Thursday 24 January 2008

Welcome home เควิน คีแกน


เสาร์ที่ผ่านมาผมนั่งชมไฮไลต์เกม “เปิดซิง”การกลับมาคุมนิวคาสเซิ่ลคำรบที่สองของ “คิง เคฟ”เควิน
คีแกน ขวัญใจคนเดิมของชาวจอร์ดี้ในนัดเปิดบ้านพบกับโบลตันของแกรี่ เม็กสัน โดยที่ในใจแอบหวังไว้ครับว่างานนี้ แฟนๆเจ้าสาลิกาดงน่าจะได้เฮรับ3 คะแนน ต้อนรับกุนซือใหม่ของพวกเค้า


ผลเสมอกัน 0-0แบบ “ไข่ไม่แตก” นอกจากจะทำให้ผมเซอร์ไพร์สเล็กๆแล้ว ในส่วนของรูปเกมก็ชวนให้แอบง่วงไม่น้อย เพราะนิวคาสเซิ่ลในฐานะ “เจ้าบ้าน” ไม่ได้ใช้ความได้เปรียบตรงนี้พยายามเก็บ 3 แต้มเลย หนำซ้ำบางจังหวะของเกมยังหวุดหวิดเกือบจะโดนโบลตันยิงเอาด้วยซ้ำ


อย่างไรก็ดีครับ เกมนี้ยังไม่สามารถวัดอะไรได้มากเนื่องจากคีแกนนั้นเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่วันก่อนเกม และนิวคาสเซิ่ลเองก็ขาดตัวหลักไปครึ่งค่อนทีม ขณะที่โบลตันนั้นตั้งใจมาเล่นเกมรับ และการได้ 1 คะแนนกลับบ้านไปก็ถือว่าผลงาน “เข้าเป้า” ตามที่เม็กสันหวังไว้


แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าในเกมนี้ไม่ใช่เรื่องรูปเกมหรอกนะครับ ผมอยากจะรู้ปฏิกิริยาของแฟนบอลชาวจอร์ดี้ ที่มีต่อ “คิง เคฟ” ซะมากกว่า…และเท่าที่สังเกตดู ก็เป็นไปตามคาดครับ เพราะแม้นิวคาสเซิ่ลจะได้แค่เสมอโบลตัน แต่แฟนๆก็ยังดูแฮปปี้กันอยู่ หากเปรียบกับคู่รักก็ถือว่ายังอยู่ในช่วง “ข้าวใหม่ ปลามัน” ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ละครับ ^^



สื่อหลายๆสำนักที่นี้ ว่ากันว่ากรกลับมาของ คีแกนในรอบนี้ เปรียบเหมือน “รี เทิน ออฟ เดอะ คิง” หรือ การกลับมาของราชา เลยนะครับ เพราะนับตั้งแต่การจากไปของเจ้าตัวเมื่อ 11ปีก่อน นิวคาสเซิ่ลก็ไม่เคยทำผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ และได้เฉียดเข้าใกล้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกเลย



หลายๆคนที่อาจจะเพิ่งติดตามฟุตบอลได้ไม่นาน อาจสังสัยครับว่าทีมอย่างนิวคาสเซิ่ลเคยได้ “เฉียด” ลุ้นแชมป์กับเค้าด้วยหรอ ผมจึงขอเท้าความเล่าอดีตกันสักเล็กน้อยครับ



นิวคาสเซิ่ลในฤดูกาล 1995-1996 นั้นได้รับการยกย่องเรื่องฟุตบอลที่เน้นเกมรุกที่สวยงามและ
เอนเตอร์เทนแฟนบอลให้ตื่นตาตื่นใจกับแนวรุก มหาประลัยในช่วงนั้นอย่าง คีธ จิเลสพี ปีเตอร์ เบียดส์ลี่
เลส เฟอร์ดินานด์ และ ดาวิด ชิโนล่า ที่เล่นกันฟอร์มเทพมาตลอดเกือบทั้งฤดูกาลและนำทีมอันดับสองอย่าง แมนฯยูฯของป๋าแพนด้าอยู่12คะแนน ใครต่อใครในปีนั้น รวมถึงร้านรับพนันต่างๆ ก็ออกราคาให้โอกาสที่นิวคาสเซิ่ลจะเป็นแชมป์นั้น ราคาลดฮวบลงอย่างน่าเกลียด


แต่อยู่ๆก็เหมือนสวรรค์เล่นตลกร้ายกับทีมของคีแกนครับ เพราะว่าเซอร์อเล็กซ์ซึ่งเริ่มเก่งกล้าวิทยายุทธ์และเก๋าพอตัวแล้วกับฟุตบอลอังกฤษในช่วงนั้น ได้ริเริ่มเล่น Mind game หรือเรียกกันง่ายๆก็คือ สงครามประสาทกับนิวคาสเซิ่ลที่ทำท่าว่าจะเข้าวินแน่ ให้ออกอาการเป๋ โดย ไซโค ว่าเด็กผีคลื่นลูกใหม่ในช่วงนั้นอย่าง เดวิด เบ็คแฮม แกรี่&ฟิล เนวิลล์ พอล สโคลส์ ฯลฯ มีดีพอที่จะพาทีม เด็กผีปาดหน้าคว้าแชมป์ทีมของคีแกน


เมื่อโดน “ยั่ว” โดยเซอร์อเล็กซ์ เควิน คีแกนในช่วงนั้นถือว่ายังค่อนข้างใหม่ และเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรงคนหนึ่งในลีก แต่ด้วยความ “อ่อนประสบการณ์”กับอาชีพผู้จัดการทีม (เริ่มอาชีพกุนซือกับนิวคาสเซิ่ลในปี 1992) ก็ออกอาการ “น๊อตหลุด” ตบะแตกให้สัมภาษณ์โต้กลับอย่างเผ็ดร้อนคืนผ่านทางสื่อมวลชน


หารู้ไม่ว่า “ความหายนะ” กำลังจะมาเยือน…


เป็นทีมนำมาอยู่ดีๆ แทนที่จะพยายามใช้ทีมชุดเดิมที่เล่นกันมารักษาความได้เปรียบ 12 คะแนนไว้
คีแกน ก็เกิด “หลอน” กลัวรักจะพลาดท่าเสียทีให้ผีแดงครับ แกเลยขอบอร์ดบริหารในชุดนั้น ทุบกระปุกซื้อ “เจ้ากะเลงดำ” ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า ที่ช่วงนั้นโด่งดังอยู่กับปาร์ม่า มาเสริมความคมในแดนหน้า

แล้วหากใครที่ยังพอจะกันได้นะครับ หลังจากที่หัวหอกกะเลงดำชาวโคลัมเบียย้ายมา ก็เหมือนเป็น
“ตัวซวย” ให้เพื่อนร่วมทีมทันทีในปีแรกที่ย้ายมา เพราะว่าก้มหน้าก้มตาเลี้ยง ลาก เลื้อย จนเพื่อนๆพากัน งงเต็ก ว่ามรึง จะเลี้ยงไปหนาย ลำพังดาวิด ชิโนล่า รับบท “พ่อบุญธรรม” เอ้ย “พ่อเลี้ยง” (ห้าม อมยิ้ม มุขความผมน่ะ อิอิ) คนเดียวไม่พอ เจ้า “ติโน่”อัสปริย่าดันมาช่วยเลี้ยงอีก ที่นี้ระบบทีมเวิร์คที่เคยเล่นกันมาดีๆก็พังน่ะซิครับ



ความมั่นใจที่เคยเต็มเปี่ยม เมื่อเริ่มสะดุด และผีแดงยังแรงไม่เลิก ทีนี้ทั้งนักเตะและกุนซือที่ตอนนั้นยัง “จิตอ่อน”+ “ติสต์แตก” ผลงานเริ่มแผ่วลง แผ่วลงเรื่อยๆ จน พลพรรค“Babe devils”พาทีมปาดหน้าแซงได้จริงๆอย่างที่คุยเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมาคีแกนที่อนาคตทำท่าว่าจะรุ่งก็เริ่มสาละวันเตี้ยลง และเสียแชมป์ไปอย่างพลิกความคาดหมายแฟนบอลทั่วโลกและกูรูทุกสำนัก ขณะที่ป๋าเฟอร์กี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “เจ้าแห่งสงคราม ประสาท” อันดับต้นๆของโลกลูกหนังจวบจนทุกวันนี้



ครับ จากวันนั้นถึงวันนี้ คีแกนเองก็ผ่านอะไรมามาก ประสบการณ์ ทั้งความสำเร็จ+ผิดพลาดในอดีต น่าจะช่วยให้การกลับมาคุมนิวคาสเซิ่ลครั้งนี้มีแต่ได้กับได้และถือเป็น Win-Win deal หรือเป็นผลดี สำหรับทั้งสองฝ่าย



ตัวเควิน คีแกนเอง ซึ่งเคยถึงขั้นประกาศเลิกอาชีพกุนซือไปหลังจากออกจากแมนฯซิตี้ฯเมื่อ 3 ปีก่อน Passion หรือ ความกระหายในความสำเร็จน่าจะลุกโชนในหัวใจ และอยากที่จะ “แก้ตัว” นำเกียรติ์ประวัติกลับมาสู่ ถิ่นเซนต์ เจมส์ ปาร์ค เพื่อตอบแทนความรักของชาวจอร์ดี้ที่มีต่อตัวเค้ามาโดยตลอด โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อครับว่าการกลับมาคุมทีมอีกครั้งของคีแกนในครั้งนี้เป็นเหตุผลเรื่อง ฟุตบอล และ ความผูกพันที่เจ้าตัวมีต่อสโมสรแห่งนี้ ล้วนๆ ไม่อย่างนั้นแล้วคนอย่างคีแกนคงไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองแน่ๆ



ขณะที่นิวคาสเซิ่ล เองซึ่งจะด้วยเหตุผลท่านประธานใจร้อน เลยปลดกุนซือเป็นว่าเล่น หรืออะไรก็แล้วแต่ ถึงเวลานี้ ไมค์ แอชลี่ย์ต้อง Be patience หรืออดทน อย่างที่คีแกนออกมาวอนให้ อดทนรอ “ความสำเร็จ”สักนิดสำหรับการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง + ระบบ ทีมฯลฯ สไตล์ การเล่น & ซื้อผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา ฯลฯ
เข้าใจ ไมค์ แอชลี่ย์และเห็นใจแฟนบอล “ทูน อาร์มี่”นะครับ เพราะนิวคาสเซิ่ลถือเป็น One-Club town คือทั้งเมืองมีนิวคาสเซิ่ลอยู่ทีมเดียวให้เลือกเชียร์ ไม่เหมือนอย่างลอนดอน แมนเชสเตอร์ หรือ ลิเวอร์พูล ที่แฟนบอลมี “ชอยส์”ให้เลือกชม เลือกเชียร์มากกว่า



Pressure (ความกดดัน) Expectation (ความคาดหวัง) เรื่องความสำเร็จของแฟนบอลเองรวมถึงตัวประธานสโมสรที่อยากจะเห็นแฟนบอลมีความสุข มันจึงค่อนข้าง “เข้มข้น” และ “รุนแรง” กว่าทีมอย่าง
อาร์เซนอล แมนฯยู และ ลิเวอร์พูล ที่แม้จะใหญ่กว่า แต่กดดันน่าจะเบาบางกว่าชาวจอร์ดี้พอสมควร



ที่สุดแล้ว ผมก็ขอยกมือขวาเห็นด้วยอย่างแรงกับการที่บอร์ดบริหารนิวคาสเซิ่ลตัดสินใจเลือก เควิน
คีแกนกลับมารับตำแหน่งนี้ในช่วงที่ทีมกำลังคับขัน ดีกว่าจะไปเอาขวัญใจชาวจอร์ดี้อีกคน อย่าง อลัน เชียร์เรอร์ มาเป็นแม่ทัพใหญ่ เพราะ “ฮอตชอต”นั้นควรจะมาเรียนรู้งานเป็น “มือขวา” คิง เคฟ พี่ใหญ่ไปก่อน แล้วจากนั้นพอมีประสบการณ์ + ความรู้พอดู แล้ว จะทำการใหญ่ก็คงไม่มีใครว่าหรือคัดค้าน



ผมเชื่อนะครับว่า อย่างๆน้อยคีแกนจะนำ “เอนเตอร์เทนนิ่ง ฟุตบอล” มาให้แฟนบอลสาลิกาดง
ได้ตื่นตา ตื่นใจ จากปรัชญาฟุตบอลสไตล์ “คิง เคฟ” ที่เน้นเกมรุก และดูสนุกกว่านิวคาสเซิ่ลในยุคของ แซม
อัลลาไดซ์ แน่นอนครับ รับประกัน !!


6 comments:

Anonymous said...

เอารูปประกอบมาจากไหนเนี่ยพี่ น่าร้ากกกกกก

Anonymous said...

ฮ่าๆ ชอบเหมือนกันเลยครับน้อง Tummy ^_^

ธานคับ said...

หวัดดีครับคุณ เอก ผมก็เชื่อว่าจุดเปลี่ยนอยู่ที่อัสปริย่าเหมือนกัน จำได้เลย นัดแรกมันเปลี่ยนตัวลงมา ล๊อกซ้าย ขวาไปมา สุดยอดโครตๆ เพื่อนผมคนนึงมันเป็นแฟนนิวคาสเซิ่ล ยังชมไม่ขาดปากเลย แต่หลังจากนั้น มันก็ทำให้มเสียสมดุลย์ไป ทำให้พลาดท่าในที่สุด

อีกอย่างอีตาเฟอร์กี้ มันปากดีจริงๆ ว่า ลีดส(มั้ง) คงเล่นกับนิว ไม่เต็มที่เหมือนเจอแมนยูหรอก เลย ทำให้คีแกนตบะแตกด้วย ออกมาโต้ แล้วทำให้ลีดสมันฮึดอีก ทำให้เอาชนะลำบากขึ้นอีก

หลังจากนั้นความมั่นใจภายในทีมก็ลดลงไปเลย ถ้าคีแกนหนักแน่นกว่านี้ หรือนิ่งกว่านี้หน่อยนะ เหตุการณ์อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เสียดายจริงๆ

Anonymous said...

อัสปริยา เก่งนะครับ แต่อย่างที่ว่าแหละ สมดุลย์ในทีมเสียไปเลย ชิโน่ล่าก็เลี้ยง คีธ จีเลสพี ที่เล่นมาดีๆก็โดนดร็อปให้ อัสปริย่าลงแทนในตำแหน่งปีกขวา เฉยเลย + คีแกน "จิตตก" อีก ก็เป็นอันว่าจบเลยครับฝันที่จะเป็นแชมป์ของนิวคาสเซิ่ลในปีนั้น

tummy said...

แล้วนัดเจอสเปอร์ที่ผ่านมาเฟอร์กี้มันยังมาจิตวิทยา ชม เบิร์บ กับ คีน อย่างโน้นอย่างนี้อีกอะ สุดยอดจิงๆ

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ สำหรับบทความดีๆ