนักฟุตบอลในระดับ ท็อปลีกต้องจบเร็วกว่าที่ทุกคนคาดหมายเอาไว้
สเปอร์ส ในเกมนี้ของ ฆวนเด้ รามอส ต้องยอมรับครับ ว่าแพ้ภัยตัวเอง ที่ไม่ลงสนามด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ อย่างทีมเยือน เนื่องจากว่าไม่มีลุ้นอันดับใดๆ แล้วในลีก และ พื้นที่ยูฟ่าในปีหน้านั้นก็แบเบอร์ได้ไปเล่น ชัวร์ในฐานะ แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ แต่การที่เล่นในบ้านตัวเอง และเล่นได้แค่นี้ถือว่าน่าเป็นเรื่อง ที่แฟนบอล วมถึงรามอสเองคงจะไม่ปลื้มแน่ และลึกๆ ผมเชื่อว่ารามอสนั้นเริ่มมองเห็น "เนื้อร้าย" ที่จะทำการลงมือตัดทิ้ง และ ปฏิวัติทีมใหม่แน่นอน ในช่วงปิดฤดูกาล โดยเฉพาะแข้งดังบางราย ที่เล่นแบบไร้ความมุ่งมั่น และไม่มีใจให้ทีม

ขณะที่นิวคาสเซิลกับ 6 นัดที่เหลือยู่นั้น ผมมองว่าหากพวกเค้าไม่หลงระเริงกับ ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ของ ทีมใน รอบสองปี (ชนะเยอะครั้งล่าสุดในลีก ถล่มซันเดอร์แลนด์ไป 4-1 เมื่อวันที่ 17 เมษายน ปี 2006) และยังเล่นได้อย่างนี้ในนัดที่เหลืออยู่ พวกเค้าก็ลืมไป ได้เลยเรื่องการหนีตกชั้น เผลอๆ เล่นไปเล่น มาอาจจะแซงหน้าทีมตราไก่ สเปอร์ส (ตามอยู่ 4 คะแนน) และ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม (ตามอยู่ 9 คะแนน) ที่หลังๆ มานี้ชักจะเลอะเทอะออกทะเลไปกันใหญ่ก็เป็นได้ครับ ใครจะไปรู้ !!

4 comments:

ธานคับ said...

หวัดีครับคุณเอก ผมว่าวันนั้นเราเล่นโครตห่วยเลย ไม่อยากจะพูดถึงเลย เฮ้อออออ...

อยากถามคุณเอกครับ ว่าตอนดู คุณเอกอยู่ที่บล๊อกนักข่าวหรือป่าวครับ คืออยากรู้ว่าภาษาอังกฤษของรามอสดีขึ้นบ้างรึยัง หรือส่วนมากยังให้ กัส คอยสั่งการแทนเหมือนเดิมครับ อยากรู้จริงๆครับ...^-^

tummy said...

อิจฉาๆ อีกไม่นานผมจะไปบ้างง รอพี่ธานถูกหวยก่อน หะหะ

เอก อุดมสุข said...

เพรสบ๊อกซ์ของไวท์ฮาร์ทเลน นั่งห่างแค่คืบกับซุ้มสต๊าฟโค้ช และนักเตะสำรองของเจ้าบ้านครับ แต่ว่าที่นั่งคับแคบมากๆ ขยับตัวแทบไม่ได้เลย TT

จากที่คุณธานถามมา ผมคิดว่าภาษาอังกฤษของ
รามอสน่าจะดีขึ้นบ้างแล้วนะครับ เพราะเห็นตอนที่แกเปลี่ยนเลนน่อลลงไปในเกมล่าสุดรามอสเรียกมาติวแผน แท็กติกส์อยู่นานพอสมควร

แต่เวลาสั่งการนักเตะในสนามระหว่งเกม ยังเป็นกัสคอยสั่งงานเช่นเดิมครับ

----

คุณ Tummy ได้เลขเด็ดแล้วรบกวนบอกด้วยนะครับ ^^

ธานคับ said...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ คุณเอก คืออยากรู้แค่ว่ารามอสแกเป็นไง ต้องถามวงในแบบคุรเอก ที่มีโอกาสนั่งติดซุ้มนักเตะ จำได้เมื่อก่อน สมัยคุนแมวเพชรของซ๊อกเกอร์แกไปแย่ที่อังกฤษ แกบอกไปดูสเปอร์ส สมัย คริสเตียน โกรส ทีไร เฮียแกตะโกนอย่างเดียว คัมมอน.. แคมเบลล์ ๆๆๆ อย่างอื่นพุดไม่เป็น ฟังแล้วแทบจะร้องไห้เลย 555

ปล.อีกไม่นานครับคุณ tummy เดี๋ยวเราบินยกไฟลืไปอังกฤษให้ คุณ เอกนำเที่ยว 555

ขอฝันไว้ก่อน อิอิ