Tuesday 25 December 2007

เมอร์รี่คริสต์มาส ฟรอม ลอนดอน ครับ



Jingle Bells, Jingle Bells, Jingle all the wayก่อนอื่นคงต้องขอ "เมอร์รี่คริสต์มาส" ท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ บรรยากาศที่ประเทศอังกฤษตอนนี้กำลัง ถือว่าอยู่ในช่วง "มาคุ" เหลือเกินเนื่องเพราะสภาพอากาศ ที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุมเยอะแยะ "ชวนเหงา" และบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า รถราที่คอยอำนวยความสะดวกต่างก็ "พักเบรก" เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ



ปกติแล้วชาวอังกฤษที่นี่จะใช้เวลานี้เลี้ยงฉลองกับครอบครัว หม่ำไก่งวง และมีปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับผมแล้ว ถนนหนทางที่ว่างโล่ง และเงียบเป็นป่าช้าทำให้ออกไปไหนก็ลำบาก และไม่มีครอบครัวให้อยู่ฉลองด้วยเหมือนอย่างเคยกลับทำให้รู้สึกคิดถึงประเทศไทยเราไม่น้อยเลย



อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกับชีวิตนักฟุตบอลอาชีพที่นี่ซึ่งไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดที่จะฉลองเทศกาลอัน สุดพิเศษนี้กับครอบครัวก็น่าเห็นใจพวกเค้าไม่น้อยครับ เนื่องจากต้องมีคิวเตะถี่เหลือเกินในช่วงส่งท้ายปีเก่าต่อยาวไปจนถึงต้นปีหน้าเลย



อย่างนี้ล่ะครับ "ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง" ค่าเหนื่อยมหาศาลที่พวกเค้าได้รับก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเวลาส่วนตัวแบบนี้ไป



สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นปฐมฤกษ์ของโปร-แกรมสุดโหดนั้น ผมไปนั่งชมเกม อาร์เซนอล -สเปอร์ส ที่ผับละแวก Earlžs court กับคุณ "ใหม่ โมบาย" ครับ หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่เนื่องจากผมติดสอบไฟนัล คอร์ส ป.โท ขณะที่คุณใหม่ก็กำลังสนุก และวุ่นอยู่กับงาน และคอร์สโค้ชชิ่งฟุตบอลที่เจ้าตัวเพิ่งไปลงเรียนไว้อยู่



อย่างไรก็ดี "นอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์" แบบนี้ เราทั้งคู่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ
จากที่ดูตัว 11 ผู้เล่นชุดแรกที่ได้เห็น ผมดูแล้วอดหวั่นใจแทน ฮวนเด้ รามอสไม่ได้ครับ เพราะตัวเจ็บในโรงหมอนั้นเยอะมาก ทีมู ไทนิโอ มิดฟิลด์ตัวกลางต้องถูกจับมาเล่นแบ็กขวาจำเป็น เนื่องจากตัวเลือกในตำแหน่งเซ็น เตอร์ฮาล์ฟนั้นนัดกันเจ็บจนต้องไปจับ ปาสคาล ชิมบงด้า ไปเล่นแทน



ขณะที่เจ้าถิ่น อาร์เซนอลในเกมนี้นั้น มาในระบบ 4-5-1 โดยอาร์แซน เวนเกอร์นั้นเน้นแพ็กตัวผู้เล่นในแดนกลางโดยแดนหน้านั้นมี "มือสังหารจากโตโก" เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ยืนค้ำอยู่คนเดียว
นับเฉพาะในลีกก็เป็นเวลา 14 ปี” เต็มๆ แล้วครับที่สเปอร์สนั้นไม่เคยมายัดเหยียดความพ่ายแพ้ให้แก่ทีมปืนโตในบ้านได้เลย ส่วนตัวแม้จะเป็นแฟนสเปอร์สแต่ก็เจียมเนื้อเจียมตัวในเกมนี้เป็นอย่างดี และก็ได้บอกกับคุณใหม่ครับว่า "สเปอร์สโดนแน่นอนเกมนี้"



