Wednesday 28 November 2007

เกาะขอบสนามเกม เวสต์แฮม-สเปอร์ส


หากถามผมว่านอกเหนือจากทีม "น้องไก่" ที่ผมตามเชียร์มานานหลายปีแล้ว มีทีมไหนอีก หรือเปล่าที่ผมแอบ "กิ๊ก" ด้วย
ถ้าไม่รวมฟิออเรนติน่า, เรอัล มาดริด และทีมชาติอาร์เจนตินา ที่ไม่ได้อยู่ในลีกอังกฤษแล้ว ผมคงต้องบอกว่าอีกทีม ที่ผมแอบมีใจให้มากที่สุดก็คือ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ดครับ
สาเหตุง่ายๆ ของผมก็คือว่า อดีตขวัญใจผมอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม ย้ายข้ามฟากจากสเปอร์สไปเวสต์แฮม ต่อเนื่องด้วย บ็อบบี้ ซาโมร่า, แมทธิว เอเธอร์ริงตัน หรือรายล่าสุดที่ย้าย ไปตกอับอย่าง คัลลั่ม ดาเวนพอร์ต ทำให้ผมอด ที่จะแอบติดตามผลงาน ของอดีตนักเตะไก่ไม่ได้ มันก็เลยเป็นที่มาของการแอบเอาใจช่วย และแอบดีใจกับพลพรรคขุนค้อนอยู่ลึกๆ ทุกครั้งที่พวกเค้าเก็บชัยชนะได้

อย่างไรก็ดีผมไม่สามารถประกาศตัวได้ครับว่า แอบเชียร์ขุนค้อน เพราะเดี๋ยวคนโน้นคนนี้จะ หาว่าผมเป็นคนหลายใจ ผมจึงได้แต่เก็บอารมณ์ตัวเองประมาณว่า "รักค้อนนะ แต่ไม่แสดงออก ^_^"
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ ผมได้มีโอกาสไปเยือนสนาม อัพตัน พาร์ค ในศึกลอนดอนดาร์บี้ แมตช์ ระหว่าง เวสต์แฮม และสเปอร์ส

ส่วนตัวผมแล้วเกมนี้ ไม่ใช่แค่ดาร์บี้แมตช์ธรรมดา ครับ แต่มันเป็นความรู้สึกประมาณว่าทีมที่แอบ "กิ๊ก" เจอกับทีม "เมียหลวง" ที่ตามเชียร์มากว่า 10ปี ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเลือก "จุดยืน" ของตัวเองด้วยการใส่เสื้อสเปอร์สเข้าสนามเวสต์แฮมครับ โดยมีเสื้อโคตทับอีกชั้น เพราะว่าอากาศค่อนข้างหนาว (จริงๆ กลัวโดนแฟนเวสต์แฮมกระทืบ หุ หุ)

การมาสนามอัพตัน พาร์ค ในครั้งนี้แม้จะเป็นครั้งแรก ของผม แต่โดยรวมแล้ว การเดินทางถือว่าไม่ยาก เพราะสนามนั้นใกล้กับสถานีรถไฟ Upton Park โดยออกจากสถานีแล้ว เดินตามกลุ่มแฟนบอลไปประมาณ 5 นาทีก็จะถึงหน้าสนามแล้ว
หลังจากเดินสำรวจรอบๆ สนามทั้งในส่วนของ Mega store และ Press room แล้วคิดจะเปรียบเทียบกับสนามของอาร์เซนอล, เชลซี หรือสเปอร์สนั้น ต้องยอมรับครับว่า อัพตัน พาร์ค นั้นเป็นรองอยู่เล็กน้อยโดยเฉพาะในส่วนของ Mega store ที่ถือว่าค่อนข้างเล็ก และไม่มีพื้นที่ให้เดินมากนัก

อย่างไรก็ดี แม้ความสะดวกสบายของสนามจะ เป็นรองแต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมการันตีได้ว่าไม่เป็นรองสนามอื่นๆ แน่นอนก็คือเสียง เชียร์ของแฟนบอลครับ เพราะทันทีที่ผมเข้ามาประจำการที่ Press box หรือที่นั่งชมเกมของนักข่าว เสียงเพลง Blowing bubbles (เพลงเชียร์ประจำสโมสร) ก็ดังขึ้น และแฟนบอลขุนค้อนเกมนี้ก็ดูจะดุดันเป็นพิเศษครับ เพราะคู่แข่งดันเป็นสเปอร์ส คู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนนั่นเอง

ช่วงประกาศรายชื่อนักเตะทั้งสองทีม "ควันหลง" จากความผิดหวังที่อังกฤษต้องตกรอบคัดเลือกยูโร 2008 ยังคงคุกรุ่นอยู่ครับ โดยทุกครั้งที่โฆษกสนามขานชื่อนักเตะสเปอร์สสัญชาติอังกฤษเมื่อไหร่นั้น แฟนบอลเวสต์แฮมจะโห่แซว และด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย คนที่โดนโห่หนักหน่อยในเกมนี้เห็นจะเป็น พอล โรบิน สัน นายทวารร่างอวบของทีมชาติอังกฤษที่แฟนเวสต์แฮมเชื่อว่าหาก "ร็อบโบ้" ไม่ทำสะเหร่อ เสียประตูแบบ ไม่ควรจะเสียในหลายๆ เกม ทีมชาติอังกฤษก็คงไม่ตกรอบ
การจัดตัวในเกมนี้ของฝั่งเจ้าถิ่น มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยครับตรงที่ อลัน เคอร์บิชลี่ย์ ใช้คู่กองหน้าเป็น คาร์ลตัน โคลจับคู่กับ หลุยส์ บัว มอร์เต้ โดยดีน แอชตัน กองหน้าไซซ์ XL มีชื่อเป็นเพียงตัวสำรอง
ขณะที่สเปอร์สภายใต้การคุมของ ฮวนเด้ รามอส ยังไม่พบกับคำว่าพ่ายแพ้ และนักเตะดูจะเล่นกัน ด้วยความมั่นใจมากขึ้นหลังนัดที่แล้วที่เพิ่งอัดวีแกนมา 4-0 ในบ้านตัวเอง

รูปเกมตามความเห็นของผมแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการ "โชว์"ของผู้รักษาประตูชาวอังกฤษ ของทั้งสองทีมเลย ก็ว่าได้ครับ เพราะทั้ง โรเบิร์ต กรีน และพอล โรบินสันต่างก็ผลัดกันโชว์ซูเปอร์เซฟสวยๆ ได้หลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะ "นายเขียว" โรเบิร์ต กรีน ที่สื่ออังกฤษตอนนี้เชียร์ให้เป็นมือหนึ่งในทีมชาติได้แล้ว หลังเซฟจุดโทษไป 3 ลูกแล้ว (รวมเกมนี้ที่เซฟลูกโทษของเจอร์เมน เดโฟในช่วงทดเวลาบาดเจ็บด้วย)

นอกเหนือจาก "ไฮไลต์" ซูเปอร์เซฟของกรีนแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจกว่าในเกมนี้ก็คือ แท็กติกส์ของ ฮวนเด้ รามอส ในช่วงที่ทีมตามอยู่ 0-1 โดยกุนซือสแปนิชรายนี้ถอด ยูเนส คาบูล ออกหลังจากเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเด็กรายนี้ทำผิดพลาดจนกลายเป็น "ต้นเหตุ" ของการเสียประตูแรก แล้วเปลี่ยนจากระบบ 4-4-2 มาเป็น 3-4-3 โดยส่ง ดาร์เรน เบนท์ลงมาแทนในนาทีที่ 54 และสั่ง ดิดิเยร์ โซโกร่าที่เป็นกองกลางตัวตัดเกมมายืนเป็นกองหลังตัวกลาง คู่กับไมเคิล ดอว์สัน และปาสกาล ชิมบงด้า
ในจังหวะนั้นจากมุมของ Press box ที่ผมนั่งอยู่จะเห็นได้ชัดเลย ครับว่านักเตะสเปอร์สออกอาการ สับสน กับการเปลี่ยนแผนนี้ของรามอสพอสมควร โดยเฉพาะ แอรอน เลนน่อน ที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กหันไปถาม ชิมบงด้า อยู่สองสามทีว่าให้เล่นยังไงแน่

การแก้เกมแบบนี้ถือว่ากล้าเสี่ยงมากครับ เพราะหลังจากตีเสมอได้ สเปอร์สก็จวนเจียนจะเสียประตูอยู่หลาย ต่อหลายครั้ง ยังดีที่เกมนี้ "นายห้าง" โรบินสัน "ผีเข้า" เซฟลูกยิงที่กำลังจะเข้ามุมของ สกอตต์ ปาร์คเกอร์ และดีน แอชตัน สองตัวสำรองในช่วงก่อนหมดเวลาได้อย่างที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า นายห้างจะกลับมาบินเซฟสวยๆ ได้อีกหลังจากที่ฟอร์มรูด+ความมั่นใจหายไปนาน

ส่วนประเด็นลูกจุดโทษท้ายเกม เท่าที่ผมดูภาพช้าแล้ว อันนี้ส่วนตัวมองว่าอยู่ที่ "ดุลยพินิจ" ของคนเป็นกรรมการครับ เพราะจริงแล้วๆ จะไม่ให้ในจังหวะนั้น ก็ไม่ผิด แต่จะให้ก็ไม่แปลกเพราะถือว่า ลูคัส นีลล์เข้าปะทะเดโฟจากด้านหลังจริงๆ และอีกอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในครึ่งแรกที่ ไมค์ ไรลี่ย์ ไม่ได้เป่าจุดโทษให้สเปอร์สในจังหวะที่ร็อบบี้ คีน โดนกรีนสกัดร่วงลงไปในกรอบเขตโทษ "ความรู้สึก" ตรงนี้อาจเป็นเหตุให้ ไรลี่ย์เป่าจุดโทษ ในจังหวะที่สองนี้ก็เป็นไปได้ครับ

อย่างไรก็ดี เจอร์เมน เดโฟ อดีตเด็กค้อนที่โดนโห่ หนักไม่แพ้โรบินสัน ในเกมนี้ก็ยิงจุดโทษได้ "ไม่ขี้เหร่" เพราะแม้น้ำหนักจะไม่แรงมากแต่ทิศทางก็ถือว่าโอเคแล้ว ดังนั้นเครดิตอย่างที่ผมได้กล่าวว่า ไว้ในตอนต้นครับว่าต้องให้แก่ ผู้รักษาประตูทั้งสองทีม ที่ทำให้เกมนี้จบลงไปแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

1 คะแนนในเกมนี้ถือว่าน่าพอใจสำหรับเจ้าถิ่นเวสต์แฮมเนื่องจาก เสียจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแต่ก็ยัง อุตส่าห์ไม่แพ้ ขณะที่สเปอร์สเองแม้จะดูน่าเสีย ดาย มากกว่าเพราะน่าจะเก็บ 3 คะแนนได้ แต่แนวทางการเล่นภายใต้โค้ชใหม่เริ่มดูดีขึ้น แม้จะยังไม่ผิดหูผิดตา แต่ผมเชื่อครับว่า ฮวนเด้ รามอสจะพาสเปอร์สไปได้ไกล กว่ามาร์ติน โยลแน่นอน อย่างน้อยๆ "ความกล้า" ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่น รวมถึงเปลี่ยนกัปตันทีม อย่างร็อบบี้ คีนก็แสดงให้เห็นว่า ในทีมสเปอร์สชุดนี้จะไม่มีใครได้การันตี ตำแหน่งตัวจริงแน่นอนถ้าทำผลงานได้ไม่ดี

สรุปเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์เกมนี้ ผมให้คะแนน ความมัน 9/10 ครับ เพราะเกมนั้นพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา และเพลงเชียร์ Blowing bubbles ของเวสต์แฮมนั้นก็ได้มันได้ใจวัยรุ่นจริงๆ

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3051

Friday 23 November 2007

McClaren’s Big mistakes


หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม แม็คคลาเรน ถึงโดนปลดเร็วนัก ทั้งๆที่เพิ่งจะคุมทีมไปได้แค่ 16 เดือน หรือ เพียง 18 นัดเท่านั้น ?

เรามาดูกันว่า “บิ๊กแม็ค”ทำอะไรพลาดผิดพลาดกันบ้างดีกว่าครับ…

1.ปล่อยเดวิด เบ็คแฮม ขวัญใจผมไว้ข้างสนาม

ก่อนเกมจำได้มั้ยครับว่า บิ๊กแม็ค ประกาศอะไรไว้?? แกบอกครับว่าเกมกับโครเอเชียอาจจะดร็อปหนุ่มเบ็คส์ไว้ที่ข้าง สนาม
ผมอ่านก็งงดิฮะโอเค SWP เล่นไม่น่าเกลียดในนัดที่ผ่านๆมา แต่ความสม่ำเสมอถามว่ามีมั้ย แล้วการเปิดบอลของแก แม่นยำเท่าหนุ่มเบ็คส์ หรือปล่าว ? คาดว่าทุกท่านคงทราบกันดี

แล้วเป็นไงฮะพอครึ่งแรก โดนนำ 2 เม็ด ลก ดิครับท่านกุนซือ…พอมีสติ เปลี่ยนหนุ่มเบ็คส์ลงไปแก้เกม
แทบไม่ทัน

2.การใช้ไมเคิ่ล โอเว่นในเกมกับออสเตรีย

อย่างที่รู้กันว่า ความเปราะบางของโอเว่นนั้นเกือบจะเข้าขั้น ดาร์เรน แอนเดอร์ตันของเราเข้าไปทุกที และ
แม็คคลาเรนก็ไม่ควรเลยจริงๆครับที่จะใช้โอเว่นลงเป็นตัวจริงในเกมที่ไม่มีความหมายแบบนี้ ทั้งๆที่ อีก 5 วันหลังจากนั้นก็จะชี้ชะตากับโครแอตแล้ว

3.ระบบ 4-5-1

ตรงนี้ถือเป็นผล(กรรม)ต่อเนื่องของ “บิ๊กแม็ค” ที่ใช้โอเว่นครับ หุหุ แต่ทำไม๊ทำไมครับ กองหน้าอังกฤษดีๆของเราไม่มีแล้วหรือ ถึงต้องใช้ระบบนี้ ?? เจอร์เมน เดโฟ ดาร์เรน เบนท์เรียกมาทำเผือกอะไรครับ ?

อย่างครึ่งแรกเราจะเห็นได้ชัดเลยว่า เคราช์ขาดคนคอยสนับสนุนเวลาเก็บบอลได้เหมือนต้องดึงจังหวะรอเพื่อนๆคอยวิ่งขึ้นมาเติมตลอด

โอเคการแก้เกมในครึ่งหลัง แกทำได้ดี โดยส่งเบ็คส์และเดโฟลงไป แต่พอตีเสมอได้ 2-2 แกก็ติสต์แตกไม่ยอมผ่อนเกมลงแถมยังส่งดาร์เรน เบนท์ ลงไปอีก ? ทั้งที่ 1 แต้มอังกฤษก็เข้ารอบแล้ว เชื่อเค้าเลยครับเจ้านาย…

4.เลือกใช้ สกอตต์ คาร์สัน

การเสี่ยงใช้โกล์เด็กชื่อเหมือนถุงเท้ายี่ห้อหนึ่งลงไปสัมผัสเกมที่มีความหมายแบบนี้ ถือว่าเสี่ยงมากถึงมาก
ที่สุดครับ แล้วเป็นไง “นายถุงเท้า” ทำของเค้าเสียยี่ห้อหมด
บอกแล้วว่ายังไงๆ “นายห้าง” โรบินสันของเราก็ดูดีมีระดับกว่า…เห็นด้วยมั้ยค้าบพี่น้อง???


ใช่รักหรือเปล่า?


ทันทีที่ได้พบเธอ ความรู้สึกผมที่มีต่อ “เธอ” นั้น ยากเหลือเกินที่จะเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำ
รู้ก็แต่เพียงว่า โลกของผมได้เปลี่ยนไปมากเหลือกเกิน
เธอมาจากดินแดนแสนไกล แต่ด้วย “พรมลิขิต” ทำให้เราได้มาพบกัน ณ วันที่เหน็บหนาว คืนหนึ่งในเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แข่งขัน

“ผม” และ “เธอ” ต่างมาตามหาความฝันที่แตกต่างกันไป…
เธอคนนี้ ฝันอยากเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษ ให้ความรู้แก่เด็กๆที่อยากได้เรียนรู้ภาษากลางของ
โลกยุคโลกาภิวัฒน์

เธอเชื่อว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

การให้ความรู้ ชี้นำ จะเป็นบันไดขั้นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาตัวเองไปสู่จุดมุ่งหมายขั้นต่อๆไป

ส่วนผมน่ะหรอ ผมก็เป็นแค่คนๆหนึ่งที่ยังหาตัวเองไม่เจอ การได้มาที่แห่งนี้ น่าจะช่วยผมได้ใช้เวลาค้นหาสิ่งที่ต้องการในชีวิต

ความแตกต่างของเราทั้งคู่ ดูจะไม่เป็นเส้นขนาน อย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรก เราเข้ากันได้ดีเกือบจะทุกเรื่อง จะมีบ้างที่เราถกเถียงกันเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่องสักเท่าไหร่

ความรักของผม ที่ผ่านๆมา เหมือนผ่านมาแล้ว ก็ผ่านพ้นไป เปรียบดั่งสายลมที่พัดเข้ามาแล้วมิอาจหวนย้อนกลับ

ไม่เคยเลยสักครั้งแม้แต่เสี้ยววินาที ที่ผมมีความคิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนหนึ่ง
แต่ ณ วันนี้ เวลานี้“เธอ”คนนี้เข้ามาเปลี่ยน ความคิดของผมได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าผมมาทำอะไร ณ ดินแดนอันแสนไกลแห่งนี้

ผมรู้ด้วยว่าจากนี้ไป ผมจะมีชีวิตอยู่เพื่อใคร…
ผมอยากใช้ชีวิตส่วนที่เหลือทั้งหมดของผม ได้ดูแล และใกล้ชิดกับ “เธอ”

ทุกครั้งที่ผมได้ เป็น “ผู้ให้” ผมไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนกลับมา
การ “มอบ” สิ่งดีๆให้กับ “เธอ” มันคือสิ่งที่ส่วนลึกของหัวใจผมเรียกร้อง

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมให้ไป เธอจะมองเห็นค่าของมัน หรือสัมผัสความปรารถนาดีของผมได้มั้ย?
ผมไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่ผมทำไป มันจะดีและ มีค่าเพียงพอสำหรับผู้หญิงดีๆ อย่าง “เธอ”หรือเปล่า?

ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้ ผมควรเรียกมันว่า “ความรัก”หรือ “ความหลง”ดี?

สิ่งเดียวที่ผมพอจะรู้ตอนนี้ก็คือ ผมชอบที่จะมีเธอใกล้ๆแบบนี้ ตราบนานเท่านาน…

Wednesday 21 November 2007

ไม่เข้ารอบก็แย่แล้ว !!


ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่า "โชคชะตาฟ้าลิขิต" หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่สุด "โอกาส" ก็กลับมาอยู่ในมือ ของอังกฤษอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ใครจะ กล้าคิดล่ะ ครับว่ารัสเซียภายใต้การ ทำทีมของกุนซือคนเก่ง กุส ฮิดดิ้งค์จะไปแพ้อิสราเอล 1-2 และส่งผลให้ "โมเมนตัม" เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้

"ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน" เป็นประโยคที่ดูจะเหมาะสุดแล้วครับสำหรับสาย E ที่อังกฤษและรัสเซีย ยังมีลุ้นทั้งสองทีมตามทฤษฎี แม้ว่าจริงๆ แล้วอังกฤษต้อง การแค่เสมอในนัด ต่อไปกับโครเอเชียในบ้านก็จะลอยลำ เข้ารอบสุดท้ายที่ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์กลางปีหน้า ทันที

ขณะที่รัสเซียเองได้สูญเสียการคอนโทรล "โอกาส" ไปโดยเครดิตนี้ต้องชมอิสราเอลที่เล่นราวกับว่า "มีลุ้นเข้ารอบ"

เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานี้ชาวอังกฤษมีฮีโร่ใหม่ที่ไม่ใช่ เดวิด เบ็คแฮม หรือไมเคิล โอเว่น แต่กลับกลายเป็นนักเตะ สัญชาติยิวนามว่า โอเมอร์ โกลัน ผู้ยิงประตูดับชัยดับรัสเซียเมื่อ คืนวันเสาร์ที่ผ่านมาครับ เพราะหมอนี้เปรียบเสมือน "ผู้ชุบชีวิต" โอกาสในการลุ้นเข้ารอบของ ขุนพลทรีไลออนส์ให้มีหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้นจิตใจของชาวอังกฤษ กำลังบอบช้ำจากการเชียร์นักกีฬาของพวกเค้า เพราะทั้งรักบี้, F1 และฟุตบอล กีฬาหมายเลขหนึ่งของที่นี่ต่างก็ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง

อังกฤษถือไพ่ดีกว่ารัสเซียใน ตอนนี้ก็จริง แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า ฟุตบอลลูกกลมๆ ไม่เคยมีอะไรแน่นอน ดังนั้นสตีฟ แม็คคลาเรน จึงต้องเน้นกับเกมสุดท้ายนี้ให้มาก ไม่ใช่เล่นเอาผลเสมอ และหวังกอดคอกันเข้ารอบไปกับทีมตราหมากรุกของ สลาเวน บิลิช

ตอนนี้กระแสเกม อังกฤษ-โครเอเชียที่ประเทศ อังกฤษมาแรงมากครับ ทั้งในแง่ของสื่อที่โหม ข่าวนำเสนอข้อมูล & คอมเมนต์ต่าง ๆ ขณะที่ร้านขายเครื่องกีฬาชื่อดังในลอนดอนอย่าง Lillywhite ก็ลดราคาเสื้อทีมชาติอังกฤษจาก 30 กว่าปอนด์เหลือเพียงแค่ 20 ปอนด์เท่านั้นในเวลานี้ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อกระตุ้นแฟนบอล และบรรยากาศของเกมนี้ให้มี "รสชาติ" มากขึ้น

ผมเชื่อนะครับว่า แม้เกจิอาจารย์รวมถึงกุนซือเลือดผู้ดี ในแวดวงฟุตบอลอังกฤษหลาย ๆ ท่านอย่าง แฮร์รี่ เรดแนปป์ หรือแซม อัลลาร์ไดซ์ จะไม่ค่อยชอบวิธีการ ทำทีมของบิ๊กแม็ค และไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้วว่า "บิ๊กแม็ค" จะใช่ The right man หรือคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้

แต่เกมคืนวันพุธนี้ซึ่งเปรียบ เสมือนเกมที่สำคัญยิ่งยวด ต่ออนาคตทีมชาติของพวกเค้า ผมรู้สึกได้เลยครับว่า ทุกๆ คนทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และอ้อมที่นี่พร้อมจะ Back up หรือสนับสนุนกุนซือของพวกเค้า อย่างเต็มที่ เพราะมันคงจะดูแปลกพิลึกครับ หากทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ แบบนี้จะไม่มีทีมสิงโตคำรามเข้าไปมีส่วนร่วม

ดังนั้น "ศักดิ์ และศรี" ครับคือสิ่ง ที่บิ๊กแม็ค และขุน พล ทรีไลออนส์ต้องแสดงมันออกมาต่อหน้าแฟนๆ ใน สนามเวมบลีย์ตอนหัวค่ำ เพื่อตอบแทนแรงศรัทธาที่แฟนๆ มอบให้พวกเค้า

หลายๆ คนอาจจะคิดว่าโครเอเชีย ซึ่งลอยลำไปแล้ว จะไม่เต็มที่กับเกมนี้ แต่ขอให้ดูเกม อิสราเอล-รัสเซียเป็นตัวอย่างครับว่า ทีมที่ดูไม่มีลุ้น ไม่ได้ไม่เสียอะไรแล้ว ก็ต้องเล่นเพื่อศักดิ์ศรีแก่ประเทศชาติเช่นกัน

โครเอเชียเองแม้จะเป็นทีมที่น่ากลัว และประกาศว่าไม่ได้มาเพื่อเล่นผลเสมอ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า "ความเต็มที่" กับเกมนั้นอาจจะไม่ได้ใส่เกียร์ 5 หวังเดินหน้าฆ่ามัน เพราะความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ ของนักเตะที่รู้ตัวว่าเข้ารอบไปแล้วนั้น ทำให้ผ่อนคลาย และอาจสร้างความมันไม่ได้ในระดับ 5 ดาวเหมือนคู่ อิสราเอล-รัสเซีย

