Wednesday 25 July 2007

"ดีล"วุ่นๆ ของไฮน์เซ่กับความหัวรั้นของ "เอล ราฟา"


วันศุกร์ที่ผ่านมา..ขณะกำลังนอนหลับฝันหวานถึง "ใครบางคน" เสียงโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมดังขึ้นมาขัดอารมณ์เหลือคณา

หมายเลขปลายทางที่โทร.เข้ามาโชว์ เบอร์ร้านอาหารที่ผมทำงาน Part-time อยู่ที่นั่น "โทร.มาอะไรแต่เช้าตรู่เนี่ย" ในใจคิดพลางเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์

"เอก เหรอ มาร้าน ด่วนเลยนะ มาช่วยอาวิดน้ำ หน่อย น้ำท่วมร้านว่ะ" เสียงคุณอา พ่อครัวที่ร้าน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตระหนก ตกใจ

ด้วยความที่เป็นคน "หลับลึก" จึงไม่ทันสังเกต สังกา ว่าข้างนอกหน้าต่างตอนนี้ฝนตกหนักอย่างกับ
"ห่าลง"!!

ครับ ขณะนี้ประเทศอังกฤษกำลัง ประสบกับปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่อยู่
หลังจากที่ฝนเทลงมาอย่าง หนักในวันศุกร์ต่อเนื่องถึงคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

Tewkesbury, Gloucester และ Cheltenham กลายสภาพเป็นเมืองใต้บาดาลเพียงชั่วข้ามคืน
กว่า 350,000 ครัวเรือนโดนตัดขาดจากโลกภายนอก ถนนหลายเส้นถูกกระแสน้ำตัดขาดจากถนนเส้นหลัก
ถือเป็นบุญของผมที่ไม่โดนผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้เล่นงานเท่า ไหร่นัก เนื่องจากระบบระบายน้ำที่ลอนดอนค่อนข้างดีกว่าตามชานเมือง หลายเท่าตัว

แม้ว่า ขณะที่กำลังนั่งปั่นงานชิ้นนี้ อยู่จะปวดหลังมากมายจากการ ยกของและทำความสะอาด ร้านอาหารที่โดนน้ำท่วมไปครึ่งแข้ง ในส่วนชั้นใต้ดินของร้านก็ตามที

เกริ่นนอกเรื่องมาซะยาว เข้าเรื่อง ฟุตบอลร้อนๆ ที่นี่กันบ้างดีกว่าเนอะ^_^

"ประเด็นร้อน" ของต้นอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อย คือข่าวจะย้ายหรือไม่ย้ายของ
เจ้า "แก็บบี้" กาเบรียล ไฮน์เซ่ กองหลังแข้งโหดชาวอาร์เจนตินาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังโดนตื๊ออย่างหนักจากอริ ตัวฉกาจอย่าง ลิเวอร์พูล

ไม่เข้าใจว่า ทำไม ราฟาเอล เบนิเตซ ถึงต้องการ แบ็กซ้ายตัวนี้เหลือเกินทั้งๆ ที่จำนวนเงิน 6 ล้านปอนด์ ที่ยื่นไปให้ฝั่งผีแดงนั้น ดูท่าทีแล้ว "ป๋าแพนด้า" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ประสงค์ที่จะมอบอาวุธที่อาจกลับมาเป็น หนามยอดอกแทงตัวเองในอนาคตให้กับคู่แข่งที่น่ากลัวขึ้นทุกวัน อย่างหงส์แดงเป็นแน่แท้

แต่ "เอล ราฟา" ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ พยายามเหลือเกิน ที่จะคว้าไฮน์เซ่ มาครอบครองไว้ในคอลเลกชัน แข้งลาตินของแกให้ได้

มุมมองคนกลางอย่างผม (ซึ่งไม่ได้เชียร์และรัก ทั้งน้องผีและน้องหงส์) ถ้ากุนซือหนวดงามรายนี้
"ไม่ยึดติด" กับนักเตะจาก ลาติน อเมริกา หรือสเปนจนเกินไปนัก เม็ดเงินจำนวน 6 ล้าน ปอนด์นี้ สามารถหาซื้อแบ็กซ้ายฝีเท้าดี มาเสริมทัพได้ไม่ยาก

นักเตะอย่าง เวยน์ บริดจ์ ที่ตกเป็นสำรองตลอดศกของเชลซี ที่เล่นได้ดีอย่างสม่ำเสมอ แต่เหมือน "ไร้วาสนา" โดนอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เรื่อยๆ

หรือจะเป็น เลย์ตัน เบนส์ แบ็กดาวรุ่ง ฝีเท้าดีของวีแกน ที่กำลังตกเป็นข่าวกับ ทีมแมวดำของ รอยคีน ก็ไม่ใช่ตัวเลือก ที่ด้อยกว่าไฮน์เซ่ มากมายนัก หากราฟาต้องการจะเสริมที่ตรง จุดนี้ จริงๆ อีกทั้งอายุของเบนส์ ก็พึ่งจะ 22 ยังสามารถพัฒนาไปได้อีกมาก หากเทียบกับไฮน์เซ่ ที่อายุ 29 และคงไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปมากกว่านี้อีกแล้ว

นอกจากนี้ผมยังมองว่า ไฮน์เซ่ ยังไม่ใช่ "คำตอบสุดท้าย" ในตำแหน่งแบ็กซ้ายของทีมหงส์แดง เพราะหลายๆ ครั้ง เจ้าตัวมีลูก โฉ่งฉ่างและหลุด ตำแหน่งตัวเองอยู่บ่อย ยามเล่นทีมผีแดง และทีมชาติอาร์เจนตินาในโคปา อเมริกาที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ

ในนัดที่อาร์เจนตินาพ่ายบราซิลไป 0-3 จะเห็นได้ว่าบราซิลเน้นขึ้นเกมทางฝั่งขวา เจาะทางแบ็กซ้าย
ผีแดงอยู่เกือบทั้งเกม และ ไมคอนฝั่งขวาทีมแซมบ้า ก็เจาะเข้าทำได้ลื่นไหล และสะดวกโยธินอยู่หลายต่อหลายครั้ง

เล่นเอาแบ็กที่ ป๋าแพนด้า หวงนักหวงหนา ราคาตกไปไม่น้อยเลยเชียวกับทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา :)

ถึงตอนนี้ ทางฝั่งหงส์แดงได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายเร่งเข้าตรวจสอบเงื่อนไข "ปลดล็อก" ของไฮน์เซ่แล้ว เพราะทางกระจอกข่าวทางฝั่งลิเวอร์พูล ไปสืบทราบมาว่า ในสัญญาระบุเอาไว้ว่า ค่าหัวไฮน์เซ่ มีค่า 6 ล้านปอนด์

ไฉน ทีมผีแดงถึงไม่อนุญาตให้ ลิเวอร์พูลและ ตัวนักเตะได้เปิดโต๊ะคุยกันถึงรายละเอียดส่วนตัว หลัง "เดอะ คอป" ได้ยื่นเจตจำนงไปตามเงื่อนไขที่ว่าแล้ว

งานนี้ต้องจับตามองกันอย่าให้กะพริบ ครับว่า ท่านเซอร์ จะมีทางหนีทีไล่อย่างไร ใน สถานการณ์ แบบนี้หลังจากที่ตัวเองก็กำลังพยา-ยามตามกระชากตัว คาร์ลอส เตเบซ ซึ่งมีเงื่อนไข ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มากมาย ไม่แพ้กัน

Wednesday 18 July 2007

เบ็คแฮม กับอนาคต และความท้าทายใหม่

แน่นอนเหลือเกินว่า เดวิด เบ็คแฮม จะเป็นเครื่อง มือทางการตลาด ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการดึงชาวอเมริกันให้หันมาสนใจกีฬา "ซอกเกอร์" ในเมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ หรือ MLS กันมากขึ้น หลังจากกีฬาประเภทนี้อยู่ใต้ร่มเงาของ อเมริกันฟุตบอล, บาสเกตบอล และเบสบอล มานานแสนนาน


ไร้ข้อกังขาอีกเช่นกันสำหรับกระแส "เบ็คแฮม มาเนีย" ในประเทศสหรัฐอเมริกานาทีนี้ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางใด สื่อไหน ก็จะต้องมีใบหน้าอันหล่อเหลาของ หนุ่มเบ็คส์ และศรีภรรยาสุดรัก "วิกตอเรีย เบ็คแฮม"ปรากฏอยู่ด้วยแทบทุกสื่อหลังการเปิดตัว อย่างเป็นทางการกับอู่ข้าวอู่น้ำใหม่อย่างทีม แอลเอ กาแลกซี่ ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา

แม้ว่าการมาเยี่ยมแดนมะกันในครั้งนี้ของ "เจ้าพ่อลูกนิ่ง" จะไม่ได้ลำบากลำบนอะไรในแง่ของชีวิต นอกสนามเพราะมีเพื่อนซี้ที่เป็นดาราดังอย่าง ทอม ครูซเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คอยให้คำแนะนำในการปรับตัว และใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่อยู่แล้ว
แต่เรื่องในสนามคือการเล่นฟุตบอล ซึ่งถือเป็นหน้าที่ หลักของเบ็คแฮม เป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องพยายามลบคำครหาจากสื่อบางสื่อที่ว่าเจ้าตัวหมดไฟในการเล่นแล้ว การมาอเมริกาก็เพียงแค่หาเงินก้อนใหญ่อีกสักก้อนก่อนรีไทร์ และดันตัวเองเพื่อเข้าสู่วงการแสงสีเสียง อย่างฮอลลีวูดที่เจ้าตัว และภรรยา (อาจจะ) ใฝ่ฝัน

นอกจากนี้ยังมี "ปัจจัยภายนอก" ที่ ทาง BBC ไปสัมภาษณ์ รุ่นพี่ในลีก MLS ที่หวังดีกับเบ็คแฮมอย่าง เทอร์รี่ คุก (อดีตดาวรุ่ง ที่โตขึ้นมาพร้อมกับ เบ็คแฮม ในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) และ แดนนี่ ดิคิโอ (อดีตหัวหอกตัวสำรองของซันเดอร์แลนด์) ซึ่งปัจจุบัน ค้าแข้งอยู่กับโคโลราโด ราปิดส์ และโตรอนโต เอฟซี ที่ต่างออกมา กล่าวเตือนเบ็คแฮมว่า การมาเล่นที่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย อย่างที่เจ้าตัว และหลายคนคิดแน่นอน

โดยปัจจัยที่ว่ามี 5 ประเด็นหลัก ๆ

ประเด็นแรกก็คือ สภาพอากาศที่แตกต่าง จากที่อังกฤษ และสเปนมาก เพราะที่อเมริกาแต่ละรัฐซึ่งตั้งอยู่ใน พื้นที่ที่ระดับ น้ำทะเลต่างกัน จะมีผลต่อสภาพอากาศ และความชื้นที่ต่างกันไปด้วย

โดยดิคิโอ ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC สื่อใหญ่เมือง ผู้ดีที่ตามไปเกาะติดกระแสเบ็คแฮมที่อเมริกาว่า เมืองโตรอนโตที่เจ้าตัวอาศัยอยู่นั้นอยู่เหนือระดับน้ำทะเล แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมต้องออกไปเยือนทีม ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ จะทำให้พวกเค้าเสียเปรียบเพราะอากาศจะชื้น และร้อนมาก ซึ่งจุดนี้ถือเป็นหนึ่งปัจจัย "ภายนอก" ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้

ประเด็นที่สอง เรื่องการเดินทาง เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกามีเนื้อที่กว่า 3.7 ล้านตารางไมล์ ซึ่งนั่นหมาย ความว่าการเดินทางไปเตะนอกเมืองแต่ละครั้งจะกินเวลามากกว่าครึ่งค่อนวันเลยทีเดียว
อย่างในเคสของ ดิคิโอ ทีมคู่แข่งที่อยู่ใกล้โตรอนโตที่สุดคือ รัฐ Salt lake ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย ในการเดินทาง 90 นาทีโดยเครื่องบิน และ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยถ้าเลือก เดินทางโดยรถยนต์

ประเด็นที่สาม ที่ทั้งเทอร์รี่ คุก และแดนนี่ ดิคิโอ เห็นพ้องตรงกันก็คือเรื่องมาตรฐานของฟุตบอล อเมริกาที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และเกมฟุตบอลลีก ของที่นี่ก็ใช้พละกำลัง และความเร็วมากกว่า ที่ทั้งคู่คิด ไว้ในทีแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่

จริงอยู่ที่ว่ามาตรฐาน อาจจะสู้ลีกใหญ่ๆ ของยุโรป อย่าง อังกฤษ สเปน และอิตาลีไม่ได้ แต่ที่ทั้งคู่ยืนยันได้ก็ คือ เรื่อง Determination (ความมุ่งมั่น) และ Fitness (ความฟิตของร่างกาย) ที่มีไม่น้อยไปกว่าลีกชั้นนำ ที่กล่าวมาข้างต้นแน่นอน

ประการที่สี่ เสียงเชียร์จากแฟนบอล ที่อาจจะไม่ได้มีมากเท่าที่อังกฤษ หรือสเปน แต่หนุ่มเบ็คส์อาจจะ ต้องเซอร์ไพรส์ ไม่น้อยหากรู้ว่าธรรมชาติของแฟน "ซอกเกอร์" ที่นี่ไม่นิยมตะโกนเชียร์ และร้องรำ ฮัมเพลงประจำสโมสรอย่างที่สโมสรส่วนใหญ่ในยุโรปทำ กันซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกแต่จริงเอามาก ๆ
แม้ว่าแฟนบอลจะหนุนหลัง และรักทีมขนาดไหน แต่พวกเค้าก็นิ่งได้ประหนึ่งว่ากำลังชมภาพยนตร์อยู่ใน โรงหนัง และมิควรส่งเสียงรบกวนคนนั่งข้าง ๆ ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

ประการที่ห้า ระบบการตัดสิน ของกรรมการแบบ แผนการจัดทีม และศัพท์ฟุตบอลแปลกๆ ในอเมริกา ที่ หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ทำไมฟุตบอลเหมือนกันตัดสินไม่เหมือนกันหรืออย่างไร?

คำตอบที่ได้จากปากกองหน้าหัวเหม่งอย่างดิคิโอ กล่าวไว้ได้น่าสนใจว่า "ผู้ตัดสินที่นี่จะเป่าทันที ที่มีการกระโดดประทะกันเกิดขึ้น แทบจะทุกครั้งที่มีการเปิดบอลจากปีก และผมเตรียมจะขึ้นเทก ตัวโหม่งแย่งกับกองหลัง ร้อยละ 80 จะเป็นลูกฟาวล์ของกองหน้า" ดังนั้นการครอส บอลสุดแม่น ของหนุ่มเบ็คส์อาจจะหมดค่าไปเลยก็เป็นได้ หากโยนมาแล้วกรรมการดันทะลึ่งเป่าฟาวล์ง่ายๆ จริงอย่าง ที่ดิคิโอว่าไว้

ระบบการเล่นของทีมใน MLS ส่วนใหญ่จะมีระบบ 4-4-2 ยืนพื้นแต่ส่วนมากพอเกมเริ่มเล่นไป ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเปลี่ยน สลับแผนเป็น 3-4-3 หรือ 5-4-1 ได้ตลอดเวลาประมาณว่าเปลี่ยน แผนกันได้ทุก 5-10 นาที ดังนั้นนักเตะยุโรปที่มาเล่นที่นี่ส่วนใหญ่จะ อาจจะออกอาการมึนงง และต้องปรับตัวไม่น้อยในลีก MLS กับรูปแบบการเปลี่ยนแผนนาทีต่อ นาทีเยี่ยงอเมริกันฟุตบอล NFL

ประการสุดท้าย คำศัพท์แปลกๆ ที่นักเตะที่นี่ใช้กันระหว่างฝึกซ้อม เบ็คแฮมอาจจะเจอประสบการณ์นี้แล้ว ก็เป็นได้ในการเริ่มซ้อมไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพราะนักเตะจะเรียก Penalty Kick หรือลูกจุดโทษสั้นๆ ว่า PK และเรียกว่าลูกฟรีคิกว่า FK เป็นต้น

และสุดท้ายจริงๆ หนุ่มเบ็คส์อย่าเผลอเชียวกับ การหลุดปากเรียก "ซอกเกอร์" เป็น "ฟุตบอล" ถ้าไม่อยากหน้าแตก เพราะอเมริกันชนที่นี่ทุกรายจะเข้าใจว่ามันคือ อเมริกันฟุตบอล

สายตาทุกคู่จากสื่อ และแฟนลูกหนังเมืองลุงแซมกำลังจดจ้องมาที่เกมกระชับมิตรวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เนื่องจากต้นสังกัดใหม่ของเจ้าพ่อลูกนิ่งจะต้องมีคิวลงเตะกับทีม "สิงโตพันล้าน" เชลซีที่มีเพื่อนร่วม ทีมชาติอังกฤษ ของเบ็คแฮมเดินทางมาร่วมด้วยหลายต่อหลายคน เช่น แฟรงค์ แลมพาร์ด โจ โคล และจอห์น เทอร์รี่

ตั๋วจำนวน 27,000 ใบ ถูกขายออกไปพร้อมทั้งกำหนด การถ่ายทอดสดไปทั่วสหรัฐอเมริกาสำหรับ เกมกระชับมิตรแมตช์นี้ แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับเกมกีฬาที่เรียกชาวมะกันเรียกมันว่า "ซอก เกอร์"

แค่นี้ก็พอจะซาวด์เสียงกระแส ความดังของ "แบรนด์ เบ็คแฮม" ได้เป็นอย่างดี และ MLSก็น่าจะปลาบปลื้มไม่น้อยกับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดจากแฟนลูกหนังเมืองลุงแซม

แม้ว่าความจริงแล้ว อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของหนุ่ม เบ็คส์ ยังลูกผี-ลูกคน ไม่แน่ว่าจะถูกส่งไปเปิดซิงในเกมนี้ได้หรือไม่

แต่อย่างน้อย เราก็ได้เห็นแนวโน้ม ที่ดีขึ้นของ MLS และได้แต่เอาใจช่วยปีกขวาขวัญใจ แม่ยกรายนี้ให้ประสบความสำเร็จกับชีวิตใหม่ที่ LA และปิดฉากอาชีพนักฟุตบอล ให้ยิ่งใหญ่ดั่ง ที่เจ้าตัวปรารถนา

Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2918

Saturday 14 July 2007

แด่ "เธอ" ที่คิดถึง...


เย็นวันศุกร์ที่ 13 ที่ผ่านมา บนรถไฟขบวนเดิม สายเดิมที่นั่งอยู่ทุกวัน...วันนี้รู้สึกแปลก ไม่เหมือนเคย

ใจลอย ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

สายตาสองคู่มองออกไปนอกหน้าต่าง พลางนึงถึงวันเวลาเก่าๆ นึกถึงเพื่อนหนึ่งคน ผู้ซึ่งเคยร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมา เมื่อวันวาน

วันนี้ เป็นวันเกิดของ "เธอ"....ไม่รู้ว่าตอนนี้ เธออยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ นานเหลือเกินที่ผมไม่ได้ติดต่อ"เธอ" คนนี้

ทุกๆปี ก่อนที่เราจะห่างกันมาทั้ง "ตัว" และ "ใจ" เรามักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเสมอในวันพิเศษของ"เธอ"คนนี้ มันเป็นวันที่เธอใส่ใจและเป็นสุขเสมอทุกๆปี ตั้งแต่ผมได้รู้จักเธอมา

ผมไม่รุ้ว่ามันจะดีไหม ถ้าจะโทรไปบอกกล่าว HaPPY Birthday...อยากได้ยินเสียง อยากทราบข่าวความเป็นไปของเธอ... เธอจะแปลกใจไหมหากได้ยินเสียงคนๆนึง ที่คิดถึงเธอเหลือ ณ ห้วงเวลานี้

บางทีเธออาจจะลืมผมไปแล้วก็เป็นได้ หวั่นใจกลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่คิด
ยืนอยู่หน้าชานชลา อยู่นานสองนานเพื่อตัดสินใจว่าจะโทรหา"เธอ"คนนี้ดีหรือไม่

"เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน" ผมตัดสินใจเดินดิ่ง พุ่งตรงไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะของอังกฤษหรือ BT

สูดหายใจยาวๆอยู่สองสามที พลางกดหมายเลขปลายทางซึ่งเป็นเบอร์โทรของเธอ...อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลย แต่เหงื่อผมกลับชุ่มเปียกเต็มหลัง นิ้วมือผมก็เช่นกัน เหนียวเต็มด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาจากง่ามนิ้ว นานมากแล้วที่ผมไม่ได้วิตกจริตแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่เป็นแบบนี้เท่าที่จำได้ คือ"การบอกรักเธอ"

"สวัสดีคะ" เสียงจากปลายทางเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความสดใสเหมือน อย่างเคย

"สวัสดี เราเอง " เธอหยุดเงียบไปชั่วขณะ เหมือนจะจำผมไม่ได้
"เอก หรอ" เธอถาม "ใช่เราเอง สุขสันต์วันเกิดนะ"

"ขอบคุณมากนะ ตอนนี้เรามาดูหนังกับแม่แหละ สนุกมากเลย" เธอยังติดแม่เหมือนเคย ลูกสาวคนเล็กของบ้าน ที่แม้จะขี้งอน เอาแต่ใจ แต่ผมก็ชอบในความเป็นตัวเองของเธอ ไม่ดีเลิศเลอเหนือใคร แต่เธอก็สำคัญกับผมเสมอ...

บทสนทนาสั้นๆของเราจบหลังแบบเรียบง่ายเหมือนเคย...ผมเดินตรงมุ่งหน้าไปทำงานต่อด้วยใจที่อิ่มเอมและเปี่ยมไปด้วยความสุข ดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่ใจเรียกร้อง

คืนนี้ผมได้รับอีเมล ฉบับนึงจาก"เธอ" คนนี้

Very thank u for yr calling Happy birthday na ^^ may be i'm the one who really LOVE MY BIRTHDAY... wish u happy too coz i always pray for u ...

แม้มันจะเป็นอีเมลที่สั้น แต่มันมีความหมายกับผม...
แม้เราจะห่างไกลกัน และอาจจะไม่ได้พบกันอีก
แต่ในช่วงเวลานึงของความรู้สึก ผมได้ยิ้มและนอนหลับตาอย่างเป็นสุข เสมือนเธออยู่ข้างๆผม
ที่เดิมเสมอ...

แค่แวะมาเล่าและ Update ความเป็นไปของชีวิต ก็เท่านั่นเองครับ :)

Wednesday 11 July 2007

เรือใบสีฟ้า กับตำนานบทใหม่ของสเวน

หลักจากยืดเยื้อกันมานานพอดูกับตำแหน่ง "นายใหญ่" ในถิ่น "ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์" ในที่สุด "เฮียเถิก" สเวน โกรัน อีริคส์สัน อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษก็ได้รับการแต่งตั้ง อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
การห่างหายจากกลิ่นสาบลูกหนัง มาแรมปีทำให้ ป๋าสเวน อดรนทนไม่ได้ถึงขนาดออกมา บอกว่าเป็นอะไร ที่ขมขื่นเหลือคณากับการนั่ง ตบยุงอยู่กับบ้านมานานโข และได้แต่นั่งดูเกมกีฬาที่ตนรักโดยไม่มีเอี่ยวใดๆ
ณ บัดนี้ได้ฤกษ์เสียทีกับการก้าวคืนสู่ตำแหน่งหัวเรือใหญ่ที่ตนใฝ่ฝัน... แต่จะทำได้ดีมากน้อยขนาดไหนนั้นเป็นอะไรที่น่าจับตามองเหลือเกินว่า "อดีต" นายใหญ่ค่าเหนื่อยสุดแพงของทีมทรีไลออนส์จะ สร้างตำนานบทใหม่ให้กับตัวเองได้หรือไม่

หรือจะเป็นได้แค่ที่ๆ ตัวเค้าต้องการ มานั่งนับ "ปัจจัย" เป็นรายเดือนจาก "ผู้เคยยิ่งใหญ่" ในบ้านเรา แล้วก็ดับชื่อ และ "นิยายชีวิต" ของตัวเองจมหายไปพร้อม กับทีมเรือใบ

การกลับมาครั้งนี้ของสเวนนี่จะทำ ให้พรีเมียร์ชิพมีกุนซือ หัวกะทิเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แต่กุนซือวัย 59 ปีท่านนี้ต้องเริ่ม นับ 1 กันใหม่เลยกับทีมแมนฯ ซิตี้ในครั้งนี้ เพราะทุกอย่างในทีมจำเป็นต้องได้รับการ "ผ่าตัด" อย่างเร่งด่วนก่อนที่ศึกลูกหนังที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ชิพจะเริ่มขึ้นในต้นเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้

"อดีต" ที่ถือว่าล้มเหลวพอสมควรกับการคุมทีม ชาติอังกฤษจะต้องถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก และไม่ถูกรื้อฟื้นขึ้น มาในห้วงความคิด ของการเริ่มต้นงานใหม่ซึ่งนับว่ายากพอ ควรกับการสร้างทีมระดับกลางอย่าง แมนฯ ซิตี้ที่ตกอยู่ใต้ร่มเงา ของทีม "ปิศาจแดง" แมนฯยูฯ มานานแสนนานให้ขึ้น มาเป็นทีมชั้นนำอีกครั้งดั่งที่แฟนๆ และท่านเจ้าของทีมหวังเอาไว้

งบประมาณถึง 50 ล้านปอนด์ ไม่ใช่เงินที่มาก มายอะไรหากเทียบ กับทีมท็อปโฟร์ในปัจจุบัน แต่กับทีมกลางๆ กึ่งล่างอย่างทีมเรือใบ สีฟ้าลำนี้จะถือเป็น ของขวัญจากฟากฟ้าที่จะช่วยเนรมิตโปรเจ็กต์ อันเลิศหรูของเสี่ยแม้วได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่า "นายใหญ่" ของทีมจะใช้มันอย่างชาญฉลาดมากน้อยแค่ไหน

"บุคลิก" ที่เยือกเย็นจนเกินพอดีของเจ้าตัว จนถูกสื่อมวลชนเมืองผู้ดีเล่นงาน และ "ดิสเครดิต" ไปพอสมควร การปลุกระดมนักเตะ หรือดึง Passion ของแต่ละคนออกมาคือสิ่งที่กุนซือจอมเจ้าชู้รายนี้ต้องพยายามแก้ไข และทำให้ได้หากหวังจะเห็นทีม มีการพัฒนาไปในแง่ที่ดีขึ้น

เพราะ "เงิน" อาจจะซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมได้ ยิ่งการที่เจ้าตัวมี "ชื่อเสียง" และ "คอนเน็กชั่น" พอสมควรในวงการบอลยุโรปจากการที่ได้มีโอกาสคุมทีมตามประเทศต่างๆ อย่าง สวีเดน โปรตุเกส และอิตาลี มาแล้ว ก็ยิ่งง่ายที่จะดึงนักเตะฝีเท้าดีๆ มาร่วมทีม

แต่ "เงิน" ก็ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น Passion (ความกระหาย), Loyalty (ความซื่อสัตย์ที่นักเตะมีต่อทีม), Commitment (การยอมอุทิศถวายตัว เตะเพื่อทีมที่ตนรัก)

สิ่งนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้เป็น "หัวเรือ" จะต้องเป็น Role model หรือต้นแบบให้ลูกทีมเห็นเสียก่อน ซึ่งเราจะเห็นได้จากทีมเชลซีในช่วงที่ โจเซ่ มูรินโญ่ โดนกดดันหนักๆ จากท่านประธานอย่าง "เสี่ยหมี" โรมัน อับราโมวิชในช่วงกลางฤดูกาลที่แล้วซึ่งกัปตัน ทีมอย่าง จอห์น เทอร์รี่ และนักเตะในทีมหลายต่อหลายคนก็ออกมาหนุนหลัง และเตะอย่างถวายชีวิตให้กับทีมในช่วงที่ทีมกำลัง คับขันขาดนักเตะหลักที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน

นั่นเป็นสิ่งดีๆ ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่านี่แหละ คือสิ่งที่โค้ช ต้องการจากนักเตะมากที่สุด ในยามที่ตัวเองตก อยู่ในช่วงเวลา วิกฤต และมูรินโญ่สามารถสร้างมันให้เกิดขึ้นใน ทีมที่อัดแน่นเต็ม ไปด้วยนักเตะแข้งพันล้านได้
จึงไม่แปลกใจว่าทำไม กุนซือเลือดโปรตุกีส ถึงได้เป็นยอดกุนซือ ในจักรวาล ลูกหนังในเวลานี้
การยึดติดกับระบบ 4-4-2 มากจนเกินไป + การชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วยการแอบดอดไปคุยกับทีมโน้นที ทีมนี้ทีของสเวน หรือไหนจะตกเป็นข่าวคาวๆ กับสาวใหญ่ของ "เอฟเอ" ในสมัยที่กุมบัง เหียนทีมชาติอังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ BBC เอามากรีดเรียกแผลต้อนรับกุนซือใหม่พรีเมียร์ชิพ ได้บาดเล็กเจ็บลึกพอสมควร

ดังนั้นอีริคส์สันจำเป็นเหลือเกินที่ต้อง "ยืดหยุ่น" กับการวางแผน และจัดระบบของทีมให้มากขึ้นในการ คุมทีมสโมสรที่ต้องเตะกันสัปดาห์ต่อสัปดาห์หลังจากห่างจากการคุมทีมระดับสโมสรมาถึง 6 ปีเต็ม

กล่าวคือ สเวนนี่ไม่ควร ยึดประเพณี "เลือกที่รัก มักที่ชัง" อย่างที่เคยทำเมื่อครั้งคุมอังกฤษ แล้วดันทุรังส่งศิษย์รักอย่าง เวยน์ รูนี่ย์, ไมเคิล โอเว่น หรือเดวิด เบ็คแฮม ลงสนามโดยไม่สนใจว่านักเตะจะฟิตมากน้อยขนาดไหน และพร้อมรับมือกับคู่แข่งหรือไม่

การตัดสินใจพลาดของอีริคส์สันหลายต่อหลาย ครั้งเกือบทำให้อนาคตค้าแข้ง ไมเคิล โอเว่นที่เข่าบิดในวันเปิดสนามเกือบถึงจุดจบ ยังดีที่เจ้าตัวได้ศัลยแพทย์ที่ดี และกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง หรือการหนีบเอา ธีโอ วัลคอตต์ ไปฟุตบอลโลกแต่ไม่ได้แม้แต่จะมีโอกาสลงไปสัมผัสพื้นสนาม โดยปล่อยให้นักเตะที่โชว์ผลงานกันมาแรมปีอย่างดาร์เรน เบนท์ หรือเจอร์เมน เดโฟ ในครั้งนั้นต้องนั่งเขกเข่า ร้องไห้อยู่ที่บ้าน

การไปผิดลูกผิดเมียชาวบ้านอีก ก็เป็นเรื่องนึงที่เจ้าตัวต้องคอย ระมัดระวังตัวให้ดี เพราะสื่อที่นี้ขึ้นชื่อในการ "จ้องจับผิด" และตามรอยคนดังอยู่แล้ว

กุนซือแดน "ฟรีเซ็กซ์" จึงต้องข่มใจตัวเอง ในการเลิกข้องแวะ กับสาวๆ ที่อาจผ่านเข้ามา ในชีวิตใหม่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และใจจดใจจ่อกับ "ฟุตบอล" แบบเพียวๆ เสียที หากหวังที่จะปิดฉากชีวิตกุนซือของตัวเองให้สง่างาม และผ่าเผยที่สุด

แม้เจ้าตัวจะมี "ประวัติการทำงาน" ที่ไม่เลวด้วยการเคยพาทีมอย่างเบนฟิก้า และลาซิโอ รวมถึง โกเตนเบิร์ก คว้าแชมป์ในประเทศมาครองได้หมดแล้วก็ตาม แต่กับงานชิ้นใหม่นี้ของอีริคส์สัน แน่นอนว่าเจ้าตัวต้องทำการบ้าน และ ศึกษารายละเอียด ของนักเตะแต่ละคนให้ดีในช่วงฝึกซ้อมปรี-ซีซั่นก่อนที่จะทำการ "เชือด" นักเตะที่เป็นส่วนเกินออกไป

เรื่องหาตัวแทนของอดีตนักเตะหลักของทีมที่จากไปอย่าง ซิลแวง ดิสแตง และโจอี้ บาร์ตันที่ สละเรือย้ายไปปอร์ทสมัธ และนิวคาสเซิ่ลตามลำดับก็เป็นอีกหนึ่งจ็อบที่ "เฮียเถิก" ต้องเดินเรื่องให้ เร็ว และคุ้มค่าเม็ดเงินที่ออกจากคลังสโมสรให้มากที่สุด

การยิงใครไม่ได้เลยในบ้านตัวเองในบอลลีก ตั้งแต่ปีใหม่ไหลยาวไปจนช่วงปิดฤดูกาล บ่งบอกปัญหาความฝืดเคืองในด้านหน้าของทีมได้เป็น อย่างดี

หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีริคส์สันจะเปิดซิง นักเตะในตำแหน่งกองหน้า ในวันสองวันนี้ โดยหนุ่ม ผู้ที่จะเข้ามารับบท "มือปืน" รายใหม่นี้มีชื่อว่า โรลันโด้ เบียงคี่ วัย 24 ปี นักเตะคนสำคัญของสโมสเรจจิน่าผู้ซึ่งสังหารไป 18 ประตูในลีก เซรี่ อา ในฤดูกาลที่ผ่าน โดยรั้งเป็นดาวยิงอันดับสี่ของลีก


สนนค่าตัวตกราวๆ 8.8 ล้านปอนด์ ถือว่าแพงพอสมควรสำหรับกองหน้าที่ยัง ไม่ได้พิสูจน์อะไรมากมายในชีวิตนักเตะ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าติดตามครับว่าทำไมอีริคส์สัน ถึงเลือกหมอนี่มาเป็นผู้ไขคำตอบในด้านหน้าให้ทีม




การนำทัพเรือใบล่องตามสายน้ำที่เชี่ยว และเต็มไปด้วยโขดหิน เพราะแต่ละทีมในปีนี้ก็ดูจะเสริมตัว และพัฒนาบุคลากรตลอดจน Facilities ต่างๆ ในสโมสรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ ซีซั่นใหม่จึงถือว่า เป็นบททดสอบที่น่าจะวัด "ฝีมือ" ที่แท้จริงของกุนซือผู้ประกาศตัวเองว่ายังเต็มไปด้วยไฟในการทำงาน และพร้อมพา "ลูกเรือ" ลำนี้สัมผัสคำว่า "ยิ่งใหญ่" ในอนาคตอันใกล้ได้เป็นอย่างดีครับ

Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2911

Wednesday 4 July 2007

สเปอร์ส... ถึงเวลาก้าวไปเป็น 1 ในท็อปโฟร์!?


หลังจากจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ห้ามาสองปีติดต่อกัน การทุ่มซื้อตัวนักเตะแบบ ไม่มีเม้มชนิดไม่เคยเป็นมาก่อนในช่วงซัมเมอร์นี้ของทีม "น้องไก่" ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ทำให้แฟนลูกหนังหลายๆ ท่านว่าสงสัยว่าทีมยักษ์หลับจาก North London ทีมนี้ไปถูกหวยอะไรมาหรือเปล่า ทำไมจึง "ทุ่ม" จังเลยปีนี้

ณ นาทีนี้ สเปอร์สใช้เงินสดไปแล้ว ทั้งสิ้น 21.5 ล้านปอนด์กับผู้เล่นรายใหม่ 2 ราย นั่นก็คือ แกเรธ เบลที่สนนค่าตัว 5 ล้านปอนด์ (โดยจะเพิ่มเป็น 10 ล้านปอนด์ตามจำนวนเกมที่ลงเล่น) ส่วนอีกรายที่หลายๆ ท่านคงจะทราบ และฮือฮาไปแล้วไม่น้อยกับนักเตะเกรด B+ ที่แม้แต่แฟนไก่หลายคนยังถึงกับร้อง "ยี้" นั่นก็คือกระทาชายนามว่า ดาร์เรน เบนท์ กับค่าตัวที่แพงหูฉี่ถึง 16.5 ล้านปอนด์

นี่ยังไม่รวม อาเดล ทารับต์ ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสที่เซ็นสัญญา ไปก่อนแล้ว 5 ปีจากล็องส์ที่ไม่มีการเปิดเผยค่าตัว

การทำตัวเยี่ยงอาเสี่ยกลัดมัน ดึงเด็กเอ๊าะๆ ด้วยค่าตัวไม่ธรรมดามาเข้าเล้า (ไก่) ในปีนี้ของสเปอร์สจริงๆ แล้วบอกความนัยหลายอย่างกับ "ท็อปโฟร์" ในปีที่ผ่านมาอย่าง แมนฯยูฯ เชลซี ลิเวอร์พูล และอาร์เซนอลครับ

เพราะนี่เหมือนกับการประกาศท้าดวลการช่วงชิงตำแหน่ง "ท็อปโฟร์" อย่างเต็มตัวครั้งแรกของมาร์ติน โยล แอนด์ เดอะแก๊งหากในกรณีที่ทีมใดทีมหนึ่งเกิดสะดุด และหลุด วงโคจรขึ้นมาจริงๆ

โดยวันจันทร์ที่ผ่านมา กุนซือหน้าละม้ายคล้าย "Shrek" (การ์ตูนแอนิเมชั่นตัวสีเขียวที่โด่งดัง) ได้ออกมาฟันธงเรียบร้อยโรงเรียน ไวท์ ฮาร์ท เลนแล้วครับว่า ปีนี้ถ้าทีมปืนโต หรือหงส์แดงพลาด เด็กๆ ของเค้าพร้อมแล้วกับการสอดแทรกขึ้นมาเป็น 1 ใน4 สุดยอดทีมของลีกลูกหนังเมืองผู้ดี

จากที่กวาดสายตาดูรอบ ๆ + กับการวิเคราะห์จากหลัก "ความน่าจะเป็น"และอีกหลาย ๆ ปัจจัยทีมที่สเปอร์มีโอกาสเบียดขึ้นไปลุ้นอันดับสี่มากที่สุดน่าจะเป็น "อริ" ร่วมเมืองอย่างอาร์เซนอล

นั่นก็เพราะการเสียรองประธานอย่าง เดวิด ดีน + การเสียกัปตันทีมตัวหลักอย่าง เธียร์รี่ อองรี + อาการลังเลของเวนเกอร์ว่าจะเอาไงหลังเหลือสัญญาคุมทีมเพียงแค่ปีเดียว ทำให้ "สภาพ" ของอาร์เซนอลในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเรือที่อยู่ท่ามกลางพายุที่โดนคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่อย่างเมามัน

อนาคต และจุดหมายปลายทางที่ทั้งโค้ช และนักเตะในทีมเองยังคงมองไม่เห็น "ฝั่ง" แม้ว่าล่าสุดจะไปคว้าตัว เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา ด้วยค่าตัวที่ทำให้เกิดความ สับสนอลหม่าน อยู่พอสมควร เพราะบางกระแสก็ว่า 16.5 ล้านปอนด์ แต่ทาง BBC สื่อใหญ่ที่น่าเชื่อถือที่สุดในความคิด ผมประกาศเปรี้ยงฟันธงลงไปว่า ค่าตัวจริง ๆ เพียงแค่ 7.5 ล้านปอนด์

ตัวเลขสถิติที่หลาย ๆ สื่อเอามาอ้างอิงก็ดูจะ "ยกระดับ" ทำให้อดีตกองหน้า ดินาโม ซาเกร็บ ผู้ซึ่งเกิดที่บราซิลแต่เลือกเล่น ให้ทีมชาติโครเอเชีย ผู้นี้ดูดีมีสไตล์มากขึ้น จากการยกเอาสถิติการยิงประตูที่ "เหลือเชื่อ" เอามาก ๆ ของหมอนี่ที่ยิงไป 34 ลูกใน 32 นัดในลีกบ้านเกิดเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

แต่เดี๋ยวก่อนครับ ไม่ทราบว่าเรายังจำ อเลน บ็อคซิซ, มาเตย่า เคซมัน, มิลาน บารอส หรือบอสโก้ บาลาบันที่ยิงเป็น "พลุแตก" ตามลีกยุโรป ก่อนย้ายมาหากินที่อังกฤษแล้วมาตกม้าตายกันที่นี้ได้รึเปล่า?

มีนักเตะจากยุโรปตะวันออกหลายต่อหลายรายแล้ว ครับที่มาดับชื่อของตัวเองในพรีเมียร์ชิพ เพราะเจอบอลที่ค่อนข้างเร็ว และหนักกว่าชาวบ้านเค้า ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสอบตกกันยกกระบิ

ไม่ขอรวม ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ หัวหอกเลือดบัลแกเรีย ที่ถือเป็นยุโรปตะวันออกอีกหนึ่งหน่อ เนื่องจากหมอนี่ถือเป็นของยกเว้นครับ เพราะเจ้าตัวได้พิสูจน์ "ผลงาน" ในเวทีบุนเดสลีกามาแล้วก่อนย้ายมาซบสเปอร์ส

ขณะที่ ดา ซิลวา ย้ายจากลีกโครแอต มาเจอกับกองหลัง เสือ และสิงห์ทั้งหลายในอังกฤษอาจถือเป็น การก้าวกระโดด ที่ดูจะเร็วไปหรือไม่ อันนี้ยังให้คำตอบ ใด ๆ ไม่ได้จนกว่าจะเห็น "ผลงาน"

แม้ว่าอย่างน้อยๆ แฟนปืนใหญ่ก็น่าจะอุ่นใจได้เปลาะหนึ่ง เพราะการประ เมินค่าความสามารถนักเตะ ของเวนเกอร์ถูกจัดอยู่ในขั้น "อ๋อง" มานานหลายปีจากประสบการณ์ในการดึง นักเตะโนเนมมาสู่ทีมแล้วปั้น จนได้ดีมีตัวอย่างมานับไม่ถ้วนอย่าง เชส ฟาเบสกาส หรือโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ซึ่งถือเป็นเด็ก ๆ ยังกันส์รุ่นล่าสุดที่ขงเบ้งเมืองน้ำหอมดึงเข้ามาเจียระไน

ย้อนกลับมาที่สเปอร์สซึ่งเริ่มเข้าค่ายฝึกซ้อมช่วงปรี-ซีซั่นไปแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเนื่องจากมีคิว ต้องอุ่นแข้งกับสเตเวนเนจในเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้

เชื่อได้ครับว่า มาร์ติน โยล คงจะประกาศเป้าหมาย ของฤดูกาลที่ใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นให้ลูกทีม ได้ทราบแล้วครับว่า หากปีนี้พลาดการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก หัวโต ๆ ของนายใหญ่สเปอร์สคงไม่แคล้วต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่แท้

เพราะว่าตัวนักเตะในตอนนี้ มองดูแล้วไม่เป็น รองทีมใหญ่มากเท่าไรนัก แม้จะไม่อาจเทียบกับทีมอสูรแดง และสิงโตพันล้านที่เสริมทีมได้น่ากลัว และยังไม่ใกล้ที่จะเข้าทาบรัศมีหงส์แดงยุคใหม่ ทำใหม่ของสองเจ้าของใหม่ที่กำลังคว้า เฟอร์นันโด ตอร์เรส มาไว้ในอ้อมกอด

อย่างไรก็ดี อย่างน้อยที่สุด Gap หรือช่องว่างน่าจะลดลง มาในระดับที่พอสู้กันได้อยู่ ไม่ได้ห่างจากโคตรทีมอย่างเชลซีเหมือน เช่นสองสามฤดูกาลก่อนที่แค่ดูตัวนักเตะ ก่อนสองทีมจะลงเตะกัน ถ้าลงเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ก็แทบจะไม่ต้องสืบเลยว่าทีมไหน จะเป็นฝ่ายคว้าชัย

สถานการณ์โดยรวมของสเปอร์สนั้น การเข้ามาของดาร์เรน เบนท์ น่าจะหมายถึงการหมายถึงการจากไปของกบฏ ลูกหนังเมืองมัมมี่อย่าง มิโด้ ที่ดูแล้วหมดอนาคตแน่นอน อยู่ที่ว่าเจ้าตัวจะเลือกย้ายไปซบทีมใด หลังจากปฏิเสธฟูแล่ม ขณะที่ เจอร์เมน เดโฟ ดูแล้วยังลูกผี ลูกคน แต่คาดว่าถ้ามีทีมใดยื่นข้อเสนอที่ดีมา มาร์ติน โยลคงปล่อยอดีต หัวหอกเวสต์แฮมรายนี้ออกไปอีกคน เพื่อหาเงินเข้าชดเชยส่วน ที่จ่ายเป็นค่าตัวของเบนท์ไป

โดยส่วนตัวแล้ว ถ้าสเปอร์สเก็บ เดโฟไว้กับทีมได้ พวกเขาจะมีสี่สุดยอด กองหน้า "จตุรเทพ" ไว้ในครอบครองเลยนะครับ เพราะชื่อชั้น แต่ละตัวดีกรีทีมชาติทุกคน จะมีก็เบนท์เนี่ยกระมังครับ ที่ผมมองว่าชื่อ และชั้น "ด้อย" กว่าใครเพื่อน

ขณะที่ข่าวคราวความเคลื่อนไหวล่าสุด คิดว่าพวกเค้าไม่น่าพลาดการได้ตัว ยูเนส คาบูลกองหลังกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสยู-21 ของโอแซร์มาเสริมแนวรับ ส่วนค่าตัวก็ราคาป๋าจ่ายอีกตามเคยครับราว ๆ 7-8 ล้านปอนด์ไม่น่าจะเกินนี้

คราวนี้ก็เหลือแต่ตำแหน่งปีกซ้ายนี่แหละครับ ที่คาราคาซังมานานตั้งแต่ปีที่แล้ว จนแล้วจนรอดโยลก็ยังไม่ได้ซื้อใครเข้ามาสักที หลังจากทำตัว "ขี้หลี" จีบคนโน้นคนนี้ไปทั่วจนถูกมองว่าเป็น ไก่เจ้าชู้ไปซะแล้ว

บอร์ดบริหารชุดนี้ของทีมซึ่งนำโดย ท่านประธาน ดาเนียล เลวี่ ก็ดูดีกว่าชุดของ เซอร์ อลัน ชูการ์เยอะครับเพราะ ความเชี่ยวชาญในการจัดการด้านการเงินที่มีมากกว่า การสร้างทีมโดยเน้นให้นักเตะ หนุ่มๆ ชาวอังกฤษเป็นแกนหลัก รวมไปถึงการดึง เดเมียน โคมอลลี่ มาเป็นผู้อำนวยการกีฬาซึ่งรับบทบาท ที่สำคัญ ในการพยายามเสาะแสวง หาเพชรเม็ดงามมาเสริมทีมอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของทีม ที่จะก้าวไปใน "ทิศทาง" ที่ถูกที่ควรอีกครั้ง

หลังจากที่พวกเค้าทำตัวเป็นยักษ์หลับมานาน หลายสิบปี ปีนี้อาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ครับที่แฟนๆ สเปอร์สจะได้ยืดอกประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ความเป็นไก่เดือยทองซะที!!!

Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2904