Friday 16 May 2008

The comeback – โจนาธาน วู้ดเกต


ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่ง เลยแปลบทสัมภาษณ์ของโจนาธานวู้ด เกต จากสเปอร์สแม็กกาซีน ฉบับเดือนพฤษภาคม มาให้อ่านกันครับ :)

ก่อนที่เค้าผู้นี้จะยิงประตูชัยในฟุตบอลคาร์ลิ่ง คัพนัดชิงชนะเลิศ ปีที่ผ่านมา โจนาธาน วู้ดเกต ต้องประสบ พบเจอกับช่วงเวลาที่ดี และไม่ดีในชีวิตการค้าแข้ง อาการบาดเจ็บที่คอยรุมเร้าสมัยที่ยังค้าแข้งกับรีล มาดริด เรื่องราวต่างๆมากมายที่ต้องฝ่าฟันมา ก่อนที่ ‘คัมแบ็ค’กลับมาอย่างยิ่งใหญ่และสถาปะนาตัวเองกลายหนึ่งในตำนานของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์

ฮวนเด้ รามอส ได้สร้างจุดสนใจให้วู้ดเกตมานานเลยทีเดียว ก่อนที่กองหลังร่างใหญ่รายนี้จะจรดปากกาเซ็นสัญญาย้ายเข้าสู่ ‘เดอะ เลน’

ในศึกยู่ฟ่าคัพนัดชิงชนะเลิศฤดูกาล 2005-2006 ในเกมนั้นเซบีญ่าไล่ถล่มมิดเดิลสโบรช์ไป 4-0 กองหลังรายนี้จำมันได้อย่างแม่นยำ และก็ยอมรับด้วยว่าผลงานที่สุดยอดของรามอสที่เซบีญ่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เค้ายอมมาร่วมหัวจมท้ายกับ กุนซือสแปนนิชที่สเปอร์ส อย่างไรก็ดีมันเป็นอารมณ์ที่หวานขม สิ้นดีสำหรับวู้ดเกต

‘ผมเป็นแฟนพวกโบโร่มาตั้งแต่เด็ก ตามเชียร์ผู้เล่นอย่าง แกรี่ พัลลิสเตอร์ และ เบอร์นี่ สลาเวนที่ Ayresome Park ดังนั้นผลการแข่งขันในวันนั้นสร้างความเจ็บปวดให้ผมไม่น้อยเลย’ วู้ดเกตรำลึก

‘แต่ถ้าจะมองให้เป็นกลาง มันก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้ผมมากมาย เพราะตลอดทั้งฤดูกาลนั้น มิสเตอร์รามอสทำได้ผลงานำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ เค้าพาเซบีญ่าท้าทายทีมอย่าง รีล มาดริดและบาร์เซโลน่าได้เลยน่ะ ทุกครั้งที่เราต้องเล่นเผชิญหน้ากับพวกเค้า (สมัยนั้นวู้ดดี้ค้าแข้งอยู่กับรีล มาดริด) เซบีญ่ากล้าเปิดเกมบุกและ ไม่ได้กลัวทีมใหญ่อย่างเราเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามของพวกเค้า’

‘นอกจากนี้พวกเค้ายังเล่นกันได้เป็นระบบระเบียบและอันตรายกับการเล่นโต้กลับ เมื่อบวกกับคุณภาพนักเตะที่มีอยู่ เซบีญ่าชุดนั้นลงตัวเอามากๆเลยล่ะ ดังนั้นแชมป์ในปีนั้นเหนือโบโร่ และปีต่อมาก็ทำดับเบิ้ล แขมป์ได้อีก อีกทั้งยังยกระดับขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงบัลลังค์ ลาลีกาได้ ทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นกระบอกเสียงชั้นดี ที่พูดแทนความเก่งกาจของผู้จัดการได้น่ะ และผมก็บอกตรงๆ ว่าไม่แปลกใจด้วยว่าทำไมท็อตแน่มถึงเลือกเค้า’

ปรัชญาแห่งความสำเร็จของรามอสในสเปน ไม่ได้ถูกพับเก็บไว้เป็นความหลังอันหวานชื่น กุนซือผู้นี้ได้นำฟุตบอลที่เน้นในเรื่องทักษะ เกมรุกที่เปรียบเสมือนเครื่องหมายการค้า และแท็กติกส์ที่ยืดหยุ่น พร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด 90นาที แต่ก็ยังไม่ลืมระเบียบวินัยในเกมรัม รวมไปถึงการเน้นเรื่องความฟิต นำมาใช้ที่อังกฤษด้วย