ก็ได้แต่หวังครับว่า บิลิช และลูกทีมจะมอบเกมดี ๆ ให้เราได้ชมอย่างที่อิสราเอลโชว์ให้เห็นถึง สปิริตนักสู้ ให้ชาวโลกได้ประจักษ์

ข้ออ้างผู้เล่นตัวหลักที่บาดเจ็บหลายราย ไม่ใช่ข้ออ้างที่ "ฟังขึ้น" ครับในกรณีที่ อังกฤษไม่ได้ "ผลการแข่งขัน" ที่ต้องการ เพราะขอเล่นเพียงแค่ 1 แต้ม ยังไง ๆ ความกดดันก็น้อยกว่าที่ต้องการเล่นเพื่อ 3 แต้มอยู่แล้ว

1 แต้มกับเกมในบ้านตัวเองถือว่าไม่ได้มากมายเลยครับ ที่ชาวอังกฤษจะขอจากอดีตกุนซือโบโร่
และนี่ก็จะเป็นโอกาสอันดีที่บิ๊กแม็คจะ Turn things around หรือพลิกวิกฤติ (จากเสียงวิจารณ์) ให้เป็น โอกาส และทำให้ตัวเองเป็นที่รักของแฟนบอลอังกฤษ เกจิ หรือสื่อที่ไม่ชอบแกได้มากขึ้น

บิ๊กแม็ค ที่เหมือน "ตายแล้วเกิดใหม่" อย่างที่คุณ "ไข่มุกดำ" ว่าไว้ จึงมีหน้าที่ต้องปลุกระดมความฮึกเหิม ของผู้เล่นในทีมอย่าให้ "ชะล่าใจ" กับโอกาสที่กลับมาอยู่ในมือ อีกครั้ง

เพราะหากอังกฤษเกิดทะลึ่งแพ้เกมนี้ขึ้นมาก็ต้องตัวใครตัวมันเลยล่ะครับ...


ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3044

Monday 12 November 2007

พาเพื่อนเลิฟตามหารักแท้ ที่แอนฟิลด์!!


ก่อนอื่นต้องขออภัยแฟนคอลัมน์ (ซึ่งมีอันน้อยนิด ^_^) ที่หายหัวจากพื้นที่ตรงนี้ไปเมื่อวันพุธที่แล้วเนื่องจากโรคภัยไข้ที่ชื่อว่าหวัดยังคงตามมาราวีไม่เลิก หนึ่งในสาเหตุหลักนั้นก็เพราะว่าอากาศในกรุงลอนดอนตอนนี้เริ่มหนาวขึ้นและหนาวขึ้นทุกทีจนตอนนี้ หนุ่มวัยย่างเข้าเบจญเพศแบบผมเลยเหมือนซวยซ้ำซวยซาก เพราะนอกจากผลสอบ Mid-termจะไม่แจ่มแล้ว หวัดเจ้ากรรมยังมารังแกอีก T.T

อย่างไรก็ดีหากไม่นับเรืองผลสอบ+อาการป่วยแล้ว วีคที่ผ่านก็มีเรื่องดีๆผ่านเข้ามาเหมือนกัน อย่างเช่นการที่เพื่อนรักสมัย มัธยมปลายมาตามหารัก (แท้และไม่แท้) ไกลถึงที่นี้ (งงใช่ใช่มั้ย ?? จะค่อยๆเฉลยในคอลัมน์นะ) ผมก็เลยรับอาสาเป็นไกด์จำเป็นพามันเที่ยว

โดยทริปแรกทันทีที่มันลงเครื่อง เราก็จับรถไฟสาย Piccadilly line (เส้นรถไฟสายหลักที่นี้) มาเก็บข้าวของสัมภาระที่บ้านผม และก็มุ่งหน้าตามรักแท้เพียงแค่ในวันแรกที่มันเหยียบพื้นแผ่นดินอังกฤษ!!
รักแท้ที่ไอ้เจ้าเพื่อนรักของผมลงทุนเสียเงินและเวลา บินข้ามหน้าข้ามทะเลมาไกลถึงนี้ก็คือ (เฉลยเลยละนะ ) การไปเหยียบสนามแอนฟิลด์ ในเกมเมื่อเสาร์ที่ผ่านที่ทีมหงส์แดงต้องลงรับการมาเยือนของ
“เจ้าสัวน้อย” ฟูแล่มทีมจากลอนดอนนั่นเอง

