Wednesday 28 November 2007

เกาะขอบสนามเกม เวสต์แฮม-สเปอร์ส


หากถามผมว่านอกเหนือจากทีม "น้องไก่" ที่ผมตามเชียร์มานานหลายปีแล้ว มีทีมไหนอีก หรือเปล่าที่ผมแอบ "กิ๊ก" ด้วย
ถ้าไม่รวมฟิออเรนติน่า, เรอัล มาดริด และทีมชาติอาร์เจนตินา ที่ไม่ได้อยู่ในลีกอังกฤษแล้ว ผมคงต้องบอกว่าอีกทีม ที่ผมแอบมีใจให้มากที่สุดก็คือ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ดครับ
สาเหตุง่ายๆ ของผมก็คือว่า อดีตขวัญใจผมอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม ย้ายข้ามฟากจากสเปอร์สไปเวสต์แฮม ต่อเนื่องด้วย บ็อบบี้ ซาโมร่า, แมทธิว เอเธอร์ริงตัน หรือรายล่าสุดที่ย้าย ไปตกอับอย่าง คัลลั่ม ดาเวนพอร์ต ทำให้ผมอด ที่จะแอบติดตามผลงาน ของอดีตนักเตะไก่ไม่ได้ มันก็เลยเป็นที่มาของการแอบเอาใจช่วย และแอบดีใจกับพลพรรคขุนค้อนอยู่ลึกๆ ทุกครั้งที่พวกเค้าเก็บชัยชนะได้

อย่างไรก็ดีผมไม่สามารถประกาศตัวได้ครับว่า แอบเชียร์ขุนค้อน เพราะเดี๋ยวคนโน้นคนนี้จะ หาว่าผมเป็นคนหลายใจ ผมจึงได้แต่เก็บอารมณ์ตัวเองประมาณว่า "รักค้อนนะ แต่ไม่แสดงออก ^_^"
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ ผมได้มีโอกาสไปเยือนสนาม อัพตัน พาร์ค ในศึกลอนดอนดาร์บี้ แมตช์ ระหว่าง เวสต์แฮม และสเปอร์ส

ส่วนตัวผมแล้วเกมนี้ ไม่ใช่แค่ดาร์บี้แมตช์ธรรมดา ครับ แต่มันเป็นความรู้สึกประมาณว่าทีมที่แอบ "กิ๊ก" เจอกับทีม "เมียหลวง" ที่ตามเชียร์มากว่า 10ปี ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเลือก "จุดยืน" ของตัวเองด้วยการใส่เสื้อสเปอร์สเข้าสนามเวสต์แฮมครับ โดยมีเสื้อโคตทับอีกชั้น เพราะว่าอากาศค่อนข้างหนาว (จริงๆ กลัวโดนแฟนเวสต์แฮมกระทืบ หุ หุ)

การมาสนามอัพตัน พาร์ค ในครั้งนี้แม้จะเป็นครั้งแรก ของผม แต่โดยรวมแล้ว การเดินทางถือว่าไม่ยาก เพราะสนามนั้นใกล้กับสถานีรถไฟ Upton Park โดยออกจากสถานีแล้ว เดินตามกลุ่มแฟนบอลไปประมาณ 5 นาทีก็จะถึงหน้าสนามแล้ว
หลังจากเดินสำรวจรอบๆ สนามทั้งในส่วนของ Mega store และ Press room แล้วคิดจะเปรียบเทียบกับสนามของอาร์เซนอล, เชลซี หรือสเปอร์สนั้น ต้องยอมรับครับว่า อัพตัน พาร์ค นั้นเป็นรองอยู่เล็กน้อยโดยเฉพาะในส่วนของ Mega store ที่ถือว่าค่อนข้างเล็ก และไม่มีพื้นที่ให้เดินมากนัก

