Tuesday 28 August 2007

ประเดิมพรีเมียร์ชิพให้ตัวเองที่เชลซี

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แมตช์ระหว่าง เชลซี-ปอร์ทสมัธ ถือเป็นเกม “เปิดซิง”ของผมในการเข้าไปชมเกมถึงขอบสนามของพรีเมียร์ชิพซีซั่นนี้ หลังจากฤดูกาลนี้ได้เปิดฉากเตะกันไปแล้วสามนัด

นี้เป็นครั้งที่สองครับ ที่ผมได้มาเหยียบถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ของเชลซี ความรู้สึกแม้จะไม่ตื้นเต้นเท่าครั้งแรกแต่ผมก็มีเรื่องให้กังวลเล็กน้อยก่อนเกม
เรื่องของเรื่องก็คือซีซั่นนี้ ผมยังไม่ได้รับ Press card หรือ บัตรนักข่าว จากทางเอฟเอ ทำให้รู้สึก “หลอนๆ” กลัวเจ้าหน้าที่สนามจะไม่อนุญาตให้ผมเข้าไปชมเกมคู่นี้

ใบแฟกซ์ที่ส่งไปให้ทางเชลซีเพื่อขอเข้าชมเกมนี้ คือสิ่งเดียวที่พกมาได้

เมื่อเป็นดังนี้ ผมจึงตัดสินใจเดินทางมาถึงสนามก่อนเกมจะเริ่มเตะถึงสองชั่วโมง กะไว้ว่าถ้าเจ้าหน้าที่สนามไม่ให้ก็จะใช้ลูกอ้อน ลูกตื้ออันเป็นทีเด็ดของผมเวลาใช้จีบ สาว ^_^

แต่เหมือนสวรรค์มีตา…มาถึง Press room เดินไปเข้าถามเจ้าหน้าที่สนามเพื่อขอเช็คลิสต์รายชื่อ
โอ้...นั้นมันชื่อผม มันช่างเยี่ยมมากจริงๆ
แหม...เล่นเอาเรา “วิตกจริต” ไปเองอยู่คนเดียวตั้งนาน (แฮะๆ)

เข้ามาที่ Press box หรือที่นั่งของนักข่าว อยากจะบอกว่านี้เป็นการดูเกมที่เหนื่อยที่สุดเกมหนึ่งเนื่องจากอุณหภูมิในวันนั้นสูงถึง 25 องศาเซลเซียส และผมก็ยืนยันได้เลยว่า แดดที่นี้ทำให้แสบผิว+ผิวไหม้ได้ ไม่แพ้แดด พี่ไทยเราเช่นกัน

สถิติไร้พ่ายในบ้านของเชลซี 64 นัดและได้เพิ่มเป็น65 นัดหลังจบเกมนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไปและผมก็เชื่อครับว่าทัพนาวาของมูรินโญ่ยังจะยังคงทำ Break record ต่อไปได้อีก

แม้รูปเกมโดยรวมของเชลซีจากเกมนี้จะบ่งบอกว่าพวกเค้า “หืดจับ” พอสมควรในการดวลกับลูกทีมของจ่า แฮรี่ กุนซือหน้าง่วงหลังจากเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 จากการยิงประตู สี่ประตูในรอบสี่เกมหลังของ แฟรงค์ แลมพาร์ด หลังจากยิงต่อเนื่องมาจากเกม เรดดิ้ง ลิเวอร์พูล เยอรมันและในเกมนี้กับ ปอร์ทสมัธ

คู่หัวหอกเชลซีในเกมนี้อย่าง ดร็อกบา & ปิซาร์โร่ ที่แม้จะทำประตูด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะโดนคู่แนวรับภูผาหินอย่าง ดิสแต็ง&แคมป์เบลล์ ประกบติดจนไม่มีจังหวะปิดสกอร์เองมากหนัก