ทริปนี้เราไม่ได้ไปกันแค่สองคนตายาย เอ้ย สองเกลอหรอกนะครับ เราได้พี่ๆน้องๆอีกสามท่านเป็นผู้ร่วมเดินทางกับผมและเพื่อน โดยมี “พี่ป๋อง” เจ้าของร้านอาหาร Thai-Thai Café ที่ผมทำงาน Part-time ที่นั้นอยู่เสียสละเวลาอันมีค่ากับครอบครัวในวันเสาร์เป็นโชเฟอร์พาเรามุ่งหน้าสู่เมืองลิเวอร์พูล “พี่สันต์”หรือ J.Bluewater ผู้เขียนหนังสือ “เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยลอนดอน” แฟนหงส์พันธ์แท้ที่ตามไปเชียร์ทีมรักถึงขอบสนามเป็นงานอดิเรกและเพื่อนพี่สันต์อีกหนึ่งท่านชื่อ “คุณต้น”เป็นผู้ร่วมเดินทางของเราในทริปนี้

การเดินทางในครั้งนี้พี่ป๋องทำเวลาได้ไม่เป็นรองเฟอร์นันโด อลองโซ่ หรือ ลิวอิส แฮมิลตัน สองนักแข่ง F-1 ชื่อดังเลยครับ เพราะโชเฟอร์เราทำเวลาจากลอนดอนสู่ลิเวอร์พูลเพียงแค่ 3 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น เราถึงหน้าสนามแอนฟิลด์เวลาประมาณ 14.30 ก่อนเวลาที่คู่นี้จะ “คิกออฟ” ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
(คู่นี้เริ่มเตะเวลา 17.15 เวลาอังกฤษ)

เมื่อเวลาเหลือค่อนข้างเยอะแบบนี้ ผมและเพื่อน อ้อ!! ลืมบอกไป ไอ้เพื่อนรักผมคนนี้ชื่อ “บักนัท”ครับ (แฮะๆ) จึงมีเวลาพากันเดินจับจ่ายซื้อของฝากที่ Liverpool Mega store โดย พี่ป๋อง พี่สันต์ และ เจ้านัท 3 แฟนหงส์ ช้อปกระจายกับของที่ระลึกทั้งในส่วนของ Mega Storec และหน้าสนาม กันไปคนละหลายพันบาท ส่วนตัวผมก็ได้เสื้อ T-shirt สโมสรสีขาวนวลให้คุณพ่อซึ่งเป็นแฟนหงส์มานานหลายสิบปี โดยจากเจ้านัทกลับไปให้ท่านเป็นของขวัญ “วันพ่อ” เดือนหน้าที่จะถึงนี้

ถัดจากช้อป เราก็มาชักภาพถ่ายรูปกับหน้าอนุสรณ์ บิล แชงคลีย์ไว้เป็นที่ระลึกร่วมกันก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าสนาม Press room และ Press box ถึงจะไม่ได้ใหม่และทันสมัยอย่าง เอมิเรต์สเตเดี้ยมของ
อาร์เซนอล แต่ซึ่งที่ผมรู้สึกได้ก็คือ ความเก่าแก่และมนต์ขลังของสนามที่ยังเอกลักษณ์ของสนามฟุตบอลสไตล์อังกฤษแท้ๆ

เสียงเพลง You’ll never walk alone ได้ดังขึ้นก่อนเริ่มเกมตามธรรมเนียมของที่นี้ โฆษกสนามประกาศรายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม และทุกครั้งที่เรียกชื่อนักเตะฝั่งเจ้าถิ่นแฟนบอลลิเวอร์พูลจะส่งเสียงและปรบมือเป็นกำลังให้นักเตะของพวกเค้า หลายคนอาจจะคิดว่าแปลกตรงไหนที่แฟนบอลจะส่งเสียงให้กำลังใจนักเตะของพวกเค้า??


แต่ อืม…ผมไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกได้ว่าที่นี้ มันแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ เสียงเชียร์ และความขลังของที่นี้

ในเกมนี้ พลพรรคหงส์แดงซึ่งพึ่งยิงเบซิคตัส ไส้ไหลไปเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน 8-0 ยังคงผู้เล่นชุดเดิมไว้ หาไม่ใช้ “โรเตชั่น”เหมือนทุกที เอลราฟากำลังคิดอะไรอยู่? ผมแอบตั้งคำถามให้ตัวเองในใจเมื่อเห็นไลน์อัพ ของทีมในเกมนี้ และยอมรับโดยดุษดี ครับว่า “ใจ เอลราฟานั้น ยากแท้จะหยั่งลึก” เพราะไม่ว่าแกจะคิดหรือทำอะไร คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นนักเตะ หรือแฟนบอลก็ดี ไม่สามารถเดาใจกุนซือชาวสแปนิชคนนี้ได้ถูกเลย ให้ตายเถอะ จอร์จ !!

