Wednesday 10 October 2007

เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม : Bloody Beautiful!!!


ว่ากันว่าใครก็ตามที่ได้ไปเยือน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าของ "เจ้าปืนใหญ่" อาร์เซนอล เป็นต้องหลงรักสนามแห่งนี้ คำกล่าวนี้ผมได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยสักทีที่จะปักใจเชื่อ

ทำไมเหรอครับ...ก็เพราะผม ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของทีมปืนโตสักหน่อย ทำไมผมต้องไปหลงใหลอะไร หรือติดใจอะไรในสนามแห่งนี้ด้วยล่ะ

เกม "อาร์เซนอล-ซันเดอร์แลนด์" ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คือ (แค่) ภารกิจของผมประจำสัปดาห์ และก็เป็นครั้ง แรกด้วยที่ผมจะได้เหยียบสนามที่หลายๆ คนได้ไปเยือนมาแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "อลังการงานสร้าง"

คืนก่อนเกมจะเริ่ม ผมได้รับข้อความจาก "ใหม่ โมบาย" พี่ชายคนสนิท ข้อความที่ได้มีดังนี้ "Don't fall in love with the Emirate stadium na, it's bloody beautiful!" ผมมีรอยยิ้ม ที่มุมปากพลางคิดในใจว่า ไม่มีวันซะหรอก ที่เราจะตกหลุมรักสนามทีมคู่แข่งอย่าง อาร์เซนอล เพราะผมมอบกายถวายใจให้ทีมน้องไก่มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว

เกมคู่นี้ คิกออฟเวลาเที่ยงตรง ตามเวลาที่ประเทศอังกฤษ (6 โมงเย็นบ้านเรา) ซึ่งถือว่าค่อนข้างเช้าไปหน่อยสำหรับผม เพราะสภาพอากาศที่ประเทศอังกฤษยามนี้เริ่มเข้าสู่ช่วง Winter หรือ "ฤดูหนาว" แล้ว อากาศจึงเย็นสบาย น่านอนตื่นสายเป็นอย่างยิ่งสำหรับวันอาทิตย์แบบนี้



ผมไม่ทานอะไรเลยก่อนออกจากบ้านครับ เพราะตั้งใจว่าจะไปหาหม่ำใน Press lounge และก็ไม่ผิดหวัง อาหารเช้าที่นี่เป็น สไตล์อังกฤษแท้ๆ ที่มีแฮม ไข่ และมันฝรั่งบด ยืนพื้น ช่วงที่ทานไป ผมก็เช็กตัวผู้เล่นจาก Team Sheet ที่รีเซพชันสาว สวยแจกให้หน้า Press room ไปด้วยพร้อมๆ กัน

ถึงตอนนี้ ตั้งแต่เดินเข้าสนามมาจนถึงห้องนักข่าว ผมชักจะรู้สึกได้แล้วครับว่า Facilities หรือสิ่งอำนวย ความสะดวก ที่นี่ยอดเยี่ยม และไฮเทคมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของ สนาม พื้นที่จัด ไว้ให้นั่งทำงานของนักข่าว ก็ถูกจัดสรร ได้อย่างเป็นสัดส่วน ห้องน้ำห้องท่าที่ใหม่ และสะอาดมาก (เมื่อเทียบกับสนามของเชลซี และสเปอร์ส ที่ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่)

ในส่วนของ Press box ของนักข่าวก็จะมีมอนิเตอร์ เล็กๆ ไว้ให้ดูภาพช้า หรือจังหวะสำคัญ ของเกมซึ่งถูกใจผมมาก เพราะที่นั่งใน วันนี้ค่อนข้างเตี้ยจึงเห็นเกม ไม่ค่อยถนัดสักเท่าไร บวกกับแฟนอาร์เซนอล ที่นั่งข้างหน้า ผมชอบยืนลุ้นในจังหวะ สำคัญ ผมจึงไม่มีทางเลือก และได้ไอ้เจ้ามอนิเตอร์นี่แหละ ที่ช่วยให้ไม่พลาด "ช็อต" สำคัญของเกม

รูปเกมในวันนี้ อาร์เซนอล ออกสตาร์ต ด้วยความ "มั่นใจ" หลังผลงานในระยะหลังค่อนข้างติดลมบน และเพียง 14 นาทีลูกทีมของน้าเหี่ยวก็ได้สองลูกอย่าง รวดเร็วจากฟรีคิก ของ ฟาน เพอร์ซี่ และลูกยิงท่า "ประหลาด ๆ" ของฟิลลิป เซนเดอรอส

เปิดเกมแบบนี้ "โมเมนตัม" ในสนามจึงมาทางฝั่ง อาร์เซนอล หมดครับ และดูเหมือนว่าเด็กๆ "ยังกันส์" จะยังเดินหน้ารังแกนักเตะ "แมวดำ" อย่างเมามันอารมณ์

กระทั่ง ร็อบ สไตล์ส ปฏิเสธลูกยิงของ วาสซิริกี้ ดิอาบี้ ที่ดูยังไงๆ ก็ไม่เป็นลูกล้ำหน้านั่นแหละ ครับที่เหมือนเป็นตัวจุด "ประกายแห่งความหวัง" เล็กๆ ให้ แมวดำเก้าชีวิตลุก ขึ้นมาจากหลุมในภายหลัง

อย่างไรก็ดี หากสังเกตใน จังหวะนี้ จะเห็นได้ว่าทั้งนักเตะอาร์เซนอล รวมถึงอาร์แซน เวนเกอร์เองก็ไม่ได้ติดอก ติดใจ อะไรกับลูกนี้ มิหนำซ้ำผมยังแอบเห็น เวนเกอร์คุยยิ้ม "ขำๆ" กับมือขวาอย่าง แพต ไรซ์ อยู่เลย เนื่องจากรูปเกมเหนือกว่ามาก และนำถึงสองลูก

หารู้ไม่ว่านักเตะซันเดอร์แลนด์มี "เลือดนักสู้" ไม่แพ้กุนซือของพวกเค้า...

กว่าขงเบ้งลูกหนัง และเด็กๆ มารู้ตัวอีกทีว่าต้องเร่งเครื่อง เมื่อ รอสส์ วัลเลซ ยิงประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น
2-1 อย่างไรก็ดี หลังจากนั้น "เครื่อง" อาร์เซนอลก็เหมือนจะ "ช็อต" ไปดื้อๆ และแม้จะมีโอกาสใกล้เคียง สอง สามจังหวะ ซันเดอร์แลนด์ก็ได้ เคร็ก กอร์ดอน ประ-ตูหนุ่มค่าตัวแพงเซฟ สวยๆ ได้หมด

ช่วงพักครึ่ง ผมไม่ทราบว่าขุนพลซันเดอร์แลนด์ได้รับ "บัญชา" อะไรจาก รอย คีน แต่ "หัวจิต หัวใจ" ที่ในครึ่งเวลาหลังทำ ให้ค่อนข้างเชื่อครับว่า แม้รอย คีน จะยังไม่สามารถพาทีมเก็บชัย ชนะนอกบ้านได้เลย ในปีนี้ แต่หากพวกเค้ายังเล่นด้วย "ใจ" แบบนี้ พวกเค้าไม่คู่ควรอย่างยิ่งถ้าจะต้อง ตกชั้น

อย่างไรก็ดี รอย คีน น่าจะพอใจกับ 1 คะแนน จากเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แต่เปล่าเลยครับ เพราะหลังจากตีเสมอได้ในช่วงต้นครึ่งหลัง คีนยังสั่งให้ลูกทีม "เดินหน้า ล่า 3 คะแนน" ซึ่งผมเสียว ๆ อยู่แล้วว่าซันเดอร์แลนด์ทำไมจึง "กล้า ๆ" แลกกับทีมที่มีแนวรุกที่น่ากลัวที่สุดทีมหนึ่งในลีก

หลายต่อหลายจังหวะครับที่ พอล แม็คเชน และแดนนี่ คอลลินส์ สองวิงแบ็กเติมเกมรุก "ลึก" จนเกือบสุดเส้น

คิดเหรอครับว่า "ช่องโหว่" ตรงนี้จะพ้นสายตาอันแหลมคม ดุจพญาเหยี่ยวอย่าง เวนเกอร์ เมื่อเจ้าตัวจัดการส่ง ธีโอ วัลค็อตต์ มา "ปิดฝาโลง" แมวดำเก้าชีวิต ของรอย คีน ที่เล่น "แลก" แบบไม่กลัวตาย

และวัลค็อตต์ก็ทำได้ตามที่กุนซือเฟรนช์แมนต้องการครับ เมื่อสบจังหวะที่แบ็กซันเดอร์แลนด์ดัน ขึ้นสูงแล้วใช้ความเร็วที่มีเจาะเข้าทาง "รอยโหว่" และจัดการใส่พานให้กองหน้าที่ฮอตที่สุดในเวลานี้อย่าง "เดอะ แมน ฟาน เพอร์ซี่" ที่ยิง 3 เกมต่อเนื่องเข้าไปแล้ว

"โลภมาก มักลาภหาย" คือสิ่งที่ รอย คีน ต้องนำไปเรียนรู้ และปรับปรุงทีมในแมตช์ต่อ ๆ ไป ขณะที่เวนเกอร์ และเด็กๆ ได้บทเรียนจากเกมนี้ก็คือ "ความประมาท เป็นบ่อเกิดของความหายนะ"

เด็กๆ "ยังกันส์" ชุดนี้มี "ศักยภาพ" ที่จะเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์แชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สูสีที่สุดในช่วงโมงนี้ครับ อยู่ที่ว่าพวกเค้าจะ "ยืนระยะ" และ "ทน แรงเสียดทาน" ได้นานแค่ไหน เพราะปัจจุบันพวกเค้ารั้งตำแหน่งจ่าฝูง ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่แฟนๆ จะอดไม่คิดถึงตำแหน่งแชมป์ในปีนี้

เกมนี้จบลงไปด้วยความชื่นมื่นของแฟนบอลเจ้าถิ่นตามคาดครับ แม้ว่าเกมจะเกือบๆ "พลิก" อยู่เหมือนกัน
ขณะที่ตัวผมเองก็ไปนั่งทาน ไอศกรีม Ben & Jerry ใน Press lounge ต่ออีกหน่อยก่อนออกไปเดินยืดเส้นยืดสายใน Mega Store ของอาร์เซนอล พลางคิดในใจว่า ผมจะต้องกลับมาเยือนเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม อีกให้ได้ เพราะสนามเค้า Bloody Beautiful หรือ "งามหยดย้อย" ตามที่คนเค้าว่าไว้จริง ๆครับ!!

5 comments:

ธานคับ said...

น่าอิจฉาจังครับได้ไปหลายๆสนามๆ ไว้รอสนามใหม่เราก่อนเถอะ ผมว่ากินขาด ^-^ แวะมาทักทายครับคุณเอก

เอก อุดมสุข said...

หวัดดีครับคุณธาน

อยากเห็นสนามใหม่ของเราเหมือนกันครับ ต้อง แจ่ม มากแน่ๆเลย ^_^

แล้วคุยกันใหม่ครับ :)

Anonymous said...

พี่เอกบรรยายซะผมอิจฉาอาเซนอลจริงๆเลยทั้งผลงานทั้งสนาม

เอก อุดมสุข said...

Thank you for comment krab K'Tummy :)

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