Monday 1 October 2007

อาร์เซนอล กับเรื่องเงินๆ


ช่วงดวงมันจะขึ้น ใครก็ฉุดกระชากลากไว้ไม่อยู่จริงๆสำหรับผลงานการบินถลาลมบนฟากฟ้าล่าสุดจากขุนพล “เดอะกันเนอร์”

นอกจากผลงานนัดหลังๆที่ “ปรัชญา” ในเกมรุกนั้นยากที่ทีมใดบนพื้นแผ่นดินอังกฤษจะลอกเลียนแบบ สไตล์การเล่นที่น่าตื่นตา+ โดนใจ แล้ว ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของสถานะการเงินของพวกเค้าก็น่าชื่นใจแทนแฟนๆพวกเค้าเป็นอย่างยิ่งครับ

ณ เพลานี้ อาร์เซนอลภายใต้การคอนโทรล ของบอร์ดบริหารที่นำโดยท่านประธาน ปีเตอร์ ฮิลล์วูด กลายเป็นทีม ที่ล่ำซำที่สุดในประเทศ เหนือทีม ทีมที่เคยเป็น “สุดยอดเจ้าสัว” ด้านการเงินอย่าง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างราบคาบ

นอกจากนี้พวกเค้ายัง “สถาปานา”ตนเองขึ้นเป็นทีม ร่ำรวยอันดับสอง รองจาก เรอัล มาดริดได้อีกด้วย ตาม รายงานของฝ่ายการเงินของสโมสรเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

“ตัวเลข” ณ วันปิดไตรมาส เมื่อ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่สรุปได้คร่าวๆก็คือ พวกเค้าฟัน “กำไร”
ไปแล้วในปีนี้ 51.2 ล้านปอนด์ (3,584 ล้านบาท)


และนับตั้งแต่ ย้ายบ้านมาใช้ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เป็น สนามเหย้า Turn over หรือ ผลกำไร ที่ได้รับเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ ราวๆ 200 ล้านปอนด์ (14,000 ล้านบาท) เข้าไปแล้ว

ขณะที่ทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับเพียง 167.8 ล้านปอนด์ (11,746 ล้านบาท) และ เชลซีตามมาห่างๆที่ 152.8 ล้านปอนด์ (10,696 ล้านบาท)

ยอดขาย ตั๋วต่อหนึ่งเกมใน บ้าน (ณ ความจุ กว่า 60,000 ที่นั่ง) ก็สูงถึง 3.1 ล้านปอนด์
(217 ล้านบาท) !!

ผมเป็นคนนึงครับที่ดู ข้อมูลตรงนี้แล้ว ช็อกตาตั้งกับยอดรายรับของอาร์เซนอล ในปีนี้

ใครจะไปเชื่อล่ะครับ เพราะเมื่อไม่กี่ฤดูกาลก่อน ช่วงที่พวกเค้ายังต้องหมุนเงินเพื่อนำไป “โปะ” จ่ายค่าสร้างสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม “สถานะความเป็นอยู่” เป็นไปแบบแทบ จะ “อดมื้อกินมือ”อยู่เลย

บ่อยครั้งที่กุนซือหน้าเหี่ยว ต้องแบกหน้าย่นๆของแกเพื่อของบประมาณไปช้อปซื้อนักเตะมาเสริมทีมก็ถูกตอกกลับมาให้หน้าหงายอยู่บ่อยๆ ถ้าเปรียบเปรยกับภาษาไทยให้ได้อารมณ์หน่อย บอร์ดบริหารของทีมก็คงพูดประมาณว่า “ข้าไม่มีเงิน เอาไว้ก่อน”

แต่จู่ๆขณะที่ ขงเบ้งเมืองน้ำหอมกำลังตาหน้าตั้งตา “ปั้น” เด็กๆในสังกัด ในสนามซ้อมของทีมอยู่… เหมือนมีหีบเงินใบใหญ่ มูลค่า 70 ล้านปอนด์แหวกมวลอากาศมาหล่นใส่ศรีษะ เวนเกอร์ครับ เมื่อบอร์ดบริหารได้แจ้งข่าวดีให้ทราบว่า เงินในหีบจำนวนดังกล่าว จะสามารถถูกใช้เป็น งบประมาณในการเสริมทัพได้ในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคมนี้

ต้องยอมรับแบบลูกผู้ชายครับว่า เมื่อตอนต้นฤดูกาลผม Under-estimate หรือ ดูแคลนอาร์เซนอลไปพอสมควร เพราะไม่เชื่อน้ำยาขุนพล ยังเตริก์ ชุดนี้ ว่าจะพาทีมไปมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ชิพหรือแม้แต่กระทั่ง ติดอันดับเป็นหนึ่งในสี่ได้ เนื่องจาก หลงยิ้มกริ่ม แอบดีใจอยู่ในภวังค์ คิดว่า ทีมรักอย่างสเปอร์ส จะเป็น
“ม้ามืด” สอดแทรกได้ในปีนี้

แต่อย่างที่เห็นสถานการณ์กันดีในตอนนี้ครับ ทีมน้องไก่จมปลัก อยู่อันดับ 18 และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นหลัง “โควตา”ยิงประตู “หมด”หลังออกแนวบ้าพลังยิงไปซะเยอะ ในศึกยูฟ่าคัพเมื่อพฤหัสบดีก่อน

ขณะที่ อาร์เซนอล ยิ่งเล่นยิ่งดี ความเข้าใจของตัวผู้เล่นเดิมๆ + ความกระหายในชัยชนะหลังจากไร้เงา ผู้เล่นทรงอิทธิพล อย่าง อองรี มันทำให้ ฟอร์มของพวกเค้า “กระฉูด” อย่างที่เห็น หลังจากยิงไม่เคยน้อยกว่า 3 ลูกใน 5 นัดหลังสุด