‘ฟุตบอลที่สเปน เรื่องของเทคนิค และ แท็กติกส์จะมีมากกว่าที่นี้ครับ มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่ทีมจะเปลี่ยนระบบการเล่น สอง สาม หรือ สี่ครั้งภายในหนึ่งเกม คู่แข่งจะโจมตีจุดอ่อนเราหลังจากช่วงพักครึ่ง ดังนั้นคุณต้องพร้อมที่จะรับมือกับแทกติกส์ใหม่ที่ผู้จัดการทีมจะสั่ง และปรับให้เข้ากับสถานการณ์’ วู้ดเกตซึ่งใช้ชีวิตที่สเปนสองฤดูกาลกับรีล มาดริดกล่าว

‘มิสเตอร์รามอสมีสไตล์การทำทีมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเค้า และมันก็ดูจะเวิอร์คกับทุกทีมที่เค้าคุม และผมก็ดีใจมากจริงๆที่เค้านำเอาสไตล์นี้มาใช้ที่อังกฤษ และที่สำคัญนำมาใช้กับสเปอร์สเรา คุณคงได้เห็นกันแล้วน่ะ ในเกมนัดชิงกับเชลซี ผู้จัดการถอดชิมบงด้าออก และใส่ทอม ฮัดเดิ้ลสโตนลงมา โดยจับมิดฟิลด์ทางซ้ายในเกมนั้นอย่าง เตนิโอไปยืนแบ็คซ้ายแทน

มันเยี่ยมจริงๆที่เห็นการเปลี่ยนแท็กติกส์ในลักษณะนี้ และยิ่งถ้ามีนักเตะชั้นยอดอย่างที่ทีมเรามี มันก็ไม่ใช่ปัญหาเลย’

‘ผู้คนในประเทศนี้มักจะพูดกันเกี่ยวกับการเข้ามาของนักเตะ และกุนซือต่างชาติมักจะทำให้แข้งพรสวรรค์หรือกุนซือ หน้าใหม่สายเลือดอังกฤษโดนจำกัดโอกาส แต่ผมเองกลับมองว่าสิ่งนี้สามารถยกระดับฟุตบอลที่นี้ได้ ถ้าคุณได้คุยกับนักเตะ สเปอร์สที่นี้ พวกเค้าจะบอกคุณเลยว่าผู้จัดการนำสิ่งใหม่ๆอะไรมาสอนพวกเราบ้าง’

นอกจากนี้วู้ดเกตยังได้พูดถึงช่วงเวลาสองฤดูกาลของเค้ากับรีลมาดริด ที่แม้จะต้องประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บต้นขาที่คอยรุมเร้าหลังจากย้ายมาจากนิวคาสเซิ่ลด้วยค่าตัว 13.4 ล้านปอนด์ทำให้ขวบปีแรกของวู้ดดี้ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการรักษาบนเตียงหมอซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีหลังจากฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาได้ เค้าก็เติบโตขึ้นมากทีเดียวในฐานะ นักฟุตบอล

‘ไม่เยอะนักหรอกที่นักเตะอังกฤษจะออกไปเล่นต่างแดน แต่ผมกลับอยากที่จะลองน่ะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีประสบการณ์ค้าแข้งนอกประเทศดูบ้าง การได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ให้ชีวิตของคุณ และการที่ผมเจอปัญหาอาการบาดเจ็บบ้าๆที่นั้น มันก็ช่วยให้เติบโตขึ้นทั้งในแง่ของนักฟุตบอล และการได้เป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว’

‘ที่อังกฤษ ส่วนใหญ่จะเล่นบอลโยน และถ้าคุณแข็งแกร่งนิด เร็วอีกหน่อย หรือมีเทคนิคที่พอเอาตัวรอดได้ คุณก็เล่นได้แล้วในพรีเมียร์ชิพ แต่ที่สเปนมันต่างกันโดยสิ้นเชิงน่ะ เพราะเป็นเรื่องจำเป็นมากที่คุณต้องมีเทคนิคที่ดี ดังนั้นผมจึงได้ต้องเรียนรู้ การเก็บบอลไว้กับตัว ฝึกเทคนิคให้มากขึ้น การฝึกซ้อมในรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในแต่ล่ะวัน นอกจากนี้ผมยังได้พัฒนาตัวเองในเรื่องของการฝังรากการเป็นผู้ชนะในหัว (Winning Mentality) เพราะมาดริดเป็นทีมที่ใหญ่มากๆ และความคาดหวังจากผู้คนที่นั้นก็สูงปรี๊ด ในแต่ละเกมเราจึงต้องลงสนามและพยายามชนะให้ได้ในทุกๆเกมที่ลงเล่น’

‘ตอนที่ผมอยู่สเปน หลายครั้งทีเดียวที่ผมพบว่ามันไม่ง่ายเลย แม้ว่าโดยรวมแล้วผมมีช่วงเวลาที่ดีที่นั้น แต่โชคไม่ดีการบาดเจ็บทำให้แฟนๆและบอร์ดบริหารไม่ได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุดของผม ซึ่งนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ผมก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้วล่ะ’

