Wednesday 27 February 2008

ร่วมสดุดี “สเปอร์ส” กับ 9ปีที่รอคอย


รอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายๆเหตุการณ์ครับ ที่เกิดขึ้นกับฟุตบอลอังกฤษและตกอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนอังกฤษ รวมไปถึงแฟนฟุตบอลทั่วโลก สองในสามข่าวหลักๆที่ตั้งใจจะหยิบจับประเด็นมาเขียนในวันนี้นั้นดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เนื่องจากเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนที่ได้ทราบข่าวพอสมควร

โดยข่าวเศร้าแรกนั้นเกิดขึ้นกับอดีต “ฮีโร่”ผู้ยิ่งใหญ่ของทีมชาติอังกฤษอย่าง พอล แกสคอยน์ที่ตอนนี้ต้องอยู่ภายใต้ความดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หลังจากเจ้า “อ้วนซ่า”ที่กำลังอยู่ในช่วงเลิกยาและอาการติดเหล้าอย่างรุนแรง นั้นแสดงพฤติกรรมแปลกๆที่อาจนนำพาไปสู่การ “ดับชีพตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็นการสั่งตับดิบๆมาทานในโรงแรม พูดจาเหม่อลอยคนเดียว+ กดสัญญาณไฟไหม้ในห้องพักตัวเองเล่น รวมไปถึงการอัด RedBull วันละ 50กระป๋อง!! ฯลฯ

ถือเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ + เศร้าใจแทนครอบครัวและคนรอบข้าง อดีตแข้งพรสวรรค์สูงของอังกฤษไม่น้อยครับ ที่อดีตนักฟุตบอลแข้งดัง มีเงินทองเหลือล้น แต่กลับไม่สามารถประคับประคองชีวิตตัวเองหลังจากแขวนรองเท้า ให้อยู่ในกรอบที่ถูกที่ควรได้ หนำซ้ำยังพาตัวเองเข้าไปใกล้ “สิ่งเสพย์ติด” ที่ชื่อก็บอกในตัวอยู่แล้วว่า หากได้ลิ้มลองแล้วยากนักที่ถอนตัว ห้ามใจออกจากมันได้ (น้องๆหนูๆดูเอาไว้เป็นบทเรียนนะครับ) ก็ได้แต่หวังและภาวนาครับว่า แกสคอยน์จะยอมรับความช่วยเหลือครั้งนี้จากคนรอบข้างและผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ไปได้ในเร็ววัน (สาธุ)

ส่วนอีกข่าวที่อันนี้ ไม่ได้ “ทำร้ายตัวเอง” อย่างในรายแรก แต่กลับ “ซวย”โดนเสียบขาหักเป็นสองท่อนคาสนาม สร้างความขนลุกขนพอง เป็นอย่างมาก ในเกมที่อาร์เซนอลนั้นทำได้แค่เสมอกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ 2-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันหลังเกมไม่ได้ถูกพูดถึงมากนักเนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างเป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของ เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา ที่ “ดวงแตก”รับวัยเบญจเพศ ต้องปิดฉากซีซั่นนี้ก่อนใครเพื่อนรวมไปถึงจะหมดสิทธิ์ช่วยโครเอเชียในศึกยูโร 2008 กลางปีนี้เป็นที่แน่นอนแล้ว

