Wednesday 26 March 2008

ส่องกล้องมองเกม ฝรั่งเศส-อังกฤษ


อีสเตอร์เบรกเมื่อสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในปีนี้นั้น เต็มไปด้วยหิมะที่ตกโปรยปราย เรียกบรรยากาศสุขสันต์ให้การเฉลิมฉลอง วันพิเศษของชาวอังกฤษในวันหยุด Bank holiday ชื่นมื่นกันถ้วนหน้า
ไหนจะมี แกรนด์สแลม ซูเปอร์ซันเดย์ คู่ ผี-หงส์ และสิงโต-ปืน ให้ได้ลุ้นได้เชียร์กัน บรรยากาศตามนั่งร้าน และผับยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คน อากาศเย็นๆ หิมะสวยๆ ก็ช่วยเพิ่มอารมณ์ "สุนทรีย์" ให้ชีวิตที่ไม่ได้มีแค่ฟุตบอล ของผมที่ลอนดอน น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะทีเดียวครับ

ควันหลงหลังเกม ซูเปอร์ ซันเดย์นั้น อย่างที่เรียนไป ในคอลัมน์อาทิตย์ก่อนว่า Free flowing football ของอาร์เซนอลนั้นเริ่มจะถูกดักทางได้แล้วจากคู่แข่งในลีกด้วยกัน และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ชัดเจนครับ ว่าทีมปืนโตนั้นโดน ดักทางได้จริงๆ แม้จะผ่านบอลกันได้สวยๆ หลายจังหวะ และหาช่องทางทำกันได้ดี แต่จังหวะสุดท้ายในยามที่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และเชสก์ ฟาเบกาส โดนฝากความหวังมากเกินไป อาร์เซนอลก็เปรียบเสมือนปืน ที่ไร้กระสุน จนเป็นเหตุให้โอกาส ในการลุ้นแชมป์ลีกของพวกเค้านั้น ดูห่างไกล และเลือนรางไปทุกทีเพราะโดนทิ้งห่างถึง 6 คะแนน และเหลือเกมให้ลงเล่นอีก 7 นัดเท่านั้น

ขณะที่คู่แมนฯยูฯ-ลิเวอร์พูลนั้นคงไม่ต้องอธิบายอะไรไปมากกว่าคำว่า ยอดเยี่ยมกับผลงานระดับ Masterpiece สมราคาแชมป์เก่าของแข้งผีแดง และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ผมค่อนข้างเชื่อมั่นมากว่าพรีเมียร์ชิพในปีนี้ถึง "บทสรุป"แล้ว และถ้วยแชมป์คงจะต้องตก อยู่ในมือของเซอร์เฟอร์กี้ และลูกทีมอีกซีซั่นแบบไร้ข้อกังขา หากมองถึงฟอร์มที่สม่ำเสมอ และจิตใจที่ทนแรงเสียดทานได้ดี ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ผมเชื่อว่าทีมผีแดงนั้น เหนือกว่าสองทีมที่ตามมาอย่างเชลซี และอาร์เซนอล

ถัดจากฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ ที่ใกล้ถึง ตอนอวสานเต็ม ที่ ค่ำคืนวันนี้ก็จะ มีเกมทีม ชาตินัด กระชับมิตรของทีมชาติอังกฤษ ที่ยกพลออกไปเยือนสนามสต๊าด เดอ ฟรองค์ กรุงปารีสกับทีมชาติฝรั่งเศส โดยเกมนี้ มีความพิเศษอยู่ที่การ ถูกเรียกกลับมาติดทีม ชาติอีกครั้งของเทพบุตร ลูกหนังขวัญใจ แฟนฟุตบอลทั่วโลกอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ที่มีลุ้นลงเล่นสร้างตำนานอีกหน้าให้ตัวเอง และทีมชาติอังกฤษ หากได้รับเลือกให้ลงสนาม เพราะจะติดทีมชาติเตะหลัก ร้อยเป็นคนที่ห้าต่อจาก บิลลี่ ไรท์ (105นัด), บ็อบบี้ มัวร์ (108นัด), ปีเตอร์ ชิลตัน (125นัด) และเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (106นัด)

เบ็คแฮมวันนี้ในวัย 32 ปีอาจจะไม่ได้ฟิต และสดอย่างแต่ก่อนก็จริงอยู่ แต่การที่ฟาบิโอ คาเปลโล่ เรียกเจ้าตัวกลับมาติดทีมอีกครั้งนั้นก็เพราะว่า ประสบการณ์ และความสามารถในการผ่านบอลแม่นราวกับจับวาง + ความเป็นมืออาชีพที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม และไม่เคยปริปากบ่นแม้จะโดนหมางเมินจากกุนซือชาวอิตาเลียน ในเกมก่อนกับสวิตเซอร์แลนด์
ทัศนคติ และการออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อทุกครั้งของดาวเตะ ลูกสามจากทีม แอลเอ กาแล็คซี่ นั้นก็ออกมาในแง่บวก และแสดงความเป็นมืออาชีพมาโดยตลอดซึ่งตรงนี้หากเป็นดาวเตะแข้งดังรายอื่นๆ ที่โดนตัดชื่อออกไปอาจจะออกมาโวยวาย และน้อยอกน้อยใจถึงขั้นหันหลังให้ทีมชาติเลยก็เป็นได้ แต่เบ็คแฮมไม่ และเลือกที่จะอดทนรอโอกาสของตัวเองด้วยความอดทน จนเข้าตาทีมงานแบ็กรูมสตาฟฟ์ของคาเปลโล่จนอดไม่ได้ที่จะเรียกตัวกลับมารับใช้ชาติ

ครับ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เป็นกัปตันทีม และการันตีตำแหน่งจากคาเปลโล่ (ได้แต่งตั้ง ริโอ เฟอร์ดินานด์เป็นกัปตันทีมแล้วในเกมนี้) แต่อย่างน้อยอังกฤษจะได้รับผลได้มากกว่าผลเสียแน่นอนใน การที่มีเบ็คแฮมอยู่ในทีมเนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากลูกโยน เซตพีซ และฟรีคิกต่างๆ จากเจ้าตัว รวมไปถึงความทุ่มเทเกิน 100% ทุกนัดในยามที่สวมเสื้อทรีไลออนส์

นักเตะที่ถูกเลือกมาในครั้งนี้ของทีมชาติอังกฤษ นั้นคาเปลโล่ให้เหตุผลว่าเลือกตามผลงาน และความเหมาะสมของนักเตะคนนั้นว่า จะเข้ากับระบบที่เจ้าตัวจะให้ลงเล่นหรือไม่ อย่างไรก็ดีผมแปลกใจไม่น้อยที่กุนซือ หน้าเครียดเลือกที่จะตัด ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ และเจอร์เมน จีนาส สองคนยิงประตูให้ทีมในนัดก่อนออกไปจาก 23 คนสุดท้าย แต่กลับให้โอกาส ธีโอ วัลคอตต์ จากอาร์เซนอลที่ฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ และไม่ได้เป็นตัวหลักให้ทีมปืนโตในช่วงที่ผ่านมา และอีกครั้งที่เจอร์เมน เดโฟ ที่ย้ายทีมไปยิงเปรี้ยงปร้างกับปอร์ทสมัธ ยังโดนเมินเฉยจากคาเปลโล่

ด้านความพร้อมตัวผู้เล่นของอังกฤษในชุดนี้มีเพียง แฟรงค์ แลมพาร์ด และเวย์น รูนี่ย์ที่ยังต้องลุ้นกันจนถึงวินาทีสุดท้ายว่าจะมีสิทธิ์ลงสนามหรือ ไม่หลังจากที่ทั้งสองคนมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมซูเปอร์ซันเดย์ ที่ผ่านมา นอกนั้นฟิตเปรี๊ยะพร้อมลงเล่นเป็นตัวเลือกให้คาเปลโล่เลือกใช้งาน และลองทีมก่อนฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่อังกฤษจะออกไปเยือนอันดอร์ราในวันที่ 6 กันยายน 2551 ซึ่งจะเป็นเกมที่มีความหมายเกมแรกภายใต้การคุมทีมของคาเปลโล่

ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าเกมนี้ คาเปลโล่จะใช้ระบบไหน และใครจะได้ลงสนามเป็น 11 คนแรกบ้าง แต่คาดว่าในแผงหลังจะมีตัวยืนพื้นแน่ๆ ก็คือ เดวิด เจมส์, จอห์น เทอร์รี่ จับคู่กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยมี แอชลี่ย์ โคล และเวส บราวน์เป็นแบ็กซ้าย-ขวา ตามลำดับ

กองกลาง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด น่าจะได้รับโอกาสลงเล่นกับแกเร็ธ แบร์รี่ หรือโอเว่น ฮาร์กรีฟส์ คนใดคนหนึ่ง ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ นั้นสุดยากจะอ่านใจของกุนซืออิตาเลียนคนนี้ เนื่องจากนี้เป็นเพียงแค่เกมที่สองของเจ้าตัว และจะเป็นโอกาสให้นักเตะหน้าใหม่ ๆ อย่าง เดวิด เบนท์ลีย์ หรือสจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่โชว์ฟอร์มให้สโมสรได้ดี ลงเล่นเป็นตัวจริง เพราะสองรายนี้ถือเป็นเลือดใหม่ที่น่าจับตามอง ว่าจะเป็นกำลังหลักให้อังกฤษในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010

ขณะที่เจ้าถิ่นฝรั่งเศสเป็นที่แน่นอนแล้วครับว่าจะไม่มี เธียร์รี่ อองรี, คาริม เบนเซม่า และปาทริก วิเอร่ากัปตันทีม โดยคู่กองหน้าฝรั่งเศส นั้นน่าจะเป็น ดาวิด เทรเซเกต์ และ นิโกลาส์ อเนลก้า ที่น่าจะได้ผนึกกำลังทดสอบแนวรับของอังกฤษชุดนี้

เกมนี้อาจจะ ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายในแง่ของ ผลการแข่งขัน เพราะเป็นเพียงเฟรนด์ลี่ย์แมตช์ แต่อย่างน้อยๆ คาเปลโล่นั้นเพิ่ง เข้ามารับตำแหน่ง และคงไม่อยากแพ้แค่นัดที่สองที่คุมทีม ขณะที่ฝรั่งเศสเจ้าบ้านนั้นรู้ศักยภาพความสามารถของนักเตะอังกฤษดีอยู่แล้ว เพราะหลายๆ คนเคยผ่านเกมในพรีเมียร์ชิพมาก่อน ดังนั้นบอลคู่นี้น่าจะรู้ทางกันเป็นอย่างดี สุดท้ายจึงน่าจะจบลงด้วยผลเสมอกันไปอย่างสนุกครับ

1 comment:

ธานคับ said...

หวัดดีครับคุณเอก แพ้ไปแล้วแต่อย่างว่าแค่นัดอุ่นเครื่อง ผมดีใจแทนเบ็คนะครับที่ได้ลงเล่นครบ 100 นัด ผมชอบตรงทีมีแพสชั่นต่อเกมลูกหนังอย่างแท้จริง เบ็คแสดงให้เห็รถึงความทุ่มเทและความขยันในการฝึกซ้อมเสมอๆ ผมว่าเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเตะรุ่นหลังนะ ช่วงท้ายชีวิตค้าแข้งน่าจะกลับมาลอนดอนนะ มาอยู่กับคลับไก่เราเถอะ ....อยากให้มาจังเลยครับ