Wednesday 24 October 2007

เรือใบสีฟ้า "ม้ามืด" ท็อปโฟร์??


หากถาม สเวน โกรัน เอริคส์สัน กุนซือกระหม่อมบาง ชาว สวีดิช ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลว่า คาดหวังมากน้อย แค่ไหนกับ ทีมเรือใบสีฟ้า ในซีซั่น 2007-2008 ภายใต้การเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งนายทุนรายใหม่ นักเตะหน้าใหม่หลายต่อหลายราย อีกทั้งยังเป็นปีแรก ของเจ้าตัวใน การคุมทีมระดับสโมสรในประเทศอังกฤษ

เชื่อได้ครับ หากป๋าสเวน ตอบว่า "ผมจะพาเรือใบลำนี้ ผงาดติด ท็อปโฟร์" ไม่เฉพาะแฟนบอลทีมคู่แข่ง จะหัวเราะจนท้องแข็งในความ มั่นใจจนเกิน พอดีของอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ

ผมว่าแฟนๆ ของแมนฯซิตี้ ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก กับประโยคที่ว่าเช่นกัน เพราะทีมจากย่านอีสต์แลนด์ทีมนี้เมื่อฤดูกาลก่อน ยังต้องปากกัด ตีนถีบ ทำให้แฟนบอล และผู้พบเห็นต่างพากันอนาถทีมของ สจ๊วร์ต เพียร์ซ กุนซือคนก่อนอยู่เลย โดยผลงานนั้น "สุดบู่"และความสมัครสมานสามัคคีของนักเตะในทีมก็แตกร้าว และยากที่จะเยียวยา

อดีตนักเตะ คนสำคัญอย่าง โจอี้ บาร์ตัน ที่ไปอัด อุสมัน ดาโบ จนหน้าแหกก็ถูกขายออกไปเพื่อขจัดปัญหา "นักบอลในคราบนักเลง"

ไมเคิล จอห์นสัน, สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ และดาวรุ่งอีกหลายรายได้ รับการ "ดัน" ให้เป็นตัวหลักในทีมชุดใหญ่จากอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ

และเมื่อผนึกกำลังกันกับนักเตะแข้ง "อิมปอร์ต" หลายรายที่ "สเวนนี่" และทีมงานของเค้านำเข้ามาก็ทำให้ตอนนี้ เรือใบสีฟ้า ที่ใคร ต่อใคร ดูถูกดูแคลนว่าไร้น้ำยาในช่วงต้นฤดูกาล ทำผลงานได้ "เซอร์ ไพรส์" เซียนทุกสำนัก

ณ เวลานี้ "เรือใบสีฟ้า" โฉมใหม่ทำผลงานได้สุดสะเด่า และเกาะกลุ่มหัวตารางได้อย่างต่อเนื่อง 10 นัดที่ผ่านมา พวกเค้าเก็บชัยชนะได้ถึง 7 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง และพ่ายไปแค่ 2 นัด

สภาพทีมโดยรวมก็ถือว่า "เยี่ยม" โดยเครดิตนี้จะยกให้ใครไปไม่ได้นอกจากกุนซือชาวสวีดิช

อ๋อ...ต้องขอบคุณ "มันนี่" ของคุณทักษิณที่ท่านยืนยันหนักแน่น ว่า "ขาวสะอาด" ด้วยถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นแล้วทีมระดับแมนฯซิตี้คงไม่ได้ลืมตาอ้าปาก สูดอากาศเย็นๆ เหนือกลางตารางเป็นแน่แท้

นอกเหนือจากการเปลี่ยนสไตล์การเล่นมาเล่นบอลภาคพื้นดินมากขึ้นแล้ว สเวนนี่ยังผสมผสานแข้งใหม่ และดาวรุ่งเก่าๆ ที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว

การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ ไมคาห์ ริชาร์ดส์ และไมเคิล จอห์นสัน คือผลงานชิ้นโบแดงของแมนฯซิตี้อคาเดมี่ โดย "ไอ้เด็กถึก" อย่าง ริชาร์ดส์ก้าวขึ้นไปเป็นแบ็กขวาตัวหลักในทีมสิงโตคำรามแทนที่ แกรี่ เนวิลล์ ของทางผีแดง เหมือนสื่อเป็นนัยให้ทางคู่ปรับร่วมเมือง ได้รับรู้ว่า ซิตี้ก็ไม่ได้กระจอกงอกง่อยเหมือนกัน

ภายใต้ระบบ 4-5-1 โดยมีเอมิล เอ็มเพ็งซ่า ยืนเป็นหอกเดี่ยว ดูผิวเผินแล้วเหมือนจะ "โดดเดี่ยว" แต่หากตามดูเกมรุกของ ซิตี้ เราจะเห็นได้ว่า แผงกองกลางของทีม พร้อมจะเติมช่วยตลอดเวลาอย่าง มาร์ติน เปตรอฟ, ไมเคิล จอห์นสัน และกองกลางตัวรุกที่ร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ชิพในเวลานี้อย่าง เอลาโน่

ถามว่าก่อนหน้านี้ จะมีใครสักกี่คนเชียวที่รู้จักเอลาโน่ ? แฟนบอล ซิตี้เองรวมถึงสื่อมวลชนอังกฤษต่างตั้งข้อสงสัยในความสามารถของเพลย์เมกเกอร์ชาวแซมบ้า เนื่องจากอย่างที่เราทราบกันดีว่านักเตะจากลาตินอเมริกาส่วนใหญ่นั้นมักจะ "สอบตก" กับฟุตบอลเร็วๆ ของอังกฤษ

จริงอยู่ที่นักเตะอย่าง คาร์ลอส เตเบซ, จิลแบรโต้ ซิลวา หรือ ฮาเวียร์ มาสเชราโน่ ถือว่าเป็นกลุ่มแข้งลาตินที่ "สอบผ่าน" ในพรีเมียร์ชิพ แต่ 3 แข้งที่ว่านี้ต่างก็ใช้เวลาปรับตัวกับฟุตบอลที่นี่พอสมควร

ผิดกับ เอลาโน่ ที่ผมให้ "ผ่าน" ไปแล้วแม้ฤดูกาลนี้เพิ่งจะเตะกันไปแค่ 10 นัดก็ตามที นั่นก็เพราะความรวดเร็วในการสถาปนาเป็น "จุดศูนย์กลาง" ของทีมชุดนี้

การเซตบอลขึ้นบุกของซิตี้ในฤดูกาลนี้เราจะเห็นได้ชัดเลยครับว่า เอริคส์สันนั้นมอบหมายตำแหน่งจอมทัพให้เอลาโน่ ซึ่งในที่นี้ผมหมายถึง การบงการ Direction (ทิศทาง) และ Tempo (จังหวะ) ของเกม

โดยในนัดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมากับเบอร์มิงแฮม เจ้าตัวก็ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ไม่ใช่ของปลอมทำเหมือน อย่างแข้ง "นำเข้า" หลายรายที่ค่าตัวแพงหูฉี่แต่ฟอร์มการเล่นถือว่า "โหลยโท่ย"

ตัวอย่างง่ายๆ ในทีมชุดนี้ที่เข้าขั้น "ของปลอมทำเหมือน" ก็เห็นจะมี จอร์จอส ซามาราส กองหน้าชาวกรีกที่ สจ๊วร์ต เพียร์ซ นำเข้ามาด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์

การประเมินความสามารถนักเตะรวมไปถึงการนำมาเล่นให้ "เข้าขา" กันนั้น ถือว่าเป็นจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็น "ความต่าง" ของโค้ชมีคลาส และโค้ชธรรมดาสามัญประจำบ้านได้เป็นอย่างดี

สเวน โกรัน เอริคส์สัน คือกุนซือ "มีคลาส" ที่ผมว่า และแม้ซิตี้จะไม่ได้เล่นเหนือกว่า คู่แข่งในหลายๆ เกมมากนัก (รวมไปถึงแมตช์ที่ผ่านมากับเบอร์มิงแฮม) แต่สเวนก็ทำให้เห็นครับว่า "เล่นไม่ดีแต่ก็เก็บ 3 คะแนนได้"

จำเชลซีในยุคของมูรินโญ่ได้ใช่มั้ยครับ? หลายๆ ครั้งพวกเค้าไม่ได้เล่นเหนือกว่าคู่แข่งมากมายอะไรเลย แต่พวกเค้าก็ยังเดินหน้าเก็บชัยชนะได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยสกอร์ไลน์ 1-0

ผมว่า แมนฯซิตี้ชุดนี้ มีส่วนคล้ายคลึงกับทีมชุดนั้นของ มูรินโญ่ตรงจุดนี้แหละครับ แม้ว่านักเตะเรือใบอาจจะไม่ได้เข้าขั้น "เทพ" เหมือนอย่างทีมสิงโตพันล้าน

แต่การเล่นที่เหนียวแน่นรวมถึงมี "โชค" ช่วยบ้างเป็น บางครั้งคราวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ทีมได้รับชัยชนะ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่แพ้

เก่งแต่ไม่มีดวง เล่นดีแล้วไร้แต้ม มีให้เห็นกันแทบทุกอาทิตย์นะครับ อย่างเช่นทีม "แมวดำ" ของ รอย คีนที่เล่นด้วยจิตใจนักสู้ทุกนัด แต่ก็ยังหาชัยชนะไม่เจอในนัดหลังๆ

สเวนนี่ถือเป็นคนมี "บุญ วาสนา" นะครับ เพราะได้รับโอกาสดีๆ ในการคุมทีมใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้งในอาชีพผู้จัดการ ทีม (เบนฟิก้า ลาซิโอ โกเตนเบิร์ก และทีมชาติอังกฤษ)

กระโดดมาคุมทีมแมนฯซิตี้รอบนี้ก็ได้งบจากเสี่ยแม้ว ไปแล้วในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลเป็นจำนวน 38 ล้านปอนด์ พร้อมนักเตะ 8 รายที่ตบเท้าเข้าสู่ทีม

เมื่อวีกที่แล้ว ข่าวจาก The Sun ก็รายงานว่า ปีใหม่นี้ ป๋าสเวนจะได้งบช้อปปิ้งเป็นของขวัญปีใหม่จาก "แฟรงค์ ซินาตรา" อีก 30 ล้านปอนด์

ดูๆ แล้วงานนี้ สเวน และเสี่ยแม้ว ไม่ได้ต้องการแค่ติดหนึ่งใน "ท็อปซิกซ์" หรอกครับ เพราะถ้าฟอร์มยังฉิวติดลมบน แบบนี้ ทีม "ท็อปโฟร์" ก็ท็อปโฟร์เถอะครับ อาจมีน้ำตาตกในได้เลย!!!



ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3016

2 comments:

ธานคับ said...

หวัดดีครับคุณเอก คงต้องรู้ดูช่วงหลังปีใหม่ครับ ว่าจะยืนระยะไดแค่ไหน

Anonymous said...

ชอบมากเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