ในจังหวะที่ เอดูอาร์โด้โดน มาร์ติน เทย์เลอร์เข้าเสียบสกัดนั้นแม้หลายๆฝ่ายจะออกมาโจมตีการเล่นเกินกว่าเหตุไปหน่อยของกองหลัง เบอร์มิงแฮมรายนี้ โดยเฉพาะ อาร์เซน เวนเกอร์ที่โกรธเป็นฝืนเป็นไฟถึงขั้นออกมาบอกว่า เทย์เลอร์นั้นสมควรโดนโทษแบนตลอดชีวิตเลยทีเดียว (ในตอนแรกที่ออกมาให้สัมภาษณ์) แต่ผมเองกลับมองว่าการเข้าบอลในจังหวะนี้ของ เทย์เลอร์นั้น “ไม่ได้มีเจตนา”ที่จะทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพเลือดบราซิล และอุบัติเหตุแบบนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้วในเกมฟุตบอลที่ต้องมีการปะทะปะทั้งกัน เพียงแค่ว่าในจังหวะนี้ “ดูดู้”นั้นโชคร้ายจริงๆก็เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ดีเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากกว่าของหัวหอกวัย25รายนี้ก็คือเมื่อกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งนั้น “สภาพจิตใจ”จะพร้อมขนาดไหนและจะเกิดอาการหลอน+ แหยงการเข้าสกัดจากกองหลังฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ เพราะแน่นอนว่าเรื่องจิตใจ นั้นส่งผลกระทบโดยตรงกับฟอร์มการเล่น ตรงนี้จึงน่าสนใจมากว่า ช่วงระยะเวลาอีก 9เดือนที่เจ้าตัวต้องพักเป็นอย่างน้อยนั้น เมื่อ “คัมแบ็ค”กลับมาจะเป็น “ดูดู้”ที่กล้าเลี้ยงกล้าเล่นแบบเดิมหรือเปล่า

ขณะที่สองเรื่องเศร้าๆเกิดขึ้นในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ยังมีเรื่องน่ายินดีที่เกิดขึ้นกับทีมตราไก่ สเปอร์สที่สุดท้ายก็สามารถคว้าถ้วยรางวัลมาสู่ถิ่นไวท์ฮาร์ทเลน จนได้หลังจากที่เว้นว่าง ห่างหายกับความสำเร็จไปนานถึง 9ปีเต็มๆ ย้อนไปครั้งสุดท้ายก็โน้นเลย ปี 1999 ที่สเปอร์สได้แชมป์ เวอร์ธิงตัน ลีกคัพ จากลูกยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ อลัน นีลเซ่นมิดฟิลด์ชาวเดนมาร์กส่งสเปอร์สภายใต้การทำทีมของจอร์จ เกรแฮมเอาชนะเลสเตอร์ซิตี้ของมาร์ติน โอนีลไปได้ 1-0

ต้องยอมรับว่า เครดิตในครั้งนี้จะยกให้ไปไม่ได้นอกจาก ฆวนเด้ รามอสที่ “กึ๋น”ในการแก้เกมแสดงให้เห็นมาตลอดตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง และตอกย้ำอีกครั้งในเกมนี้ที่ แท็คติกส์ของเค้านั้นกินขาดอัฟรัม แกรนต์ ที่แม้เพิ่งจะแพ้เป็นครั้งที่ 3จาก35นัดที่คุมทีม แต่กับ “คัพไฟนอล” แบบนี้ ถามว่าหากเป็นชายชื่อ มูรินโญ่ยังคุมทีมอยู่นั้นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะทีมชาติ+มากด้วยประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลนัดชิงอย่างเชลซีจะกล้าแพ้สเปอร์สหรือ?

ผมคนนึงละครับ ที่ไม่กล้าคิดว่าสเปอร์สของรามอสจะปราบเชลซีได้หากมูรินโญ่ยังอยู่เพราะฝีมือการแก้แท็คติกส์ระหว่างเกมนั้นน่าจะออกมาสูสีกว่าที่เกิดขึ้นในเกมนี้ หรือหากจะพูดให้ชัดเจนไปเลยก็คือเชลซีแพ้ในเกมนี้เพราะกุนซือชื่อ แกรนต์นั่นเอง

มีอย่างที่ไหนดรอป โจ โคลทางปีกซ้ายและใช้ศูนย์หน้าที่ถนัด และอันตรายมากเขตโทษอย่าง
นิโคลาส์ อเนลก้ามายืนริมเส้น และให้ “อภิสิทธิ์”คู่หู แลมพาร์ด-เทอร์รี่ สองเพื่อนซี้กลับมาแทนตำแหน่งคนที่เล่นได้ดีอยู่ก่อน อย่าง บัลลัคและอเล็กซ์ หาใช่เลือกทีมตาม“ผลงาน” อย่างที่รามอสเลือกใช้นโยบายนี้ในการจัดตัวผู้เล่นลงสนามในแต่ละเกม

อีกอย่างการเสริมทีมของรามอสในช่วงตลาดมกราคมที่ผ่านมานั้นถือว่า “เกาได้ถูกจุด”และเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นเล็กๆของความสำเร็จในครั้งนี้ หลังจากไปสอยกองหลังมาหลายรายเพื่อมาอุดแนวรับของสเปอร์ส ไม่ว่าจะเป็น คริส กันเตอร์ (จากคาร์ดิฟ) จิลแบร์โต้ (จากแฮรธ่าเบอร์ลิน) อลัน ฮัตตัน (จากเรนเจอร์) และโจนาธาน วู้ดเกต (จาก มิดเดิลสโบรห์) โดยสองรายหลังนั้นค่าตัวรวมกันถึง 16 ล้านปอนด์ และได้ลงในนัดชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาและโชว์ฟอร์มได้ถือว่าคุ้มค่าตัวที่จ่ายไปแทบจะทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของ วู้ดเกต “แมน ออฟ เดอะ แมตช์”ของเกมที่เล่นได้ นิ่งและแน่นอนมากรวมทั้งยังเขกลูกโยนของเจอร์เมน จีนัสเป็นประตูชัยให้ทีมได้ได้อีกด้วย

การได้ เล็ดลี่ย์ คิงกลับมาในนัดสำคัญแบบนี้ถือเป็น “Key factor”หรือ ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่ทำให้สเปอร์สได้สิ้นสุดการรอคอยอันสุดแสนจะยาวนานนี้ เนื่องจากผลงานในนัดที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดเจน
แล้วว่า เมื่อไรก็ตามที่มีกัปตันรายนี้ ยืนบัญชาการในแนวรับอยู่นั้น ผู้เล่นคนอื่นๆในทีมดูอุ่นใจขึ้นเยอะ และมั่นใจที่จะเดินหน้าบุกตาม “ใบสั่ง”ของรามอส ได้อย่างไม่ต้องคอยระแวงว่าแผงหลังจะทำ “หมูหก”เสียประตูง่ายๆอย่างที่เคยมา

แหมวันนี้ รู้สึกว่าชมทีม “น้องไก่” มากไปหน่อยคงไม่หมั่นไส้กันนะครับ ^.^ เอาเป็นว่าผมขอสรุปกันตรงนี้เลยแล้วกันว่า หากคู่เซ็นเตอร์ คิง-วู้ดเกตฟิตเต็มถังไม่ผลัดกันเข้าโรงหมอแล้วละก็ จากนี้เป็นต้นไปแนวรับของสเปอร์สคงจะแกร่งขึ้นอีกเยอะทีเดียว ซ้ายเป็นแกเรธ เบล ขวาเป็น ฮัตตัน โอ้ยไม่อยากจะนึกจริงๆครับ กับภาพรวมของทีมตราไก่ในชั่วโมงนี้ เพราะว่าหากกองหลังได้ยืนกันตามไลน์อัพนี้ที่ผมว่าไว้นี้ เมื่อบวกกับกองหน้าฟอร์มร้อนอย่าง เบอร์บาตอฟ-ร็อบบี้ คีน แล้ว ทีมตราไก่จะน่าเกรงขามขนาดไหน ยิ่งภายใต้การนำทีมของกุนซือสมองเพชรเลี่ยมทอง อย่างฮวนเด้ รามอส นึกไม่ออกเลยจริงๆครับ ว่าทำไมสเปอร์สจะประสบความสำเร็จกับถ้วยที่ใหญ่ กว่าอย่างยูฟ่าคัพไม่ได้…

3 comments:

ธานคับ said...

แวะมาเฮอีกรอบครับ เอา เฮ้ เฮ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แวะมาทักทายคุณเอกครับ ยัดีใจไม่หายเลยครับเนี่ย ได้แต่หวังว่าเสาร์นี้คงไม่แพ่เบอร์มิงแฮมนะ ไม่งั้นเสียฟอร์มหมด

เอก อุดมสุข said...

มีข่าวคิง-วู้ดเกต เดี้ยงอีกแล้ว น่าเป็นห่วงครับไก่เรา

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ สำหรับบทความดีๆ