แต่ทั้งคู่ก็มีดีพอในการทำหน้าที่ เก็บบอลและสร้างสรรค์โอกาสให้กองกลางเติมเกมขึ้นมาและเล่นได้ตามแท็คติกส์ของมูรินโญ่ โดยเฉพาะ “เดอะดร็อก”ที่เกมนี้เล่นได้อย่างแข็งแกร่งและเป็นคนผ่านบอลให้ “แลมพ์ส” ทำประตูในนาทีที่ 30 ของเกมนี้

ขณะที่รูปเกมส่วนใหญ่ในครึ่งแรกก็บดกันอยู่ที่กองกลางและปอร์ทสมัธก็แสดงให้เห็นครับว่าไม่ได้กลัวศักดิ์ศรีของสิงโตพันล้านแม้แต่น้อย โดยเอ็นวานโก้ คานูคือผู้เล่นที่เด่นที่สุดในเกมนี้ของทีมเยือน
การลงมาต่อบอล เชื่อมเกม รวมถึง เทคนิค+ประสบการณ์ของแก ช่วยทีมไว้ได้เยอะจริงๆครับ รับรองได้ว่าถ้าปอร์ทสมัธยังเล่นได้แบบนัดนี้ โอกาสลุ้นไปเตะยูฟ่าคัพของทีม ใช่เรื่องฝันลมๆแล้งๆอย่างแน่นอนครับ

ในครึ่งเวลาหลังที่ แฮรี่ เรดแนปป์ สั่งลูกทีมเดินหน้าลุย เต็มสูบ หวังขอแต้มกลับบ้านโดยมีโอกาสหลายต่อหลายครั้งที่จะตีเสมอ โดยเกมนี้สองกองหน้าตัวสำรองอย่าง เดวิด นูเจนท์ และ เบนจานี่ เอ็มวารูวารี ถูกส่งลงมาเล่นในระบบ 4-2-4 ด้วยในช่วงท้ายเกม

อย่างไรก็ดี สองวิงแบ็คของเชลซีในเกมนี้ อย่าง แอชลีย์ โคล และ มิกาเอล เอสเซียง ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติจริงๆ

ในความเห็นของผม แอชลีย์ โคล ณ วันนี้ ด้วยอายุ+ประสบการณ์ที่มี หมอนี้แทบจะเป็นหนึ่งในสุดยอดแบ็คซ้ายของโลกเลยก็ว่าได้
ขณะที่ เอสเซียง นักเตะสารพัดแห่งปีของเชลซีที่โดนจับเล่นทั้งแบ็กขวาในช่วงออกสตาร์สเกม และเปลี่ยนไปยืนกองกลางตัวรับ หลังจากมูรินโญ่ส่ง ชูเลียโน่ เบลเลตติ แบ็กขวาตัวใหม่ลงสนามแทน โอบิ มิเกล ก็เล่นทั้งสองบทบาทได้อย่างไม่มี เขอะเขินให้เห็น

บทสรุปของเกมนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งครับว่า เชลซีก็ยังเป็นเชลซีที่ “เทพีแห่งโชค” ยังอยู่กับพวกเค้าเสมอแม้ว่าจะไม่ได้เล่นดี แต่ก็ยังรับ 3 แต้มเน้นๆเข้ากระเป๋าและส่งตัวเองขึ้นไปยืนจ่าฝูงแทน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ “เสียความบริสุทธิ์” พ่ายเป็นนัดแรกให้กับอาร์เซนอลไปในวันเดียวกัน

ขณะที่วันอาทิตย์ “คู่เอก” ประจำสัปดาห์ เรื่องวุ่นๆในแคมป์สเปอร์ส ได้ลดความรุนแรงลงไปหลังจาก
เดเนี่ยล เลวี่ ได้ออกมาประกาศ “แบ็คอัพ” มาร์ติน โยล ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเร็ววันนี้

โดยสิ่งที่ นักเตะสเปอร์ส แสดงให้เห็นถึง “ความมุ่งมั่น” ในเกมนี้ก็เดาได้ไม่ยากครับว่า ลูกทีมทุกคนพร้อมหนุนหลังนายใหญ่หัวใสชาวดัตช์อย่างเต็มที่

แมนฯยูฯ บุกเยอะก็จริง แต่ดูๆแล้ว การขาด เวยน์ รูนี่ย์ ที่บาดเจ็บและ คริสเตีย-โน่ โรนัลโด้ที่โดนแบนไป ส่งผลกระทบกับแนวรุกผีแดงเยอะมาก

คาร์ลอซ เตเบซ ยังไม่ใช่คนที่จะมารับหน้าที่ “มือปืน”ในกรอบเขตโทษ ด้วยสรีสระ และตำแหน่งโดยธรรมชาติของเจ้าตัว

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผีแดงยังมีข่าวกับกองหน้าอย่าง เบอร์บาตอฟและ อเนลก้าอยู่ เนื่องจาก
เฟอร์กี้น่าจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี

สเปอร์สเองก็เล่นได้อย่างสูสีและน่าจะได้อย่างน้อยที่สุดก็ 1 แต้มกลับไวท์ ฮาร์ท เลน

ขาดก็แต่ “โชค”ที่บุกเยอะแต่ “ปิดบัญชี” แมนฯยูฯ ไม่ได้เองจึงต้องยอมรับสภาพ ความพ่ายแพ้ไปอีกครั้ง หลังโดนประตูโทนสุดสวยของ นานี่ไปในนาทีที่ 69

ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ หัวหอกตัวความหวังน่าจะทำได้สักประตูจากจังหวะ สองถึงสามครั้งในเกมนี้ หลังจากที่เจ้าตัวมีโอกาสเยอะที่สุดในเกมนี้

ส่วนตัวแล้วผมจะข้องใจกับจังหวะ “แฮนด์ ไม่ แฮนด์ “ ของ เวส บราวน์ อยู่เล็กน้อยครับ

นานแค่ไหนแล้วที่ แมนฯยูฯ ของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันไม่เสียจุดโทษในบ้าน…อันนี้ผมจำไม่ได้จริงๆ
ผมมานั่งนึกย้อนกลับ ในจังหวะเดียวกัน หากเป็นนักเตะสเปอร์ส และยังเสมออยู่ที่ 0-0 ผมอยากรู้ว่า กรรมการในเกมนี้ อย่าง ฮาวเวิร์ด เว็บบ์ จะเป่าเป็นลูกแฮนด์บอลและให้จุดโทษกับทางฝั่งแมนฯยูฯ หรือไม่ ?

ครับ เกมจบลงไปแล้ว แมนฯยูฯ ได้ 3 คะแนนแรกที่ต้องการไป ขณะที่สเปอร์สมีเกมที่ดี ไม่เป็นรอง แต่ไม่มี
แต้มกลับบ้าน
แต่นี้แหละครับ ฟุตบอล ไม่ทีมก็ทีมหนึ่งต้องรู้สึก “ผิดหวัง” มันเป็นเรื่องธรรมดา…

3 comments:

Anonymous said...

เกมเพิ่งจะเริ่มต้นเอง...

ถ้าสเปอร์รักษาฟอร์มได้ แบบที่เล่นกับแมนยูในอาทิตย์ที่แล้ว

วันหน้าฟ้าใหม่...

ก็อาจเป็นวันของ สเปอร์นะ

สู้ดิ

ธานคับ said...

อิจฉาคุณเอกจริงๆครับ ได้ดูบอลติดขอบสนาม

เอก อุดมสุข said...

ไว้ได้ไป สเปอร์ส จะมาเล่าสู่กันฟังครับ :)

คุณธานขยันเขียนมากเลยครับ แจ๋วจริงๆ เข้าไปอ่านเกือบทุกวันเลย แต่ไม่ค่อยได้เมนต์ ^_^
แต่อ่านแล้วมันส์ดี อารมณ์แฟนไก่เหมือนกัน