วู้ดเกตประเดิมการลงสนามให้รีล มาดริดได้ไม่สวยอย่างที่เจ้าตัวและแฟนๆต้องการ เมื่อทำเข้าประตูตัวเอง อีกทั้งยังโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมกับแอธเลติก บิลเบา อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นเค้าก็ค่อยๆเอาชนะใจ ราม่อน โลเปซ กาโร่ ได้ทีละน้อย โดยเป็น ฟรานซิสโก้ ปาบอน อีบัน เอลเกร่า และ เซร์คิโอ รามอสต่างต้องแย่งชิงตำแหน่งกันเผื่อลงสนามจับคู่กับวู้ดเกตในแนวรับ

และแล้วจุดสูงสุดของเค้าก็มาถึงในศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกเดือนตุลาตมปี 2005 เมื่อเป็นคนยิงเบิกร่องในชัยชนะ 4-1 เหนือโรเซนบอร์ก โดยผลงานในวันนั้นทำให้เค้าได้รับคำชมเชยอย่างมากมาย ซึ่งนี่ก็เรื่องที่พิสูจน์ได้ว่าวู้ดเกตนั้นสามารถเล่นเคียงข้างกับซูเปอร์สตาร์ อย่าง โรเบอร์โต้ คาร์ลอส ซีเนอดีน ซีดาน เดวิด เบ็คแฮม หรือ ราอูล กอนซาเลซ ได้อย่างไร้ข้อกังขาและเค้าก็สถาปานะตัวเองเป็นหนึ่งในกลุ่ม‘กาลาติกอส’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
- - - (วันนี้เท่านี้ก่อน ไว้จะแปลต่อให้น่ะครับ) - - -
‘เมื่อผมมองย้อนกลับไปมันถือเป็นเรื่องสุดพิเศษสำหรับผมที่ได้เล่นให้ทีมใหญ่อย่างมาดริดและหลายครั้งที่เดียวที่ผมคิดว่าผมน่าจะอยู่ที่นั้นต่อเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริง’วู้ดเกตสารภาพ

‘ผมมั่นใจว่าผมดีพอและก็รู้ด้วยว่าผมได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อทีมแฟนๆที่นั้นคงได้เห็นกันและพวกเค้าก็ภูมิใจมากที่ผมเรียนรู้ขวนขวายที่จะเรียนรู้ภาษาสเปนคุณเชื่อมั้ยว่าบางครั้งผมให้สัมภาษณ์กับสื่อเป็นภาษาสเปนด้วยน่ะ ! ในฤดูกาลที่สองของผม สภาพร่างกายผมดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาสลงเล่นเท่าที่ควร และสิ่งนี้ก็ทำให้คุณเริ่มคิดถึงอนาคตการค้าแข้งของตัวเองบ้างแล้ว เพราะหลังจากสลัดอาการบาดเจ็บลงได้ ผมก็อยากที่จะให้ทุกอย่างกลับสู่เส้นทางที่มันควรจะเป็น’

การเข้ามาของฟาบิโอ คาเปลโล่ในฐานะกุนซือคนใหม่ชาวอิตาเลี่ยน พร้อมกับลูกทีมเพื่อนร่วมชาตินามว่า ฟาบิโอ คานาวาโร่ ได้ทำให้เวลาจองวู้ดเกตกับทีมกาลาติกอสมาถึงทางตัน และเมื่อมิดเดิลสโบรช์ยื่นข้อเสนอขอยืมตัวเข้ามาในช่วงที่พอเหมาะพอดี ทำให้วู้ดดี้แทบที่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย

‘ตลอดชีวิตการค้าแข้งของผมที่อังกฤษ ผมรู้ดีว่าแฟนบอลตั้งความหวังไว้ค่อนข้างสูง และผมก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร’ วู้ดเกตเล่าถึงเกมแรกที่ประเดิมสนามให้ทีมในการพบกับอาร์เซนอล ที่จบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1

‘อย่างไรก็ดี มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ทุกคนคิดเพราะผมดันทะลึ่งล้มและเป็นตะคริวตั้งแต่นาทีที่35เนื่องจากไม่มีแมตช์ให้ลงเตะอย่างเป็นทางการมานานโคตร ๆ!แต่สุดท้ายผมก็ยืนครบ90นาทีในวันนั้นและผมก็ดีใจมากที่ได้กลับมาลงเล่นอีกครั้ง ยิ่งเป็นทีมโปรดที่ผมตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก มันเหมือนเป็นโบนัสก้อนโตเลยล่ะ เพราะผมฝันมาเสมอกับการที่ได้ลงเล่นให้ทีมบ้านเกิดและสวมปลอกแขนกัปตันทีม ถึงตอนนี้แม้ผมจะจากทีมมาแล้ว แต่ผมก็ยังติดตามผลการแข่งขันของพวกเค้าเรื่อยๆ และเหนือสิ่งอันใดต้องขอบคุณมิดเดิลสโบรช์ที่ทำให้ฝันของผมเป็นจริง’

นอกเหนือจากการเป็นตะคริวในเกมแรกที่ลงสนาม ในวันนั้นยังเป็นแค่เกมที่ 52ในรอบ 18 เดือนของเจ้าตัวและตัวเลขที่น้อยนิดน่าตกใจนี่เอง ทำให้สะท้อนถึงการเป็นนักเตะกระดูกเปราะที่วันๆต้องอยู่แต่บนเตียงรักษาพยาบาลมากกว่าจะลงไปวาดลวดลายในสนามอย่างคนอื่นเค้า โดยวู้ตเกตกล่าวว่า

‘ผมรู้ว่าพวกคนมักจะพูดถึงการบาดเจ็บที่บ่อยครั้งของผม พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ เหมือนเป็นการทำร้ายผมทางอ้อม แต่ผมก็พยายามไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แม้หลายครั้งในช่วงระหว่างการฟื้นฟูร่างกายผมจะอดคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้ก็เถอะ’

‘สิ่งที่จำเป็นที่สุดหลังจากการบาดเจ็บ ก็คือลงเล่นให้มากที่สุดเท่าที่จากได้เพื่อเรียกความรู้สึกเดิมๆกลับมา และสุดท้ายมันก็เกิดขึ้น และผมได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วที่มิดเดิลสโบรช์ ทีมงานฟิตเนสที่นั้นสุดยอดและดีมากเหลือเกินกับผม และโชคดีที่ผมเป็นพวกบ้าพลังอยู่แล้วด้วย ดังนั้นถ้าผมบาดเจ็บ มันก็ใช้เวลาไม่นานหรอกในการเรียกความฟิตให้ถึงขีด และอีกเรื่องก็คือผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวขึ้นง่ายอย่างนักเตะ คนอื่นๆ ‘

‘ถึงตอนนี้ ผมไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว เพราะจำนวนเกมที่ผมลงเล่นในช่วงหลัง เป็นคำตอบในตัวของมันเองเกี่ยวกับข้อสงสัยเรื่องสภาพร่างกายของผม’
---(ต่อพรุ่งนี้ครับ)---
ความผูกพันของวู้ดเกตกับสโมสรจากย่านไทน์ไซต์นั้นดูแน่นแฟ้นจนดูเหมือนว่าตัวเค้าน่าจะฝากอนาคตระยะยาวไว้กับทีม แต่แล้ววู้ดเกตก็ช็อคแฟนบอลด้วยการชีพจรลงเท้าอีกครั้งหนึ่งเมื่อตัดสินใจย้ายไปซบสเปอร์สท่ามกลางข่าวบางกระแสที่ว่าเจ้าตัวได้วิจารณ์ความทะเยอทะยานของสโมสรรวมถึงผู้จัดการทีม แกเรธ เซาธ์เกต อย่างไรก็ดีวู้ดดี้ยืนยันว่าเค้าจากสโมสรที่เค้ารักมาแต่ความทรงจำที่ดี

‘โบโร่เป็นสโมสรที่ดีและผมก็เคารพทุกๆคนที่นั้นมาก ผู้จัดการ เพื่อนนักเตะ และบรรดาสต๊าฟโค้ช แต่ผมต้องตัดสินใจในเวลานั้นว่า จะอยู่ที่นั้นต่อพร้อมกับชีวิตที่เรียบง่ายไปจนแขวนรองเท้า หรือ ย้ายทีมเพื่อความท้าทายดี ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ยากอย่างที่คิดเพราะแรงดึงดูดของสเปอร์สนั้นมีมากเหลือเกิน เนื่องจากมีผู้เล่นพรสวรรค์อายุยังน้อยอยู่หลายคน บรรยากาศในห้องแต่งตัวที่สุดยอด รวมไปถึงโค้ชที่ผมรู้ความสามารถของเค้าดี ว่าจะพาสโมสรไปในทิศทางที่ถูกต้องได้’

‘ความรู้สึกของผมกับสเปอร์ส นั้นมีหลายอย่างคล้ายคลึงกับสมัยที่ผมยังเล่นอยู่กับลีดส์ ยูไนเต็ด มันอธิบายค่อนข้างยากน่ะ แต่ผมมีเซนท์บางอย่างที่บอกว่าเราจะประสบความสำเร็จได้ และจะดีกว่าลีดส์ชุดรวมดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนั้นด้วยซ้ำ’

