Wednesday 11 July 2007

เรือใบสีฟ้า กับตำนานบทใหม่ของสเวน

หลักจากยืดเยื้อกันมานานพอดูกับตำแหน่ง "นายใหญ่" ในถิ่น "ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์" ในที่สุด "เฮียเถิก" สเวน โกรัน อีริคส์สัน อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษก็ได้รับการแต่งตั้ง อย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
การห่างหายจากกลิ่นสาบลูกหนัง มาแรมปีทำให้ ป๋าสเวน อดรนทนไม่ได้ถึงขนาดออกมา บอกว่าเป็นอะไร ที่ขมขื่นเหลือคณากับการนั่ง ตบยุงอยู่กับบ้านมานานโข และได้แต่นั่งดูเกมกีฬาที่ตนรักโดยไม่มีเอี่ยวใดๆ
ณ บัดนี้ได้ฤกษ์เสียทีกับการก้าวคืนสู่ตำแหน่งหัวเรือใหญ่ที่ตนใฝ่ฝัน... แต่จะทำได้ดีมากน้อยขนาดไหนนั้นเป็นอะไรที่น่าจับตามองเหลือเกินว่า "อดีต" นายใหญ่ค่าเหนื่อยสุดแพงของทีมทรีไลออนส์จะ สร้างตำนานบทใหม่ให้กับตัวเองได้หรือไม่

หรือจะเป็นได้แค่ที่ๆ ตัวเค้าต้องการ มานั่งนับ "ปัจจัย" เป็นรายเดือนจาก "ผู้เคยยิ่งใหญ่" ในบ้านเรา แล้วก็ดับชื่อ และ "นิยายชีวิต" ของตัวเองจมหายไปพร้อม กับทีมเรือใบ

การกลับมาครั้งนี้ของสเวนนี่จะทำ ให้พรีเมียร์ชิพมีกุนซือ หัวกะทิเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แต่กุนซือวัย 59 ปีท่านนี้ต้องเริ่ม นับ 1 กันใหม่เลยกับทีมแมนฯ ซิตี้ในครั้งนี้ เพราะทุกอย่างในทีมจำเป็นต้องได้รับการ "ผ่าตัด" อย่างเร่งด่วนก่อนที่ศึกลูกหนังที่ตื่นเต้นเร้าใจที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ชิพจะเริ่มขึ้นในต้นเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้

"อดีต" ที่ถือว่าล้มเหลวพอสมควรกับการคุมทีม ชาติอังกฤษจะต้องถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก และไม่ถูกรื้อฟื้นขึ้น มาในห้วงความคิด ของการเริ่มต้นงานใหม่ซึ่งนับว่ายากพอ ควรกับการสร้างทีมระดับกลางอย่าง แมนฯ ซิตี้ที่ตกอยู่ใต้ร่มเงา ของทีม "ปิศาจแดง" แมนฯยูฯ มานานแสนนานให้ขึ้น มาเป็นทีมชั้นนำอีกครั้งดั่งที่แฟนๆ และท่านเจ้าของทีมหวังเอาไว้

งบประมาณถึง 50 ล้านปอนด์ ไม่ใช่เงินที่มาก มายอะไรหากเทียบ กับทีมท็อปโฟร์ในปัจจุบัน แต่กับทีมกลางๆ กึ่งล่างอย่างทีมเรือใบ สีฟ้าลำนี้จะถือเป็น ของขวัญจากฟากฟ้าที่จะช่วยเนรมิตโปรเจ็กต์ อันเลิศหรูของเสี่ยแม้วได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่า "นายใหญ่" ของทีมจะใช้มันอย่างชาญฉลาดมากน้อยแค่ไหน

"บุคลิก" ที่เยือกเย็นจนเกินพอดีของเจ้าตัว จนถูกสื่อมวลชนเมืองผู้ดีเล่นงาน และ "ดิสเครดิต" ไปพอสมควร การปลุกระดมนักเตะ หรือดึง Passion ของแต่ละคนออกมาคือสิ่งที่กุนซือจอมเจ้าชู้รายนี้ต้องพยายามแก้ไข และทำให้ได้หากหวังจะเห็นทีม มีการพัฒนาไปในแง่ที่ดีขึ้น

เพราะ "เงิน" อาจจะซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมได้ ยิ่งการที่เจ้าตัวมี "ชื่อเสียง" และ "คอนเน็กชั่น" พอสมควรในวงการบอลยุโรปจากการที่ได้มีโอกาสคุมทีมตามประเทศต่างๆ อย่าง สวีเดน โปรตุเกส และอิตาลี มาแล้ว ก็ยิ่งง่ายที่จะดึงนักเตะฝีเท้าดีๆ มาร่วมทีม