และเท่าที่กวาดตามอง ทีมคู่แข่งอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ปัญหา “โรเตชั่น” ส่งผลกระทบฟอร์มในลีกของ ราฟาเอล เบนิเตซ อีกครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ดเองที่แม้จะ ยังชนะได้ต่อเนื่อง ก็ยังดู ไม่ค่อยน่ากลัว อย่างที่ควรจะเป็นในแนวรุก

ขณะที่ เชลซีภายใต้ การคุมทีมของ อัฟราน แกรนต์ อาจจะหลุดวงโคจรการลุ้นแชมป์ในปีนี้ เอาได้เนื่องจากคงต้องใช้เวลาในการรวบรวมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในทีมให้ได้เสียก่อน และนั่นอาจใช้เวลาพอสมควร ซึ่งมันอาจจะสายเกินไปในการกลับมาสู่เส้นทางการลุ้นตำแหน่งแชมป์

มันจึงเท่ากับว่า โอกาสในการลุ้นแชมป์ของทีมปืนโต มีลุ้นเพิ่มขึ้นมาอีกอักโข เมื่อดูจาก ฟอร์มการเล่น
ณ ตอนนี้ + เม็ดเงินอัดฉีดจำนวน 70 ล้านปอนด์ที่กำลังจะเข้ามา

แต่ทั้งนี้ ทั่งนั้น อาร์เซนอลก็ต้องมั่นใจครับว่า การ Take over ที่อาจมีขึ้น จะไม่ส่งผลกระทบกับฟอร์มการเล่นในสนามของพวกเค้า

ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการพยายาม กว้านซื้อหุ้นเพิ่มของ อลิเชอร์ อุสมานอฟ ที่ผม ได้ “กลิ่น” ไม่ค่อยดีก็คือ ความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในบอร์ดบริหาร ของอาร์เซนอล

จริงอยู่ครับที่ แม้ ปีเตอร์ ฮิลล์วูด จะออกประกาศเสียงดังฟังชัดว่ายังไงก็จะไม่ขายหุ้นให้แก่ อลิเชอร์
อุสมานอฟ และ เดวิน ดีน อดีตรองประธานที่จดทะเบียนเปิดบริษัท เรดแอนด์ไวท์ ร่วมกัน และครองสิทธิ์ ถือหุ้นในสโมสรไปแล้วกว่า 21 เปอร์เซ็นต์ และ ต้องการอีกแค่ 9 เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีสิทธิ์ อย่างน้อยในการ ยื่นขอ เทกโอเวอร์ สโมสร

แต่อย่าลืมครับว่า บอร์ดบริหาร คนอื่นๆในทีมจะเห็นด้วยหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ ? ผมจึงเกรงว่าผลงานที่กำลังโลดแล่นติดลมบน ในปัจจุบัน อาจจะชะงักได้ หากบอร์ดบริการ ดันทะลึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันและ
งัดข้อกันเอง ..

ส่วนตัวแล้ว หากมีการเปลี่ยนมือ เจ้าของจริงๆ ผมอยากให้ สแตน โครเอนเก้ นักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่มีข่าวอยากเทกโอเวอร์ อยู่เช่นกัน น่าจะเป็นตัวเลือกที่ น่าสนใจกว่า เพราะ อยู่ในวงการกีฬามาอยู่แล้ว ดูมีความตั้งใจที่จะพัฒนาทีมอาร์เซนอลให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นมากกว่า อีกทั้งแผนการลงทุน น่าจะเป็นไปในระยะที่ยาวกว่า

ผิดกับ คู่หู อุสมานอฟ-ดีน ที่คนนึงดูจะเข้ามาแสวงแต่กำไรจากสโมสร โดยไม่คำนึงถึงเสียงคัดค้าน ขณะที่ ดีน การกลับมาในครั้งนี้ เหมือนมา Take revenge หรือ แก้แค้น และ ครองความเป็นใหญ่อีกครั้งในสโมสรที่เค้ารัก หลังจากที่เคยโดนบีบให้ลาออกไปเนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันกับบอร์ดบริหารคนอื่นๆ

ถึงตรงนี้เป็นหน้าที่ของบอร์ดอาร์เซนอลแล้วครับ ว่าจะสามัคคีกันแค่ไหน เพราะ พวกเค้าก็เหมือน Custodian หรือ ตัวแทนของสโมสรที่จำต้องดูแล ปกป้อง ความรู้สึกแฟนบอล + ความเป็นไปของสโมสร

หรือสรุปให้ชัดเลยก็คือ พวกเค้าต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อ อาร์เซนอลครับ หากมีการโอนถ่ายเปลี่ยนมือเจ้าของกันขึ้นมาจริงๆ

2 comments:

ธานคับ said...

เห็นไอ้เน่าแล้วก้ได้อิจฉามันจริงๆครับ รอไก่เราสร้างสนามใหม่บ้าง จะรวยกว่ามันให้ดู ผมว่าจริงๆ แล้วทีมเรามีตังค์ไม่ใช่น้อยนะครับ เพราะขนาดไม่ได้เล่นบอลยุโรปมาหลายปี ยังให้เงินกุนซือเสริมทีมเยอะนะครับ ในแต่ละฤดูกาลที่ผ่านมา

เอก อุดมสุข said...

ทีมเรามีตังค์แหละครับ แต่กลัวว่าถ้ายังไม่ได้แชมป์ไปนานๆ กลัวจะเป็นแบบลีดส์ ยูไนเต็ด ที่นักเตะต้องกระจัดกระจายไปคนละทิศ คนละทาง