‘เพื่อนของผมที่เคยเล่นอยู่ด้วยกันที่ลีดส์อย่าง คีนโน่ (ร็อบบี้ คีน) เล่าให้ผมฟังในช่วงที่กำลังดูรายละเอียดสัญญาที่ทางสเปอร์สยื่นมาให้ว่า สโมสรแห่งนี้สุดยอดยังไง และมีนักเตะยังบลัดที่ศักยภาพนั้นสูงมากบางทีผมว่าเค้าน่าจะเป็นหัวหน้าแมวมองให้สเปอร์สควบไปอีกหนึ่งตำแหน่งเลยก็ดีเหมือนกันน่ะ!แต่สุดท้ายสิ่งที่คีโน่สาธะยายมามันถูกหมดเลยเพราะศักยภาพของบรรดาดาวรุ่งที่นี้ ไร้ขีดจำกัดจริงๆ และยิ่งไล่ดูอายุของแต่ละคน แล้วผมเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอายุค่อนข้างเยอะในทีมชุดนี้เนี่ย มันทำให้ผมตกใจเลย’

การเติบโตเป็นนักเตะซีเนียร์อย่างเต็มตัวของวู้ดเกตได้พิสูจน์ให้เห็นเพียงในเกมแรกที่ลงประเดิมสนามในเกมกับเอฟเวอร์ตัน เมื่อเค้าต้องจับคู่ยืนกับกองหลังจำเป็นอย่าง ทอม ฮัดเดิลสโตน และทั้งคู่ก็หยุดสถิติไม่แพ้ใครมาห้าเกมติดของทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงินลงได้ในวันนั้น
โชคชะตาของวู้ดดี้กับการถ้วยคาร์ลิ่งคัพนั้นพอเหมาะพอเจาะเอามากๆ เพราะโบโร่ที่ขาดวู้ดเกตจากอาการบาดเจ็บเล็กน้อยโดนสเปอร์สถีบตกรอบในเดือนกันยายน ทำให้เจ้าตัวที่ยังไมได้เล่นในถ้วยนี้ไม่ติดคัพไท และมีสิทธิ์ลงสนามในเกมนัดชิงชนะเลิศกับเชลซี ถือเป็นโบนัสที่ไม่คาดฝันของนักเตะ เพราะพึ่งจะย้ายมาร่วมทีมได้ไม่นาน และนี้ถือเป็นจุดเริ่มของการเป็นตำนานของวู้ดเกตกับสเปอร์ส’

‘ผมโชคดีมากที่ไม่ติดคัพไท และได้รับโอกาสลงเล่นที่นิว เวมบลีย์ในเกมที่ห้าของตัวเองเท่านั้น ผมคงขออะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว’วู้ดเกตยอมรับ

‘พวกเราทำได้เยี่ยมมากในเกมที่เอาชนะอาร์เซนอลในรอบเซมิ-ไฟนอล และสิ่งนี้เองทำให้เรามีความเชื่อว่าเราจะได้อีกในเกมกับเชลซี มันเป็นแรงผลักดันชั้นดีเลย’

‘อาทิตย์กว่าๆก่อนที่เกมนัดชิงที่ นิว เวมบลีย์จะมีขึ้น ผมคิดว่าในลอนดอนผู้คนส่วนใหญ่เป็นแฟนเชลซีมากกว่าท็อตแน่มน่ะ แต่พอผมได้พบแฟนบอลตามท้องถนน ความจริงอีกข้อที่ว่าแฟนบอลทีมอื่นอยากเห็นเราชนะเชลซีก็มีไม่น้อยเหมือนกัน บางทีอาจเป็นเพราะพวกเค้าดูเหนือกว่าเรามาก ผู้คนเลยอยากเห็นเราโค่นพวกเชลซีในนัดชิง และพอถึงวันแข่งเสียงเชียร์ทีมเราดังมากอย่างไม่น้อยเชื่อ ซึ่งนี้เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้พวกเราฮึกเหิมตอนที่เดินลงสู่สนาม มันสุดยอดจริงๆ’วู้ดเกตร่ายยาวถึงความรู้สึกในวันนั้น

ณ วันแข่ง กิจวัตรของวู้ดเกตรวมถึงนักเตะในทีมจะถูกปลุกและเรียกมารวมพลที่ข้างล่างล็อบบี้ โรงแรมประมาณ 11 โมงเช้า ทานอาหารเบาๆตอนเที่ยงและเริ่มออกจากโรงแรมมุ่งสู่สนามเวมบลีย์ก่อนบ่ายโมงครึ่ง กระบวนการทุกอย่างทำเหมือนแมตช์ปกติทั่วไป ต่างกันก็แต่ความหมายของเกมที่สำคัญมากเหลือเกินสำหรับทีมที่ไม่ได้แชมป์รายการใดๆติดมือมานานถึง 9ปี สำหรับวู้ดเกต เจ้าตัวบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะควบคุมอารมณ์ ความตึงเครียดให้เป็นปกติ หาไม่อย่างนั้นแล้วอาจสติแตกในสนามได้

‘ผมมักจะกังวลอยู่เสมอก่อนลงเตะ ดังนั้นผมจึงพยายามทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตื่นเต้นไปมากกว่านี้ ด้วยการทำทุกอย่างให้เป็นปกติและเรียบง่ายที่สุด’

‘ผมจำภาพตอนเป็นเด็กของตัวเองได้แม่น ตอนเห็นนักเตะเดินลงมารถโค้ชและมุ่งหน้าสู่ห้องแต่งตัว ผมจำได้ว่าตัวเองตื่นเต้นไม่แพ้พวกนักเตะเลย แต่คราวนี้ถึงตาตัวเองมั้ง ผมแทบจำเหตุการณ์ตอนถึงสนามไม่ได้เลย มีเรื่องราวมากมายในหัวให้ต้องคิด ลืมไปด้วยซ้ำว่าแฟนๆมาดักรอกันเพียบ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว !’

‘ความรู้สึกตื่นเต้นของผมยังคงอยู่ ตอนที่เดินลงไปวอร์มอัพก่อนเกมและเห็นแฟนๆอยู่เต็มสนาม แต่หลังจากผมจูนสติตัวเองสักพักผมก็เครื่องร้อนและอยากจะให้กรรมการเป่าเริ่มมันเดี๋ยวนั้นเลย’

ครึ่งแรกกับเชลซีถือว่าสเปอร์สออกสตาร์สได้ไม่สวยนัก เพราะแม้ว่าจะเป็นฝ่ายครอบครองเกมได้ดีกว่า พลาดโอกาสเจ๋งๆไปหลายครั้ง แต่โดนเชลซีปล่อยหมัดฮุก ออกนำไปก่อนจากลูกฟรีคิกของดิดิเยร์ ดร็อกบา

การตามหลังทีมอย่างเชลซี 1-0 ในนัดชิงขนะเลิศถือเป็นเรื่องสาหัสมาก อย่างไรก็ดีวู้ดเกต กลับเชื่อว่าสเปอร์สยังมีโอกาสกลับมาได้

‘เมื่อพวกเดินกลับห้องพักนักเตะหลังจบครึ่งแรก ผมรู้ว่าว่าเราจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้’วู้ดดี้ย้อนถึงแมตช์ประวัติศาตร์นี้ด้วยรอยยิ้ม

‘ใช่ผมรู้ว่ามันง่ายที่มาพูดถึงเรื่องนี้ หลังเกมจบไปแล้ว แต่ผมคิดจริงๆน่ะว่าเราจะกลับมาชนะเชลซี เราเล่นได้ดีมากๆในครึ่งแรก และเราก็รู้อยู่เต็มอกว่าเชลซีเป็นทีมที่เสียประตูยากมากถ้าพวกเค้าได้ออกนำใครไปแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องการก็คือสักประตูมาเป็นจุดเปลี่ยนในครึ่งหลัง เพราะถ้าเราทำได้ ผมโคตรมั่นใจเลยว่าเราจะยิงเม็ดที่สองต่อได้’

สิ่งที่วู้ดเกตคิด ได้เกิดขึ้นจริงหลังเจอร์เมน จีนัสโยนบอลสุดสวยให้เค้าโขกประตูชัย หลังทีมตีเสมอได้ แต่ก่อนหน้านั้นวู้ดดี้ได้พูดถึงประตูตีเสมอว่า

‘ผมรู้ว่าเบอร์บา จะไม่พลาดลูกจุดโทษนั้น เพราะจิตใจเค้าเยือกเย็นยังกะน้ำแข็ง และก็ดูนิ่งมากๆก่อนยิง’

‘มันคือประตูที่เราต้องการมาตลอด เพื่อมาเปลี่ยนเกม และมาได้ในนาทีที่ 70 ก็ถือว่ามาได้ถูกเวลามากๆ เรามีความกระหายมากยิ่งขึ้นหลังจากนั้น มากกว่าเชลซีด้วยซ้ำ!’

---บทหน้าตอนจบน่ะค้าบ--
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ผลของการเน้นฝึกซ้อมเรื่องฟิตเนสของฮวนเด้ รามอส ได้แสดงให้ทุกคนประจักษ์เมื่อนักเตะสเปอร์สทุกคนในสนามยังคงวิ่งได้ไม่มีหมดและเพียงแค่สามนาทีหลังจากนั้ ผู้ตัดสินมาร์ค ฮัลซี่ย์เป่าฟาล์วให้สเปอร์สได้ลูกฟรีคิกในแดนของเชลซีเจอร์เมน จีนัส โยนบอลจากฝั่งซ้ายของสนาม วู้ดเกตวิ่งมากจากไหนไม่มีนักเตะคนไหนของเชลซีทันสังเกต รู้ตัวอีกทีกันก็เมื่อกองหลังมาดเซอร์โหม่งเช็ดบอลบางๆไปตรงปีเตอร์ เช็ก ประตูร่างยักษ์ที่ออกมาไวแต่กลับชกบอลไปไม่พ้น บอลเด้งไปโดนวู้ดดี้เข้าประตูทีมสิงห์บลู ได้เวลาปาร์ตี้ !!

