Tuesday 25 December 2007

เมอร์รี่คริสต์มาส ฟรอม ลอนดอน ครับ



Jingle Bells, Jingle Bells, Jingle all the wayก่อนอื่นคงต้องขอ "เมอร์รี่คริสต์มาส" ท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ บรรยากาศที่ประเทศอังกฤษตอนนี้กำลัง ถือว่าอยู่ในช่วง "มาคุ" เหลือเกินเนื่องเพราะสภาพอากาศ ที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุมเยอะแยะ "ชวนเหงา" และบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า รถราที่คอยอำนวยความสะดวกต่างก็ "พักเบรก" เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ



ปกติแล้วชาวอังกฤษที่นี่จะใช้เวลานี้เลี้ยงฉลองกับครอบครัว หม่ำไก่งวง และมีปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับผมแล้ว ถนนหนทางที่ว่างโล่ง และเงียบเป็นป่าช้าทำให้ออกไปไหนก็ลำบาก และไม่มีครอบครัวให้อยู่ฉลองด้วยเหมือนอย่างเคยกลับทำให้รู้สึกคิดถึงประเทศไทยเราไม่น้อยเลย



อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกับชีวิตนักฟุตบอลอาชีพที่นี่ซึ่งไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดที่จะฉลองเทศกาลอัน สุดพิเศษนี้กับครอบครัวก็น่าเห็นใจพวกเค้าไม่น้อยครับ เนื่องจากต้องมีคิวเตะถี่เหลือเกินในช่วงส่งท้ายปีเก่าต่อยาวไปจนถึงต้นปีหน้าเลย



อย่างนี้ล่ะครับ "ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง" ค่าเหนื่อยมหาศาลที่พวกเค้าได้รับก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเวลาส่วนตัวแบบนี้ไป



สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นปฐมฤกษ์ของโปร-แกรมสุดโหดนั้น ผมไปนั่งชมเกม อาร์เซนอล -สเปอร์ส ที่ผับละแวก Earlžs court กับคุณ "ใหม่ โมบาย" ครับ หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่เนื่องจากผมติดสอบไฟนัล คอร์ส ป.โท ขณะที่คุณใหม่ก็กำลังสนุก และวุ่นอยู่กับงาน และคอร์สโค้ชชิ่งฟุตบอลที่เจ้าตัวเพิ่งไปลงเรียนไว้อยู่



อย่างไรก็ดี "นอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์" แบบนี้ เราทั้งคู่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ
จากที่ดูตัว 11 ผู้เล่นชุดแรกที่ได้เห็น ผมดูแล้วอดหวั่นใจแทน ฮวนเด้ รามอสไม่ได้ครับ เพราะตัวเจ็บในโรงหมอนั้นเยอะมาก ทีมู ไทนิโอ มิดฟิลด์ตัวกลางต้องถูกจับมาเล่นแบ็กขวาจำเป็น เนื่องจากตัวเลือกในตำแหน่งเซ็น เตอร์ฮาล์ฟนั้นนัดกันเจ็บจนต้องไปจับ ปาสคาล ชิมบงด้า ไปเล่นแทน



ขณะที่เจ้าถิ่น อาร์เซนอลในเกมนี้นั้น มาในระบบ 4-5-1 โดยอาร์แซน เวนเกอร์นั้นเน้นแพ็กตัวผู้เล่นในแดนกลางโดยแดนหน้านั้นมี "มือสังหารจากโตโก" เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ยืนค้ำอยู่คนเดียว
นับเฉพาะในลีกก็เป็นเวลา 14 ปี” เต็มๆ แล้วครับที่สเปอร์สนั้นไม่เคยมายัดเหยียดความพ่ายแพ้ให้แก่ทีมปืนโตในบ้านได้เลย ส่วนตัวแม้จะเป็นแฟนสเปอร์สแต่ก็เจียมเนื้อเจียมตัวในเกมนี้เป็นอย่างดี และก็ได้บอกกับคุณใหม่ครับว่า "สเปอร์สโดนแน่นอนเกมนี้"



สกอร์ที่ออกมากนั้นถือว่า ไม่พลิกโผจากที่ผมคิดเท่า ไรครับ เนื่องจากว่าไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าทีมน้องไก่ที่พิการไปซะเยอะในแผงหลังจะต้านแนวรุกมหาประลัยที่มีการเข้าทำน่ากลัวเป็นอันดับต้นๆ ของลีกได้ (ณ นาทีนี้ ผมยกให้แมนฯยูฯเป็นทีมที่มีแนวรุกน่ากลัวที่สุดครับ)