สกอร์ที่ออกมากนั้นถือว่า ไม่พลิกโผจากที่ผมคิดเท่า ไรครับ เนื่องจากว่าไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าทีมน้องไก่ที่พิการไปซะเยอะในแผงหลังจะต้านแนวรุกมหาประลัยที่มีการเข้าทำน่ากลัวเป็นอันดับต้นๆ ของลีกได้ (ณ นาทีนี้ ผมยกให้แมนฯยูฯเป็นทีมที่มีแนวรุกน่ากลัวที่สุดครับ)



แต่หากมองรูปเกมแล้ว นัดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่สเปอร์ส "ไม่มีเทพีแห่งโชค" ยืนอยู่ข้างๆ ครับ เพราะแม้ชื่อ ชั้น และคลาสนักเตะหลายรายจะเป็นรองขุนพลเดอะกันเนอร์ส แต่พวกเค้าก็สู้ได้สูสีได้อย่างที่สุดแล้วนับตั้งแต่ยุคของ เดวิด พลีท, จอร์จ เกรแฮม, เกลน ฮ็อดเดิ้ล, ฌัคส์ ซองตินี่ และมาร์ติน โยล เป็นต้นมา
การพลาดจุดโทษของ ร็อบบี้ คีน ในช่วง 20 นาทีสุด ท้ายนั้นถือเป็น "จุดเปลี่ยน" เกมนี้ครับ เพราะขวัญและกำ ลังใจของอาร์เซนอลนั้นคึกอย่างเห็นได้ชัด และเปลี่ยน "โมเมนตัม" ของเกมในที่สุด



เด็กๆ ของอาร์แซน เวนเกอร์ยังโชว์ให้เห็นด้วยว่า แม้ผลงานจะมีดร็อปลงไปบ้างในช่วงที่นักเตะตัวหลักบาดเจ็บ หายหน้าไปจากทีม แต่เมื่อตัวหลักเริ่มทยอยกลับมาพวกเค้าก็ยัง "ยอดเยี่ยม" และถือเป็น "แคนดิเดต" หมายเลข 1 ที่จะท้าชิงบัลลังก์แชมป์ของผีแดงในปีนี้ครับหลังจากทีมอสูรแดงก็เก็บได้ 3 แต้มเต็มเช่นกันในการเปิดบ้านเชือดเอฟเวอร์ตันไปสนุก 2-1



ที่เรียนอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทีมอย่าง เชลซี และลิเวอร์พูลที่ตามอยู่ 6 และ 10 แต้มตามลำดับจะไม่มีสิทธิ์ลุ้นแชมป์นะครับ เพราะเชลซีเดินหน้าเก็บชัยชนะมาเรื่อยๆ และบุกไปเก็บ 3 แต้มจากถิ่น อีวู้ด ปาร์ค ได้แม้ว่าจะยิงได้ไม่เยอะในช่วงที่ขาด "เดอะ ดร็อก" ดิดิเยร์ ดร็อกบา หัวใจแนวรุกไป และอังเดร เชฟเชนโก้ก็อย่างที่เห็นครับว่ายังไงๆ ก็เป็นที่พึ่งในยามยากให้เชลซีไม่ได้แน่นอน



แต่หากว่า อัฟรัม แกรนต์ ตัดสินใจกระโดดเข้าตลาด นักเตะไปคว้าตัว นิโก้ อเนลก้า ที่กำลังยิงระเบิดกับโบลตันในปีนี้ตามข่าวจริงๆ พวกเค้าก็คงเริ่มฝันถึงการเป็น "ตาอยู่" รอสองทีมนำฟอร์มสะดุดบ้าง แล้วอาศัยจังหวะ "ฮึด" ตีคะแนนไล่ขึ้นมาได้แน่



ขณะที่ลิเวอร์พูลที่ตอนนี้อยู่ที่ 5 ตามแมนฯซิตี้ ทีมอันดับ 4 ของ "คุณแม้ว" อยู่ 1 คะแนนนั้น ลึกๆ ผมเชื่อว่า หงส์แดงมีดีพอจะเบียดทีมเรือใบ ที่ไม่น่าจะทนแรงเสียดทานไหวลงได้ในที่สุดโดยมีข้อแม้ว่า พวกเค้าต้องเล่นให้ได้อย่างวันเสาร์ที่อัดปอร์ทสมัธไป 4-1 ไม่ใช่ทรงๆ ทรุดๆ แบบช่วงก่อนหน้านี้



ผมเชื่อครับ แรงกดดันจากบอร์ดบริหารที่เพิ่มเข้าใส่ ราฟาเอล เบนิเตซ จะทำให้ลิเวอร์พูลมีผลงานที่กระเตื้องขึ้นแน่นอน เพราะพวกเค้ามีกองหน้าที่ดีที่สุดในลีก อย่าง เฟอร์นันโด ตอร์เรส อยู่ในครอบครอง
ระบบการหมุนเวียนนักเตะ หรือ Rotation ในช่วงโปรแกรมแบบนี้ก็ต้องถูกเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะร่างกายนักเตะที่ต้องลงเตะแทบจะวันเว้นวันนั้นมีกรอบแน่นอน ขณะที่ตลาดนักเตะในช่วงเดือนมกราคมนี้ก็จะเป็นอีก "แฟกเตอร์" ที่จะพลิกสถานการณ์ของทีม



พรีเมียร์ชิพถึงตอนนี้เล่นกันมาได้ครึ่งทางแล้ว จากนี้ไปทีมใด "พลาด" ก็จะเท่ากับว่ามีสิทธิ์โดนทีมที่จี้ตามมาข้างหลังแซงหน้าไปได้ และความตึงเครียดตรงนี้แหละครับที่จะเป็น "สาเหตุ" ของการสูญเสียความมั่นใจและสะดุดในที่สุด



ทีมที่ "นิ่ง" ทนแรงเสียดทานได้ดี และสม่ำเสมอเท่านั้นครับที่จะอยู่รอด และประสบความสำเร็จได้ในพรีเมียร์ชิพยุคนี้

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3078

Saturday 22 December 2007

หนาวนี้


คริสตร์มาสปีนี้ ช่างหนาวและรู้สึกว่ามันเนิ่นนานเหลือเกิน....
ทำไมเวลามันเดินช้าอย่างนี้นะ
ทำอาหารกินก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว นั่งจิบกาแฟที่ร้านประจำก็แล้ว ไม่หมดวันสักที
ปีใหม่ก็ดันทะลึ่งไม่ได้กลับบ้าน ค่าตั๋วแพงบรรลัย !!

จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ช่วงที่สอบ Final ก็นับวันเมื่อไรจะสอบเสร็จสักที
แต่เอาเข้าจริงๆ อาการหนาวๆ หมอกลงยังกะอยู่บนดอยและพระอาทิตย์ตกเร็วเหลือเกิน
ทำให้ "ความเหงา" มาเยือนผมอีกครั้ง ในวันคริสตร์มาสนี้

ชีวิตหลังการสอบ เรียบง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องว้าวุ่นใจ มีอะไรให้ห่วงหน้า พะวงหลังเหมือนเดิม งานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารก็กำลังจะหยุดยาว ว่างมากกกกกถึงว่างที่สุด

นี้ยังดีนะที่ได้พี่ชายใจดี หยิบยื่น "โอกาส" ให้ได้ไปดูบอลติดๆอีกครั้ง ในช่วง Boxing day ที่จะถึงนี้ หลังจากที่ "เว้นวรรค" เรื่องบอลไปพักใหญ่ ไม่งั้นละมี "โฮมซิก" ++

บ้านใหม่ที่ย้ายมาอยู่ พี่ผู้หญิงเจ้าของบ้านและลูกชายก็เป็นกันเองดี จน"ความเหงา"เริ่มจางหายไป และ เริ่มมีไอเดียที่จะทำอะไรสร้างสรรค์ๆอย่างคนอื่นเค้าบ้างแล้วละ

จริงๆแล้วก็เสียวเรื่องผลสอบอยู่เหมือนกันเนื่องจากเทอมนี้เป็นเทอมแรกและดูเหมือนว่าผมจะยังแบ่งอะไรๆได้ไม่ลงตัวหนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หรือ เรื่องงาน ฯลฯ
ทุกอย่างมันประดังเข้ามา ไม่ทันให้เราได้มีเวลาได้คิดหรือตั้งตัว

กว่าจะมีเวลามานั่งคิด ให้เวลาตัวเองอีกทีก็หมดไปอีกปีนึงแล้ว
เวลาไม่เคยหยุดรอใครจริงๆ…

เรื่องของ “เวลา”ที่ไม่เคยหยุดรอเรานี่แหละ ทำให้ผมเริ่มคิดไตร่ตรอง และหยุดคิด ให้เวลาสำรวจตัวเองอีกครั้ง ว่าเป้าหมายที่เคยวางไว้ ได้เป็นไปตามแผนหรือเปล่า

ช่วงเวลาที่หลงระเริง เผลอใจไปกับเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนต่างๆมากมาย ทำให้ผมลืม “เป้าหมายที่แท้จริง” กว่าจะมีสติอีกทีก็ต้องรอจนตัวเองได้มีเวลาหยุดพักนิ่งๆแบบนี้

อย่างไรก็ดี ผมดีใจที่ได้มาค้นหาตัวเองที่นี้….

ขวบปีที่ผ่านมานี้ที่ประเทศอังกฤษ ผมได้ผ่านและเจอะเจออะไรต่างๆมาพอสมควร
ผู้คนและเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา เปรียบดั่ง “บทเรียนแห่งชีวิต” ที่สอนให้ผมได้
เรียนรู้ที่จะ “อดทน”

อายุที่เพิ่มขึ้นมาในแต่ละปี ทำให้ความรับผิดชอบและภาระที่เพิ่มขึ้น ผมคิดไม่ผิดที่มาที่นี้ เพราะมั่นใจว่าเมื่อกลับไป ผมจะแกร่งขึ้นทั้งกายและใจ และหวังว่าจะได้ตอบแทนทางบ้านที่ อายุมากขึ้นทุกปี และใช้เวลาอยู่ด้วยกัน“ทดแทน”ช่วงที่ห่างเหินกันมา

หนาวนี้ของผม อาจไม่ได้ไปเมาปลิ้นตามผับ และ มีคนให้จูงมือเดินเล่นเหมือนอย่างเคย
แต่หนาวนี้ ก็ทำให้ผมรู้สึกโตขึ้นมาอีกหนึ่งปี และตั้งเป้าจะ "ทำ”ความฝันให้เป็นจริงเสียที หลังจากแวะพักตามไหล่ทางอยู่หลายครั้ง

ขอบคุณ “ลมหนาว” และ “ความเหงา” ที่ทำให้ผมได้หยุดคิดและให้เวลาตัวเองอีกครั้ง…

Wednesday 19 December 2007

ความท้าทายใหม่ ของคาเปลโล่


บทบาท "ผู้จัดการทีม" ที่ผ่านมาของชายชาวอิตาเลียน วัย 61 ปีนามว่า ฟาบิโอ คาเปลโล่ อาจจะดูราบรื่น สวยหรู CV เต็มไปด้วยเกียรติยศ และรางวัลต่างๆ มากมายในการคุมทีมระดับสโมสร "บิ๊กเนม" ชนิดนับไม่ถ้วน
ณ เวลานี้ ด้วย "วัย" และ "วุฒิภาวะ" น่าจะทำให้เจ้าตัว คิดว่า ถึงเวลาเสียทีที่จะ ก้าวขึ้นมารับงานที่ "ท้าทาย" มากกว่าอย่างการคุมทีมชาติอังกฤษ ที่ตอนนี้ถือได้ว่าอยู่ในช่วง "วิกฤต”" หลังจากเพิ่งอกหัก ตกรอบคัดเลือกยูโร 2008
ลำพังหากเรามองนักเตะ "สิงโตคำราม" เป็นรายตัวแล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องของ "ฝีเท้า" และ "ความสามารถ" นั้นไม่เป็นรองนักเตะชาติใดในโลกลูกหนัง


แล้วเหตุไฉนทีมทรีไลออนส์จึงไม่เคยไปถึง "ฝั่งฝัน" อย่างชาติอื่นๆ เค้า?...


นักเตะคุณภาพคับแก้วอย่าง เวย์น รูนี่ย์, สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด หรือจอห์น เทอร์รี่ ที่ชื่อนั้นเข้าขั้น "เวิลด์- คลาส" แต่มีผลงานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และเมื่อรวมกันเป็น ทีมทำให้ทีมไปไม่ถึง ฝั่งฝันนั้นอาจจะเป็นปัญหาหลัก ที่อังกฤษประสบพบเจอมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


อังกฤษจึงต้องการ "ผู้นำ" ที่สามารถปลุก และ ระดมความเชื่อมั่น ของนักเตะ ให้กลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง และ "เอฟเอ" ก็เชื่อว่า คาเปลโล่คือคนคนนั้น


บุคลิกที่ดู "แข็งกร้าว" และ "เชื่อมั่นในตัวเอง" แต่เต็มไปด้วยความ "ทุ่มเท" ให้กับทีมนั้นดูช่าง "เหมาะสม" กับตำแหน่งที่เต็มไปด้วยความคาดหวังสูง จากกุนซือทีมชาติอังกฤษได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยๆ คาเปลโล่ก็น่าจะเคยชินกับแรงกดดัน มหาศาลแบบนี้ตั้งแต่สมัยคุม เอซี มิลาน หรือเรอัล มาดริด แล้ว


"ความเด็ดขาด" ในการเลือกตัวนักเตะก็ถือเป็นอีก "จุดแข็ง" ที่คาเปลโล่มี เพราะซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง เดวิด เบ็คแฮม โรนัลโด้ หรืออันโตนิโอ คาสซาโน่ ก็เคยโดนดองเค็มจนแทบหมดอนาคต ที่มาดริดแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน


นั่นก็เพราะพวกคาเปลโล่เห็นว่า พวกเค้าเหล่านี้ไม่ สามารถผลิตผลงานในสนามได้ตามต้องการ
จากนี้ไปคงไม่มีนักเตะทีมชาติอังกฤษคนไหนได้รับอภิสิทธิ์ หรือการันตีตำแหน่งในทีมเป็นแน่ และคู่กองกลางแข้ง ทองอย่าง สตีวี่ จี และแฟรงค์ แลมพาร์ด อาจจะมีคนใดคนหนึ่งต้องหลุดออก ไปจากทีมชุดแรก หากไม่สามารถจับคู่ผลิต ผลงานที่ดีสุดให้ทีมออกมาได้ เนื่องจาก "ทีม" และ "ผลการ แข่งขัน" คือสิ่งที่ต้องมาก่อนตามปรัชญาการทำทีมของคาเปลโล่


เรื่องของ "บารมี" และ "ความเป็นผู้นำ" หากเปรียบกับ สตีฟ แม็คคลาเรน ที่ดูเกรงอกเกรงใจนักเตะซีเนียร์ในทีมแล้ว ตรงจุดนี้คาเปลโล่น่าจะได้รับความยำเกรงจากนักเตะมากกว่า เนื่องจาก "ความสำเร็จ" ที่ผ่านๆ มาเป็นเหมือน "ใบเบิกทาง" ขั้นแรก หากจะได้รับการเป็นที่ยอมรับจากลูกน้องในทีม


สตีฟ แม็คคลาเรน นั้นมีแค่ถ้วยชนะเลิศ คาร์ลิ่ง คัพ ในอาชีพกุนซือ ขณะที่ลูกน้องในทีมอย่าง จอห์น เทอร์รี่ นั้นได้แชมป์พรีเมียร์ชิพมา 2 สมัย ขณะที่สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ก็เป็นแชมป์ยุโรปกับลิเวอร์พูล


"บารมี" ของนักเตะในเคสของเทอร์รี่ และเจอร์ราร์ด ที่ผมยกตัวมาให้เห็นนี้ มันเลยดูค่อนข้างข่ม "บารมี" ผู้เป็นกุนซืออยู่ไม่น้อยนะครับ


เรื่อง "ปลีกย่อย" เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อาจดูเหมือนไม่สำคัญ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันมีผลกับการ "คุม" ลูกน้องในทีมตามหลักจิตวิทยาของมนุษย์เราที่ทั่วไปแล้วจะยกย่อง และให้เกียรติผู้มีความรู้ หรือประสบความสำเร็จมากกว่าเรานั่นเอง


และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือ "ศาสตร์การวางเกม" ของคาเปลโล่นั้นไม่เป็นรองกุนซือคนใดในโลก ลูกหนังยุคนี้แล้ว และหากนักเตะอังกฤษสามารถ "เรียนรู้" และ "ซึมซับ" ความรู้ตรงนี้จากคาเปลโล่ได้มากที่สุดแล้ว
ค่าเหนื่อย 6 ล้านปอนด์ต่อปีไม่ถือว่าแพงไป และ ทีมชาติอังกฤษยุคใหม่จะประสบความสำเร็จไกล กว่าที่ทุกคนคิดแน่นอนครับ !!


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ 3072

Wednesday 5 December 2007

สเปอร์สแพ้ กรรมการขโมยซีน???


ผมยอมรับว่าตัวเองโชคดีครับที่ทางเจ้าหน้าที่ของ สเปอร์สส่งอีเมล์มาบอกว่าจะไม่มีที่นั่งสำหรับผมในเกม สเปอร์ส-เบอร์มิงแฮม เนื่องจากจำนวนนักข่าวที่เข้าชมในเกมนี้มีมากจนเกินไป

นี่ถือเป็นครั้งที่สองแล้วครับที่ผมโดน Turn down หรือปฏิเสธจากสโมสรในลอนดอน โดยครั้งแรกนั้นเป็นฟูแล่มครับ ที่แจ้งผมโดยอ้างสาเหตุเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเท่าที่ผมพอจะ "สรุปความ" โดยอาศัยการสังเกตความเปลี่ยน แปลงในฤดูกาลนี้ก็คือ มีนักข่าวจากเอเชียบ้านเราเพิ่มขึ้นเยอะจริง ๆ ครับ

ชาติที่ส่งนักข่าวมาประจำการที่ประเทศอังกฤษเพิ่มขึ้นมา "เยอะ" จนน่าตกใจนั้นน่าจะเป็นนักข่าวจากเกาหลีครับ สาเหตุนั้นน่าจะ มาจากว่ามีนักเตะจากแดนโสมขาวหลายราย อาทิเช่น ปาร์ค จี ซุง, ลียอง เปียว หรือ โซล คี เฮือน บุกมาโกยเงิน+ประสบการณ์ ให้ทีมชาติของพวกเค้าในพรีเมียร์ชิพทุกวันนี้

จำได้ครับว่ามีครั้งหนึ่งไปสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อชมเกม ลอนดอนดาร์บี้แมตช์ เชลซี-ฟูแล่มเมื่อตอนต้นฤดูกาล ครั้งนั้นไม่ทราบว่าเป็นเพราะ Sumsung แบรนด์ดังจากเกาหลีเป็นผู้สนับสนุนหลักของเชลซีในปีนี้หรือเปล่าไม่ทราบครับ แต่เกมนั้นนักข่าวจากแดนโสมขาวนั้นเยอะมาก และบางรายไม่รู้ว่าใช้ "อภิสิทธิ์" ตรงนี้หรือเปล่าพาแฟนสาวเข้าไปนั่งชมเกมแถมยังแอบ "จู๋จี๋ ดู๋ดี๋" ให้คน (โสด) ที่นั่งข้างๆ อย่างผมแอบตาร้อนผ่าว ไม่เป็นอันดูเกมเลย ^_^

ส่วนเรื่องที่บอกว่าตัวเองนั้น "โชคดี" ที่ไม่ได้เข้าชมเกมนี้ก็เพราะว่า มันคง "ช้ำ"น่าดูครับที่ต้องมานั่งชมเกมที่ทีมรักโดน "ถอนขน" คาบ้านตัวเองแบบนี้

เฮ้อ..พูดแล้วก็ขออนุญาตถอนหายใจยาว ๆ สักหนึ่งทีนะครับ เพราะว่าก่อนเกมดันไปทะลึ่งทำเปรี้ยว ประกาศกับเพื่อนในกลุ่มว่า "สเปอร์สไม่แพ้เบอร์มิงแฮมแน่นอน ถ้าแพ้ตรูให้เตะ!!"

ไอ้สาเหตุที่เปรี้ยวเกินพิกัด และมั่นใจว่าสเปอร์สจะไม่แพ้ในเกมนี้ก็เพราะว่า ผมเชื่อมั่นในตัว ฆวนเด้ รามอส มากครับ เพราะตั้งแต่แกเข้ามาคุมทีม "น้องไก่" ยังไม่พานพบกับความพ่ายแพ้เลยแม้แต่นัดเดียว

หลังจากอาทิตย์ที่แล้วสเปอร์สไปยันเสมอเวสต์แฮมได้อย่างสุดมัน 1-1 รวมไปถึงการเชือด อัลบอร์ก จากเดนมาร์ก 3-2 เมื่อกลางสัปดาห์ ผมยอมรับครับว่า "กุนซือหน้าตาย" ชาวสแปนิชรายนี้มีปรัชญาฟุตบอลเน้น "เกมรุก" อย่างที่แกประกาศไว้ในวันแรกทันทีที่เหยียบถิ่น ไวท์ฮาร์ทเลน จริงๆ