‘ยิงประตูได้ที่เวมบลีย์ เป็นอะไรที่ผมฝันถึงมาตลอดสมัยที่ยังเป็นเด็กกะโปโลเตะบอลข้างถนน ดังนั้นการที่ผมทำมันได้จริงๆเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม รวมทั้งครอบครัวของผมด้วย’วู้ดเกตเล่ารำลึก

‘ผมรู้ว่าเจเจจะโยนบอลไปทางไหนเพราะเราฝึกซ้อมกันมาตลอดกับลูกเซตพีช ผมแค่พยายามจ้องไปที่ลูกบอลแต่เหลือบไปเห็นผู้รักษาประตูวิ่งออกมา ทันใดนั้นขณะที่ผมโขกบอลออกไปเช็กก็ชกบอลกลับมาที่หน้าของผมและบอลก็กระดอนเข้าตาข่ายไป พอผมเห็นลูกบอลข้ามเส้นประตูผมคิดในใจว่าโอ้พระเจ้าฉันได้ลงสนามและยิงประตู ทำอะไรต่อดีว่ะเนี่ย ! ผมนึกอะไรไม่ออกจึงพยายามออกตัววิ่งออกโดยหวังว่าจะมีใครสักคนมาจับผม ผมวิ่งไปทางแฟนบอลของเรา เป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากๆครับ ผมกลับดูรีเพลย์ของตัวเองในจังหวะนั้นผมวิ่งได้บ้าระห่ำมากเลย’

‘ในจังหวะนี้ผมต้องบอกว่าเจเจสมควรได้รับเครดิตไปเต็มๆเพราะทั้งน้ำหนักและทิศทางที่โยนมา มันเหมาะเจาะมากและผมก็ไม่สมควรพลาดมันด้วยประการทั้งปวง’ นอกจากนี้เจ้าตัวยังเสริมว่านี้คือเกมที่ดีที่สุดตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอลมาเลยทีเดียว

จากประตูชัยรวมถึงผลงานระดับมาสเตอร์พีชที่โชว์มาตลอดทั้งเกม ทำให้วู้ดเกตได้รับเลือกให้เป็น นัดเตะยอดเยี่ยมประจำเกมและได้รับการยกย่องจากทั้งสื่อมวลชนและอดีตตำนานนักเตะของสเปอร์สอย่างสตีฟ เซต์จเลย์ว่า

‘ในฐานะที่เคยเล่นในตำแหน่งกองหลังมาก่อนผมไม่เคยสงสัยในคุณภาพของเค้าเลย แต่อาการบาดเจ็บต่างหากที่ทำให้สโมสรที่เค้าเคยค้าแข้งอยู่ รวมไปถึงทีมชาติอังกฤษต้องขาดหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในประเทศไป ถ้าเราสามารถทำให้ เลดลีย์ คิงกลับมาฟิตเต็มถัง ยืนเคียงข้างวู้ดเกตได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสเปอร์สจะมีคู่กองหลังที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ชิพ’

แฟนสเปอร์สหลายคนน่าจะเห็นด้วยกับคำพูดชองเซต์จเลย์ แต่วู้ดเกตตระหนักดีว่าทั้ง ไมเคิล ดอร์สันและยูเนส คาบูลต่างก็ต้องการตำแหน่งในทีมตัวจริงเช่นกัน โดยวู้ดดี้ได้กล่าวว่า

‘ผมรู้จักกับเลดลีย์ก่อนที่จะย้ายมาสเปอร์สเพราะเราสองคนได้พบกันบ้างในการเก็บตัวของทีมชาติอังกฤษ ผมมั่นใจว่าการจับคู่ของเราในแผงหลังจะพัฒนามากขึ้นกว่านี้อีก แต่ผมคิดว่าคุณไม่ควรมองแค่ผมกับเลดลีย์หรอกน่ะ’

‘ดอร์ส และยูเนส...ใช่เรามีขุมกำลังที่ดีในตำแหน่งอีกและใครก็ตามที่ได้รับเลือกให้ลงเล่นต้องพยายามโชว์ฟอร์มให้ดี นี้เป็นส่วนนึงที่ทำให้ผมและกองกลังรายอื่นๆต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นในการฝึกซ้อม นอกจากนี้มันเป็นเรื่องสำคัญมากไม่ว่าคุณจะจับคู่กับใครเพราะเราต้องประสานงานกันให้ดี รวมไปถึงเข้าขากับเพื่อนในตำแหน่งอื่นๆด้วยเพราะฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีทีมเวอร์กที่ดีเป็นรากฐาน’

จากความสำเร็จในการเป็นแชมป์คาร์ลิ่งคัพในซีซั่น 2007-2008ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ทีมจะไม่ถูกคาดหวังมากขึ้น