ในส่วนของรูปเกม คาดว่าท่านผู้อ่านคงจะเห็นอย่างที่ผมเห็นครับว่า ขุนพล “เรด แมชชีน”นั้นเป็นฝ่าย “กระทำ” อยู่ข้างเดียว โดยฟูแล่มของกุนซือมาดติ๋ม ลอว์รี่ ซานเชส ได้ตั้งรับและรอสวน ซึ่งความพยายามของแกและแนวรับของฟูแล่มก็เกือบจะเป็นผล เพียงแต่ว่า เกมนี้ผู้เล่นที่ “ฟ้าสร้างมา” อย่างตอร์เรส ซึ่งลงมาในนาทีที่ 70 และตั้งแต่นั้นผมเองรู้สึกได้เลยครับว่า เกมนี้ลิเวอร์พูลจะไม่แพ้

นั้นก็เพราะทุกสัมผัสที่ตอร์เรสได้บอล หรือจะเป็นการ Movement หาพื้นที่ เมื่อบวกทักษะที่เจ้ามีอยู่แล้ว มันทำให้แนวรับฟูแล่มทุกคนต้องคอยระแวงและเหมือนโดน “ต้องมนต์” อย่างประตูแรกในนาทีที่ 81 เราจะเห็นได้ครับว่า การเตะบอลเคลียร์ออกมาของ โฆเซ่ เรน่า นั้นเหมือนจะ ไม่มีอะไร แต่ ตอร์เรสกลับทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายๆ ทั้งๆที่ตลอดทั้งเกมหลังฟูแล่มนั้นจัดโซนกันเป็นระเบียบ แต่มาโดน “ความเหนือชั้น” แบบนี้ ก็น่าเห็นใจละครับ

ถึงตอนนี้แฟนบอลในสนามทุกคนรวมถึงตัวผมเอง มั่นใจเลยครับว่า เกมนี้ไม่มีพลิกล็อคแน่นอนและแม้ลูกจุดโทษในนาทีที่ 85 อาจเป็นที่ถกเถียงว่าฟาวล์ในเขตหรือ นอกเขต ตรงจุดนี้คงไม่มีแคร์แล้วครับเพราะว่าอย่างที่เห็นอยู่ว่ารูปเกมทั้งเกมนี้นั้นลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายไล่ชกคู่แข่ง ถ้าเป็นมวยก็คงต้องแพ้คะแนนแบบขาดลอยแน่นอน

ความแตกต่างด้านความเฉียบคมระหว่าง ตอร์เรส และ โวโรนินได้ถูกตั้งเป็นประเด็นตามบอร์ดและกระทู้ของแฟนบอลที่นี้ แต่ส่วนมากเท่าที่สรุปได้ สองคนนี้เป็นที่ชื่นชอบมากกว่า เดิร์ค เคาท์ ที่แม้จะได้เรื่องของความขยัน+ทุ่มเท แต่เรื่องความคล่องตัว ความเร็ว ยังไม่ถูกใจแฟนบอลที่นี้สักเท่าไร
เอาละครับ อย่างไรก็ดี 3 แต้มเน้นๆแบบนี้ในถิ่นตัวเองถือว่า “สอบผ่าน” และผมให้คะแนนลิเวอร์พูลเกมนี้ 10 เต็ม 10 โทษฐานที่ มีแฟนบอลสุดยอด+บรรยากาศในสนามของเค้าก็เก่าแก่และมีมนต์ขลังสมดังคำ
ล่ำลือจริงๆ

ก่อนตีรถกลับลอนดอน พวกเราทั้ง 5 คนยังไม่รีบร้อนครับ เพราะพี่สันต์และพี่ป๋อง โชเฟอร์ของเรายังอยากช้อปต่อใน Mega store เพราะรอบแรกที่เข้ามานั้นคนแน่นเหลือเกิน ผมเองถึงแม้จะเหนื่อยเพลียจากการต้องตื่นเช้าไปรับเพื่อนที่สนามบิน Heathrow แต่ก็ไม่ขอขัดจังหวะพี่ๆช้อปปิ้งครับ เพราะนานๆเราจะได้มาไกลกันถึงลิเวอร์พูลสักที


เข้าไปในรอบ Store รอบนี้นอกจากจะเจอสาวๆจากเมืองไทยหน้าตาจิ้มลิ้มที่บังเอิญเจอกันในก่อนออกจากสนาม หนึ่งในสมาชิกร่วมเดินทางของเรา ก็โชว์ “เสือ” ด้วยการเข้าไปทักทายและได้แลกเบอร์และอีเมลกันไว้อีกตังหาก(ขอไม่เอ่ยนาม นะครับ เดี๋ยวเค้าบ้านแตก ^_^ )

โดยรวมแล้วถือว่าทริปนี้ เป็นทริปที่สนุกแต่แอบเหนื่อยจากการเดินทาง (โดยเฉพาะคนขับ) ทีนี้ ก็เหลือแค่สนามโอลด์แทร็ฟฟอร์ดที่เดียวแล้วละครับ ที่เป็นทีม “ท็อปโฟร์” ทีมเดียวที่ผมยังไม่ได้ไปเหยียบถึงสนาม


Ps.มิชชั่นต่อไปของผมคือเป็นไกด์พา “เจ้านัท”ตามหารัก(ไม่แท้) ตามที่เกริ่นไว้ในคอลัมน์ข้างต้นนะครับ ยังไงอาทิตย์หน้าจะมาเฉลย รักแท้หรือรักหลอกที่ว่า + อากาศที่เมืองไทยเปลี่ยน รักษาสุขภาพด้วยนะครับ