เท่าที่ผ่านมาต้องยอมรับครับว่าเรื่องความ "ใจถึง" ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นรวมถึงตัวนักเตะระหว่างเกมนั้น แก "ได้ใจ"แฟนสเปอร์สไปพอสมควร เพราะหากเปรียบเทียบกับ มาร์ติน โยล กุนซือคนก่อนแล้ว แฟนๆ ต้องรอแล้วรออีกกว่าลุงโยลจะเปลี่ยนแปลงทีมแต่ละที

ผิดกับฆวนเด้ ที่ "กล้าคิด กล้าทำ" กว่าโยลพอสมควร อันนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลง ที่แฟนสเปอร์สหลายๆ คนรวมทั้งถึงตัวผมเองนั้นถือว่าเป็น "สัญญาณที่ดี" ที่ทีมจะได้ลุกขึ้นมายืนเดินหน้าเก็บชัยชนะได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ดีครับ ในเกมกับเบอร์มิงแฮมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ผ่านมา ผมไม่อาจกล่าวได้ว่า "แท็กติกส์" 4-3-3 ของรามอส ในเกมนี้ "ผิดพลาด" เพราะแนวรุกนั้นก็ดูดี และมีจังหวะเข้าทำได้สวยๆ หลายต่อหลายครั้ง
ในมุมกลับกันผมมองว่า เป็นความผิดพลาดของแผงหลังสเปอร์ส (อีกแล้ว) ที่ทำให้ ทีมต้องพ่ายคาบ้านต่อเบอร์มิงแฮมที่หากเปรียบเทียบ ในเรื่องของ "ชื่อชั้น" และ "ตัวนักเตะ" แล้วเป็นรองฝั่งสเปอร์ส อยู่ไม่น้อย
อย่างในประตูแรกที่เสียนั้นถือเป็นว่าเป็นความผิดพลาด ของ ยูเนส คาบูล อีกครั้งหลังจาก ที่เมื่อวีกก่อนก็เพิ่งสะเหร่อจ่ายบอลผิดพลาดให้กองหน้าเวสต์แฮมฉกไปกินง่ายๆ โดยเกมนี้กัปตัน U-21 ของฝรั่งเศสก็ไปฟาวล์ แกรี่ แม็คเชฟฟรี่ ร่วงลงในกรอบเขตโทษสเปอร์ส อีก

จริงๆ แล้ว ช่วงที่คาบูลย้ายมาแรกๆ ผมว่าหน่วยก้าน และ เบสิกบอลของคาบูลดีพอจะเป็นกองหลัง ที่โด่งดังในอนาคตได้เลยนะครับ แต่ด้วยภาระความกดดันของนักเตะวัยเพียง 21 แต่ต้องมาแทนตำแหน่งที่หายไปของ เลดลี่ย์ คิงที่เจ็บยาว (และมีข่าวลือว่าถึงกับต้องอาจแขวนรองเท้า!!) มันดูจะ "หนัก" ไปหน่อยสำหรับนักเตะวัยขนาดนี้ ที่สำคัญก็ต้องไม่ลืมว่าเจ้าตัวเพิ่งจะย้ายจากฝรั่งเศสด้วย ฉะนั้นคงต้องให้เวลาหมอนี้อีกหน่อยในการปรับตัวให้เข้ากับบอลเร็วๆ ของอังกฤษ

ครึ่งเวลาหลังการเปลี่ยน "แท็กติกส์" ของรามอสดูเหมือนจะได้ผลครับหลังร็อบบี้ คีนยิงเบิ้ลสองประตูรวด และสเปอร์สพลิกมาแซงเป็น 2-1
แต่ "จุดเปลี่ยน"ที่ทำให้เกมนี้ต้องจบแบบ "หักมุม" นอกเหนือจากลูกตะบันไกลสุดสวยของ เซบาสเตียน ลาร์สสัน ที่ "ผีจับยัด" ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแล้ว ผมมองว่า การตัดสินของ ฟิล ดาวน์นั้น "รุนแรง" ไปหน่อยที่ฟัก เอ้ย...ควัก ใบแดงให้กับ ร็อบบี้ คีนในจังหวะที่เข้าไปเสียบสกัดบอลจาก ฟาบริซ มูอัมบ้า

หากสังเกตให้ดีๆ ในจังหวะนั้นจะเห็นครับว่า ดาวน์ นั้นปรึกษากับผู้ตัดสินที่ 4 อย่าง ยูไรห์ เรนนี่ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยืนอยู่ใกล้ๆ กับ "จุดเกิดเหตุ"!! "ยืนอยู่ข้างหน้าแท้ ๆ ดันไปถามคนอื่นเค้า ลุงดาวน์เอ้ย" ผมแอบอุทานในใจหลังแกควักใบแดงให้คีน

10 คน ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย และยังโหมบุกกะฟัน 3 คะแนนต้องยอมรับครับว่า การเสี่ยงของรามอสในวันนั้น "เสี่ยงเกินไป" และแนวรุกที่ปราศจาก ร็อบบี้ คีนนั้นต้องบอกว่า "ดีแต่ป้อ ล่อไม่เป็น" ครับ โดยเฉพาะ เจอร์เมน เดโฟ ในเกมนี้

สเปอร์สพ่ายไปในเกมนี้ ผมจึงพอจะสรุปได้ว่า เบอร์มิงแฮมนั้นมาดีเกินคาด ขณะที่ "ใบแดง"ของ ร็อบบี้ คีน ในเกมนี้ถือว่า "เปลี่ยนรูปเกม" พอสมควร

ขณะที่แนวรับที่เป็นจุดอ่อน และเสียประตูแบบไม่ควร จะเสียอยู่บ่อยๆ น่าจะทำให้รามอสที่ประกาศว่าจะ ไม่ซื้อเพิ่มในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคม เมื่อวีกที่แล้วอาจเปลี่ยนใจกระโจนเข้าไปหาแผงหลังประสบการณ์สูง ราคาไม่แพงมาเสริมทีมสักคน เพราะแบ็กโฟร์ที่มีอยู่ตอนนี้อย่าง ดอว์สัน, คาบูล หรือแกเร็ธ เบล นั้นยังดูยังอ่อนประสบการณ์ เกินไปกับแนวรุกเขี้ยวๆ ในพรีเมียร์ชิพ

เกมกับอันเดอร์เลชท์ คืนพรุ่งนี้น่าสนใจครับว่า ฆวน เด้ รามอส จะจัดทีมแบบไหน และจะจัดการกับแนวรับ ที่อ่อนปวกเปียกระดับกระดาษทิชชูชุ่มน้ำได้อย่างไร??


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3051

Monday 3 December 2007

ไม่มีเหตุผล



ถามว่าจำเป็นมั้ยว่าการที่จะรักใครสักคนนึงต้องมีเหตุผลมายกอ้างหรืออธิบายกันให้ยืดยาว ??

เธอคนนั้นจำเป็นมั้ยที่ต้อง เลิศเลิอ Perfect เป็นแม่บ้านแม่เรือน หรือ หน้าตาน่ารักระดับน้องๆพอลล่าหรือบอลลูน

มุมมองผมแล้วไม่เห็นจะจำเป็นเลยสักนิดที่ “เธอ” คนนั้นต้องเพียบพร้อมอย่างนางในฝันของชายหนุ่มทั่วๆไป

เพียงแค่เธอทำให้คุณรู้สึก “พิเศษ” มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรอ ?
เหตุผลบางครั้งมันก็ไม่จำเป็นหรอกครับ ที่คุณจะเลือกใครคนนั้น คนที่คุณเพิ่งจะเจอเค้าได้ไม่นานมาเป็น แฟน หรือ คู่ชีวิต

เพราะลึกๆแล้ว “ความรู้สึก” เราเท่านั้นครับที่สามารถบอกเราได้ว่า คนๆนี้แหละที่เราอยากจะใช้ชีวิตหรือใกล้ชิดอยู่ด้วย

อย่ามัวแต่เลือกหรือลังเลให้เสีย “โอกาส” หรือ รอให้แมวคาบไปกินเลยครับ ถ้าความรู้สึกเราบอกว่า “ใช่” ก็ตามเสียงของหัวใจคุณไปเลยดีกว่า

ชีวิตนึงมันแสนสั้นนะครับ…