‘การได้โควต้าเป็นเล่นแชมป์เปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลเป็นเรื่องที่ไม่เกินความจริงสำหรับเรา สิ่งๆนี้ไม่ใช่ว่าจะทำได้เพียงการฝึกซ้อมอย่างหนักแค่ข้ามคืน แต่เราต้องเริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้ไปจนตลอดถึงซีซั่นหน้า ถ้าเรายังพัฒนาได้ต่อไปเรื่อยๆอีกละก็มันจะเกิดขึ้นแน่นอน’วู้ดเกตยืนยันหนักแน่น

‘อย่างที่ผมได้พูดไปก่อนหน้านี้ บางครั้งเราก็มีเซนส์และรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น พวกเราทุกคนเชื่ออย่างนั้น ตอนนี้เราต้องก้มหน้าทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นเพียงแค่ความคิดในห้วงอากาศ’

นอกจากนี้เจ้าตัวยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับโอกาสในการติดทีมชาติมากขึ้นหลังจากทีมสิงโตคำรามได้เปลี่ยนนายใหญ่มาเป็น ฟาบิโอ คาเปลโล่ โดยกองหลังเจ้าของหมวกทีมชาติ 6ใบได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

‘ถ้าผมเล่นได้ดีอย่างสม่ำเสมอผมมั่นใจว่าผมจะได้รับเลือกให้ติดทีม’ โดยกองหลังผู้ซึ่งติดทีมชาตินัดสุดท้ายในเกมกับสเปนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี2007ได้พูดต่อว่า

‘แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเสมอเมื่อได้รับเลือกให้ติดทีม ตลอด7ปีที่ผ่านมาภายใต้ สเวนและต่อด้วยสตีฟ แม็คคลาเรนแนวทางการทำทีมอาจจะต่างกันบ้างแต่ก็ไม่เยอะ (บิ๊กแม็คเป็นผู้ช่วยของอีริคส์สันมาก่อนได้รับการดันให้เป็นกุนซือทีมชาติอังกฤษ) แต่สำหรับแนวทางของมิสเตอร์คาเปลโล่มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างของนักเตะและโค้ช การฝึกซ้อม รวมไปถึงแท็กติกส์ อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับพวกเราทุกคนที่จะได้ร่วมงานกับหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลก’

‘เรามีเซ็นเตอร์ฮาร์ฟระดับท็อปมากมายในประเทศ ณ เวลานี้แต่ผมรู้ดีว่าถ้าผมได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอและทำผลงานได้ดี ผมก็มีโอกาสเท่าๆกันกับคนอื่น’

ความกระหายที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหมด ถือเป็นข่าวดีอย่างแท้จริงของทีมชาติอังกฤษรวมไปถึงสโมสรอู่ข้าวอู่น้ำอย่างสเปอร์ส....
จบบริบูรณ์ ^^'

6 comments:

tummy said...

มาแปลเร็วๆหน่อยพี่อยากอ่านแล้ว

ธานคับ said...

รออ่านตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ

ส่วนวู๊ดเกต ผมว่าถ้าไม่เจ็บยาวป่านนี้ทะลุปล้องไปนานแล้วครับ แล้วถ้าเล่นให้เราแล้วไม่เจ็บ ผมว่าถือเป็นการซื้อตัวผู้เล่นที่คุ้มค่าอีกคนแน่นอนครับ

ธานคับ said...

ขอบคุณมากครับ ที่มาแปลให้อ่าน ขอให้กุศลที่ทำจงทำให้ทีมที่เชียร์ประสบความสำเร็จนะครับ

tummy said...

"พอผมเห็นลูกบอลข้ามเส้นประตูผมคิดในใจว่าโอ้พระเจ้าฉันได้ลงสนามและยิงประตู ทำอะไรต่อดีว่ะเนี่ย ! ผมนึกอะไรไม่ออกจึงพยายามออกตัววิ่งออกโดยหวังว่าจะมีใครสักคนมาจับผม ผมวิ่งไปทางแฟนบอลของเรา เป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากๆครับ ผมกลับดูรีเพลย์ของตัวเองในจังหวะนั้นผมวิ่งได้บ้าระห่ำมากเลย"

อ่านอันนี้จบแล้วยิ้มเลยพี่เอก

ขอบคุณอีกคนนะพี่

ปล.สาธุนะพี่ธาน หะหะ

เอก อุดมสุข said...

ชอบตรงท่อนนั้นเหมือนกันครับ น้องTummy ^^

ธานคับ said...

ผมอยากมีอารมณ์แบบนั้นบ้างจัง แบบว่าอยากได้ลงเล่นแล้วยิงให้สเปอร์สเรา มันคงเป็นความรู้สึกที่พิเศษสุดๆ เลยล่ะครับ ได้แต่ฝันกันต่อไป..