อย่างไรก็ดี แม้ความสะดวกสบายของสนามจะ เป็นรองแต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมการันตีได้ว่าไม่เป็นรองสนามอื่นๆ แน่นอนก็คือเสียง เชียร์ของแฟนบอลครับ เพราะทันทีที่ผมเข้ามาประจำการที่ Press box หรือที่นั่งชมเกมของนักข่าว เสียงเพลง Blowing bubbles (เพลงเชียร์ประจำสโมสร) ก็ดังขึ้น และแฟนบอลขุนค้อนเกมนี้ก็ดูจะดุดันเป็นพิเศษครับ เพราะคู่แข่งดันเป็นสเปอร์ส คู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนนั่นเอง

ช่วงประกาศรายชื่อนักเตะทั้งสองทีม "ควันหลง" จากความผิดหวังที่อังกฤษต้องตกรอบคัดเลือกยูโร 2008 ยังคงคุกรุ่นอยู่ครับ โดยทุกครั้งที่โฆษกสนามขานชื่อนักเตะสเปอร์สสัญชาติอังกฤษเมื่อไหร่นั้น แฟนบอลเวสต์แฮมจะโห่แซว และด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย คนที่โดนโห่หนักหน่อยในเกมนี้เห็นจะเป็น พอล โรบิน สัน นายทวารร่างอวบของทีมชาติอังกฤษที่แฟนเวสต์แฮมเชื่อว่าหาก "ร็อบโบ้" ไม่ทำสะเหร่อ เสียประตูแบบ ไม่ควรจะเสียในหลายๆ เกม ทีมชาติอังกฤษก็คงไม่ตกรอบ
การจัดตัวในเกมนี้ของฝั่งเจ้าถิ่น มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อยครับตรงที่ อลัน เคอร์บิชลี่ย์ ใช้คู่กองหน้าเป็น คาร์ลตัน โคลจับคู่กับ หลุยส์ บัว มอร์เต้ โดยดีน แอชตัน กองหน้าไซซ์ XL มีชื่อเป็นเพียงตัวสำรอง
ขณะที่สเปอร์สภายใต้การคุมของ ฮวนเด้ รามอส ยังไม่พบกับคำว่าพ่ายแพ้ และนักเตะดูจะเล่นกัน ด้วยความมั่นใจมากขึ้นหลังนัดที่แล้วที่เพิ่งอัดวีแกนมา 4-0 ในบ้านตัวเอง

รูปเกมตามความเห็นของผมแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการ "โชว์"ของผู้รักษาประตูชาวอังกฤษ ของทั้งสองทีมเลย ก็ว่าได้ครับ เพราะทั้ง โรเบิร์ต กรีน และพอล โรบินสันต่างก็ผลัดกันโชว์ซูเปอร์เซฟสวยๆ ได้หลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะ "นายเขียว" โรเบิร์ต กรีน ที่สื่ออังกฤษตอนนี้เชียร์ให้เป็นมือหนึ่งในทีมชาติได้แล้ว หลังเซฟจุดโทษไป 3 ลูกแล้ว (รวมเกมนี้ที่เซฟลูกโทษของเจอร์เมน เดโฟในช่วงทดเวลาบาดเจ็บด้วย)

นอกเหนือจาก "ไฮไลต์" ซูเปอร์เซฟของกรีนแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจกว่าในเกมนี้ก็คือ แท็กติกส์ของ ฮวนเด้ รามอส ในช่วงที่ทีมตามอยู่ 0-1 โดยกุนซือสแปนิชรายนี้ถอด ยูเนส คาบูล ออกหลังจากเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเด็กรายนี้ทำผิดพลาดจนกลายเป็น "ต้นเหตุ" ของการเสียประตูแรก แล้วเปลี่ยนจากระบบ 4-4-2 มาเป็น 3-4-3 โดยส่ง ดาร์เรน เบนท์ลงมาแทนในนาทีที่ 54 และสั่ง ดิดิเยร์ โซโกร่าที่เป็นกองกลางตัวตัดเกมมายืนเป็นกองหลังตัวกลาง คู่กับไมเคิล ดอว์สัน และปาสกาล ชิมบงด้า
ในจังหวะนั้นจากมุมของ Press box ที่ผมนั่งอยู่จะเห็นได้ชัดเลย ครับว่านักเตะสเปอร์สออกอาการ สับสน กับการเปลี่ยนแผนนี้ของรามอสพอสมควร โดยเฉพาะ แอรอน เลนน่อน ที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กหันไปถาม ชิมบงด้า อยู่สองสามทีว่าให้เล่นยังไงแน่

การแก้เกมแบบนี้ถือว่ากล้าเสี่ยงมากครับ เพราะหลังจากตีเสมอได้ สเปอร์สก็จวนเจียนจะเสียประตูอยู่หลาย ต่อหลายครั้ง ยังดีที่เกมนี้ "นายห้าง" โรบินสัน "ผีเข้า" เซฟลูกยิงที่กำลังจะเข้ามุมของ สกอตต์ ปาร์คเกอร์ และดีน แอชตัน สองตัวสำรองในช่วงก่อนหมดเวลาได้อย่างที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า นายห้างจะกลับมาบินเซฟสวยๆ ได้อีกหลังจากที่ฟอร์มรูด+ความมั่นใจหายไปนาน

ส่วนประเด็นลูกจุดโทษท้ายเกม เท่าที่ผมดูภาพช้าแล้ว อันนี้ส่วนตัวมองว่าอยู่ที่ "ดุลยพินิจ" ของคนเป็นกรรมการครับ เพราะจริงแล้วๆ จะไม่ให้ในจังหวะนั้น ก็ไม่ผิด แต่จะให้ก็ไม่แปลกเพราะถือว่า ลูคัส นีลล์เข้าปะทะเดโฟจากด้านหลังจริงๆ และอีกอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในครึ่งแรกที่ ไมค์ ไรลี่ย์ ไม่ได้เป่าจุดโทษให้สเปอร์สในจังหวะที่ร็อบบี้ คีน โดนกรีนสกัดร่วงลงไปในกรอบเขตโทษ "ความรู้สึก" ตรงนี้อาจเป็นเหตุให้ ไรลี่ย์เป่าจุดโทษ ในจังหวะที่สองนี้ก็เป็นไปได้ครับ

อย่างไรก็ดี เจอร์เมน เดโฟ อดีตเด็กค้อนที่โดนโห่ หนักไม่แพ้โรบินสัน ในเกมนี้ก็ยิงจุดโทษได้ "ไม่ขี้เหร่" เพราะแม้น้ำหนักจะไม่แรงมากแต่ทิศทางก็ถือว่าโอเคแล้ว ดังนั้นเครดิตอย่างที่ผมได้กล่าวว่า ไว้ในตอนต้นครับว่าต้องให้แก่ ผู้รักษาประตูทั้งสองทีม ที่ทำให้เกมนี้จบลงไปแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

1 คะแนนในเกมนี้ถือว่าน่าพอใจสำหรับเจ้าถิ่นเวสต์แฮมเนื่องจาก เสียจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแต่ก็ยัง อุตส่าห์ไม่แพ้ ขณะที่สเปอร์สเองแม้จะดูน่าเสีย ดาย มากกว่าเพราะน่าจะเก็บ 3 คะแนนได้ แต่แนวทางการเล่นภายใต้โค้ชใหม่เริ่มดูดีขึ้น แม้จะยังไม่ผิดหูผิดตา แต่ผมเชื่อครับว่า ฮวนเด้ รามอสจะพาสเปอร์สไปได้ไกล กว่ามาร์ติน โยลแน่นอน อย่างน้อยๆ "ความกล้า" ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่น รวมถึงเปลี่ยนกัปตันทีม อย่างร็อบบี้ คีนก็แสดงให้เห็นว่า ในทีมสเปอร์สชุดนี้จะไม่มีใครได้การันตี ตำแหน่งตัวจริงแน่นอนถ้าทำผลงานได้ไม่ดี

สรุปเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์เกมนี้ ผมให้คะแนน ความมัน 9/10 ครับ เพราะเกมนั้นพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา และเพลงเชียร์ Blowing bubbles ของเวสต์แฮมนั้นก็ได้มันได้ใจวัยรุ่นจริงๆ

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 3051

No comments: