Sunday 27 April 2008

ความรู้สึกดีๆ

ปีนึงแล้วสิน่ะ ที่เรารู้จักกันมา
ปีนึงแล้ว ที่ยังไม่ได้เจอหน้า
แวะพักไหล่ทาง ไปเจออะไรมากมายมาหลายอย่าง ช่วงที่ผ่านมา
เและ ชีวิตเราสองคนก็แยกย้ายกันไปตามทาง

แต่เข็ม นาฬิกาเวียนกลับมา เรากลับมาบรรจบกันอีกครั้ง...

ความรู้สึกของเราไม่เคยเปลี่ยน
เธอยังดีกับผมเหมือนอย่างเคย
ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจที่มีให้ รู้สึกดีจริงๆ ^^
มีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกเยอะเลย

แปลกน่ะ ที่เรามองข้ามคนที่รักเรามาตลอด......

Thursday 24 April 2008

เรดดิ้ง หลังเกมที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม


เห็นฟอร์มการเล่นของเรดดิ้งเมื่อ วันเสาร์ ที่ผ่านมา ในเกมกับอาร์เซนอลที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม + การให้สัมภาษณ์หลังเกมของ สตีฟ คอปเปลล์ที่ ทำหน้าเหมือนหมด อาลัยตาย อยากรวมกับ การเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นถึง 7 คนจากนัดก่อนที่เจอกับฟูแล่ม และพ่ายไป 0-2 คาบ้านตัวเอง ผมเชื่อว่าเรดดิ้ง กำลังสับสน ในตัวเองอย่างแรงครับ

ยิ่งถ้าใครได้ชมเกมที่พวกเค้าเจอกับฟูแล่ม ทีมที่กำลังดิ้นหนีตกชั้นเช่น กันในอาทิตย์ก่อนด้วยจะยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่า นักเตะเรดดิ้งเล่นราว กับว่าปีนี้พวกเค้าสบายๆ ลอยตัวไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว

หารู้มั้ยว่าหายนะกำลังจะมาเยือน เพราะตอนนี้มีแต้มเหนือ เบอร์มิงแฮมทีมในอันดับ 18 แค่เพียง 1 คะแนน!!

ขณะที่จับรถไฟไปที่สนามของอาร์เซนอล ผมนั่งนึกเล่นๆ ครับว่าเกมนี้เรดดิ้งอาจจะมีฮึดลุ้น สักแต้มกลับถิ่นมาเดจสกี้ สเตเดี้ยม เพราะอาร์เซนอลนั้นเพิ่งจะเสียศูนย์มา และความเชื่อมั่นอาจจะโดนบั่นทอนลดน้อยลงไปได้

แต่จากที่ดูขุนพลทีมปืนโตเล่นในเกมนี้แล้ว ต้องยอมรับครับว่า ความผิดหวังจากการพลาดทุกถ้วย ในซีซั่นนี้ของพวกเค้าไม่ได้ทำให้เด็กของอาร์แซน เวนเกอร์เสียความเชื่อมั่นแม้แต่น้อย เพราะตลอดทั้งเกมนั้นเป็นฝ่ายควบคุมทุกอย่างได้หมด และสกอร์ 2-0 ที่ออกมานั้นดูจะน้อยไปด้วยซ้ำหากโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และธีโอ วัลคอตต์ ที่เด่นสุดๆ ในเกมนี้ไม่ซัดไปโดนคานคนละหนึ่งครั้ง และจังหวะอีกนับไม่ถ้วนที่พวกเค้านั้น สร้างสรรค์โอกาสแต่จบกันไม่ลงเอง

"จุดอ่อน" เดียวของในเกม อาร์เซนอล ที่ผมพอจะมองเห็นได้ในเวลานี้ก็คือการใช้โอกาสเปลืองมากๆ กว่าจะสกอร์ได้

อย่างไรก็ดี หากว่าอาร์เซนอลแก้ไขปัญหานี้ได้ในสนาม และเดินหมาก "นอกสนาม" ตามคำแนะนำ ของกูรูลูกหนังหลายๆ ราย และอดีตตำนานอีกหลายคน ของอาร์เซนอลที่หวังจะเห็นเวนเกอร์ Add strength in depth ให้ทีมด้วยการดึง "บิ๊กเนม" มาเพิ่มอย่างน้อยๆ 3 รายในช่วงปิดฤดูกาล + รั้งนักเตะที่มีข่าวจะย้ายทีมอย่าง มาติเยอ ฟลามินี่ และอเล็กซานเดอร์ เคล็บ ให้อยู่เป็นแกนหลักได้ต่อแล้ว โอกาสที่ทีมชุดนี้ของ เวนเกอร์จะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในปี 2004 ที่สร้างปรากฏการณ์ The Invicibles หรือ "เธอผู้ไม่แพ้" ก็จะมีโอกาสไม่น้อยเลย

ย้อนกลับมาที่เรดดิ้งทีมของสตีฟ คอปเปลล์ที่ ปีที่แล้วสามารถเซอร์ไพรส์ทุกฝ่ายด้วยการจบอันดับ 8 ในตาราง พรีเมียร์ชิพทั้งๆ ที่เพิ่งเลื่อนขึ้นมาจาก เดอะ แชมเปี้ยนชิพลีก อีกทั้งฟอร์มตลอดฤดูกาล ของพวกเค้าก็แข็งแกร่งเหลือเชื่อ
ชื่อของนิกกี้ ชอรีย์, สตีเฟ่น ฮันท์, สตีฟ ซิดเวลล์ หรือลีรอย ริต้า เริ่มเป็นที่ติดหูของแฟนฟุตบอล พรีเมียร์ชิพมากขึ้น โดยเฉพาะในรายของซิดเวลล์ และชอรีย์ที่รายแรกยอมไปนั่งสำรองนับเงินไปวันๆ กับเชลซีขณะที่ชอรีย์ก็ก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษได้จากฟอร์มที่สม่ำเสมอกับสโมสร

แต่ฟุตบอลก็เหมือนกับทุกๆ สิ่งบนโลกใบนี้ที่ต้องมีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด หากไม่อยากที่จะ "ตกต่ำ" หรือ "ย่ำอยู่กับที่"
เมื่อตอนต้นฤดูกาล จำได้ว่ามีข่าวหนึ่ง ที่ทำให้ผมสะดุดตาได้เล็กน้อยเกี่ยวกับเรดดิ้ง

"สตีฟ คอปเปลล์ พอใจแค่ไหนกับซีซั่นที่ผ่านมา และมีเป้าหมายอย่างไรกับซีซั่นใหม่ที่จะเริ่มขึ้นนี้ ?" เป็นคำถามสำคัญคำถามหนึ่งที่สื่อมวลชนยิงไปที่อดีตนักเตะแมนฯยู ไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ

เท่าที่จำได้คร่าวๆ คอปเปลล์ตอบไปประมาณว่า "ขอแค่อยู่รอด ยังเป็นเป้าหมายหลักเรดดิ้ง"

ครับฟังดูเผินๆ + เท่าที่ได้เห็นบุคลิกตัวเป็นๆ ของเจ้าตัวในการให้สัมภาษณ์มาแล้ว ดูเหมือนว่า คอปเปลล์ จะเป็นคนประมาณตนเอง และ Realistic หรือมองโลกด้วย ความเป็นจริงมากๆ คนหนึ่ง แต่หากมองใน แง่ Ambition หรือความทะเยอทะยาน ในความสำเร็จว่ามีมากน้อยแค่ไหน ผมคงไม่ต้องอธิบายต่อนะครับ

และอย่างที่รู้ๆ กันครับว่า ฟอร์มซีซั่นนี้ของเรดดิ้งกลายเป็นหนังคนละม้วนเลย หลายต่อหลายเกมที่พวกเค้าลงเล่นในถิ่นมาเดจสกี้ สเตเดี้ยม ของตัวเองแท้ๆ ก็ยังกล้าแพ้ทีมที่ไม่น่าจะแพ้ (อย่างเช่น ฟูแล่ม เป็นต้น) โดยสาเหตุหลักๆ ที่ผมพอจะมองเห็นได้ก็คือ

หนึ่ง สไตล์การเล่นที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือเพิ่มความหลากหลายขึ้นมาเลย
สอง คอปเปลล์เสริมทีมน้อยมาก ในฤดูกาลนี้โดยซื้อนักเตะมาแค่ 5 คน (มาเร็ค มาเตยอฟสกี้, คาลิฟา ซิสเซ่, อังเดร บิเคย์, เลียม โรซีเนียร์ และอีเมอร์สัน เฟย์) และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาก็ออกมาเปิดเผยครับว่า เป็นความผิดพลาดของเค้าเองที่ไม่ยอมเสริมทีมในช่วงตลาดเปิดเดือนมกราคม เนื่องจากว่า "มั่นใจ" ในนักเตะที่มีอยู่และคิดว่าเด็ก ๆ จะทำได้ดีกว่านี้

ที่เด็ดกว่านั้นก็คือ การที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์หลังเกม กับอาร์เซนอลใน Press conference room แบบสดๆ ว่า จนถึงตอนนี้ตัวเค้าเองยังไม่รู้เลยว่าใครคือ 11 คนที่ดีที่สุด!!

ตอนแรกคิดว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า แต่จากที่เช็ก ข่าวการให้สัมภาษณ์ต่อในเว็บไซต์ คอปเปลล์พูดแบบนี้จริง ๆ ครับ โดยแกให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า จัดทีมตามความเหมาะสมของแต่ละนัด

มีอย่างที่ไหน ครับเล่นกันมาถึงนัดที่ 35 แล้วยังหาทีม ที่ดีที่สุดไม่ได้ และ 3 นัดที่เหลืออยู่นี้ ก็ถือเป็นช่วง "หัวเลี้ยว หัวต่อ" ของทีมว่าจะอยู่หรือไป แต่คนเป็นกุนซือกลับยังสับสนในชีวิต และเปลี่ยนทีมในแต่ละนัดอุตลุดแบบนี้

อย่างไรก็ดี เรดดิ้งมีข่าวดีขึ้นมาหน่อยตรงที่ คอปเปลล์ตัดสินใจดึง ลีรอย ริต้า กลับมาจากชาร์ลตันเพื่อ แก้วิกฤติในแนวรุก หลัง 4 นัดยิงใครไม่ได้เลย โดยแพ้ไป 3 เสมอ อีก 1

สามนัดที่เหลือนั้นเรดดิ้ง ต้องไปเยือนวีแกน (26 เมษายน) เล่นในบ้านพบสเปอร์ส (3 พฤษภาคม) และเตะนัดสุดท้ายด้วยการไปเยือนดาร์บี้ (11 พฤษภาคม) พวกเค้าควรจะชนะ 2 นัดเป็นอย่างน้อย เพื่อการันตีการอยู่รอดโดยไม่ต้องลุ้นผลการแข่งขันจากทีมที่หนีตกชั้นด้วยกันอย่าง ฟูแล่ม, เบอร์มิงแฮม และโบลตัน

สรุปแล้ว หากดูจากโปรแกรมที่เหลือยู่ของเรดดิ้ง+ ผลงานสุดบู่ของเบอร์มิงแฮมในเกมล่าสุด (โดนแอสตัน วิลล่าอัดไป 5-1) ผมถือว่าพวกเค้าไม่ได้เจองาน ที่ยากมาก และโอกาสในการรอดตกชั้นนั้นมีมากกว่า 70%

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูด้วยว่าคอปเปลล์จะไม่เปลี่ยนทีมซี้ซั้วอย่างในช่วง 3-4 นัดที่ผ่านมา !!

Wednesday 16 April 2008

เวนเกอร์คือจุดอ่อน


เห็นฟอร์มอาร์เซนอลในเกมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ผ่านมาแล้วบอก ได้คำเดียวครับ ปวดใจแทน อาร์แซน เวนเกอร์ และแฟนบอลอาร์เซนอลเหลือเกิน
สกอร์ไลน์1-2 หลังจบเกม โดยที่ออกนำแมนฯยูฯ ของเซอร์อเล็กซ์ไปก่อนนั้น เหมือนเป็นหนัง ที่ฉายซ้ำวนเวียนหลอกหลอนเหล่าขุนพลทีมปืนโตอีกครั้งหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเค้าก็ออกนำเชลซีไปก่อน ที่จะโดนแซงกลับมาชนะในสกอร์เดียวกัน อีกเช่นกันในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ยิงนำไปก่อนแต่สุดท้าย นิยายน้ำเน่าเรื่องนี้ ก็จบแบบไม่แฮปปี้เอนดิ้งแฟนอาร์เซนอลเท่าไร เพราะเล่นดี มีสไตล์ แต่ไร้แชมป์ติดมือ


ย้อนกลับไปเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ ทีมปืนโตนั้นนำที่สองอย่างแมนฯยูไนเต็ดอยู่ถึง 5 คะแนน และทิ้ง "สิงห์ไฮโซ" เชลซี 8 คะแนน แต่ ณ เวลาที่เพิ่งผ่านล่วงเลยมาแค่สองเดือนเศษๆ สถานการณ์ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด ถึงเวลานี้สถานการณ์อาร์เซนอลนั้น ตามตูดลูกทีมของป๋าเฟอร์กี้อยู่ถึง 9 คะแนนโดยที่เหลือเกมให้ลงเตะอีกเพียงแค่ 4 นัด!!


ครับ ผมกำลังจะบอกว่าการที่พวกเค้า ไม่สามารถเก็บชัยชนะเหนือทีมอสูรแดงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้นั้น ทำให้ฤดูกาลนี้ของพวกเค้าถึงกาลอวสานอย่างเต็มตัวแล้ว และคนที่ต้องรับผิดชอบกับผลงาน สุดบู่ที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ เค้าคนนั้นที่ผมกำลังอยากพูดถึงก็คือ อาร์แซน เวนเกอร์ ขงเบ้งลูกหนังชาวฝรั่งเศสนั่นเอง


ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมถึงชี้นิ้ว "โยนความผิด" ความล้มเหลวของอาร์เซนอลในปีนี้ให้เวนเกอร์แทน ที่จะเป็นนักเตะอย่าง วิลเลี่ยม กัลลาส ที่บกพร่องในการเป็น "ผู้นำ" ที่ห่วยแตกที่สุดในรอบหลายสิปปีของสโมสร หรือ ฟิลลิปส์ เซนเดอร์รอส อีกหนึ่ง"บ่อน้ำมัน" ที่ตอนนี้ สตินั้นกระเจิงหลังเกมพ่ายลิเวอร์พูล และสภาพของจิตใจ นั้นบอบช้ำเกินกว่าจะ กลับมาเล่นนัดที่เหลืออยู่ให้อาร์เซนอลได้อีก


ส่วนตัวนั้นผมชื่นชมความสามารถ อันเอกอุในการคุมทีม ของเวนเกอร์มากนะครับ ไม่ว่าจะเป็น สายตาอันแหลมคมในการเลือกดาวรุ่งหลาย ต่อหลายรายมาปั้นจากดินให้เป็นดาวในเวที ลูกหนังโลก แท็กติกส์ และสไตล์การทำทีมก็ทำได้อย่างมีเอกลักษณ์ในตัวเอง เพราะอาร์เซนอลไม่ว่าจะกี่ยุคต่อกี่ยุคภายใต้การคุมทีมของเวนเกอร์ ก็เล่นได้สวยงาม และเอนเตอร์เทนคนดูให้เหมือนถูกต้องมนต์สะกด และทำให้ใครต่อหลายคนแม้จะไม่ได้เชียร์ หรือชื่นชมทีมปืนโตก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากดูพวก ขุนศึกของเวนเกอร์ลงร่ายมนต์ในสนาม


แต่ดั่งที่คำโบราณเคยว่าเอาไว้ครับ ว่า "สวยแต่รูป จูบไม่หอม" เปลือกนอกนั้นสวยงามน่าหลงใหล ใครๆ ก็อยากจะเด็ดมาดอมดม แต่หารู้ไม่ว่าข้างในลึกๆ แล้วอาจจะไม่ได้สวยงาม และน่าชื่นชมอย่างที่คิด
ภาพความแตกความสามัคคีของสองหัวหอกของทีมอย่าง นิคลาส เบนดท์เนอร์ และเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ในเกมกับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ที่ทะเลาะกันในสนามจนเป็นเรื่องราวนั้นคาดว่ายังคงฝังลึกอยู่ในใจแฟนบอลปืนใหญ่ เพราะนอกจากสกอร์ที่พ่ายไป 5-1 จะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้คนที่ตามเชียร์แล้ว "ทีมสปิริต" ที่อดีตเคยเป็น "ปัจจัยแห่งความสำเร็จ" มาตลอดของทีมได้สลายหายไปจากทีมอาร์เซนอลชุดนี้


การออกมา "กัด" กันเองต่อหน้าสื่อมวลชนของ เยนส์ เลห์มัน ที่คอมเมนต์ มานูเอล อัลมูเนีย อย่างสาดเสียเทเสีย แบบนับครั้งไม่ถ้วนประหนึ่งว่าไม่ได้มองผิดความพลาดของตัวเองในช่วงต้นฤดูกาลที่ทำพลาดง่ายๆ จนเป็นเหตุให้เพื่อนร่วมทีมรุ่นน้อง ถึงกับ "ระอา" ในพฤติกรรมของเลือดเยอรมัน และออกมาขอร้องในเชิงให้เจ้าตัวรูดซิปปาก และตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม และพิสูจน์ตัวเองในการเป็นมือหนึ่งให้ได้น่าจะเป็นที่การแสดงออกของคนที่เป็นมืออาชีพมากกว่า
ไหนจะการลงไปนั่งหมดอาลัยตายอยากของกัปตันทีม อย่าง กัลลาส หลังเกมที่เซนต์ แอนดรูว์ส หลังทีมทำได้แค่เสมอเบอร์มิงแฮม 2-2 รวมไปถึงการออกมาวิจารณ์ ธีโอ วัลคอตต์ นักเตะรุ่นน้องในทีมว่าเล่นบอลไม่ค่อยมีลูกพลิกแพลงใหม่ๆ และถูกดักทางได้ง่าย ข่าวความไม่พอใจในพฤติกรรมของหัวหน้าทีมรายนี้ นั้นมีออกมาเรื่อยๆ จนไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวเต้าเพราะตอนหลังกองหลังเลือดเฟรนช์ ก็ออกมายอมรับเองว่าไม่ค่อยจะมีเพื่อนที่สนิทเท่าไรที่อาร์เซนอล


ก็จะไม่ให้เค้า "แบน" คุณได้ยังไงล่ะครับ ผมแอบคิดในใจหลังเห็นคอมเมนต์ล่าสุดของเจ้าตัวที่ติสต์แตกกับสื่อในเชิง ที่ว่าเค้านั้นเกิดมาเพื่อเป็นนักล่าความสำเร็จอย่างแท้จริง และอาร์เซนอลกับฟุตบอลสไตล์เล่นดีแต่ไม่ประสบความสำเร็จที่เป็น รูปธรรมนั้นก็ควรที่จะต้องเปลี่ยนแนวคิดเรื่อง "ปรัชญา" การเล่นเสียใหม่นับตั้งแต่ต้นฤดูกาลเป็นต้นไป


น้าน....นอกจากหน้าตา (ที่เหมือนกบโดน Teen เหยียบเวลาอ้าปากกว้าง ๆ ^^) และทรงผมจะประหลาดแล้วเนี่ย ความคิดแก ก็ประหลาดไม่แพ้หน้าตานะครับ เพราะคราวนี้ถึงขนาดเริ่มปีนเกลียวกล้าไป วิจารณ์ปรัชญาการทำทีมของเวนเกอร์ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการไปชี้หน้าด่า เจ้านายตัวเองต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้


ผมไม่รู้เหมือนกันครับว่า เวนเกอร์จะออกมาแก้ต่าง ให้กัลลาสอย่างที่เคยทำหรือเปล่า รู้แต่ว่าความแตกร้าวในทีมที่เกิดขึ้น + ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในฤดูกาลนี้ ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นจากการที่เวนเกอร์ ประเมินค่าทีมตัวเอง "สูงเกินจริง" และประมาท คู่ต่อกรในการชิงแชมป์อย่าง แมนฯยูฯ และเชลซีมากไปหน่อย


เรื่องแรกเลยก็คือการที่ "ตระหนี่" จนเกินเหตุ ไม่ยอมซื้อบิ๊กเนมสักรายสองรายมาเสริม ในช่วงที่เปิดตลาดเดือนมกราคม ทั้งๆ ที่บอร์ดนั้นก็โยนเช็คบุ๊กมูลค่าประมาณ 70 ล้านปอนด์ที่ได้จากกำไรปันผลประจำปีของสโมสร โดยอ้างว่าศักยภาพของทีมที่มีอยู่ในตอนนั้นสามารถประสบความสำเร็จได้ แต่พอถึงช่วง กลางๆ กึ่งท้ายฤดูกาล นักเตะอย่าง โทมัส โรซิคกี้, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และเอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา บาดเจ็บ อาร์เซนอลไม่มีตัวทดแทน และนี้เป็นหนึ่งใน "สาเหตุหลัก" ที่ทำให้พวกเค้าต้อง "แห้ว" ทุกถ้วยในซีซั่นนี้


สอง แต่งตั้งวิลเลี่ยม กัลลาสเป็นกัปตันทีมโดยไม่ได้มองว่า "คุณสมบัติ" เจ้าตัวมีเพียงพอที่จะพาทีมผ่านช่วงคับขัน +สถานการณ์กดดัน และบีบหัวใจได้หรือไม่ อีกทั้งยังเลือกมองข้าม "แบ็กกราวด์"ของกองหลังชาวฝรั่งเศสรายนี้ว่า "แสบ"ขนาดไหนตอนอยู่กับเชลซี (เคยขู่ว่าอาจจะยิงประตูตัวเอง ถ้าเชลซีไม่ปล่อยให้ย้ายทีม + บ่นอิดออดที่มูรินโญ่จับไปยืนแบ็ก) สุดท้ายกัลลาสแทนที่จะประคองเด็กๆ ในทีม กลับเล่นได้ "เขลา" ซ้ำ ยังพลาดทำแฮนด์บอลซะเองในเกมล่าสุด และไม่ได้แสดงคาแรกเตอร์ของผู้นำที่ดีให้เห็นกันเลยตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนี้ต่อจาก จิลแบร์โต้ ซิลวา


สุดท้าย เวนเกอร์ แม้จะขึ้นชื่อว่าสุดยอดในการดึงศักยภาพ ผู้เล่นออกมาใช้ได้ดี อีกทั้งการวางหมากแก้เกมส์ก็ไม่เป็นรองทั้ง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อัฟรัม แกรนต์ แต่ด้วยองค์ประกอบ หลายๆ อย่างที่ผมยกมาเขียนในฉบับนี้ เมื่อนำแต่ละอย่างมารวมๆ กัน จะพอเห็นภาพรวมนะครับว่า แค่เล่นได้สวยงาม แต่ขาดผู้นำที่ดี, กำลังสำรองที่ดี และสปิริตในทีมที่ดีแล้วนั้น ทีมก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ


ดังนั้นเวนเกอร์ควรต้องยอมลดทิฐิตัวเองลงอีกนิด และรับความจริงที่ว่า อาร์เซนอลไม่มีแชมป์ใด ๆ ติดมือมาจะ 3 ปีแล้ว ฉะนั้นแนวคิดที่จะรอเด็กๆ ชุดนี้โตเต็มที่ทั้งกาย ใจ และยัง หากจะดื้อดึงไม่ยอมเสริมทัพให้แกร่งทั่วแผ่น อย่างแมนฯยูฯ หรือเชลซี + เปลี่ยนกัปตันทีมในซีซั่นหน้าแล้วละก็


คนที่เป็น "จุดอ่อน" ของทีมก็ไม่ใช่ทั้ง กัลลาส, คู่กรณีอย่าง เบนด์เนอร์ - อเดบาร์ยอร์ หรือ "บ่อน้ำมัน" อย่างฟิลลิปส์ เซนเดอร์รอสหรอกครับ แต่จะเป็นตัวอาร์แซน เวน- เกอร์ เองมากกว่าครับ

Wednesday 9 April 2008

ทัวร์เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ชมหนังคั่นเวลา กับ "ไทเกอร์ เบียร์"


วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมโชคดีต้อนรับวันปีใหม่ไทย หรือสงกรานต์ที่จะมีขึ้น ในอีกอาทิตย์จริงๆ ครับหลังเด็กบ้านนา ในต่างแดนอย่างผมมีโอกาสได้ไปดูบอล คู่ อาร์เซนอล-ลิเวอร์พูล ภาค 2 กับคณะของ Tiger Beer ประจำกรุงลอนดอน ที่ได้พาทัวร์ Museum ทานอาหารอร่อยๆ ใน Club membership canteen และได้ที่นั่งดูบอลวิวดีๆ หลังโกล์ฝั่งเจ้าบ้านเป็นกำไรชีวิต โดยงานนี้ต้องขอบคุณ มิสเตอร์อลัน โกร์ดี้ (Alan Gourdie) Managing Director และมิสเตอร์ อิง ฮอค อุย (Eng Hock Ooi) Business development ชาวสิงคโปร์ที่มอบโอกาสดีๆ ในครั้งนี้ให้ ผมได้เข้าไปร่วมแจม
ฟุตบอลไตรภาคนัดที่ 2 ระหว่างอาร์เซนอล-ลิเวอร์พูลที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้นเหมือน จะมีความนัยอะไรหลายๆ อย่างที่บอกให้แฟนอาร์เซนอลได้รับรู้ "เป้าหมาย"ล่าสุดของขุนพล ทีมปืนโต นั่นก็คือการที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ขงเบ้งลูกหนังชาวฝรั่งเศสเหมือนจะยกมือ โบกธงโยนผ้าขาวเป็นนัยๆ แล้วว่า พรีเมียร์ชิพในซีซั่นนี้ของพวกเค้า เป็นอะไรที่เหมือนไกลเกินเอื้อมจะไขว่คว้า
การจัดทัพนัดล่าสุดอย่างที่ท่านผู้อ่านคงจะประจักษ์ในสายตากันแล้วว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงไม่ได้อิงนิยาย เพราะชุดนักเตะล่าสุดที่เวนเกอร์ส่งลงสนามนั้นเหมือนจะไม่อยากได้ 3 คะแนนในบ้านตัวเองอย่างไงอย่างงั้น !!
นักเตะอย่าง เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ และตัวหลักอีกสองรายถูกทิ้งไว้ที่ข้างสนาม (กาแอล กลีชี่ และ อเล็กซานเดอร์ คเล็บ) โอเค...จริงอยู่แฟนอาร์เซนอลอาจจะเถียงว่าชุด ที่ส่งลงสนามไปโดยรวมก็ถือว่า ไม่ขี้เหร่เนื่องจาก ขุมกำลังนักเตะที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ถามหน่อยครับว่า หาก อเดบายอร์ และ คเล็บลงกันตั้งแต่ต้นเกม ทีมสำรองของลิเวอร์พูลที่ เอล ราฟา จัดมานั้นมีศักยภาพเพียงพอหรือที่จะบุกมายันเสมอทีมปืนโตชุดใหญ่ ??

อย่างน้อยๆ ผมก็คนหนึ่งล่ะครับ ที่ไม่เชื่อว่าลิเวอร์พูล จะเอาอาร์เซนอลอยู่หากนักเตะทีมปืนโตลงสนามด้วย Winning mentality หรือจิตวิญญาณที่จะเอาชนะในเกมนี้
อาร์เซนอลลงเล่นแบบ Half-heart หรือ "ครึ่งใจ" ไม่ใส่ลูกฮึดมา ให้หมดทั้งๆ ที่เล่นในบ้านตัวเอง หนำซ้ำยังโดน ปีเตอร์ เคราช์ Man of the match ในใจผมประจำเกมนี้ ยิงให้ทีม "หงส์ขี้เหร่" ออกนำไปก่อนด้วย ก่อนหมดครึ่ง แรกเพียง 3 นาที จนทำให้แฟนๆ อาร์เซนอลในสนามนั้น รับไม่ได้กับรูปเกมในครึ่งแรก และระบบ 4-5-1 และกำนัลทีมรักด้วยเสียงโห่ใน ช่วงที่กรรมการเป่าจบเกมในครึ่งเวลา แรก

จะว่าไปก็ถือว่าน่าเห็นใจแฟนบอล อาร์เซนอลไม่น้อย เพราะหากย้อนไปเมื่อ 12 อาทิตย์หรือ 3 เดือนที่แล้วทีมรักของพวกเค้านั้นยังมีลุ้นอยู่ครบ 4 รายการ แต่จากการที่ทีมปืนใหญ่นั้นเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 2 จาก 10 นัดล่าสุด มันก็ไม่น่าแปลกใจครับว่าทำไม สถานการณ์ตอนนี้มัน ถึงได้กลับตาลปัตร ดังนิยายน้ำเน่าได้ถึงเพียงนี้ และอาร์เซนอลนั้นไปๆ มาๆ พรีเมียร์ชิพก็กำลังจะหลุดมือไปต่อหน้าต่อตาแบบ น่าเขกกะโหลกตัวเองเหลือเพียงถ้วยแชมป์เปี้ยนส์ ลีก เท่า นั้นที่พวกเค้ายังจะพอได้ลุ้น "ความสำเร็จ" ที่เป็นรูปธรรม (ตอนนี้ทุกท่านคงทราบแล้วว่า ทีมกันเนอร์สจะแห้วทุกถ้วยหรือเปล่า)
หลังจากโดนแฟนบอลโห่ไปในช่วงท้ายครึ่งแรก ครึ่งหลังเริ่มต้นมาได้เพียง 9 นาที นิคลาส เบนด์ทเนอร์ "สไตร์ เกอร์เกรด B" ก็ยิงประตูกู้หน้าให้อาร์เซนอลไม่ให้แพ้คาบ้านได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีผลงานโดยรวมของ หัวหอกวัยรุ่นชาวเดนมาร์ก รายนี้สำหรับ ฟุตบอลระดับที่ชี้เป็นชี้ตายแล้วนั้น เจ้าตัวยังไม่ใช่ "คำตอบสุดท้าย" ให้อาร์เซนอล เนื่องจากในเกมนี้ก็มีอีกสองสาม จังหวะ ที่น่าจะปิดสกอร์ได้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทำได้ดีกว่านี้

เกมโดยรวมในครึ่งหลังนั้น บอกตรงๆ ครับว่าแม้อาร์เซนอล จะยกระดับการเล่นได้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่จากการที่เด็กยังกันส์ชุดนี้นั้นตรากตรำ ทำศึกหนักมาตลอดทั้งฤดูกาล และ Strength in Depth นั้นมีน้อยเหลือเกิน นักเตะหลายๆ คนในเกมนี้อย่าง ฟรานเชสก์ ฟาเบรกาส และมาติเยอ ฟลามินี่ สองจอมทัพในแดนกลางของอาร์เซนอล สภาพร่างกายทั้งคู่ดูกรอบไปเยอะ และการเคลื่อนไหวหา พื้นที่ในจังหวะที่ฝั่งตัวเองได้ครอบครองบอลก็ออกอาการขาตาย วิ่งไม่ออกอย่างเห็นได้ชัด

ในเกมรับเวลาที่เสีย การครอบครองบอล พละกำลังที่ใช้วิ่งไล้บี้ กองกลางหงส์แดงก็ยิ่งแล้วใหญ่ หลายจังหวะครับที่ แอบเห็นฟลามินี่วิ่ง ๆ อยู่ก็ผ่อนคันเร่ง หมดแรงไปดื้อ ๆ แทบจะเดินตามเดเมียน เปลสซีส์ กองกลางดาวรุ่งแววดีชาวฝรั่งเศส ที่เกมนี้ถือว่าเปิดซิง ในทีมชุดใหญ่ได้ยอดเยี่ยมมากๆ เพราะไม่มีลูกประหม่าให้เห็นเลย

ในช่วงท้ายเกม สุดท้ายแล้ว เวนเกอร์ ต้องเปลี่ยนเอา อเล็กซานเดอร์ คเล็บ ลงมาแทน ฟลามินี่ในนาทีที่ 80 หวังจะเพิ่มความสดในเกมรุกหลังจากก่อนหน้านั้นก็ต้องเอาอเดบา ยอร์ลงสนามมา และวูบวาบใช้ได้ทีเดียว แต่ก็ทำได้แค่เสียวครับ ไม่มีสกอร์เกิดขึ้นในช่วงที่เหลือ ผลจึงจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1 จบนิยายภาค 2 ไปแบบไม่เซอร์ไพรส์คนดูที่เห็นไลน์อัพก็รู้ว่าดูจะไม่เน้นสักเท่าไรกับเกมในวันนี้

ส่วนประเด็นจุดโทษท้ายเกมจากคอมเมนต์ของเวน เกอร์ที่ออกมาติง ฟิล ดาวด์ ผู้ตัดสินในเกมนี้ นั้นถือว่าเป็นคอมเมนต์ที่ฉลาดครับ เพราะเป็นการกดดันผู้ตัดสินในเกมต่อไปในตัวหากมีจังหวะ 50-50 ที่อาร์เซนอลนั้นโดนทำฟาวล์อีก ไม่แน่นะครับ เราอาจได้เห็นจุดโทษในเกมต่อไปก็ได้ เนื่องจากว่าลิเวอร์พูลนั้นถือว่า "โชคดีสุดๆ" ที่ไม่เสียจุดโทษในสองเกมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี อาร์เซนอลก็โชคดีสุดๆ เช่นกันในเกมนี้ ที่อังเดร โวโรนิน มีสองจังหวะเหน่งๆ แต่ยิงไม่คมพอ ไม่ อย่างนั้นแล้วหนัง ภาคสองของ ไตรภาคนี้อาจจะ จบลงด้วย โศกนาฏกรรมของเจ้าบ้านก็เป็นได้

สำหรับวันอังคาร ที่ผ่านไปนี้ "ไตรภาค"ระหว่างอาร์เซนอล และลิเวอร์พูลก็ถึง "บทสรุป"เสียที ทีมปืนโตนั้นแม้หลายๆ ฝ่ายจะมองว่าเสียหายเล็กน้อย ที่เสมอในบ้านตัวเองมา 1-1 เนื่องจากอย่างน้อยต้องยิงสัก ประตูเพื่อไม่ให้โดนกฎ Away goal เล่นงาน อย่างไรก็ดี จำกันได้ใช่มั้ยครับว่า สปิริตที่แรงกล้า ของกันเนอร์สชุดนี้บุกไปทุบ เอซี มิลาน ที่ซานซิโร่มาแล้ว

เกมตัดสินชะตาของทั้งสองทีมใน วันอังคารนี้ผมจึงมองว่าเป็นเกมระดับ 5 ดาวที่ออกได้สามหน้า แต่ลิเวอร์พูลนั้นทำได้ดีมากๆ กับสองนัดที่ผ่านมาในการมาเยือนที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ดังนั้นเกมนี้ที่จะ กลับมาเล่นที่ถิ่นแอนฟิลด์ ลึกๆ แล้วผมจึงเลือกยืนข้างหงส์แดงของ "เอล ราฟา"...ผิดถูกอย่างไร ผมก็เชื่อว่า "คุ้มค่า" สำหรับการติดตามชมของทุกคนใช่ไหมครับ!!

Wednesday 2 April 2008

นิวคาสเซิลในวันฟ้าหลังฝนและบทบาทใหม่ของโอเว่น


ในที่สุดช่วงเวลาที่ผมเฝ้านับวัน รอคอยก็มาถึงจนได้เมื่อ ประเทศอังกฤษ มีการปรับเปลี่ยนเวลา ให้เร็วขึ้นมาอีก หนึ่งชั่วโมง ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ช่องว่าง ของเวลา ระหว่างอังกฤษ และไทยเราต่างกันเหลือแค่ 6 ชั่วโมง และชาวอังกฤษก็จะมีช่วง Day time หรือเวลากลางวัน มากขึ้นต้อนรับ Summer time อย่างเป็นทางการเสีย ทีในช่วงโค้งสุดท้าย ของฟุตบอล พรีเมียร์ชิพ
และไอ้การ เปลี่ยนเวลาเนี่ยแหละครับ ทำผมเกือบ พลาดชมเกม สเปอร์ส-นิวคาสเซิลที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลน เนื่องจากว่าดันลืมปรับเวลา ตามเช้าบ้านเค้า จึงมัวแต่นั่งทำกับข้าว สบายใจเฉิบไม่รีบไม่ร้อนไปสนาม กว่าจะมาสะดุ้งรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เพื่อน รูมเมตที่แชร์บ้านอยู่ด้วยกันถามว่า "นี่มรึงไม่ไปดูบอลเหรอ" เท่านั้นแหละ ครับ วิ่งหางจุกตูดไปขึ้น Train แทบไม่ทัน ^^

มาเข้าเรื่องเกม สเปอร์ส-นิวคาสเซิลกัน ดีกว่าครับ เกมนี้กุนซือของทั้งสองทีมต่างก็ชื่นชอบในการจัด ทีมแบบเน้นเกมรุกเอนเตอร์เทนคนดู วันนี้ทั้งเจ้าบ้าน และทีมเยือนจึงมาในระบบกองหน้า 3 คนทั้งสองทีม โดย "คิงเคฟ"นั้นวาง ไมเคิ่ล โอเว่น, มาร์ค วิดูก้าและโอบาเฟมี่ มาร์ตินส์ เป็นสามประสาน
ขณะที่เจ้าบ้านสเปอร์สที่กุนซือ ฆวนเด้ รามอสนั้นประกาศ ไว้ในหนังสือโปรแกรมประจำเกมว่า จะพยายามจบซีซั่นให้สวยที่สุดด้วยการเก็บชัยชนะ 7 นัดที่เหลือของฤดูกาลให้ได้ทั้งหมด โดยเกมนี้ก็ใส่กองหน้าตัวหลักทั้งหมดที่แกมีในทีมลงสนามอันประกอบไปด้วย เบอร์บาตอฟ-ร็อบบี้ คีนและดาร์เรน เบนท์ กองหน้าสากกะเบือค่าตัวแพงสุดเป็นสถิติของสโมสร (16.5 ล้านปอนด์) ลงสนามกับเค้าด้วย
สกอร์ 1-4 ที่สเปอร์สโดนสอยคาบ้าน ในคราวนี้ดูจะน้อยไปหากดูจากรูปเกม ที่นิวคาสเซิลนั้น เป็นฝ่ายกระทำชำเราเจ้าบ้านอยู่ข้างเดียว อีกทั้งนักเตะสาลิกาดงทุกคนแสดงให้เห็นถึง Passion หรือความกระหายที่จะเอาชนะ ในเกมนี้มาก กว่าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพในปีนี้อย่างชัดเจน และหาก พวกเค้าไม่ยิงนกตกปลากันเอง +เสา และคานที่ช่วย ชีวิตสเปอร์สไว้สองสามหนแล้วละก็ ลูกทีมของฆวนเด้ รามอสคงจะต้องเอาปี๊บคลุม หัวเดินออกจาก สนามกันอย่างไม่ต้องสงสัย

นอกเหนือจาก ช่วงครึ่งแรก ที่สเปอร์สนั้นเล่นพอใช้ได้ในช่วง 30 นาทีแรก และออกนำไปก่อนจากลูกโหม่งของเบนท์ หลังจากนั้นพวกเค้าก็ผ่อนเกมของตัวเอง ลงแบบน่าเกลียดประหนึ่งว่านักเตะ ทีมแม็คไพคงจะไม่ดีพอ ที่จะเอาชนะ พวกเค้า เมื่อเป็นดังนี้ สเปอร์สจึงโดนสำเร็จโทษของความเลินเล่อจาก นิกกี้ บัตต์ ที่ยิงตีเสมอในช่วงวินาทีสุดท้ายของ ครึ่งแรกไปอย่างเจ็บแสบ และเป็นที่มาของความหายนะใน นัดนี้ของพลพรรคไก่เดือยทอง
เริ่มต้นครึ่งหลังมา ไม่รู้ว่าเควิน คีแกนไปกระตุ้นลูกทีมอีท่าไหนครับ เพราะลงสนามในครึ่งหลัง มาแบบหนังคน ละม้วน และนักเตะทุกคนวิ่งแบบลืมตาย โดยเฉพาะนิกกี้ บัตต์ และโจอี้ บาร์ตัน สองแข้งฮาร์ดคอร์ที่ตามไล่บี้ไล่อัด โชว์ลูกขยันไล่บดขยี้ซะจนกองกลางสเปอร์สนั้น แหยงกับลูกหนักของทั้งคู่จึงพยายามออกบอลเร็ว และเป็นที่มาให้รีบออกบอล และพลาดกันไปเองในที่สุด

นอกจากนี้ระบบหน้า 3 คนของคีแกนก็เริ่มแสดง ให้เห็นถึง ประสิทธิภาพ และทำให้เกมรุกในตอนนี้ของ นิวคาสเซิ่ล น่ากลัว ขึ้นมาอีกเยอะทีเดียวกับส่วนผสมวิดูก้า-มาร์ตินส์-โอเว่น รายแรกนั้นเก๋า ได้ความใหญ่ และเก็บบอลได้ดี ยืนอยู่สูงคู่กับ มาร์ตินส์ที่ความเร็วของแกนั้นหากจับวิ่ง 4x100 เมตรแข่งกับแข้งลมกรดรายอื่นในพรีเมียร์ชิพ อย่างน้อยๆ ต้องติดเป็น 1 ใน 3 แน่นอน เมื่อรวมกันกับ "มันสมอง"ของไมเคิล โอเว่นที่สองเกมที่ผ่านมายืน ต่ำอยู่หลังคู่กองหน้า และได้ใช้เซนต์บอลระดับเวิลด์คลาส ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น + ทำให้เจ้าตัวมีส่วนร่วมกับ เกมมากกว่าแต่ก่อน
ผมจึงว่าจุดนี้น่าจะเป็น การผันบทบาทครั้ง สำคัญ ที่สุดในชีวิตการเป็นนักฟุตบอล ของโอเว่นเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่รู้ว่าโอเว่นวันนี้ในวัย 28 ปี ไม่ได้จี๊ด และสดเหมือนสมัยที่พุ่งขึ้นมาใหม่ๆ กับลิเวอร์พูลเมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อบวกกับสภาพร่างกายช่วงหลัง ๆ ที่เปราะบาง อีกทั้งสรีระของเจ้าตัวที่ไม่ได้เป็นคนสูงใหญ่ บทบาทนี้จึงน่าจะเหมาะสมที่สุดในชั่วโมงนี้ และโอเว่นน่าจะปรับใช้ให้เข้ากับเกมการเล่นของตัวเอง เพื่อยืดอายุในการเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ให้จบเหมือนร็อบบี้ ฟาวเลอร์หัวหอกรุ่นพี่ในถิ่น แอนด์ฟิลด์ที่ชีวิตการเป็นนักฟุตบอลในระดับ ท็อปลีกต้องจบเร็วกว่าที่ทุกคนคาดหมายเอาไว้
สเปอร์ส ในเกมนี้ของ ฆวนเด้ รามอส ต้องยอมรับครับ ว่าแพ้ภัยตัวเอง ที่ไม่ลงสนามด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ อย่างทีมเยือน เนื่องจากว่าไม่มีลุ้นอันดับใดๆ แล้วในลีก และ พื้นที่ยูฟ่าในปีหน้านั้นก็แบเบอร์ได้ไปเล่น ชัวร์ในฐานะ แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ แต่การที่เล่นในบ้านตัวเอง และเล่นได้แค่นี้ถือว่าน่าเป็นเรื่อง ที่แฟนบอล วมถึงรามอสเองคงจะไม่ปลื้มแน่ และลึกๆ ผมเชื่อว่ารามอสนั้นเริ่มมองเห็น "เนื้อร้าย" ที่จะทำการลงมือตัดทิ้ง และ ปฏิวัติทีมใหม่แน่นอน ในช่วงปิดฤดูกาล โดยเฉพาะแข้งดังบางราย ที่เล่นแบบไร้ความมุ่งมั่น และไม่มีใจให้ทีม

ขณะที่นิวคาสเซิลกับ 6 นัดที่เหลือยู่นั้น ผมมองว่าหากพวกเค้าไม่หลงระเริงกับ ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ของ ทีมใน รอบสองปี (ชนะเยอะครั้งล่าสุดในลีก ถล่มซันเดอร์แลนด์ไป 4-1 เมื่อวันที่ 17 เมษายน ปี 2006) และยังเล่นได้อย่างนี้ในนัดที่เหลืออยู่ พวกเค้าก็ลืมไป ได้เลยเรื่องการหนีตกชั้น เผลอๆ เล่นไปเล่น มาอาจจะแซงหน้าทีมตราไก่ สเปอร์ส (ตามอยู่ 4 คะแนน) และ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม (ตามอยู่ 9 คะแนน) ที่หลังๆ มานี้ชักจะเลอะเทอะออกทะเลไปกันใหญ่ก็เป็นได้ครับ ใครจะไปรู้ !!