แต่ "เงิน" ก็ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น Passion (ความกระหาย), Loyalty (ความซื่อสัตย์ที่นักเตะมีต่อทีม), Commitment (การยอมอุทิศถวายตัว เตะเพื่อทีมที่ตนรัก)

สิ่งนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้เป็น "หัวเรือ" จะต้องเป็น Role model หรือต้นแบบให้ลูกทีมเห็นเสียก่อน ซึ่งเราจะเห็นได้จากทีมเชลซีในช่วงที่ โจเซ่ มูรินโญ่ โดนกดดันหนักๆ จากท่านประธานอย่าง "เสี่ยหมี" โรมัน อับราโมวิชในช่วงกลางฤดูกาลที่แล้วซึ่งกัปตัน ทีมอย่าง จอห์น เทอร์รี่ และนักเตะในทีมหลายต่อหลายคนก็ออกมาหนุนหลัง และเตะอย่างถวายชีวิตให้กับทีมในช่วงที่ทีมกำลัง คับขันขาดนักเตะหลักที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน

นั่นเป็นสิ่งดีๆ ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่านี่แหละ คือสิ่งที่โค้ช ต้องการจากนักเตะมากที่สุด ในยามที่ตัวเองตก อยู่ในช่วงเวลา วิกฤต และมูรินโญ่สามารถสร้างมันให้เกิดขึ้นใน ทีมที่อัดแน่นเต็ม ไปด้วยนักเตะแข้งพันล้านได้
จึงไม่แปลกใจว่าทำไม กุนซือเลือดโปรตุกีส ถึงได้เป็นยอดกุนซือ ในจักรวาล ลูกหนังในเวลานี้
การยึดติดกับระบบ 4-4-2 มากจนเกินไป + การชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วยการแอบดอดไปคุยกับทีมโน้นที ทีมนี้ทีของสเวน หรือไหนจะตกเป็นข่าวคาวๆ กับสาวใหญ่ของ "เอฟเอ" ในสมัยที่กุมบัง เหียนทีมชาติอังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ BBC เอามากรีดเรียกแผลต้อนรับกุนซือใหม่พรีเมียร์ชิพ ได้บาดเล็กเจ็บลึกพอสมควร

ดังนั้นอีริคส์สันจำเป็นเหลือเกินที่ต้อง "ยืดหยุ่น" กับการวางแผน และจัดระบบของทีมให้มากขึ้นในการ คุมทีมสโมสรที่ต้องเตะกันสัปดาห์ต่อสัปดาห์หลังจากห่างจากการคุมทีมระดับสโมสรมาถึง 6 ปีเต็ม

กล่าวคือ สเวนนี่ไม่ควร ยึดประเพณี "เลือกที่รัก มักที่ชัง" อย่างที่เคยทำเมื่อครั้งคุมอังกฤษ แล้วดันทุรังส่งศิษย์รักอย่าง เวยน์ รูนี่ย์, ไมเคิล โอเว่น หรือเดวิด เบ็คแฮม ลงสนามโดยไม่สนใจว่านักเตะจะฟิตมากน้อยขนาดไหน และพร้อมรับมือกับคู่แข่งหรือไม่

การตัดสินใจพลาดของอีริคส์สันหลายต่อหลาย ครั้งเกือบทำให้อนาคตค้าแข้ง ไมเคิล โอเว่นที่เข่าบิดในวันเปิดสนามเกือบถึงจุดจบ ยังดีที่เจ้าตัวได้ศัลยแพทย์ที่ดี และกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง หรือการหนีบเอา ธีโอ วัลคอตต์ ไปฟุตบอลโลกแต่ไม่ได้แม้แต่จะมีโอกาสลงไปสัมผัสพื้นสนาม โดยปล่อยให้นักเตะที่โชว์ผลงานกันมาแรมปีอย่างดาร์เรน เบนท์ หรือเจอร์เมน เดโฟ ในครั้งนั้นต้องนั่งเขกเข่า ร้องไห้อยู่ที่บ้าน

การไปผิดลูกผิดเมียชาวบ้านอีก ก็เป็นเรื่องนึงที่เจ้าตัวต้องคอย ระมัดระวังตัวให้ดี เพราะสื่อที่นี้ขึ้นชื่อในการ "จ้องจับผิด" และตามรอยคนดังอยู่แล้ว

กุนซือแดน "ฟรีเซ็กซ์" จึงต้องข่มใจตัวเอง ในการเลิกข้องแวะ กับสาวๆ ที่อาจผ่านเข้ามา ในชีวิตใหม่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และใจจดใจจ่อกับ "ฟุตบอล" แบบเพียวๆ เสียที หากหวังที่จะปิดฉากชีวิตกุนซือของตัวเองให้สง่างาม และผ่าเผยที่สุด

แม้เจ้าตัวจะมี "ประวัติการทำงาน" ที่ไม่เลวด้วยการเคยพาทีมอย่างเบนฟิก้า และลาซิโอ รวมถึง โกเตนเบิร์ก คว้าแชมป์ในประเทศมาครองได้หมดแล้วก็ตาม แต่กับงานชิ้นใหม่นี้ของอีริคส์สัน แน่นอนว่าเจ้าตัวต้องทำการบ้าน และ ศึกษารายละเอียด ของนักเตะแต่ละคนให้ดีในช่วงฝึกซ้อมปรี-ซีซั่นก่อนที่จะทำการ "เชือด" นักเตะที่เป็นส่วนเกินออกไป

เรื่องหาตัวแทนของอดีตนักเตะหลักของทีมที่จากไปอย่าง ซิลแวง ดิสแตง และโจอี้ บาร์ตันที่ สละเรือย้ายไปปอร์ทสมัธ และนิวคาสเซิ่ลตามลำดับก็เป็นอีกหนึ่งจ็อบที่ "เฮียเถิก" ต้องเดินเรื่องให้ เร็ว และคุ้มค่าเม็ดเงินที่ออกจากคลังสโมสรให้มากที่สุด

การยิงใครไม่ได้เลยในบ้านตัวเองในบอลลีก ตั้งแต่ปีใหม่ไหลยาวไปจนช่วงปิดฤดูกาล บ่งบอกปัญหาความฝืดเคืองในด้านหน้าของทีมได้เป็น อย่างดี

หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีริคส์สันจะเปิดซิง นักเตะในตำแหน่งกองหน้า ในวันสองวันนี้ โดยหนุ่ม ผู้ที่จะเข้ามารับบท "มือปืน" รายใหม่นี้มีชื่อว่า โรลันโด้ เบียงคี่ วัย 24 ปี นักเตะคนสำคัญของสโมสเรจจิน่าผู้ซึ่งสังหารไป 18 ประตูในลีก เซรี่ อา ในฤดูกาลที่ผ่าน โดยรั้งเป็นดาวยิงอันดับสี่ของลีก


สนนค่าตัวตกราวๆ 8.8 ล้านปอนด์ ถือว่าแพงพอสมควรสำหรับกองหน้าที่ยัง ไม่ได้พิสูจน์อะไรมากมายในชีวิตนักเตะ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าติดตามครับว่าทำไมอีริคส์สัน ถึงเลือกหมอนี่มาเป็นผู้ไขคำตอบในด้านหน้าให้ทีม




การนำทัพเรือใบล่องตามสายน้ำที่เชี่ยว และเต็มไปด้วยโขดหิน เพราะแต่ละทีมในปีนี้ก็ดูจะเสริมตัว และพัฒนาบุคลากรตลอดจน Facilities ต่างๆ ในสโมสรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ ซีซั่นใหม่จึงถือว่า เป็นบททดสอบที่น่าจะวัด "ฝีมือ" ที่แท้จริงของกุนซือผู้ประกาศตัวเองว่ายังเต็มไปด้วยไฟในการทำงาน และพร้อมพา "ลูกเรือ" ลำนี้สัมผัสคำว่า "ยิ่งใหญ่" ในอนาคตอันใกล้ได้เป็นอย่างดีครับ

Viva London โดย เอก อุดมสุข ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2911

3 comments:

ธานคับ said...

นอกจากทีมตราไก่ของเรา ปีนี้คงแอบเอาใจช่วย แมนซิติ้อีกทีมครับ ไม่ได้ชอบอีตาสเวนหรอกครับ เอาใจช่วยทีมที่คนไทยมีส่วนมากกว่า อิอิ

เอก อุดมสุข said...

ครับ อย่างน้อยประเทศไทยของเราก็สร้างเซอร์ไพร์สเล็กๆให้ชาวอังกฤษได้ประจักษ์กัน

อีกเรื่องที่อยากจะเห็นต่อไปคือ นักเตะไทยได้มีโอกาสมาโลดแล่นในพรีเมียร์ชิพนี่แหละครับ
คงสุขใจน่าดู...^_^

ช่วงนี้ หวังให้แฟนๆไก่ในบอร์ดเรามาตามเชียร์ทีมชาติไทยในเอเชี่ยนคัพ กันนะครับ นี้เป็นก้าวเล็กๆที่ต้องใส่ใจ และติดตาม หากเราหวังจะเห็นบอลไทยไปบอลโลก

stathis said...

hello friend,

I am Stathis from Greece. My blog is

www.kafedaki.blogspot.com Can you please add my site to your links?


Thanks,

Stathis