แต่หากมองรูปเกมแล้ว นัดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่สเปอร์ส "ไม่มีเทพีแห่งโชค" ยืนอยู่ข้างๆ ครับ เพราะแม้ชื่อ ชั้น และคลาสนักเตะหลายรายจะเป็นรองขุนพลเดอะกันเนอร์ส แต่พวกเค้าก็สู้ได้สูสีได้อย่างที่สุดแล้วนับตั้งแต่ยุคของ เดวิด พลีท, จอร์จ เกรแฮม, เกลน ฮ็อดเดิ้ล, ฌัคส์ ซองตินี่ และมาร์ติน โยล เป็นต้นมา
การพลาดจุดโทษของ ร็อบบี้ คีน ในช่วง 20 นาทีสุด ท้ายนั้นถือเป็น "จุดเปลี่ยน" เกมนี้ครับ เพราะขวัญและกำ ลังใจของอาร์เซนอลนั้นคึกอย่างเห็นได้ชัด และเปลี่ยน "โมเมนตัม" ของเกมในที่สุด



เด็กๆ ของอาร์แซน เวนเกอร์ยังโชว์ให้เห็นด้วยว่า แม้ผลงานจะมีดร็อปลงไปบ้างในช่วงที่นักเตะตัวหลักบาดเจ็บ หายหน้าไปจากทีม แต่เมื่อตัวหลักเริ่มทยอยกลับมาพวกเค้าก็ยัง "ยอดเยี่ยม" และถือเป็น "แคนดิเดต" หมายเลข 1 ที่จะท้าชิงบัลลังก์แชมป์ของผีแดงในปีนี้ครับหลังจากทีมอสูรแดงก็เก็บได้ 3 แต้มเต็มเช่นกันในการเปิดบ้านเชือดเอฟเวอร์ตันไปสนุก 2-1



ที่เรียนอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทีมอย่าง เชลซี และลิเวอร์พูลที่ตามอยู่ 6 และ 10 แต้มตามลำดับจะไม่มีสิทธิ์ลุ้นแชมป์นะครับ เพราะเชลซีเดินหน้าเก็บชัยชนะมาเรื่อยๆ และบุกไปเก็บ 3 แต้มจากถิ่น อีวู้ด ปาร์ค ได้แม้ว่าจะยิงได้ไม่เยอะในช่วงที่ขาด "เดอะ ดร็อก" ดิดิเยร์ ดร็อกบา หัวใจแนวรุกไป และอังเดร เชฟเชนโก้ก็อย่างที่เห็นครับว่ายังไงๆ ก็เป็นที่พึ่งในยามยากให้เชลซีไม่ได้แน่นอน



แต่หากว่า อัฟรัม แกรนต์ ตัดสินใจกระโดดเข้าตลาด นักเตะไปคว้าตัว นิโก้ อเนลก้า ที่กำลังยิงระเบิดกับโบลตันในปีนี้ตามข่าวจริงๆ พวกเค้าก็คงเริ่มฝันถึงการเป็น "ตาอยู่" รอสองทีมนำฟอร์มสะดุดบ้าง แล้วอาศัยจังหวะ "ฮึด" ตีคะแนนไล่ขึ้นมาได้แน่



ขณะที่ลิเวอร์พูลที่ตอนนี้อยู่ที่ 5 ตามแมนฯซิตี้ ทีมอันดับ 4 ของ "คุณแม้ว" อยู่ 1 คะแนนนั้น ลึกๆ ผมเชื่อว่า หงส์แดงมีดีพอจะเบียดทีมเรือใบ ที่ไม่น่าจะทนแรงเสียดทานไหวลงได้ในที่สุดโดยมีข้อแม้ว่า พวกเค้าต้องเล่นให้ได้อย่างวันเสาร์ที่อัดปอร์ทสมัธไป 4-1 ไม่ใช่ทรงๆ ทรุดๆ แบบช่วงก่อนหน้านี้



ผมเชื่อครับ แรงกดดันจากบอร์ดบริหารที่เพิ่มเข้าใส่ ราฟาเอล เบนิเตซ จะทำให้ลิเวอร์พูลมีผลงานที่กระเตื้องขึ้นแน่นอน เพราะพวกเค้ามีกองหน้าที่ดีที่สุดในลีก อย่าง เฟอร์นันโด ตอร์เรส อยู่ในครอบครอง
ระบบการหมุนเวียนนักเตะ หรือ Rotation ในช่วงโปรแกรมแบบนี้ก็ต้องถูกเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะร่างกายนักเตะที่ต้องลงเตะแทบจะวันเว้นวันนั้นมีกรอบแน่นอน ขณะที่ตลาดนักเตะในช่วงเดือนมกราคมนี้ก็จะเป็นอีก "แฟกเตอร์" ที่จะพลิกสถานการณ์ของทีม



พรีเมียร์ชิพถึงตอนนี้เล่นกันมาได้ครึ่งทางแล้ว จากนี้ไปทีมใด "พลาด" ก็จะเท่ากับว่ามีสิทธิ์โดนทีมที่จี้ตามมาข้างหลังแซงหน้าไปได้ และความตึงเครียดตรงนี้แหละครับที่จะเป็น "สาเหตุ" ของการสูญเสียความมั่นใจและสะดุดในที่สุด



ทีมที่ "นิ่ง" ทนแรงเสียดทานได้ดี และสม่ำเสมอเท่านั้นครับที่จะอยู่รอด และประสบความสำเร็จได้ในพรีเมียร์ชิพยุคนี้

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3078

No comments: